Blockchain คือ หนึ่งในเทคโนโลยี DLT (Distributed Ledger Technology) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลแบบไม่มีตัวกลาง โดยข้อมูลจะจัดเก็บเป็นสำเนาไว้บนเครื่องของทุกคนบนเครือข่ายนั้น และ ทุกคนสามารถตรวจสอบ เพื่อสามารถรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ หรือ มีสิทธิ์ต่างๆในข้อมูลนั้น

แนวคิดสำคัญที่สำคัญของ Blockchain

  • Blockchain เป็นเพียงประเภทหนึ่งของ DLT (Distributed Ledger Technology) คือ เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ เอื้อให้สมาชิกในเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน และทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ
  • Block ก็คือ กล่อง ส่วน Chain ก็คือโซ่ที่ผูกกับกล่อง
  • โดยจะเป็นการจัดเก็บฐานข้อมูลในรูปแบบ Block (กล่อง) แล้วเชื่อมต่อข้อมูลใหม่ด้วยการ Chained ผูกต่อกันจาก Block เดิม
  • ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบน Blockchain จะไม่สามารถแก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงได้ 
  • ทำให้เทคโนโลยี Blockchain สามารถเกิดการแลกเปลี่ยน “มูลค่า” กันได้ในโลก Internet (แต่เดิมในโลก Internet โลกสามารถแลกเปลี่ยน “ข้อมูล” กันได้อย่างเดียว)
  • สิ่งนี้ทำให้เกิด Bitcoin ขึ้นมา โดย Bitcoin เป็น Application ที่เกิดขึ้นบน Blockchain ในการทำหน้าที่เป็นสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งไม่ถูกการควบคุมจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 

Tip : Blockchain ก็คล้ายกับ Microsoft Windows หรือ MacOS ที่เป็นเหมือนหลังบ้านของคอมพิวเตอร์ ส่วน Bitcoin ก็เป็นโปรแกรม หรือ Application หนึ่งที่สร้างขึ้นบนนั้นนั่นเอง

Blockchain คืออะไร

หลักการพื้นฐานสำคัญของ Blockchain เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบการจัดเก็บฐานข้อมูล (Database)

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Database กันก่อน

Database เป็นฐานในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ บนระบบ Computer โดยส่วนมากจะใช้โครงสร้างแบบ Table format (ตาราง) ในการเรียบเรียงข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา หรือ กรอง ข้อมูลต่างๆ 

ว่าง่ายๆก็คล้ายกับ Spreadsheet (พวก Excel) ที่ถูกสร้างเพื่อจัดเก็บข้อมูลสำหรับบุคคล, กลุ่มคน หรือองค์กร ที่อยู่ในวงจำกัด แต่ Database จะถูกสร้างมาเพื่อวงกว้าง

สิ่งที่ Blockchain ต่างจาก Database

โครงสร้างการจัดเก็บหน่วยข้อมูล (Storage Structures)

Blockchain จะเก็บข้อมูลรวมกันเป็นกลุ่ม (Blocks) ส่วนข้อมูลที่เกิดขึ้นใหม่จะถูกนำมาต่อจากข้อมูลเก่า ก็ตามชื่อของมันเลยคือ Block ก็เป็นหนึ่งก้อนข้อมูล จากนั้นถูก Chain ที่แทนถึงโซ่ ไว้ต่อข้อมูลก้อนใหม่ กันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลย้อนหลังได้ และ ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้

ส่วน Database จะเก็บข้อมูลลักษณะตาราง (Table) ซึ่งแตกต่างจาก Blockchain ที่เก็ลข้อมูลเป็นก้อนแล้วมาต่อกัน โดย Database จะสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยนข้อมูลในย้อนหลังได้ และ การเข้าถึงฐานข้อมูลถูกใช้ในวงจำกัด 

https://hivelife.com/blockchain-in-apac-2021-trend-forecast/

Decentralization (การกระจายอำนาจ ไม่มีตัวกลาง)

ทุกคนที่มาส่วนร่วมกับเครือข่ายบน Blockchain ที่เกี่ยวข้อง จะมีไฟล์ข้อมูลดังกล่าวอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกๆ คน เมื่อข้อมูลบน Blockchain ดังกล่าว มีการเปลี่ยนแปลง ไฟล์ข้อมูลดังกล่าวอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกคนในเครือข่ายก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกัน และเก็บมันตั้งแต่มันถูกเริ่มต้น 

โดยจะแตกต่างกับ Database ที่จะถูกเก็บบน Server ขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเพียงผู้เดียว เค้าอาจจะมี Computer เป็น 10,000 ตัว เพื่อจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว ซึ่งทำให้เค้าสามารถมีอำนาจในการควบคุมข้อมูลนั้นได้อย่างอิสระ

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ Blockchain ก็จะคล้ายๆกัน ข้อมูลนั้นถูกเก็บบนคอมพิวเตอร์เป็น 10,000 ตัวได้เหมือนกัน แต่ในแต่ละคอมพิวเตอร์จะไม่ได้ตั้งขึ้นโดยคนคนเดียว แต่จะกระจายกันทั่วโลก ที่ไหนก็ได้ ที่สามารถเข้าถึง Internet และอำนาจในการควบคุมข้อมูลดังกล่าว ก็จะขึ้นอยู่กับทุกคนบนเครือข่ายนั้น 

โดย Bitcoin ได้ใช้หลักการนี้ มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสกุลเงินดิจิตอลขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ Network นี้ โดยแต่ละคอมพิวเตอร์ทั้งหมดบน Network ที่มีส่วนร่วมกับจะเรียกว่า Nodes

ในแต่ละ Node จะเก็บข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่ Blockchain นั้นถูกก่อตั้งขึ้นมา โดย Bitcoin ก็จะเก็บข้อมูลธุรกรรม การซื้อขาย แลกเปลี่ยน Bitcoin ที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด 

ถ้า Node ใด Node หนึ่ง เกิด Error ในข้อมูล ก็จะถูกตรวจสอบกับ Node อื่นๆ ใน Network นั้น ว่าข้อมูลถูกต้องหรือไม่ (เพราะทุก Node มี Copy ข้อมูลเหมือนกัน) ดังนั้นทำให้ยากต่อการ Hack เป็นอย่างมาก

และ หากจะต้องการเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการ หรือ ข้อมูลในระบบ ต้องได้รับการยินยอมจากเสียงส่วนมากที่อยู่บน Network นั้น

https://www.researchgate.net/figure/Blockchain-P2P-Network_fig1_320127088

ความโปร่งใส และ ความปลอดภัย

เทคโนโลยี Blockchain ถือว่ามีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เนื่องจาก การจัดเก็บเป็นลักษณะ linearly (ประมาณว่า เชิงเส้นตรง) และ chronologically (การเรียงตามลำดับ)

(Bitcoin เมื่อ Nov 2020 มีจำนวน Block อยู่ที่ 656,197 blocks และจะสูงไปเรื่อยๆ)

อย่าง Bitcoin ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะสามารถเกิดตรวจสอบได้ จากทุกคนในนั้น เพราะในแต่ละ Node จะมีตัว Copy ของข้อมูล ในทุก Block ที่เกิดขึ้น และ Block ใหม่ๆ ที่ถูกอัพเดทขึ้น ตั้งแต่ต้นทั้งหมด

เมื่อ Bitcoin ถูก Hack ก็จะสามารถตามได้ว่า ถูก Hack ที่ไหน เท่าไหร่ อย่างง่ายดาย

มันยากมากที่จะไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขข้อมูลย้อนหลังบน Block ยกเว้นแต่ได้รับการยอมรับจากคนส่วนมากในนั้น 

และยิ่ง Network ใหญ่ขึ้น ก็ยิ่งยากต่อการ Hack นั่นเอง

Bitcoin vs Blockchain

เป้าหมายของ Blockchain คือการจัดเก็บข้อมูล Digital และ ถ่ายโอน แต่จะไม่สามารถแก้ไขได้

เทคโนโลยี Blockchain ถือกำเนิดเมื่อ 1991 โดย Stuart Haber และ W. Scott Stornetta แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้ในโลกความเป็นจริงได้

แต่มีปี 2009 สิ่งที่ชื่อว่า Bitcoin ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยบุคคลที่ใช้นามแฝงชื่อว่า Satoshi Nakamoto เค้าได้เผยแพร่ Paper ชื่อว่า Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System ออกสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก และประกาศเปิดใช้งานระบบเงินดิจิตอลที่ชื่อว่า Bitcoin อย่างเป็นทางการ

(โดยกันว่า มีคนกลุ่มหนึ่งไม่พอใจต่อระบบการเงินแย่ๆบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ที่ถูกควบคุมโดยพวกสถานบันการเงินใหญ่ๆ และพวกรัฐบาล)

โดย Bitcoin เป็นระบบแบบ Fully peer-to-peer (แลกเปลี่ยนกันได้โดยตรง ระหว่าง 2 ฝ่าย) ที่ไม่ต้องอาศัย Trust ที่ขึ้นอยู่กับบุคคลที่สาม (พวกแบงค์ หรือ รัฐบาล)

ในปัจจุบัน Blockchain ได้ถูกพัฒนาไปใช้ในวงการอื่น อาทิ งานศิลปะ, เพลง, การโหวต, อสังหา, สุขภาพ, กีฬา, อาหาร และอีกมากมาย

หมายเหตุ : ผู้เขียนยอมรับว่า Blockchain เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่วงการที่เกี่ยวข้อง ผมไม่รู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า Blockchain อย่าง 100% พยายามศึกษาและทำความเข้าใจมันตามแบบคนทั่วไป (หากข้อมูลใดผิดพลาดก็สามารถแจ้งเข้ามาได้โดยตรงเลย เราจะแก้ไขในทันที) ส่วนตัวยังเชื่อว่า Blockchain ก็เป็นเหมือนสิ่งที่คล้ายกับโครงสร้างต่างๆ ที่เราไม่ต้องเข้าใจมันทั้งหมด เช่นพวก ไฟฟ้า, แบตเตอรี่, วิทยุ, internet, คลื่นโทรศัพท์ ที่คนธรรมดาไม่จำเป็นต้องรู้ถึงกระบวนการของมันทั้งหมด แค่เข้าใจถึงหลักการของมัน และใช้ประโยชน์จากมันก็เพียงพอแล้ว

แหล่งข้อมูลอ้างอิง