bitcoin คืออะไร

Bitcoin คืออะไร

Bitcoin คือ สกุลเงินดิจิตอลแรกของโลก ถูกสร้างจากมาภาษาคอมพิวเตอร์ โดยไม่มีตัวกลาง ซึ่งทำให้ไม่ถูกควบคุมโดยแบงค์ใดแบงค์หนึ่ง หรือ รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ก็คล้ายๆ กับ เงินบาท, ดอลลาร์, หรือ หยวน ที่เป็นสกุลเงินของในแต่ละประเทศ แต่ Bitcoin เป็นสกุลเงินหนึ่งบนประเทศอินเตอร์เน็ต (Internet nation) หมายความว่าทุกคนที่เข้าถึง Internet สามารถมีส่วนร่วมในการใช้สกุลเงินนี้ได้

ความสำคัญของ Bitcoin

  • Bitcoin เป็นเพียง 1 ในสกุลเงินดิจิตอล มันยังมีเหรียญอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ Ethereum, Ripple, Litecoin เป็นต้น
  • แค่ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่นิยมกันมากที่สุดในตอนนี้
  • ไม่มีตัวกลาง (ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม และ โอนเงินข้ามประเทศได้อย่างรวดเร็ว)
  • Bitcoin มี Supply ทั้งหมดจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ไม่มีการเพิ่มอีกแล้ว
  • ลงทุน Bitcoin มี 2 วิธี คือ ขุด และ เทรด
  • การขุด Bitcoin : เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยมีเหรียญ Bitcoin เป็นรางวัลที่ได้จากการขุด

Paper ต้นกำเนิด Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System

Note : Satoshi Nakamoto ผู้ให้กำเนิด Bitcoin ยังไม่มีใครทราบว่าตัวจริงคือใคร ผู้ชาย ผู้หญิง หรือ เป็นกลุ่มคน

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin

ปัจจุบันเราใช้สกุลเงิน อย่าง บาท, เยน, ดอลลาร์, ยูโร ที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ ในการแลกเปลี่ยนกันมูลค่ากัน (หรือที่เรียกว่า Fiat currency) โดยในอดีตเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เราเคยใช้ เปลือกหอย แทนสกุลเงิน เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนมูลค่า หรืออย่างทองคำ ที่ยุคนึงก็เคยใช้เช่นเดียวกัน 

เงินที่เราใช้ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันได้ก็เพราะว่า เราเชื่อในรัฐบาล และ ธนาคาร คอยควบคุมสิ่งนี้อยู่

แต่เมื่อไม่นานมานี้มีสิ่งที่ใหม่ที่เรียกว่า “Cryptocurrencies” หรือ สกุลเงินดิจิตอล ที่มาเปลี่ยนแปลงวงการการเงิน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจะเป็นสกุลเงินอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้แลกเปลี่ยนมูล

Cryptocurrency ถูกสร้างจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ระบบหลังบ้านที่เรียกว่า “Blockchain” จุดประสงค์เพื่อที่จะ “ตัดตัวกลาง” ในการทำธุรกรรมทางการเงิน 

หลายคนเชื่อว่า คนที่คิดค้น Bitcoin ขึ้นมา (Satoshi Nakamoto) ก็เพราะว่า เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อมั่นใจระบบตัวกลางของปัจจุบัน อย่างรัฐบาลบางประเทศที่อยู่ดีๆก็มีสิทธิ์ยึดเงินเราได้ (ไซปรัส) หรือรัฐบาลบางประเทศที่บริหารห่วย ทำให้สกุลเงินไม่มีค่า (เวเนซุเอลา) และยังไม่ต้องใช้ตัวกลางอย่าง แบงค์ อีกด้วย (เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ ค่าธรรมเนียมลดลง, โอนข้ามประเทศเร็วขึ้นมาก)

โดยจากเดิมคนที่ใช้เงินสกุลเงินต่างๆ จะเชื่อใน รัฐบาล หรือ แบงค์ แต่คนที่หันมาใช้ สกุลเงินดิจิตอล เค้าจะเชื่อในระบบภาษาคอมพิวเตอร์แทน

สิ่งนี้ทำให้เกิด Bitcoin ขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งใน Cryptocurrency ซึ่งปราศจากการควบคุมโดยรัฐบาล ทุกคนที่มี Bitcoin สามารถแลกเปลี่ยนกันได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคาร (โดยใช้เทคโนโลยีชื่อว่า Peer-to-Peer หรือ P2P )

P2P คือ รูปแบบการเชื่อมต่อแลนไร้สายแบบ Peer to Peer เป็นการเชื่อมต่อแบบโครงข่ายโดยตรง ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องนั้นจะมีความเท่าเทียมกัน (ที่มา : jobsdb)

ส่วนคนที่จะคอยตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องของการแลกเปลี่ยน Bitcoin นั้น มาจาก “นักขุด” นั่นเอง 

การขุด Bitcoin เพื่อที่จะตรวจสอบ และ ยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยการขุดต้องอาศัยพลังงานประมวลของเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะเข้าไปถอดรหัสในระบบ

ซึ่งสิ่งตอบแทนที่นักขุดจะได้รับ คือ เหรียญ Bitcoin เป็นรางวัลให้กับคนที่ขุด และ ค่าธรรมเนียมของธุรกรรมที่เกิดขึ้น (transaction fees) 

Note : เราใช้ b ตัวเล็ก สำหรับสกุลเงิน bitcoin (Currency) ส่วนจะใช้ B ตัวใหญ่ สำหรับ Network ของ Bitcoin

วิธีการได้รับ Bitcoin

  • ซื้อบนกระดานแลกเปลี่ยน (บน Exchange เช่น Bitkub และ Satang)
  • รับโอนจากบุคคลอื่นที่มี Bitcoin อยู่แล้ว
  • ทำการขุด

การเก็บรักษา Bitcoin

การเก็บ Bitcoin เราต้องมี กระเป๋า (Wallet) ในการเก็บมัน ก็เหมือนกับกระเป๋าสตางค์ที่ไว้เก็บเงินของเรา โดยหลักการของ Wallet ง่ายๆ ก็ไว้ รับเงิน กับ ส่งเงิน 

ในทาง Blockchain กระเป๋าจะเป็นโปรแกรม Software ที่เอาไว้เก็บข้อมูล Private keys กับ Public keys (Public keys ก็เหมือนเลขบัญชีธนาคาร ส่วน Private keys ก็เหมือน รหัส Pin ไว้ถอนเงินจาก ATM)

กระเป๋าเงินจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. Hotwallet : Web-based wallets, mobile wallets และ desktop wallets เป็นประเภทของ hot wallets ที่ถูกเก็บไว้บน Internet ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีได้ แต่มันใช้งานง่าย สามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ทันที
  2. Cold wallet : จะเป็นพวก Hardware wallet ความปลอดภัยสูงมาก อย่าง USB flash drive หรือ จดรหัส (Private key) ไว้บนกระดาษ ซึ่งไม่มีความเสี่ยงในการถูก Hack แต่เวลาจะใช้ก็ลำบากหน่อย

การขุด Bitcoin

การขุดบิตคอยน์คือการ ‘เดา’ ชุดตัวเลขเพื่อแก้สมการทางคณิตศาสตร์ให้สำเร็จก่อนนักขุดคนอื่นในเครือข่าย หากเดาถูกก่อนก็จะมีสิทธิ์ในการเพิ่มข้อมูลธุรกรรมชุดใหม่ลงไปในเครือข่าย และรับรางวัลเป็นบิตคอยน์เหรียญใหม่ที่ยังไม่มีในระบบ (ที่มา : thestandard)

Bitcoin Halving

เป็นปรากฏการณ์ที่ รางวัล ในการขุดจะลดลงครึ่งหนึ่ง ในทุกๆ 4 ปี

รางวัลในการขุดจะลดลงครึ่งหนึ่ง ในทุกๆ 210,000 บล๊อก โดยแต่ละบล๊อกจะถูกสร้างขึ้นทุก 10 นาที ดังนั้นการกำเนิดบล๊อกใหม่ทั้งหมด 210,000 บล๊อก จะใช้เวลาประมาณ 4 ปี

โดย Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin ได้กำหนดรางวัลสำหรับคนแรกที่ขุดอยู่ที่ 50 เหรียญต่อบล๊อก

นับตั้งแต่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นมา เกิด Bitcoin Halving มาแล้ว 3 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2012 รางวัลลดลงจาก 50 เหรียญ เหลือเป็น 25 เหรียญ
  • ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2016 รางวัลลดลงจาก 25 เหรียญ เหลือเป็น 12.5 เหรียญ
  • ครั้งที่ 3 เมื่อปี 2020 รางวัลลดลงจาก 12.5 เหรียญ เหลือเป็น 6.25 เหรียญ
  • คาดว่า ครั้งที่ 4 จะเกิดขึ้นอีกทีเมื่อปี 2024

ทั้งนี้ Bitcoin มี Supply ทั้งหมดจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งคาดกันว่าเหรียญ Bitcoin สุดท้ายที่จะถูกขุดขึ้นมา จะครบเมื่อปี 2140 

Note : ในเดือนสิงหา ปี 2021 จำนวน Bitcoin ที่ถูกขุดขึ้นมาทั้งสิ้น 18.77 ล้านเหรียญ ซึ่งยังเหลืออีกประมาณ 2.3 เหรียญที่ยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา

(ที่มา : finnomena)

เมื่อ Bitcoin ถูกขุดครบ 21 ล้านเหรียญ

ผลกระทบต่อนักขุด : รางวัลที่เป็นเหรียญ Bitcoin จะหมดไป เหลือเพียงค่าธรรมเนียมของธุรกรรมที่จะเป็นรายได้หลักแทน

ผลกระทบต่อราคา : แน่นอนว่า ในทางทฤษฎี การที่ Bitcoin ถูกจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้ Supply จำกัด ในขณะที่หากความต้องการยังเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้น

Note : Bitcoin ประมาณ 1 ล้านเหรียญ ถูกเก็บไว้กับ Satoshi Nakamoto คนที่สร้างบิตคอยน์ 

สรุป

Bitcoin ยังเป็นอะไรที่ใหม่มากในวงการการเงิน ต้องอาศัยการพิสูจน์ตัวเองไปอีกระยะ อีกทั้ง Bitcoin ยังเป็นเพียง 1 ในสกุลเงินดิจิตอล ยังมีเหรียญอีกมากมาย ที่อาจขึ้นมาเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง