สารบัญ
เนื้อหา : แนวคิดและวิธีการเทรด จาก Mark Minervini (เทรดเดอร์สายกราฟ ที่ใช้วิธีการเฉพาะตัว)
สิ่งที่ได้ : กลยุทธ์การเทรดของ Market Minervini ทั้งการซื้อขายหุ้น การบริการหน้าตัก และสิ่งจำเป็นที่สุดยอดเทรดเดอร์ต้องมี
เหมาะสำหรับ : ทั้งเทรดเดอร์มือใหม่ และเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มาแล้ว เพราะหนังสือเล่มนี้เนื้อหาค่อนข้างครอบคลุมหลักการที่จำเป็นในการเทรดทั้งหมด
สั่งซื้อหนังสือ คิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน โดย Mark Minervini ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
บทนำ : ก้าวแรกสู่การคิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน
- คนที่เลือกชนะ เขาจะมองหาบุคคลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ มีการวางหนทางเพื่อไปสู่ความสำเร็จ และยอมรับความล้มเหลวแต่ละครั้งในฐานะครูผู้ให้บทเรียนอันมีค่า พวกเขานำแผนงานมาปฏิบัติ เรียนรู้บทเรียนจากผลลัพธ์ของตัวเองและคอยปรับปรุงสิ่งต่างๆ จนกระทั่งพวกเขาได้มาซึ่งชัยชนะ
- ถ้าคุณต้องการเทรดได้อย่างแชมป์เปี้ยน คุณก็จำเป็นต้องคิดอย่างคนที่เป็นแชมป์
- คุณต้องยอมรับความจริงที่ว่า การจะเป็นเทรดเดอร์หุ้นระดับแชมป์เปี้ยนมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการมีพรสวรรค์ หรือต้องจบการศึกษาระดับสูงจากไอวี่ลีก แต่มันเริ่มต้นจากการมีความเชื่ออย่างแท้จริงว่า ชัยชนะเป็นสิ่งที่คุณเลือกได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
- ในระยะยาวระบบความเชื่อจะเป็นสิ่งที่ชนะอยู่เสมอ ดังนั้น การจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ การกระทำของคุณจะต้องถูกปรับให้เข้ากับความเชื่อของคุณ เป้าหมายสำคัญคือความสอดคล้องกันของสองสิ่งนี้
- นักจิตวิทยาพบความสัมพันธ์ทางสถิติโดยตรงระหว่างชั่วโมงที่ฝึกฝนกับระดับของผลสัมฤทธิ์หรือทักษะความสามารถ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่พรสวรรค์ตามธรรมชาติ นักดนตรีระดับสูงจะใช้เวลาฝึกฝนมากกว่านักดนตรีที่มีความสามารถน้อยกว่าถึงสองเท่า
- “การฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง” มันไม่ใช่แค่การทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เป็นการนำผลลัพท์และผลตอบรับ (feedback) ที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อทำให้การฝึกฝนมีความหมายและเห็นผลมากยิ่งขึ้น
- ความเชี่ยวชาญต้องใช้การเสียสละ ดังนั้น เป้าหมายบางเรื่องต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ คุณต้องจัดทำรายการ เรียงลำดับความสำคัญ และไล่ตามทีละเป้าหมาย โฟกัสเพียงเรื่องเดียวจนกว่าจะทำเสร็จ แล้วถึงย้ายไปสู่เป้าหมายใหญ่อันถัดไปของคุณ
บทที่ 1 : เดินหน้าพร้อมแผนการอยู่เสมอ
- ก่อนที่คุณจะทำอะไรก็ตาม คุณควรเริ่มจากการวางแผนการเทรดเป็นอย่างแรก
องค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรด
- รูปแบบของจุดเข้าซื้อ “ตามระบบ” ที่กำหนดอย่างชัดเจนว่า อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจซื้อหุ้น
- คุณจะจัดการความเสี่ยงอย่างไร คุณจะทำอย่างไรถ้าหากราคาหุ้นวิ่งสวนทางกับสถานะคุณ หรือถ้าเหตุผลที่ทำให้คุณซื้อหุ้นเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน?
- คุณจะรักษาผลกำไรที่คุณทำได้อย่างไรบ้าง?
- คุณจะกำหนดขนาดการเทรดหรือ position size อย่างไร และคุณจะตัดสินใจปรับพอร์ตใหม่ตอนไหน?
คุณควรเตรียมแผนสำรองฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้
- ถ้าหุ้นวิ่งสวนทางกับสถานะคุณ คุณจะตัดขาดทุนตอนไหน
- ในกรณีที่คุณขายตัดขาดทุนไปแล้ว หุ้นตัวนั้นควรมีพฤติกรรมอย่างไรถึงจะพิจารณาซื้อกลับมาใหม่อีกครั้ง
- กฏเกณฑ์สำหรับการขายหุ้นช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง (selling into strength) และการเก็บกำไรเมื่อได้มาพอสมควรแล้ว
- เมื่อไหร่ถึงจะขายหุ้นที่เริ่มอ่อนแอ เพื่อปกป้องกำไรของคุณ
- วิธีที่คุณจะรับมือกับเหตุภัยพิบัติรุนแรง หรือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่ต้องลงมืออย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน
BITA ปี 2013 +478% ในเวลา 11 เดือน หุ้นเบรกเอาท์ออกจากฐาน หุ้นปิดพวก 4 วัน จาก 5 วันทำการ จากนั้นย่อตัวลงมา 2 วัน ก่อนที่จะเด้งกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ แล้วบวกต่ออีก 8 วัน จาก 10 วันทำการ
สุดยอดหุ้นผู้ชนะมักจะมีอาการหรือพฤติกรรมราคาหุ้นดังนี้
- หลังจากเบรกเอาท์ มีแรงซื้อต่อเนื่องสนับสนุนราคาหุ้น
- วันที่หุ้นขึ้นมีมากว่าวันที่หุ้นลง และส้ปดาห์ที่ปิดบวกมีมากกว่าสัปดาห์ที่ปิดลบ
- มีอาการเหมือนลูกเทนนิส ราคาหุ้นเด้งกลับได้หลังการย่อตัว
- วอลุ่มเทรดแข็งแกร่งในวันและสัปดาห์ที่ปิดบวก เมื่อเทียบกับวอลุ่มในวันและสัปดาห์ที่ปิดลบ
- จำนวนวันที่ราคาปิดดี มีมากกว่าจำนวนวันที่ราคาปิดไม่ดี
GOOGL ปี 2004 +625% ในเวลา 40 เดือน หลังจากผ่านจุดซื้อ ราคาหุ้นบวกติดต่อกันถึง 7 วัน มีการย่อตัวเล็กน้อยและมีแรงซื้อสนับสนุนตลาดทางที่หุ้นขึ้นจาก 52 เหรียญไปถึง 100 เหรียญ
การละเมิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นหลังจากที่หุ้นเบรกเอาท์
- วอนุ่มน้อยตอนวิ่งออกจากฐาน วอลุ่มเยอะตอนร่วงลงมา
- ทำ lower low 3 หรือ 4 ครั้ง โดยที่ไม่เกิดแรงซื้อสนับสนุนเลย
- วันที่หุ้นลงมีจำนวนมากกว่าวันที่หุ้นขึ้น
- ราคาปิดไม่ดีเยอะกว่าราคาปิดดี
- ราคาปิดต่ำกว่าเส้น MA 20 วัน
- ราคาปิดต่ำกว่าเส้น MA 50 วัน พร้อมวอลุ่มจำนวนมาก
- หุ้นย่อแรงเกินจนทำให้กำไรหายหมด
หุ้น LL ปี 2013 หุ้นเบรกเอาท์จากฐานระยะท้าย (late-stage base) ด้วยวอลุ่มเพียงเล็กน้อย และล้มเหลวลงมาก่อนที่จะกลับตัวอย่างแรงจนหลุดทั้งเส้น MA 20 วัน และ MA 50 วัน พร้อมวอลุ่มจำนวนมาก ถือเป็นสัญญาณขายที่ชัดเจน
บทที่ 2 : คิดถึงความเสี่ยงก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง
- คุณจะต้องควบคุมความเสี่ยง ทุกการเทรด และทุกวัน ซึ่งสิ่งนี้เริ่มด้วยการกำหนดจุดตัดขาดทุนหรือจุด Stop loss ของคุณ
- คุณควรรักษาผลขาดทุนของคุณไว้ไม่เกิน 10% หรือต่ำกว่านั้น
- พยายามหลีกเลี่ยงจากม้าพยศ (หุ้นที่เหวี่ยงแรง) ที่จะเหวี่ยงคุณร่วงตั้งแต่ช่วงแรก และไปโฟกัสม้าตัวอื่นที่เชื่อฟังและควบคุมง่ายกว่าจนคุณสามารถควบมันเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ
มีเพียง 4 อย่างเท่านั้นในการเทรดที่คุณสามารถควบคุมได้โดยตรง
- คุณจะซื้อหุ้นอะไร
- คุณจะซื้อกี่หุ้น
- คุณจะซื้อตอนไหน
- คุณจะขายตอนไหน
- ตลาดไม่เคยผิด
- เข้าตลาดพร้อมด้วยแผนการเทรดเสมอ และคิดถึงความเสี่ยงก่อนลงมือเทรดทุกครั้ง
บทที่ 3 : อย่าเสี่ยงเกินกว่ากำไรที่คุณคาดหวัง
- อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (reward/risk ratio)
- ความแม่นยำเฉลี่ย (batting average)
การคำนวณ reward/risk ratio ตัวอย่าง
ตัวอย่าง 1
- ความแม่นยำเฉลี่ย 50%
- กำไรเฉลี่ยครั้งละ 10%
- ขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 5%
- RRR = 50 * 10 / 50 * 5 = 2 : 1
ตัวอย่าง 2
- ความแม่นยำเฉลี่ย 40%
- กำไรเฉลี่ยครั้งละ 15%
- ขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 5%
- RRR = 40 * 14 / 60 * 5 = 2 : 1
- คุณอาจเคยได้ยินว่า เวลาที่ตั้งจุด stop loss คุณควรเผื่อพื้นที่มากพอให้ราคาหุ้นเหวี่ยงตัวได้ นั่นคือ คุณควรถ่างจุด stop loss ของคุณออกไปโดยอิงกับความผันผวนของหุ้นแต่ละตัว แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เพราะบ่อยครั้ง ความผันผวนสูงคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงภาวะตลาดไม่ดีและเทรดได้ยากลำบาก
- *** เมื่อใดก็ตามที่ความแม่นยำเฉลี่ยของคุณต่ำกว่าระดับ 50% การเพิ่มความเสี่ยงในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะทำให้คุณมีค่าความคาดหวังที่ติดลบ (negative expectancy) ยิ่งความแม่นยำเฉลี่ยของคุณลดต่ำมากเท่าไหร่ โอกาสที่ความคาดหวังในระบบเทรดของคุณจะติดลบก็เกิดได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่าง 1
- ความแม่นยำเฉลี่ย 40%
- กำไรเฉลี่ยครั้งละ 4%
- ขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 2%
- RRR = 2 : 1
- เมื่อคุณเทรดไป 10 ครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือกำไรสุทธิ 3.63%
ตัวอย่าง 2
- ความแม่นยำเฉลี่ย 40%
- กำไรเฉลี่ยครั้งละ 42%
- ขาดทุนเฉลี่ยครั้งละ 21%
- RRR = 2 : 1
- เมื่อคุณเทรดไป 10 ครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือกำไรสุทธิ -1.16%
ผลตอบแทนากการลงทุน (ROI) ของการเทรด 10 ครั้ง
- วิธีที่ดีในการรับมือกับช่วงที่ตลาดเทรดยากคือการทำตามนี้
- ปรับจุด stop ให้เข้มงวดขึ้น ถ้าปกติคุณตัดขาดทุนที่ 7-8% ให้ปรับขึ้นเป็น 5-6%
- ตั้งเป้าทำกำไรให้น้อยลง ถ้าปกติคุณขายทำกำไรครั้งละ 15-20% ให้ปรับมาทำกำไรที่ 10-12%
- ถ้าคุณใช้เงินกู้ในการเทรด (margin-leverage) ให้หยุดใช้ทันที
- ลดสถานะหุ้นหรือลด exposure ลง ทั้งขนาดการเทรด (position size) และสัดส่วนหุ้นต่อเงินสดทั้งพอร์ต
- รอจนกว่าคุณจะเริ่มเห็นว่า ความแม่นยำเฉลี่ย และ reward/risk ratio ของคุณปรับตัวดีขึ้น คุณถึงสามารถปรับค่าต่างๆ แล้วค่อยๆ กลับไปเทรดแบบช่วงปกติได้อีกครั้ง
- การประเมินกำไรคาดหวัง หรือ upside สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
- 1. Theoretical base assumptions – TBA (คือ คำนวณ เองลอยๆ ขึ้นมา)
- 2. Result base assumption – RBA < ให้ใช้วิธีนี้ (คือ คำนวณจาก สถิติการเทรดย้อนหลังของเราเอง)
- สามารถกระจายจุด stop เพื่อให้ครอบคลุมความเสี่ยง (staggered stops)
- จังหวะที่ควรขยับจุดตัดขาดทุนขึ้นไป : คือ เมื่อราคาหุ้นที่ผมถืออยู่วิ่งขึ้นไป 3 เท่าของความเสี่ยงของผล (3R) และกำไรมากกว่าค่าเฉลี่ยของผมด้วย เกือบทุกครั้งผมจะขยับจุด stop loss ขึ้นไปอย่างน้อยที่ระดับเท่าทุน
- คุณควรขยับจุด stop loss ทันทีหลังจากที่หุ้นวิ่งขึ้นไปจนคุณได้กำไร 2-3 เท่าของความเสี่ยง (2R-3R)
- แน่นอนว่าคุณยังจะเดิมพันกับคู่เอซเพราะว่ามันคือไพ่สองใบที่ดีที่สุดในโป๊กเกอร์! มันคือไพ่ชั้นยอดระดับพรีเมี่ยม แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องชนะทุกครั้งที่คุณถือคู่เอซ อย่างไรก็ตาม การเข้าใจความน่าจะเป็นตามหลักคณิตศาสตร์ทำให้คุณรู้ว่า คู่เอซจะเป็นไพ่ที่มีโอกาสชนะถึง 8 ใน 10 ครั้ง (80%)
- ผลลัพธ์ของคุณทั้งในการเล่นโป๊กเกอร์และในตลาดหุ้น คือ ผลรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งจะไม่ใช่เรื่องของโชคและความผิดปกติเหนือมนุษย์ เป้าหมายของคุณคือการเข้าเทรดเมื่อเห็นจังหวะที่ดีที่สุดที่จะได้กำไรและเป็นจุดที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- สิ่งที่ดีกว่าคือการแพ้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่การเป็นผู้ชนะอย่างผิดวิธี
- ผลขาดทุนถือเป็นส่วนหนึ่งของกำไรคาดหวังเสมอ กุญแจสำคัญคือการควบคุมผลขาดทุนของคุณให้น้อยกว่ากำไรที่คุณทำได้ คุณต้องคิดถึงความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทนทุกครั้ง และคำนวณความเสี่ยงตามผลการเทรดที่เกิดขึ้นจริงของคุณ
บทที่ 4 : รู้ข้อเท็จจริงในการเทรดของคุณ
- จดบันทึกผลการเทรดของคุณ คุณจะได้เห็นข้อมูลสำคัญและสถิติการเทรดของคุณอย่างที่ไม่มีหนังสือเล่นไหน งานสัมมนาที่ไหน อินดิเคเตอร์ หรือระบบใดๆ ก็ตามที่จะสามารถบอกคุณได้
- จดบันทึกทุกครั้งว่าคุณซื้อและขายหุ้นที่ตรงไหน ในไม่ช้าคุณจะมีผลการเทรดที่มีทั้งตัวเลขผลขาดทุนเฉลี่ย (average losses), กำไรเฉลี่ย (average wins) และจำนวนการเทรดที่ได้กำไรและขาดทุน (frequency of the wins and losses) นอกจากนี้ ในแต่ละเดือนผมจะจดบันทึกการเทรดที่ได้กำไรและขาดทุนมากที่สุดเอาไว้ (largest gain and largest loss) รวมไปถึงระยะเวลาถือหุ้นเฉลี่ย (average holding time)
- พอร์ตที่มีการหมุนหุ้นหรือเทรดทำรอบโดยใช้การเก็บกำไรทีละเล็กน้อยนั้น อาจทำผลตอบแทนรวมได้สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับพอร์ตที่มีการทำรอบน้อยกว่าและหวังกำไรก้อนใหญ่ในแต่ละการเทรด (หาหุ้นขึ้น 10% 6 ตัว ง่ายกว่า หาหุ้นขึ้น 40% ตัวเดียว)
- เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงมักจะรีบขายหุ้นและทำกำไรเร็วเกินไป เพราะพวกเขากลัวว่าหุ้นจะย่อลงมาจนทำให้กำไรที่ได้มาหายหมด แต่ในขณะเดียวกัน พวกเข้ากลับถือหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ เพราะกลัวว่าพอพวกเข้าตัดขาดทุนแล้วราคาหุ้นจะเด้งกลับแล้ววิ่งขึ้นไปใหม่
- เมื่อคุณยึดมั่นในกฏเกณฑ์ที่ชัดเจน การตัดสินใจของคุณจะไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึก
- การเทรดหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องของการซื้อได้ที่ราคาต่ำที่สุดและขายได้ที่ราคาสูงสุดของมัน แต่สิ่งสำคัญคือการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าที่คุณขายมันออกไป ทำกำไรให้มีขนาดใหญ่กว่าผลขาดทุนของคุณ และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
- มันมีกฏข้อหนึ่งที่สามารถใช้ได้กับทุกกลยุทธ์ คือ การปกป้องสภาพจิตใจของคุณ! อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกเสียดาย หรือตกอยู่ในภาวะตัดสินใจไม่ได้-ทำอะไรไม่ถูก นั่นคือการใช้กฏ “ขายครึ่งหนึ่ง”
- การขายหุ้นครึ่งหนึ่งนั้นใช้ไม่ได้กับตอนที่หุ้นร่วงลงมาและคุณขาดทุนอยู่
- ควรทบต้นหรือไม่ ? : จากตารางตัวอย่างข้างต้น 2 คนใช้กลยุทธ์เหมือนกัน คือ เทรดด้วยเงินเริ่มต้น 100,000 เหรียญ เทรด 24 ครั้ง 12 ครั้งกำไรครั้งละ 50% ส่วนอีก 12 ครั้งที่เหลือขาดทุนครั้งละ 40%
- จะเห็นได้ว่า คนที่ทบต้นผลตอบแทนต่ำกว่าคนที่ไม่ทบต้น
- การจดบันทึกจะช่วยบอกคุณเองว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
บทที่ 5 : ทบต้นกำไร ไม่ใช่ทบต้นข้อผิดพลาด
- เวลาที่หุ้นวิ่งสวนทางกับคุณและเริ่มขาดทุน โดยเฉพาะหลังจากที่คุณเพิ่งซื้อหุ้นไปไม่นาน มันไม่ยากเลยที่จะคิดว่า “คุณน่าจะทำอะไรพลาดแล้ว”
- การได้รางวัลจากอุปนิสัยที่ไม่ดี จะยิ่งกระตุ้นให้คุณอยากทำอีกครั้งหรือทำอย่างต่อเนื่อง
- มืออาชีพจะเล่นกับ % หรือความน่าจะเป็นที่จะชนะ พวกเขามีความมั่นคงในการวางเดิมพัน และจะหลีกเลี่ยงการเล่นผิดพลาดครั้งใหญ่ หรือการเล่นแบบมั่วๆ ไม่จริงจัง โดยส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่นำเงินมาเสี่ยงในเกมที่ความน่าจะเป็นที่จะชนะต่ำ
- เป้าหมายของคุณคือซื้อตอนที่หุ้นกำลังเป็นขาขึ้น ไม่ใช่ตอนที่หุ้นยังคงร่วงลงอยู่เรื่อยๆ
- เรื่องราว ผลประกอบการ และมูลค่าหุ้น ไม่ใช่สิ่งที่ผลักดันให้ราคาหุ้นขยับขึ้นหรือลง แต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้เล่นในตลาด เพราะถึงแม้จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพสูงที่สุดในตลาด แต่ถ้าไม่มีคนต้องการซื้อหุ้นเลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษที่ไม่มีค่าใดๆ
- ความสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่น
- กฏทั่วไปของผมคือ ห้ามถือสถานะการเทรดขนาดใหญ่ก่อนที่บริษัทจะมีข่าวสำคัญหรือใกล้ประกาศงบ ยกเว้นว่าผมจะมีกำไรมากพอที่จะชดเชยความเสี่ยงได้ (profit cushion)
- ไม่ว่าคุณจะรู้ข้อมูลต่างๆ ของบริษัทมากแค่ไหนก็ตาม การถือหุ้นผ่านช่วงประกาศงบนั้นก็คือความเสี่ยงพนันวัดดวงอย่างหนึ่ง
- เอกลักษณ์ของมืออาชีพ คือ การเทรดภายใต้กรอบความรู้ความสามารถของตัวเอง และกำจัดสิ่งรบกวนที่ไม่จำเป็นอย่างอื่นออกไปให้หมด
- การจะทำเงินให้ได้อย่างสม่ำเสมอ คุณต้องรักษาวินัย ปฏิบัติตามกฏและกลยุทธ์ที่คอยป้องกันคุณจากการฝืนเทรดในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงการเสี่ยงโดยไม่มีเหตุผล เพียงเพราะคุณแค่ต้องการมีส่วนร่วมในตลาด
- ถ้าคุณต้องการทอยลูกเต๋าเสี่ยงโชคให้ไปที่ลาสเวกัส เพราะที่นั่นคุณจะต้องใช้ดวงมากเท่าที่คุณจะสามารถมีได้ แต่ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น คุณต้องพยายามกำจัดปัจจัย “โชคชะตา” ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ผลตอบแทนที่เกิดจากความสม่ำเสมอและหลักการที่ยั่งยืน ซึ่งจะสามารถสร้างกำไรได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป็นกลยุทธ์ที่จะทำกำไรให้คุณได้ทั้งชีวิต โชคชะตาเป็นเพียงปรากฏการณ์ระยะสั้น ในระยะยาวโชคมีไว้เป็นข้ออ้างสำหรับผู้แพ้
- ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลตอบแทนออกมาต่างกันก็คือความมีวินัยและความสม่ำเสมอ นี่คือเรื่องจริงในการเทรดหุ้นเช่นเดียวกับในวงการกีฬา ดนตรี หรือการก่อตั้งบริษัทใหม่ ปัจจัยเดียวกันนี้คือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมออกจากผู้เล่นระดับธรรมดาๆในแต่ละวงการ
บทที่ 6 : วิธีการและจังหวะในการซื้อหุ้น – ส่วนที่ 1
- ผมจะซื้อหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น
- สเตจที่คุณจะต้องโฟกัสคือขาขึ้นสเตจ 2 ผมจะหลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นในสเตจอื่นๆ ที่ไม่ใช่สเตจ 2
ผมจะแบ่งสเตจทั้ง 4 นี้ โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมของราคาหุ้นที่กำลังเกิดขึ้น
- สเตจ 1 ช่วงถูกละเลย หุ้นกำลังทำฐานใหม่
- สเตจ 2 ช่วงขาขึ้น หุ้นกำลังถูกซื้อสะสม และวิ่งขึ้น
- สเตจ 3 ช่วงทำจุดสูงสุด หุ้นเริ่มถูกทยอยขายด้านบน (ออกของ) และจบรอบ
- สเตจ 4 ช่วงขาลง การพังทลายของราคาหุ้น
หุ้น WTW ปี 2006-2016 ภาวะแต่ละสเตจ
เงื่อนไขของ Trend Template
- ราคาหุ้นอยู่เหนือทั้งเส้น MA 150 วัน และเส้น MA 200 วัน
- เส้น MA 150 วัน อยู่เหนือเส้น MA 200 วัน
- เส้น MA 200 วัน กำลังเป็นขาขึ้น (เฉียงขึ้น) มาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน (ถ้าให้ดีคือ 4-5 เดือน หรือนานกว่านั้น)
- เส้น MA 50 วัน อยู่เหนือทั้งเส้น MA 150 วัน และ MA 200 วัน
- ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่เหนือราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (52 week low) อย่างน้อย 25% (หุ้นที่ดีที่สุดหลายตัวมักจะอยู่เหนือราคาต่ำสุดในรอบปี 100%, 300% หรือมากกว่านั้น ก่อนที่พวกมันจะเริ่มวิ่งออกจากฐานที่ดูดีและขึ้นไปได้อีกไกล)
- ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (52 week high) ไม่เกิน 25% (ยิ่งอยู่ใกล้ราคาสูงสุดในรอบปียิ่งดี)
- ค่า Relative Strength (RS) สูงกว่า 70 แต่ถ้าให้ดีควรอยู่ในช่วง 90 ขึ้นไป ซึ่งโดยทั่วไปยิ่งค่า RS สูง หุ้นตัวนั้นจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า (หมายเหตุ : เส้น RS ไม่ควรเป็นขาลงอย่างชัดเจน (เฉียงลง) และผมอยากเห็นว่าเส้น RS เป็นขาขึ้นหรือเฉียงขึ้นมาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ ถ้าให้ดีคือ 13 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น)
- ตอนที่หุ้นเริ่มวิ่งออกจากฐานขึ้นมา ราคาหุ้นในปัจจุบันต้องอยู่เหนือเส้น MA 50 วัน
- ในขณะที่หุ้นกำลังเปลี่ยนจากสเตจ 1 ไปเป็นสเตจ 2 คุณควรเห็นวอลุ่มเทรดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- เมื่อหุ้นส่งสัญญาณจบรอบและเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ขาลงสเตจ 4 ความเสี่ยงของการเปิดโดดลงนั้นถือเป็นเรื่องปกติ
- รูปแบบการหดตัวของความผันผวน (VCP) : ช่วงที่หุ้นพักตัวหรือย่อตัวหลังจากที่ขึ้นมาแล้วประมาณหนึ่งในระหว่างที่เป็นขาขึ้น ผมจะรอให้หุ้นเกิดรูปแบบที่ผมเรียกว่า “รูปแบบการหดตัวของความผันผวน (Volatility Contraction Pattern – VCP)”
- หลังจากที่หุ้นพุ่งขึ้นไปพอสมควร มันย่อตัวลงมา 25% (วัดจาก high มา low ของการย่อตัวครั้งนั้น) หลังจากนั้น หุ้นก็เด้งขึ้นไปเล็กน้อยและถูกขายจนย่อลงมาอีก 15% เมื่อถึงจุดนั้นก็เริ่มมีแรงซื้อกลับและทำให้ราคาหุ้นเด้งขึ้นไปได้อีกเล็กน้อย โดยที่ยังเทรดอยู่ในกรอบของฐานราคาเดิม และในที่สุด ราคาหุ้นก็ย่อตัวลงมาอีก 8%
หุ้น BITA ปี 2013 รูปแบบคลาสสิคของ VCP หุ้นพุ่งขึ้นไปถึง 465% ในเวลาเพียง 10 เดือน
- บริเวณที่หุ้นเป็นตัวแน่นหนานี้ ควรเกิดขึ้นพร้อมกับวอลุ่มเทรดที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
หุ้น Netflix ปี 2009 “ร่องรอยการเกิด VCP” ของ Netflix แสดงให้เห็นการพักทำฐานราคาที่แน่นหนาแข็งแรง หลังจากบริเวณที่เกิด VCP นี้ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปถึง 525% ในเวลา 21 เดือน
หุ้น VIVO ปี 2007 หลังจากที่ทำรูปแบบ VCP (4T) ตามตำรา หุ้นตัวนี้พุ่งขึ้นไป 118% ในเวลา 15 เดือน
- การเกิดจุด pivot ที่ถูกต้องทุกครั้งจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการหดตัวของวอลุ่ม
หุ้น MELI ปี 2007 ผมเพิ่งซื้อหุ้นตัวนี้ไม่นานนัก ก่อนที่มันจะพุ่งขึ้นไป 75% ในเวลาเพียง 13 วัน
สั่งซื้อหนังสือ คิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน โดย Mark Minervini ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
บทที่ 7 : วิธีการและจังหวะในการซื้อหุ้น – ส่วนที่ 2
- หุ้นตัวที่ดีที่สุดจะทำจุดต่ำสุดก่อนดัชนีตลาด
หุ้น eBay ปี 200-2002 ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในปี 2001 แต่ยังไม่ได้พักทำฐานที่ดีจนกระทั่งช่วงปลายปี 2002 หลังทำฐานเสร็จ หุ้นเบรกเอาท์และให้ผลตอบแทนถึง 225% ในเวลา 23 เดือน
หุ้น Netflix ปี 2009 การพุ่งขึ้นของเส้น RS (relative strength line) และการทำรูปแบบคลาสสิคของ VCP เกิดเป็นฐานราคาที่ดีก่อนที่หุ้นจะขึ้นไปถึง 525% ในเวลา 21 เดือน
บทที่ 8 : ขนาดการเทรดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- คุณควรจำกัดระดับความเสี่ยงสูงสุด (maximum risk) ในการเทรดแต่ละครั้งไว้ไม่เกิน 1.25-2.5% ของเงินลงทุนทั้งหมดของคุณ
- คุณต้องเลือกว่าจะขยับจุด stop loss หรือปรับขนาดการเทรด มีอย่างใดอย่างหนึ่งต้องถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตัวเลขความเสี่ยงออกมาตรงตามที่ต้องการ
แนวทางในการกำหนดขนาดการเทรด (position sizing)
- กำหนดความเสี่ยงในกรอบ 1.25%-2.50% ของเงินลงทุนทั้งหมด
- ตั้งจุดตัดขาดทุน (stop loss) สูงสุดไม่เกิน 10%
- ผลขาดทุนเฉลี่ยไม่ควรเกิน 5-6% ต่อครั้ง
- อย่าถือหุ้นตัวเดียวมากกว่า 50% ของพอร์ต
- ตั้งเป้าขนาดการเทรดที่ 20-25% ในหุ้นตัวที่ดีที่สุด
- ถือหุ้นไม่เกิน 10-12 ตัว (16-20 ตัว สำหรับนักลงทุนมืออาชีพที่พอร์ตใหญ่มาก)
บทที่ 9 : จังหวะขายหุ้นและเก็บกำไรของคุณ
- มี 2 ทางเลือกในการขายหุ้น
- 1. ขายช่วงที่ราคาหุ้นแข็งแกร่งอยู่ : Sell into strength
- 2. ขายเมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนแอ : Sell into weakness
- บริเวณที่ราบสูงช่วงแรกจะถูกนับว่าเป็นฐานที่ 1 (base 1) และเมื่อหุ้นเริ่มพุ่งออกจากฐานที่ 1 หรือ ฐานที่ 2 หลังจากที่ตลาดปรับฐานเสร็จ นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อหุ้นที่เริ่มแนวโน้มขาขึ้นครั้งใหม่ ส่วนฐานที่ 3 และ 4 ก็ใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าหุ้นที่วิ่งออกจากฐานท้ายๆ นั้นควรถูกจับตาดูอย่างระมัดระวังมากกว่ามองว่าเป็นโอกาสในการเทรด และยิ่งถ้าเป็นฐานที่ 5 หรือ 6 ด้วยแล้ว ก็มีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะล้มเหลวลงมา
หุ้น DECK ช่วงปี 2006-2008 หุ้นสร้างฐานราคา 4 ครั้งในช่วงที่อยู่ในขาสเตจ 2 ก่อนที่จะเริ่มถูกเทขายอย่างแรงในช่วงปลายปี 2008 และ เข้าสู่แนวโน้มขาสเตจ 4
สัญญาณเตือนที่ต้องจับตาดู
- ราคาหุ้นทำ new high จากฐานที่ 4 หรือ 5 ซึ่งเป็นฐานระยะท้ายแล้ว (late-stage)
- P/E ขยายตัวขึ้นมาแล้วหนึ่งเท่าตัว (เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นขาขึ้น) หรือมากกว่านั้นตอนที่หุ้นวิ่งขึ้นออกจากฐานระยะท้าย
- หุ้นทำ climax top หรือพุ่งขึ้นไปจบรอบอย่างรุนแรง (ราคาขึ้น 25-50% หรือมากกว่านั้นในระยะเวลา 1-3 สัปดาห์)
- หุ้นที่ราคาเริ่มลอย (extended) ให้จับตาดูช่วงที่จำนวนวันที่หุ้นปิดบวกมีประมาณ 70% หรือมากกว่านั้นในระหว่าง 7 ถึง 15 วันล่าสุด
- เมื่อราคาหุ้นลอยสูงจากฐานพอสมควร ให้จับตาดูตอนที่หุ้นเริ่มขึ้นอย่างเร่งตัว เช่น ปิดบวก 6 วันใน 10 วันล่าสุด โดยมีวันที่ปิดลบเพียง 2-3 วัน
- (ส่วนเสริม) ระหว่างที่หุ้นเริ่มขึ้นอย่างเร่งตัว ให้จับตาดูวันที่หุ้นพุ่งขึ้นแรงที่สุดตั้งแต่จุดเริ่มต้นของขาขึ้นรอบนั้น
- (ส่วนเสริม) สังเกตวันที่ราคาหุ้นมีสเปรดราคาจาก high ถึง low กว้างที่สุด (ราคาหุ้นเหวี่ยงในวันมากที่สุด)
- (ส่วนเสริม) จับตาดูการเกิด exhaustion gap ครั้งล่าสุด
บทที่ 10 : กุญแจ 8 ข้อ เพื่อปลดล๊อคผลตอบแทนระดับสุดยอด
- ข้อที่ 1 : จังหวะการเทรด (Timing)
- ข้อที่ 2 : อย่ากระจายพอร์ตมากเกินไป
- ข้อที่ 3 : การปรับพอร์ตบ่อยไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
- ข้อที่ 4 : รักษาอัตราส่วน reward/risk เอาไว้
- ข้อที่ 5 : ขายตอนที่ราคาหุ้นยังแข็งแกร่ง
- ข้อที่ 6 : เริ่มเทรดจากขนาดเล็กน้อยจะเทรดขนาดใหญ่
- ข้อที่ 7 : เทรดตามแนวโน้มหลักเสมอ
- ข้อที่ 8 : ปกป้องจุดคุ้มทุนของคุณ เมื่อได้กำไรพอสมควรแล้ว
บทที่ 11 : ความคิดของเทรดเดอร์ระดับแชมป์เปี้ยน
กับดักสุดอันตราย 3 อย่างที่เทรดเดอร์พึงระวัง
- อารมณ์ ทำให้คุณลงมือทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่มีเหตุผล
- ความคิดเห็น ทำให้เกิดกรอบความคิดที่จำกัดมุมมองของคุณ
- อีโก้ ทำให้คุณไม่ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด
สั่งซื้อหนังสือ คิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน โดย Mark Minervini ได้ที่นี่ : คลิ๊ก