การตัดสินใจลงทุนในโครงการใดๆ นักลงทุนจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน เครื่องมือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์การลงทุนคือ NPV (Net Present Value) และ IRR (Internal Rate of Return) โดยทั้งสองเครื่องมือมีวิธีการคำนวณและการใช้งานที่แตกต่างกัน เราจะมาอธิบายความหมาย วิธีการคำนวณ ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองวิธี รวมถึงสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้งานแต่ละวิธี

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value – NPV) คืออะไร?

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ หรือ NPV คือผลต่างระหว่างมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับและมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดจ่ายตลอดระยะเวลาของโครงการ โดยคำนึงถึงหลักการมูลค่าของเงินตามเวลา (Time Value of Money) ซึ่งหมายความว่าเงิน 1 บาทในวันนี้มีค่ามากกว่าเงิน 1 บาทในอนาคต เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยง และต้นทุนค่าเสียโอกาส

วิธีการคำนวณ NPV

การคำนวณ NPV ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้:

  1. คำนวณกระแสเงินสดสำหรับแต่ละปีของโครงการ
  2. คำนวณมูลค่าปัจจุบันของแต่ละกระแสเงินสดโดยใช้อัตราคิดลด (Discount Rate) ซึ่งอาจเรียกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการ (Hurdle Rate) หรือต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC)
  3. รวมมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดทั้งหมด

สูตรในการคำนวณ NPV คือ:

NPV = Σ (Rt / (1+i)^t) – เงินลงทุนเริ่มแรก

โดยที่:

  • Rt = กระแสเงินสดสุทธิในปีที่ t
  • i = อัตราคิดลด
  • t = ระยะเวลา (ปี)

ตัวอย่างการคำนวณ NPV

สมมติว่าบริษัทกำลังพิจารณาลงทุนในโครงการใหม่มูลค่า 100,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดดังนี้:

  • ปีที่ 1: 30,000 บาท
  • ปีที่ 2: 35,000 บาท
  • ปีที่ 3: 40,000 บาท
  • ปีที่ 4: 25,000 บาท
  • ปีที่ 5: 20,000 บาท

และบริษัทมีต้นทุนเงินทุน (WACC) 10%

เมื่อคิดลดกระแสเงินสดในอนาคตให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน เราจะได้:

  • ปีที่ 1: 30,000 / 1.1 = 27,272.73 บาท
  • ปีที่ 2: 35,000 / 1.1^2 = 28,925.62 บาท
  • ปีที่ 3: 40,000 / 1.1^3 = 30,052.59 บาท
  • ปีที่ 4: 25,000 / 1.1^4 = 17,075.34 บาท
  • ปีที่ 5: 20,000 / 1.1^5 = 12,418.43 บาท

รวมมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดทั้งหมด = 115,744.71 บาท NPV = 115,744.71 – 100,000 = 15,744.71 บาท

เนื่องจาก NPV มีค่าเป็นบวก แปลว่าโครงการนี้คาดว่าจะสร้างเงินสดรับมากกว่าเงินสดจ่าย ซึ่งทำให้โครงการมีความเป็นไปได้ทางการลงทุน

อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return – IRR) คืออะไร?

อัตราผลตอบแทนภายใน หรือ IRR คืออัตราคิดลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดจ่าย หรือเป็นอัตราที่ทำให้ NPV ของการลงทุนมีค่าเป็นศูนย์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง IRR คืออัตราการเติบโตที่คาดว่าการลงทุนจะสร้างขึ้น

วิธีการคำนวณ IRR

สูตรในการคำนวณ IRR คือการหาอัตราคิดลดที่ทำให้สมการต่อไปนี้เป็นจริง:

0 = Σ (Rt / (1+IRR)^t) – เงินลงทุนเริ่มแรก

โดยพื้นฐานแล้ว IRR คืออัตราที่ทำให้การลงทุนคุ้มทุนพอดี หาก IRR มากกว่าต้นทุนเงินทุนหรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องการ แสดงว่าการลงทุนคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนมากกว่าต้นทุนเงินทุน ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีกำไร หาก IRR ต่ำกว่าต้นทุนเงินทุน การลงทุนอาจไม่มีความเป็นไปได้ทางการเงิน

การคำนวณ IRR มักต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกโดยการทดลองใช้อัตราคิดลดต่างๆ จนกว่าจะพบอัตราที่ทำให้ NPV เท่ากับศูนย์ ในทางปฏิบัติ มักใช้โปรแกรมสเปรดชีตเช่น Excel ในการคำนวณ โดยใช้ฟังก์ชัน IRR ที่มีอยู่ในโปรแกรม

ถ้าเราใช้ตัวอย่างโครงการเดียวกับที่ใช้ในการคำนวณ NPV ข้างต้น เราจะได้ IRR ประมาณ 16% ซึ่งมากกว่าต้นทุนเงินทุน 10% แสดงว่าโครงการนี้คาดว่าจะสร้างผลตอบแทน 16% บนเงินทุน จึงเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทได้หากตัดสินใจลงทุน

ความแตกต่างระหว่าง NPV และ IRR

1. การวัดค่า

  • NPV แสดงผลเป็นจำนวนเงิน (บาท) โดยแสดงมูลค่าที่โครงการจะเพิ่มให้กับบริษัท
  • IRR แสดงผลเป็นร้อยละ โดยแสดงอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ

2. สมมติฐานในการลงทุนซ้ำ

  • NPV สมมติว่ากระแสเงินสดระหว่างกาลจะถูกนำไปลงทุนซ้ำที่อัตราคิดลด (ต้นทุนเงินทุน)
  • IRR สมมติว่ากระแสเงินสดระหว่างกาลจะถูกนำไปลงทุนซ้ำที่อัตรา IRR เอง ซึ่งอาจไม่สมจริงเสมอไป

3. การจัดการกับกระแสเงินสดที่มีความผันผวน

  • NPV สามารถจัดการกับกระแสเงินสดที่มีการเปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง (สลับระหว่างบวกและลบ) และสามารถใช้อัตราคิดลดที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละช่วงเวลาได้
  • IRR อาจมีปัญหาเมื่อมีกระแสเงินสดที่เปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง โดยอาจให้ผลลัพธ์เป็น IRR หลายค่า ทำให้ยากต่อการตีความ

4. การเปรียบเทียบโครงการที่มีขนาดแตกต่างกัน

  • NPV มีแนวโน้มที่จะให้ค่าโครงการที่มีขนาดใหญ่กว่า เนื่องจากมีกระแสเงินสดรวมมากกว่า
  • IRR ช่วยในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโครงการที่มีขนาดแตกต่างกันได้ดีกว่า เนื่องจากแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์

เมื่อไหร่ควรใช้ NPV และ IRR?

ควรใช้ NPV เมื่อ:

  1. โครงการมีกระแสเงินสดที่ผันผวน – NPV จัดการกับการเปลี่ยนทิศทางของกระแสเงินสดได้ดีกว่า
  2. มีอัตราคิดลดที่ชัดเจน – เมื่อบริษัทมีต้นทุนเงินทุนที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
  3. ต้องการตัดสินใจว่าควรดำเนินโครงการหรือไม่ – หาก NPV เป็นบวก โครงการควรค่าแก่การลงทุน
  4. ต้องการวัดมูลค่าที่โครงการจะเพิ่มให้กับบริษัท – NPV แสดงมูลค่าที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยตรง
  5. โครงการเป็นการลงทุนระยะยาว – NPV มักเหมาะกับโครงการระยะยาวมากกว่า

ควรใช้ IRR เมื่อ:

  1. ต้องการเปรียบเทียบโครงการหลายโครงการ – IRR ช่วยในการจัดอันดับโครงการตามประสิทธิภาพของเงินทุนได้ดี เนื่องจากมีค่าเป็นเปอร์เซ็นต์
  2. อัตราคิดลดไม่แน่นอนหรือกำหนดได้ยาก – IRR ไม่จำเป็นต้องระบุอัตราคิดลดไว้ล่วงหน้า
  3. ต้องการสื่อสารกับนักลงทุน – นักลงทุนมักเข้าใจผลตอบแทนที่แสดงเป็นร้อยละได้ง่ายกว่า
  4. ต้องการทราบจุดคุ้มทุนของโครงการ – IRR บอกจุดที่โครงการจะคุ้มทุนพอดี
  5. ต้องการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นในโครงการ – IRR มักใช้เพื่อบอกบริษัทว่าควรออกหุ้นจำนวนเท่าใด

เมื่อ NPV และ IRR ให้ผลขัดแย้งกัน

ในบางครั้ง การคำนวณ NPV และ IRR อาจให้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบโครงการที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก เช่น ขนาด ระยะเวลา หรือรูปแบบกระแสเงินสด ความขัดแย้งนี้อาจเกิดจาก:

  1. ความแตกต่างของเงินลงทุนเริ่มแรก – โครงการที่มีเงินลงทุนเริ่มแรกสูงอาจมี NPV สูงแต่ IRR ต่ำ
  2. ความแตกต่างของรูปแบบกระแสเงินสด – โครงการที่มีกระแสเงินสดมากในช่วงแรกมักมี IRR สูงกว่าโครงการที่มีกระแสเงินสดในช่วงท้าย แม้ว่า NPV จะเท่ากัน
  3. ความแตกต่างของระยะเวลาโครงการ – โครงการที่มีระยะเวลายาวนานกว่าอาจมี NPV สูงแต่ IRR ต่ำกว่า

ในกรณีที่ NPV และ IRR ให้ผลขัดแย้งกัน ส่วนใหญ่แล้วนักการเงินจะแนะนำให้ใช้ NPV เป็นเกณฑ์ตัดสินใจ เนื่องจาก NPV สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นมากกว่า

สรุป

NPV และ IRR ชมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน NPV ให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับมูลค่าที่โครงการจะเพิ่มให้กับบริษัท ขณะที่ IRR ให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเงินทุนที่ใช้ โดยทั่วไป NPV เหมาะสำหรับการประเมินโครงการที่มีกระแสเงินสดซับซ้อนและระยะเวลายาวนาน ในขณะที่ IRR เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของโครงการที่มีขนาดแตกต่างกัน ในทางปฏิบัตินักลงทุนควรใช้ทั้ง NPV และ IRR ร่วมกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ครบถ้วนในการตัดสินใจลงทุน การใช้ทั้งสองวิธีจะช่วยให้เห็นทั้งมูลค่าที่โครงการจะสร้างและประสิทธิภาพของเงินทุนที่ใช้ ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น