การลงทุนในตลาดหุ้นมีหลายแนวทางที่นักลงทุนสามารถเลือกใช้ได้ หนึ่งในนั้นคือการลงทุนในหุ้นที่มีการถือครองต่ำหรือ “หุ้น Under-Owned” ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความสนใจในหมู่นักลงทุนที่ต้องการหาช่องทางการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ในบทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับหุ้น Under-Owned ว่าคืออะไร และทำไมถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน
หุ้น Under-Owned คืออะไร?
หุ้น Under-Owned คือหุ้นของบริษัทที่มีจำนวนผู้ถือหุ้นหรือการลงทุนในหุ้นนั้น ๆ ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นในตลาด หรือกล่าวง่าย ๆ คือ หุ้นที่มีสัดส่วนการถือหุ้นต่ำจากนักลงทุนสถาบันหรือกลุ่มนักลงทุนทั่วไป ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การที่หุ้นนั้นไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุน หรือบริษัทอาจมีขนาดเล็กจนทำให้ไม่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก
โดยทั่วไปแล้ว หุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองต่ำมักจะไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันการเงิน ซึ่งแตกต่างจากหุ้นที่ได้รับความนิยมสูงที่มักจะมีสัดส่วนการถือครองสูงและมีการซื้อขายที่หนาแน่นในตลาด
ทำไมหุ้น Under-Owned ถึงน่าสนใจ?
หุ้น Under-Owned ถือเป็นโอกาสในการลงทุนที่มีความน่าสนใจหลายประการสำหรับนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ในการลงทุนระยะยาว ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.โอกาสในการเติบโต
หุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองต่ำอาจหมายความว่า นักลงทุนยังไม่ให้ความสนใจมากนักในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อบริษัทมีการพัฒนาในเชิงธุรกิจหรือมีการปรับกลยุทธ์ที่ดีกว่า อาจทำให้หุ้นเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่เริ่มเห็นศักยภาพของบริษัทและเริ่มซื้อหุ้นเหล่านั้นเพิ่มเติม
2.ราคาหุ้นอาจยังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
หุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่หรือกลุ่มนักลงทุนทั่วไปอาจถูกประเมินค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพราะการขาดการสนับสนุนจากนักลงทุนในวงกว้าง ทำให้ราคาหุ้นอาจถูกกดดันไว้ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้เกิดโอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง
3.การกระจายความเสี่ยง
หุ้น Under-Owned มักจะไม่ถูกติดตามหรือได้รับการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ในตลาดเท่ากับหุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองสูง การลงทุนในหุ้นประเภทนี้จึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อพอร์ตการลงทุนของคุณมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีการถือครองสูงมากจนเกินไป
4.โอกาสในการได้ผลตอบแทนสูง
เนื่องจากหุ้น Under-Owned มักจะมีราคาที่ต่ำและไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวในตลาด หุ้นเหล่านี้อาจมีโอกาสในการให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคตหากบริษัทมีการเติบโตหรือประสบความสำเร็จในแผนธุรกิจที่วางไว้ นักลงทุนที่สามารถจับโอกาสเหล่านี้ได้จึงอาจได้รับผลตอบแทนที่สูงเมื่อหุ้นเริ่มได้รับความสนใจจากตลาด
ปัจจัยที่ทำให้หุ้นเป็น Under-Owned
มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้หุ้นของบริษัทหนึ่งเป็นหุ้น Under-Owned ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายสาเหตุ ดังนี้
1.ขนาดของบริษัท
บริษัทขนาดเล็กหรือ Start-up มักจะไม่เป็นที่สนใจจากนักลงทุนรายใหญ่ เนื่องจากขาดสภาพคล่องหรือความสามารถในการทำกำไรในระยะสั้น นักลงทุนที่มองหาการเติบโตในระยะยาวอาจไม่ให้ความสนใจกับหุ้นเหล่านี้มากนัก ทำให้หุ้นเหล่านี้มีสัดส่วนการถือครองที่ต่ำ
2.ภาวะตลาด
ในบางช่วงเวลา ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับภาวะขาลง (Bear Market) ที่ทำให้ความสนใจในหุ้นส่วนใหญ่ลดลง โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่โดดเด่นในแง่ของการเติบโตหรือการทำกำไร หุ้นเหล่านี้อาจถูกขายออกไปมากขึ้น และทำให้มีการถือครองต่ำจากนักลงทุน
3.การขาดการโปรโมทหรือการตลาด
หากบริษัทไม่สามารถสร้างการรับรู้ในตลาดได้เพียงพอ หุ้นของบริษัทนั้นอาจไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน สาเหตุนี้ทำให้หุ้นเหล่านั้นมีสัดส่วนการถือครองที่ต่ำจากนักลงทุนทั่วไป
4.ธุรกิจที่ไม่เป็นที่รู้จักหรือเฉพาะกลุ่ม
บางบริษัทอาจดำเนินธุรกิจที่มีความเฉพาะเจาะจงและไม่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วไป เช่น ธุรกิจที่มีตลาดเฉพาะกลุ่มหรือมีการเติบโตในระยะยาวที่ค่อนข้างช้า ซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นมีการถือครองต่ำ
วิธีการเลือกหุ้น Under-Owned ที่น่าสนใจ
การเลือกหุ้น Under-Owned ที่มีศักยภาพในการเติบโตไม่ใช่เรื่องง่าย นักลงทุนน่าจะต้องพิจารณาหลายปัจจัยในการตัดสินใจ ซึ่งรวมถึง
1.การวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท
นักลงทุนควรทำการวิเคราะห์ทางการเงินของบริษัทนั้น ๆ อย่างละเอียด เช่น อัตรากำไรสุทธิ, สภาพคล่องทางการเงิน, การเติบโตของรายได้และกำไรในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการประเมินความเสี่ยงจากตลาดที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่
2.การดูศักยภาพการเติบโตในอนาคต
การศึกษาความสามารถในการเติบโตในอนาคตของบริษัท เช่น การมีสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ การขยายตลาด หรือการมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการพัฒนาองค์กร จะช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าหุ้นนี้มีโอกาสเติบโตได้หรือไม่
3.การติดตามความเคลื่อนไหวในตลาด
นักลงทุนควรติดตามข่าวสารหรือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในบริษัท เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการขยายตัวไปยังตลาดใหม่ ๆ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นของบริษัทนั้น ๆ
4.การประเมินสภาพคล่อง
หุ้น Under-Owned บางตัวอาจมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้การซื้อขายยากขึ้น นักลงทุนจึงต้องประเมินสภาพคล่องของหุ้นก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
สรุป
หุ้น Under-Owned เป็นหุ้นของบริษัทที่มีการถือครองต่ำจากนักลงทุน โดยสามารถเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ขนาดของบริษัทที่เล็กหรือยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง นักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ในระยะยาวมักมองว่าหุ้นเหล่านี้มีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ด้วยเหตุนี้การเลือกหุ้น Under-Owned ที่มีศักยภาพในการเติบโตจึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้น โดยการพิจารณาจากการวิเคราะห์พื้นฐานและศักยภาพในอนาคตของบริษัทนั้น ๆ อย่างถี่ถ้วน