หลายๆคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมราคาหุ้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ดิ่งลงรุนแรง การทำความเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคน
กลไกพื้นฐานของการกำหนดราคาหุ้น
เช่นเดียวกับตลาดสินค้าทั่วไป ราคาหุ้นถูกกำหนดด้วยอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) หากมีผู้ต้องการซื้อหุ้นมากกว่าผู้ต้องการขาย ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผู้ต้องการขายมากกว่าผู้ต้องการซื้อ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซับซ้อนก็คือการทำความเข้าใจว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาหุ้น
1. ผลการดำเนินงานของบริษัท
ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อราคาหุ้นคือผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะกำไรและรายได้ เพราะในระยะยาวบริษัทที่ไม่สามารถทำกำไรได้ย่อมไม่สามารถอยู่รอดในตลาดได้ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานมีดังนี้:
- การประกาศผลประกอบการรายไตรมาสและรายปี
- การประกาศจ่ายเงินปันผล
- การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หรือการเรียกคืนสินค้า
- การได้รับสัญญาทางธุรกิจขนาดใหญ่
- การปรับโครงสร้างองค์กรหรือการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร
- การควบรวมกิจการหรือการเข้าซื้อกิจการ
2. ปัจจัยทางอุตสาหกรรม
หุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมเหมือนๆกัน เช่น:
- นโยบายภาครัฐที่มีผลต่ออุตสาหกรรม
- การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
- การแข่งขันในอุตสาหกรรม
- วงจรธุรกิจของอุตสาหกรรม
3. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมีผลอย่างมากต่อราคาหุ้น ปัจจัยสำคัญได้แก่:
- อัตราดอกเบี้ย: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมักส่งผลลบต่อราคาหุ้น เพราะต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และการลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น
- อัตราเงินเฟ้อ: ภาวะเงินเฟ้อทำให้กำลังซื้อลดลง ส่งผลต่อยอดขายและกำไรของบริษัท
- การเติบโตทางเศรษฐกิจ: GDP ที่เติบโตแข็งแกร่งมักส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- นโยบายการคลังและการเงิน: การดำเนินนโยบายของภาครัฐมีผลต่อสภาพคล่องในระบบและการลงทุน
4. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ปัจจัยด้านจิตวิทยาตลาดมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น:
- ภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Market): เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง มองโลกในแง่ดี ราคาหุ้นมักปรับตัวขึ้น
- ภาวะตลาดขาลง (Bear Market): เมื่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น กังวลต่อสถานการณ์ ราคาหุ้นมักปรับตัวลง
- ข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ: ทั้งในระดับบริษัท อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจโลก
- พฤติกรรมการเทรด: เช่น การซื้อขายตามกระแส การเก็งกำไร หรือการลงทุนตามกลยุทธ์
การติดตามและวิเคราะห์ราคาหุ้น
สำหรับนักลงทุน การติดตามและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ มีวิธีการแนะนำดังนี้:
- ศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัท
- งบการเงิน
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ
- แผนธุรกิจและกลยุทธ์
- คุณภาพของผู้บริหาร
- ติดตามปัจจัยแวดล้อม
- แนวโน้มอุตสาหกรรม
- สภาวะเศรษฐกิจ
- นโยบายภาครัฐ
- เหตุการณ์สำคัญต่างๆ
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค
- กราฟราคา
- ปริมาณการซื้อขาย
- ดัชนีทางเทคนิคต่างๆ
สรุป
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นผลจากปัจจัยที่ซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงต่อกัน นักลงทุนที่ดีต้องเข้าใจทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางจิตวิทยาตลาด พร้อมทั้งติดตามข่าวสารและพัฒนาการต่างๆ อย่างใกล้ชิด การลงทุนในหุ้นมีทั้งโอกาสและความเสี่ยง การเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้นจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีหลักการมากขึ้น อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้อย่างแม่นยำ 100% การกระจายความเสี่ยงและการลงทุนด้วยเงินที่พร้อมรับความเสี่ยงได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ส่วนระยะห่างในการขึ้นลงแต่ละช่องของราคาหุ้น สามารถเข้าไปอ่านได้ในบทความ Spread ราคาหุ้น (Price Spread)