สั่งซื้อหนังสือ “THINK & GROW RICH คิดแล้วรวย” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ THINK & GROW RICH คิดแล้วรวย

หลายคนปฏิเสธหนังสือประเภทพัฒนาตนเองและสร้างแรงจูงใจ ด้วยการบอกเหตุผลง่าย ๆ ว่าอ่านหนังสือแล้วจะไปรวยได้อย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ถ้าแค่อ่านแล้วรวยทุกคนในโลกใบนี้ก็คงรวยไปหมดแล้ว หรือแค่คิดก็รวยแล้วถ้าง่ายอย่างนั้น ป่านนี้ก็คงไม่มีคนจนในโลกแล้ว แม้แต่เมื่อมีคนอื่นมาเห็นว่ากำลังอ่านหนังสือ ที่มีหน้าปกเขียนว่าคิดแล้วรวย อาจจะมีความรู้สึกอับอาย กลัวคนอื่นเห็น หรือไม่มั่นใจ ขอให้รู้ไว้ว่านั่นคือหนึ่งใน 6 ปีศาจร้ายแห่งความกลัว ที่ นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งก็คือความกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง

ความกลัวนี้ยังทำให้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงทำธุรกิจ กลัวความล้มเหลว และทิ้งปณิธานของตัวเอง เป็นที่ทราบกันดีว่าในชีวิตจริง ต้องเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ (learning by doing) ภาคปฏิบัติจึงสำคัญกว่าภาคทฤษฎี แต่อย่าลืมว่าแท้จริงแล้ว ทฤษฎีก็คือภาคปฏิบัติในอดีตที่ถูกนำมารวบรวมเอาไว้อย่างเป็นระบบนั่นเอง โดยเฉพาะการรวบรวมสุดยอดของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ

ความหมายของเศรษฐีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแตกต่างกันมาก เศรษฐีอาจได้เงินมาเพราะโชคช่วย ได้มาอย่างไม่สุจริต และไม่มีคุณธรรม หรือจากมรดกตกทอด แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจล้วนต้องทุ่มเทด้วยความพากเพียรพยายาม ทุกวิชาการในโลกล้วนมีการสอนกันได้เกือบหมด ดูเหมือนจะยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ ศาสตร์ในการสอนคนให้มั่นคั่งร่ำรวย หรืออีกนัยหนึ่งคือสอนให้คนทำธุรกิจ หรือเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ แม้แต่วิชาบริหารธุรกิจก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

การสอนให้คิดแล้วรวยจึงยากมาก แต่ถ้าจะมีตำราใดที่พอจะเป็นต้นแบบของหนังสือปรัชญาแห่งความสำเร็จ และสร้างแรงจูงใจของโลกแล้ว ก็เชื่อว่าหนังสือคิดแล้วรวยของ นโปเลียน ฮิลล์ จะอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยอย่างแน่นอน หนังสือเล่มนี้ช่วยกำหนดแนวทางชีวิตให้ ชื่อเรื่อง Think & Grow Rich ไม่ใช่ทำงานหนักแล้วรวย แต่ต้องคิดและคิดให้ต่างจากคนอื่น หนังสือคิดแล้วรวยสู่ศตวรรษที่ 21 ของ นโปเลียน ฮิลล์ นี้นอกจากมีหลักปรัชญาแห่งความสำเร็จ และกรณีศึกษาของโลกธุรกิจในยุคปัจจุบัน เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้แล้ว ยังมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์ศาสนา วิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และหลักการครองชีวิตอย่างครบถ้วน

บทที่ 1 เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ

ทุก ๆ บทของหนังสือเล่มนี้ จะบอกให้ทราบถึงเคล็ดลับ ในการทำเงินที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับผู้คน ผู้จุดประกายเรื่องเคล็ดลับนี้คือ แอนดรูว์ คาร์เนกี ชายสูงวัยชาวสกอตแลนด์ผู้ชาญฉลาด หนังสือคิดแล้วรวยเล่มนี้ ได้รวบรวมเคล็ดลับของคาเนกี ซึ่งผู้คนนับพันปัจจุบันอาจเป็นล้านคนได้ทดสอบแล้ว แนวความคิดของคาเนกีเป็นสูตรสำเร็จที่น่าทึ่ง มันทำให้พวกเขามีความมั่งคั่งร่ำรวย และทำให้คนซึ่งไม่ค่อยมีเวลามากนัก ได้เข้าใจว่าคนอื่นเขาทำเงินกันอย่างไร

ข้อเท็จจริงที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ จะให้ไอเดียดี ๆ และทำให้ได้รู้ว่า สิ่งที่ต้องการนั้นคืออะไร ผู้คนนับพันได้ใช้เคล็ดลับนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้บางคนสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ตัวเองได้ บางคนก็ใช้มันเพื่อสร้างความรัก ความอบอุ่น และครอบครัว หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึงเคล็ดลับเหล่านี้มากกว่า 100 ครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ระบุชื่อเคล็ดลับไว้ชัดเจน แต่ถ้านึกถึงมันไว้ในใจ และรอเวลาเมื่อไหร่ก็ตามที่พร้อมหรือโอกาสมาถึง จงเอาเคล็ดลับนี้มาใช้ประโยชน์ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคาเนกี จึงส่งเคล็ดลับเหล่านี้มาให้

ถ้าพร้อมที่จะนำมันไปใช้ ย่อมตระหนักรู้ถึงเคล็ดลับ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละบทของหนังสือเล่มนี้ได้เอง อาจจะไม่พบคำอธิบายในรายละเอียดของวิธีการ แต่มันจะเป็นประโยชน์มากหากสามารถค้นพบเคล็ดลับนั้นได้ ด้วยวิถีทางของตัวเอง ถ้าเคยท้อแท้ สิ้นหวัง ขาดขวัญกำลังใจ เคยเหนื่อยล้าและล้มเหลว ใครทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ การนำสูตรของคาเนกีไปใช้ อาจช่วยพิสูจน์ว่าท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น จะมีโอกาสเสมอสำหรับผู้ที่พยายามค้นหามัน

ความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งของเคล็ดลับนี้ก็คือ มันมอบให้กันไม่ได้และก็ไม่สามารถประเมินมูลค่าเป็นเงินทองได้ ถ้าไม่ตั้งใจจริงที่จะแสวงหาเคล็ดลับเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะใช้เงินทองซื้อหามันมาได้ เนื่องจากเคล็ดลับนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน ในการที่จะได้เคล็ดลับนี้มา จะต้องได้ส่วนใดส่วนหนึ่งมาก่อน เคล็ดลับนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมเท่านั้น

ผู้ใดก็ตามที่ได้รับแรงบันดาลใจ และนำเคล็ดลับของคาเนกกีไปใช้ ย่อมประสบความสำเร็จ และในทางตรงกันข้าม ไม่เคยเห็นใครที่ร่ำรวยขึ้นมาได้ โดยไม่ใช้เคล็ดลับเหล่านี้เลย จากข้อเท็จจริง 2 ประการนี้ ทำให้สรุปได้ว่าเคล็ดลับของศักยภาพ ในการนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จนั้น สำคัญมากกว่าสิ่งซึ่งได้รับจากสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา

เวลาที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เคล็ดลับอาจโดดเด่นขึ้นมาจากหน้าหนังสือ แล้วทำให้เกิดความกระจ่าง ขอเพียงเตรียมตัวให้พร้อม โปรดทราบไว้ด้วยว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง จงนำมันไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ในความเพ้อฝันหรือนิยาย เป้าหมายของเคล็ดลับคือ นำข้อเท็จจริงแห่งจักรวาลที่มีอยู่แล้วไปปฏิบัติด้วยตัวเอง สำหรับการเตรียมตัวเพื่อให้สามารถนำเคล็ดลับของคาเนกีไปใช้คือ ทั้งความสำเร็จและความร่ำรวยนั้น ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากความคิดทั้งสิ้น ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว สำหรับเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ จะได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น จะเข้ามาสู่จิตใจเองเมื่อถึงเวลา

บทที่ 2 ความคิดคือสินทรัพย์

เรื่องราวของผู้ซึ่งใช้ความคิด

เพื่อเปิดทางสู่การเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ โทมัส เอ. เอดิสัน

แท้ที่จริงแล้วความคิดคือสินทรัพย์ และเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่ามากด้วย เมื่อความคิดผสมผสานกับเป้าหมายที่ชัดเจน ความมุ่งมั่นและปณิธานอันแรงกล้าแล้ว มันสามารถจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความร่ำรวย และทรัพย์สินเงินทองได้ เอ็ดวิน ซี บาร์นส์ ได้ค้นพบวิธีการว่าจะคิดแล้วรวยได้อย่างไร การค้นพบของเขาไม่ได้มาในครั้งเดียว แต่ได้มาทีละเล็กทีละน้อย เริ่มต้นจากปณิธานอันแรงกล้า ที่จะร่วมทำธุรกิจกับ โทมัส เอดิสัน ผู้ยิ่งใหญ่

เมื่อปณิธานและความคิดแวบเข้ามาในจิตใจ เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำตามความคิดได้ เนื่องจากมีอุปสรรคขวางทางอยู่ 2 ประการก็คือ เขาไม่รู้จักเอดิสันเป็นการส่วนตัว และก็ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อตั๋วรถไฟ ไปเมืองเวสต์ออเรนจ์รัฐนิวเจอร์ซีย์ ที่ซึ่งห้องปฏิบัติการของเอดิสันตั้งอยู่ อุปสรรคเหล่านี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ท้อถอย แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เพราะปณิธานของเขาต่างจากคนธรรมดา ๆ ทั่วไป

ในตอนแรกบาร์นส์ยังไม่ได้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับเอดิสัน สิ่งที่เขาได้รับเป็นโอกาสในการทำงานร่วมกับเอดิสัน คือเขาขอรับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย เมื่อโอกาสมาถึง มันมาในรูปแบบที่บาร์นส์เองก็นึกไม่ถึง ในช่วงนั้นเอดิสันได้ประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่ง มันคือเครื่องพิมพ์ดีดแบบใหม่ แต่พนักงานขายของเขากลับไม่มีความกระตือรือร้น

บาร์นส์พอรู้ว่าเครื่องพิมพ์ดีดนี้สามารถขายได้ จึงได้บอกให้เอดิสันทราบ เอดิสันตัดสินใจให้โอกาสเขา บาร์นส์ขายได้และขายดี ส่วนเอดิสันยอมเซ็นสัญญาให้เขาเป็นตัวแทนจำหน่าย และให้ทำการตลาดทั่วประเทศเลยทีเดียว การร่วมธุรกิจครั้งนั้นนอกจากทำให้บาร์นส์รวยขึ้นแล้ว ยังมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคิดแล้วจะรวยได้จริง ๆ

อีกแค่ 3 ฟุตก็จะพบทองคำ หนึ่งในสาเหตุของความล้มเหลวที่พบเจอบ่อยที่สุดคือ การที่คนเราพบอุปสรรคแล้วท้อถอยไปเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอุปสรรคนั้นอยู่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความผิดพลาดเพียงครั้งหรือ 2 ครั้งแรก ก็จะทำให้ทุกคนรู้สึกผิด ระหว่างยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา อาร์ ยู ดาร์บี้ ก็มีลุงที่เป็นโรคตื่นทองเหมือนกัน เขารีบเดินทางไปทางฝั่งตะวันตกที่โคโลราโด เพื่อไปขุดทองคำและคาดหวังว่าจะร่ำรวย เขาขอสิทธิ์ในการขุดทองคำแล้ว จึงเริ่มเข้าไปทำงานขุดและร่อนทอง

หลุมแรกถูกขุด เมื่อได้ทองคำแล้วก็ส่งไปหลอม ผลตอบแทนที่ได้กลับมาพิสูจน์ว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในเจ้าของเหมืองทองที่รวยที่สุดในโคโลราโด ถ้าเขาเจอทองคำอีกสัก 2-3 หลุม นอกจากจะล้างหนี้สินได้ทั้งหมดแล้ว ยังสามารถสร้างผลกำไรได้มหาศาล ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไหร่ ความหวังของดาร์บี้และลุงของเขายิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่แล้วก็มีบางสิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ เมื่อขุดต่อไปกับไม่พบแร่ทองคำอีกเลย ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจที่จะหยุด

เขาขายเหมืองทองคำนั้นต่อให้พ่อค้าซื้อขายของเก่าคนหนึ่ง ในราคาเพียงไม่กี่ร้อยดอลลาร์ แล้วนั่งรถไฟกลับบ้าน ภายหลังพ่อค้าคนนั้นได้ขอคำปรึกษาจากวิศวกร พบว่าจากการคำนวณวิศวกรบอกว่า แหล่งทองคำอยู่ห่างออกไปแค่ 3 ฟุตจากจุดที่ดาร์บี้หยุดขุด เหมืองแร่ทองคำนั้นได้ทำกำไรให้พ่อค้าคนนั้นนับล้านดอลลาร์ เพียงเพราะเขารู้ว่าควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจ

ดาร์บี้ได้ค้นพบว่าปณิธาน สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้ การเข้าสู่ธุรกิจขายประกันชีวิต ทำให้เขาค้นพบตัวเอง ดาบี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักขายไม่กี่คน ที่ทำยอดขายประกันชีวิตได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี เขายึดมั่นต่อบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการล้มเลิกกลางคัน ในการทำธุรกิจเหมืองทองคำ ในชีวิตจริงก่อนที่ความสำเร็จจะมาถึง ต้องไม่หวั่นไหวต่อความล้มเหลว ที่เป็นเพียงครั้งคราว หรือบางครั้งอาจต้องพบความพ่ายแพ้บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ความล้มเหลวเอาชนะจิตใจได้ จะทำสิ่งที่มีเหตุผลที่สุด และง่ายที่สุดก็คือล้มเลิกมันไปเสีย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกัน

สำนึกแห่งความสำเร็จ ในเวลาที่ความร่ำรวยเริ่มเข้ามา มันจะมาอย่างรวดเร็วและมากมาย จนต้องประหลาดใจว่าความมั่งคั่งร่ำรวยไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จึงปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่านานหลายปี นี่เป็นความจริงที่น่าอัศจรรย์ใจ เพราะมันต่างจากที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ความร่ำรวยต้องมาจากการทำงานหนักและยาวนาน เมื่อเริ่มที่จะคิดแล้วรวยจะสังเกตเห็นว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยนั้นเริ่มต้นด้วยสภาวะจิตใจ ด้วยเป้าหมายชัดเจน ด้วยการที่แทบจะไม่ต้องทำงานหนักเลย

สิ่งที่ต้องรู้คือวิธีที่จะเข้าถึงสภาวะจิตใจ ที่จะดึงดูดเงินทองเข้ามา ความสำเร็จจะอยู่กับคนที่มีจิตสำนึกแห่งความสำเร็จเท่านั้น ส่วนความล้มเหลวก็จะอยู่คู่กับคนที่ยอมให้ตัวเองจมอยู่ในสำนึกแห่งความล้มเหลว หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เรียนรู้ศิลปะแห่งการแปรเปลี่ยนจิตใจ จากสำนึกแห่งความล้มเหลวไปสู่สำนึกแห่งความสำเร็จ ความอ่อนแออีกอย่างหนึ่งก็คือ นิสัยชอบวัดสิ่งใดหรือผู้ใดก็ตามโดยใช้ความรู้สึก และความเชื่อของตัวเอง

บางทีคนอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อว่าตนเอง สามารถที่จะคิดแล้วรวยได้ ก็เพราะนิสัยในการคิดที่จมอยู่กับความยากไร้ ทุกข์ยาก ล้มเหลว และพ่ายแพ้ มันคือเรื่องของทัศนคติและนิสัย ถ้าสร้างนิสัยในการมองชีวิต ตามทัศนคติของตัวเอง อาจผิดพลาดเพราะเชื่อว่า ข้อจำกัดต่าง ๆ ในตัวได้ถูกตัวเองประเมินแล้วว่า เป็นข้อจำกัดจริง ๆ เมื่อ เฮนรี่ ฟอร์ด ตัดสินใจที่จะสร้างรถยนต์ v8 ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เขาได้เลือกสร้างรถยนต์ 8 สูบใน 1 บล็อก

ฟอร์ดได้แนะนำวิศวกรของเขา ในการออกแบบเครื่องยนต์ โดยมีการร่างและออกแบบในกระดาษ ซึ่งดูแล้วเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำเครื่องยนต์ 8 สูบ วิศวกรเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ฟอร์ดสั่งลงมือทำจนกว่าจะสำเร็จ เขาไม่สนว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงได้เดินหน้าทำงาน 6 เดือนผ่านไปไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อีก 6 เดือนผ่านไปก็ยังไม่คืบหน้า ทีมวิศวกรได้พยายามใช้ทุกแผนการเพื่อทำตามคำสั่ง เมื่อเกือบถึงปลายปีทีมวิศวกรยังต้องเดินหน้าต่อ และแล้วความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

พวกเขาได้ค้นพบความลับนั้น ความตั้งใจของฟอร์ดสำริดผลอีกครั้งหนึ่ง เฮนรี่ ฟอร์ด ประสบความสำเร็จก็เพราะว่า เขาเข้าใจหลักการแห่งความสำเร็จ แล้วรู้จักนำมันไปใช้ หนึ่งในหลักการเหล่านี้คือ ปณิธานรู้ชัดในสิ่งที่ต้องการ เทคนิคคือการที่รู้ในสิ่งที่กำลังจะทำเป็นอย่างดี มีศรัทธาในศักยภาพของตนเอง และมีความมุ่งมั่นในการที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทำไมจึงต้องเป็นผู้กำหนดโชคชะตาให้ตัวเอง การที่เป็นผู้กำหนดโชคชะตา และควบคุมจิตใจของตัวเองนั้น จำเป็นต้องมีพลังอำนาจที่จะควบคุมความคิดก่อน บางครั้งสมองจะดึงดูดความคิดหลักที่สำคัญ ๆ เอาไว้ในจิตใจ และจิตใจนี้ก็จะดึงดูดเอาพลังจากผู้คน และสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มาผสมผสานกับความคิดหลัก ในที่สุดก่อนที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้  จะต้องดึงดูดเอาจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ปณิธานอันแรงกล้าที่จะร่ำรวยนั่นคือ ต้องมีสำนึกแห่งเงินทอง จนกระทั่งปณิธานแห่งเงินทอง ผลักดันให้สร้างสรรค์แผนการ เพื่อให้ได้มันมาในที่สุด

บทที่ 3 ปณิธาน

จุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ

ขั้นตอนแรกสู่ความร่ำรวย

เอ็ดวิน ซี บาร์นส์ ก้าวเท้าลงจากรถไฟในเมืองออเรน ดูภายนอกเขาอาจเหมือนคนจร แต่ภายในหัวใจของเขายิ่งใหญ่ เขาเห็นภาพตัวเองยืนอยู่ต่อหน้าเอดิสัน ได้ยินเสียงตัวเองกำลังพูดคุยกับเอดิสัน เพื่อขอโอกาสให้เขาได้ทำงานตามปณิธานอันแรงกล้าของตนเอง ที่จะได้เป็นผู้ร่วมทำธุรกิจกับนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ ปณิธานของบาร์นส์ไม่ใช่ความหวัง ไม่ใช่ความปรารถนา แต่มันคือปณิธานอันแรงกล้า ซึ่งอยู่เหนือทุกสิ่ง

ไม่กี่ปีหลังจากนั้น เอ็ดวิน ซี บาร์นส์ ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าเอดิสันอีกครั้ง ในสำนักงานเดียวกับที่ได้พบกับเอดิสันเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ปณิธานของเขาได้สัมฤทธิ์ผล เขาได้ร่วมทำธุรกิจกับเอดิสัน ความใฝ่ฝันในชีวิตของเขาได้กลายเป็นจริงแล้ว บาร์นส์ประสบความสำเร็จก็เพราะ เขารู้จักที่จะเลือกเป้าหมาย ทุ่มเทพลังกาย-พลังใจ ความพยายาม และทุกสิ่งที่มีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

นี่คืออุทาหรณ์ที่ชัดเจนของพลังแห่งปณิธาน บาร์นส์บรรลุเป้าหมายได้เพราะมีปณิธานอย่างแรงกล้า หรือสิ่งอื่นใดในการที่ได้ทำธุรกิจร่วมกันกับเอดิสัน และสร้างสรรค์แผนการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ เขาจะเดินหน้าต่อไปโดยไม่มองกลับไปข้างหลังอีก เขายืนหยัดกับปณิธาน จนกระทั่งมันกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต และในที่สุดก็กลายเป็นความจริง เขาปิดหนทางในการถอยหนีของตนเอง ต้องชนะหรือไม่ก็พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวแห่งความสำเร็จของบาร์นส์

6 ขั้นตอนในการแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นเงินทอง ต่อไปนี้คือหลักปฏิบัติ 6 ประการ ที่ทำให้บรรลุปณิธานแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย

  1. ระบุจำนวนเงินที่ต้องการไว้ในใจให้ชัดเจน จงระบุจำนวนที่แน่นอนลงไปเลย
  2. กำหนดสิ่งที่ตั้งใจจะทำเพื่อให้ได้เงินมาตามที่ปรารถนา
  3. ระบุวันที่แน่นอนในการที่จะครอบครองเงินที่ปรารถนา
  4. สร้างสรรค์แผนการที่จะทำให้ปณิธานบรรลุผลสำเร็จ และเริ่มลงมือทันทีไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ
  5. เขียนมันลงไป เขียนข้อความที่ชัดเจนและกระชับ ถึงจำนวนเงินที่ต้องการได้ กรอบเวลาในการดำเนินการ ระบุเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเงินให้ และรายละเอียดของแผนการที่ได้เตรียมไว้
  6. อ่านข้อความที่เขียนออกมาดัง ๆ วันละ 2 เวลาก่อนเข้านอนและหลังตื่นนอนตอนเช้า ขณะที่อ่านจงสร้างมโนภาพ สร้างความรู้สึก และความเชื่อว่าตนเองได้ครอบครองเงินนั้นเรียบร้อยแล้ว

การปฏิบัติตามคำแนะนำทั้ง 6 ขั้นตอนนั้น มีความสำคัญมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนที่ 6 จงตั้งใจปฏิบัติตาม

พลังแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ ถ้าอยู่ในสนามแข่งขันทางการเงิน มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เบื้องหลังความต้องการของที่ใหม่กว่า และดีกว่ามี 1 สิ่งที่ต้องมีเพื่อจะได้ชัยชนะ สิ่งนั้นคือการกำหนดเป้าหมายที่แน่นอนว่า ตนเองต้องการอะไร และมีปณิธานอันแรงกล้าที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น ถ้ามีปณิธานที่จะร่ำรวย จงจำไว้ว่าผู้นำที่แท้จริงในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคล ซึ่งสามารถควบคุมและนำพลังแห่งโอกาส ซึ่งมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

จุดเริ่มต้นของปณิธานอันแรงกล้า ในการที่จะทำอะไรสักอย่างคือ ความใฝ่ฝัน ความไม่เอาใจใส่ ความเกลียดค้านหรือไม่ทะเยอทะยาน จะไม่ช่วยสร้างความใฝ่ฝันให้เกิดขึ้น หากสิ่งที่ปรารถนาจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อมั่นในสิ่งนั้นจงเดินหน้าต่อไปแล้วลงมือทำ ถ้าพบกับความล้มเหลวบ้างก็อย่าสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด เขาอาจไม่รู้ว่าแต่ละครั้งที่ล้มเหลวนั้น ได้เพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จให้ เกือบทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ล้วนต้องผ่านจุดเริ่มต้นที่เลวร้ายมาก่อน แต่ด้วยใจที่ต่อสู้ ไม่ย่อท้อ ซึ่งทำให้ผ่านจุดนั้นมาได้ จุดเปลี่ยนในชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จ มักเกิดจากการที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้วยตัวเอง จงจำไว้ว่า การที่พยายามหวังสูงเพื่อที่จะมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรืองนั้น ดีกว่าการที่จะต้องพยายามยอมรับความทุกข์ยาก และความยากไร้

ปณิธานเอาชนะกฎธรรมชาติได้ ผู้เขียนมีลูกที่แพทย์ประเมินและลงความเห็นว่า เด็กคนนี้อาจจะต้องหูหนวกและเป็นใบ้ไปตลอดชีวิต แต่เขาไม่เห็นด้วยนักกับความเห็นของแพทย์ เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น ในใจลึก ๆ ยังเชื่อว่าลูกต้องได้ยินและพูดได้ มั่นใจว่าต้องมีหนทาง และรู้ว่าต้องหาวิธีช่วยลูกได้ จึงตั้งปณิธานว่าลูกจะต้องไม่เป็นใบ้และสามารถพูดได้ ด้วยปณิธานนั้นเขาไม่เคยย่อท้อแม้แต่วินาทีเดียว

สุดท้ายได้ค้นพบวิธีจะปลูกฝังปณิธานอันแรงกล้าเข้าไปในจิตใจของลูก ด้วยการถ่ายทอดเสียงเข้าไปในสมองของลูกโดยไม่ต้องใช้หู เติมเต็มปณิธานอันแรงกล้าที่จะได้ยินเสียงตามธรรมชาติเข้าไปในจิตใจของเขา แล้วมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงได้จริง ๆ เด็กน้อยที่หูพิการได้เติบโตขึ้นจากชั้นประถม สู่มัธยม และมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้ยินเสียงของครูเลย นอกจากเสียงตะโกนดัง ๆ ในระยะใกล้ ๆ เท่านั้น

เขาไม่ได้เข้าโรงเรียนของเด็กพิการทางหู อีกทั้งไม่เคยใช้ภาษามือ เขาใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไปที่ได้ยินเสียงและพูด ขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยม เขาได้ทดลองใช้เครื่องช่วยฟัง แต่ไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะความไม่ประทับใจกับเครื่องช่วยฟันอันก่อน ๆ เขาหยิบมันขึ้นมาโดยไม่ได้ระวัง จึงบังเอิญวางเครื่องไว้บนศีรษะ แล้วเปิดแบตเตอรี่ให้เครื่องทำงาน ทันใดนั้นความปรารถนาที่จะได้ยินเสียง ซึ่งรอคอยมาตลอดชีวิตก็ได้กลายเป็นความจริง มันเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเหมือนคนทั่ว ๆ ไป

เขามีความสุขมากเพราะโลกรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปหมด และพูดคุยกับผู้คนโดยไม่ต้องตะโกนดัง ๆ กับเขาอีกต่อไป โลกรอบตัวได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ปณิธานได้จ่ายดอกเบี้ยคืนให้กับชีวิตของเขาแล้ว แต่การเดินทางยังไม่สิ้นสุด ยังต้องค้นหาหนทางเพื่อแปรเปลี่ยนความพิการของเขาให้เป็นทรัพย์สินอันมีค่า

ความคิดที่ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ ด้วยความดีใจกับการได้ค้นพบโลกใหม่แห่งเสียง เขาได้เขียนจดหมายไปถึงโรงงานผู้ผลิตเครื่องช่วยฟัง ทางบริษัทจึงได้เชิญไปพบที่นิวยอร์ก เขาได้รับเกียรติให้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงาน ได้พูดคุยกับหัวหน้าวิศวกรถึงโลกของเขาที่เปลี่ยนไป แผนการ ไอเดีย และแรงบันดาลใจ ความคิดบางอย่างสว่างขึ้นมาในจิตใจ เป็นแนวที่จะแปรเปลี่ยนความพิการไปเป็นทรัพย์สิน

เขาใช้เวลา 1 เดือนในการมุ่งมั่นทำงานวิจัย วิเคราะห์ตลาดของบริษัทผู้ผลิตเครื่องช่วยฟัง และสร้างสรรค์แผนงานในการเข้าถึงผู้ฟังที่พิการทางหูทั่วโลก แท้ที่จริงแล้วการแปรเปลี่ยนปณิธานอันแรงกล้าไปสู่ความเป็นจริงนั้นซับซ้อน มันง่ายมากที่จะส่งคนที่ไม่มีปณิธานไปสู่ถนนแห่งความพ่ายแพ้ มีเพียงเส้นบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้น ผู้เขียนได้ปลูกฝังจิตใจของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ให้เชื่อมั่นว่าหูที่พิการจะแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้ ถ้ามีความเชื่อมั่นร่วมกับปณิธานอันแรงกล้า แล้วจะสามารถทำทุกสิ่งให้เป็นจริงได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฟรีสำหรับทุกคนที่จะนำไปใช้

พลังแห่งปณิธานอันแรงกล้า ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยศรัทธาในตัวเอง พลังที่ซึ่งสามารถยกระดับผู้คน จากจุดเริ่มต้นไปสู่อำนาจและความมั่งคั่ง มันช่วยผู้ที่ล้มเหลวให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา มันทำหน้าที่เป็นสะพานพาผู้ที่พ่ายแพ้ให้กลับมา ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป มันช่วยให้กลับมาเป็นปกติ มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติได้ส่งมาเกิดพร้อมกับหูที่พิการ ด้วยพลังอันมีพลานุภาพนี้ แม้แต่ธรรมชาติก็ยังยอมสยบให้ พลังแห่งปณิธานอันแรงกล้าไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่มีการยอมรับความล้มเหลวใด ๆ ทั้งสิ้น

บทที่ 4 ศรัทธาในศักยภาพของตัวเอง

มีมโนทัศน์และเชื่อมั่นในการบรรลุปณิธาน

ขั้นตอนที่ 2 สู่ความร่ำรวย

ศรัทธาเป็นปัจจัยสำคัญของจิตใจ เมื่อศรัทธาหลอมรวมเข้ากับความคิด จะทำให้จิตใต้สำนึกสามารถรับรู้คลื่นความคิดนั้น จิตใต้สำนึกจะแปลความหมายและส่งมันไปสู่อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล (infinite intelligence) อารมณ์แห่งศรัทธา ความรัก กามารมณ์ เป็นอารมณ์เชิงบวกที่ทรงพลังที่สุด เมื่อ 3 สิ่งนี้หลอมรวมเข้าด้วยกัน มันจะแต่งแต้มสีสันให้กรอบความคิด ซึ่งจะทำให้มันสามารถเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้ ที่นั่นมันจะถูกแปรเปลี่ยนไปสู่รูปแบบ ซึ่งพร้อมที่จะรับการตอบสนองจากอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

ในการทำความเข้าใจกับความสำคัญของการเสนอแนะตัวเอง เพื่อแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นสิ่งที่จับต้องได้และเงินทอง คำว่าศรัทธาหมายถึงภาวะจิตใจที่จะถูกชักนำ และสร้างสรรค์ด้วยการยืนยัน หรือออกคำสั่งซ้ำ ๆ ไปยังจิตใต้สำนึก ผ่านหลักการของการเสนอแนะตัวเอง การยืนยันกับตัวเองซ้ำ ๆ นี้เหมือนกับการออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึก และมันเป็นวิธีการเดียวในการเสริมสร้างอารมณ์แห่งศรัทธา

สภาวะจิตใจแห่งความมีศรัทธาในตัวเอง และศักยภาพของตัวเอง ให้เกิดมาเป็นความจริงที่ว่า ศรัทธาเป็นสภาวะจิตใจที่จะพัฒนาให้เกิดในตัวเองได้เองตามธรรมชาติ อารมณ์หรือความรู้สึกแห่งห้วงความคิด เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดมีชีวิตชีวา จะส่งผลต่อกิจกรรมที่ทำต่อไป เมื่อผสมผสานเข้ากับพลังความคิด จะนำไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิ์ผล ความคิดที่ถูกเจือปนด้วยอารมณ์ (ความรู้สึก) และผสมผสานด้วยศรัทธา (ความเชื่อในศักยภาพของตัวเอง) จะเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพของตัวมันเองอย่างมีปฏิสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ความจริงข้อนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับพลังความคิดที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาเท่านั้น แต่เป็นจริงกับทุกอารมณ์ รวมไปถึงอารมณ์เชิงลบด้วย

มีผู้คนนับล้านที่เชื่อในเคราะห์กรรมของตัวเอง ที่ยากไร้และมีความเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ ความเป็นจริงแล้วตัวเขาเองต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างความอับโชคให้ตัวเอง นอกจากความเชื่อในโชคร้ายได้เข้าไปสู่จิตใต้สำนึกแบบแปรเปลี่ยนไปสู่ผลในทางปฏิบัติ ความเชื่อหรือศรัทธาเป็นรากฐานที่จะกำหนด การทำงานของจิตใต้สำนึก การส่งปณิธานที่ปรารถนาลงไปสู่จิตใต้สำนึก เพื่อแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติหรือเป็นเงินทอง

จิตสำนึกจะแปรเปลี่ยนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ด้วยวิถีทางที่สะดวกและตรงที่สุด คำสั่งใดก็ตามที่ลงไปสู่จิตใต้สำนึก ด้วยความเชื่อและศรัทธาย่อมจะบังเกิดผล วิธีนี้หลอกล่อจิตใต้สำนึก เมื่อจะเรียกใช้จิตใต้สำนึกโดยการหลอกล่ออย่างแนบเนียนนั้น จะต้องทำตัวเองให้เสมือนว่าได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นหลักการที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ในทฤษฎีสร้างแรงจูงใจยุคปัจจุบันว่า จิตใต้สำนึกได้สามารถแยกแยะ ระหว่างสิ่งที่เป็นความจริงกับสิ่งที่อยู่ในจินตนาการได้

ถ้าปลูกฝังไอเดียลงไปในจิตใต้สำนึกแล้ว จิตใต้สำนึกจะยอมรับและทำงานกับไอเดีย ราวกับว่ามันเป็นความจริง ความสำคัญจึงอยู่ที่คำว่าด้วยการโน้มน้าว ถ้าพยายามสื่อสารกับจิตใต้สำนึก แต่เบื้องหลังจิตใจมีความลังเลสงสัยว่า จะได้ผลหรือไม่ จิตใต้สำนึกจะรู้ได้ทันทีว่าส่งข้อมูลที่สับสน และมันก็จะยกเลิกการตอบสนอง จิตใต้สำนึกจะไม่ตัดสินว่าผิดหรือถูก คิดบวกหรือคิดลบ แต่มันจะตอบสนองต่อพลังที่เข้ามาสู่มัน

ศรัทธาในตัวเองเป็นภาวะจิตใจ ที่สามารถสร้างได้ด้วยการเสนอแนะตนเอง ศรัทธาเป็นน้ำทิพย์อมตะ ที่ให้ชีวิต ให้พลัง และให้ผลในทางปฏิบัติแก่พลังความคิด ศรัทธาเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งร่ำรวย ศรัทธาเป็นพื้นฐานของความมหัศจรรย์ และความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายด้วยกฎทางวิทยาศาสตร์ ศรัทธาเป็นภูมิต้านทานความล้มเหลวเพียงอย่างเดียวที่รู้จัก ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญในการผสมผสานกับปณิธาน เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลได้ ศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญในการแปรเปลี่ยนคลื่นความคิด ที่สร้างสรรค์จากจิตใจให้เข้าไปสู่จิตวิญญาณ ศรัทธาเป็นวิธีทางเดียวที่จะควบคุมอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลและนำไปใช้ประโยชน์

ความมหัศจรรย์แห่งการเสนอแนะตนเอง เป็นความจริงที่ว่าจะเชื่ออะไรก็ตาม ที่ย้ำซ้ำ ๆ กับตัวเอง ไม่ว่าข้อความนั้นจะจริงหรือไม่ ถ้าโกหกซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดจะยอมรับคำโกหกนั้นว่าเป็นเรื่องจริง ยิ่งกว่านั้นจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง เพราะว่าความคิดหลักได้เข้าไปครอบงำจิตใจ ความคิดที่เจตนาใส่เข้าไปในจิตใจนั้น เมื่อได้ผสมผสานกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมจะสามารถสร้างแรงจูงใจ อันจะไปชี้นำควบคุมทุก ๆ กิจกรรมและการกระทำ

ความคิดที่มีพลังดึงดูดอารมณ์อื่น ๆ เข้ามา เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์พืชเมื่อถูกปลูกฝังเข้าไปในดินอันอุดมสมบูรณ์ มันจะเจริญเติบโตงอกงาม และแบ่งตัวขยายออกไปเรื่อย ๆ จากเดิมที่เป็นเพียงหนึ่งเมล็ดพันธุ์ จนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แบบเดียวกันนับล้าน จิตใจคนเรานั้นจะดึงดูดคลื่น ที่มีความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ในจิตใจ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความคิด ไอเดีย แผนการ หรือเป้าหมายที่อยู่ในจิตใจ จะดึงดูดสิ่งซึ่งสัมพันธ์กัน มันอาจเข้าไปอยู่ในจิตใจ และเจริญเติบโตจนกระทั่งกลายเป็นแรงจูงใจหลักในจิตใจ

จะปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งไอเดีย แผนการ และเป้าหมายแรกลงไปในจิตได้ ผ่านการคิดที่ซ้ำ ๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องเขียนข้อความของเป้าหมาย และวัตถุประสงค์หลักออกมา จดจำไว้แล้วพูดออกมาดัง ๆ วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งเสียงนั้นดังเข้าไปในจิตใจ

หายนะของความคิดเชิงลบ จิตใต้สำนึกไม่แยกแยะระหว่างความคิดที่สร้างสรรค์และทำลายล้าง มันจะทำงานตามสิ่งที่ใส่ให้มัน ซึ่งก็คือความคิดนั่นเอง ถ้าจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สงสัย และไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ในการนำเอาพลังอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลมาใช้ ก็จะไม่สามารถใช้พลังนั้นได้ กฎของการเสนอแนะตัวเองจะนำพาความไม่เชื่อ และความสงสัยนั้นให้จิตได้สำนึกแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นจริง กฎแห่งการเสนอแนะตัวเองนั้น จะยกระดับขึ้นหรือลงก็ได้ ซึ่งเป็นไปตามวิถีความคิด

ความร่ำรวยเริ่มจากความคิด องค์กรยักษ์ใหญ่นั้นเกิดจากจิตใจของคนเพียงคนเดียว การวางแผนให้มีความมั่นคงทางการเงิน ก็เกิดจากการสร้างสรรค์ของคนคนเดียวกัน ศรัทธา ปณิธาน จินตนาการ และความมุ่งมั่น อันเป็นส่วนประกอบสำคัญความร่ำรวย เริ่มต้นมาจากความคิด ส่วนจะได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดในจิตใจของแต่ละคน ที่จะนำไปลงมือปฏิบัติ ศรัทธาจะทำลายอุปสรรคต่าง ๆ จงจำไว้ว่าเมื่อพร้อมที่จะเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อสิ่งที่ต้องการ  รางวัลแห่งความสำเร็จจะรออยู่

บทที่ 5 การเสนอแนะตัวเอง

สื่อกลางในการชักจูงจิตใต้สำนึก

ขั้นตอนที่ 3 สู่ความร่ำรวย

การเสนอแนะตัวเองเป็นคำซึ่งหมายถึง การแนะนำทุกชนิด รวมไปถึงสิ่งเร้าทุกอย่าง ที่กระตุ้นจิตใจผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 การเสนอแนะตนเองเป็นการให้คำแนะนำแก่ตัวเอง มันเป็นช่องทางที่ทำให้ความคิดจากจิตสำนึก สามารถจะสื่อสารกับจิตใต้สำนึกได้ มันทำงานผ่านความคิดที่อยู่ในจิตสำนึก หลักการของการเสนอแนะตัวเอง จะซึมซับและเข้าไปมีผลต่อจิตใต้สำนึก ธรรมชาติได้สร้างให้มนุษย์มีความสามารถ ในการควบคุมสิ่งที่เข้ามาในจิตใต้สำนึก ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างไรก็ตาม มักไม่ได้ฝึกฝนความสามารถในการควบคุมนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนมากมาย จึงนำพาชีวิตตัวเองไปสู่ความยากจน

สร้างมโนภาพและความรู้สึกว่าเงินทองอยู่ในมือ แนะนำให้อ่านข้อความแห่งปณิธานเกี่ยวกับเงินทอง ที่เขียนไว้ออกมาดัง ๆ วันละ 2 เวลา จะถูกตัวเองชี้นำให้เห็นและรู้สึกว่าได้ครอบครองเงินทองนั้นแล้วจริง ๆ จะทำให้สามารถนำปณิธานไปสู่จิตใต้สำนึก ด้วยจิตวิญญาณแห่งศรัทธาได้โดยตรง เมื่อทำตามคำแนะนำนี้ซ้ำ ๆ จะเกิดความคุ้นเคยกับความคิด ที่จะช่วยเสริมแรงในการแปรเปลี่ยนปณิธานให้เป็นเงินทองโดย

  1. ระบุจำนวนเงินที่ต้องการไว้ในใจให้ชัดเจน จงระบุจำนวนที่แน่นอนลงไป
  2. กำหนดสิ่งที่ตั้งใจจะทำ เพื่อให้ได้เงินมาตามที่ปรารถนา
  3. ระบุวันที่แน่นอน ในการที่จะได้ครอบครองเงินที่ปรารถนา
  4. สร้างสรรค์แผนการ ที่จะทำให้ปณิธานบรรลุผลสำเร็จ และเริ่มลงมือทันทีไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติ
  5. เขียนมันลงไป เขียนข้อความซึ่งชัดเจนและกระชับถึงจำนวนเงินที่ต้องการได้ กรอบเวลาในการดำเนินการ ระบุเกี่ยวกับสิ่งซึ่งจะทำเงินให้ และรายละเอียดของแผนการที่ได้จัดเตรียมไว้
  6. อ่านข้อความที่เขียนออกมาดัง ๆ วันละ 2 เวลาก่อนเข้านอนและหลังตื่นนอนตอนเช้า ขณะที่อ่านจงสร้างมโนภาพความรู้สึก และสร้างความเชื่อว่าตัวเองได้ครอบครองเงินนั้นเรียบร้อยแล้ว

การปฏิบัติซ้ำ ๆ นี้เป็นหัวใจที่สำคัญมาก ผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จะไม่สามารถนำหลักการของการเสนอแนะตัวเองไปใช้ให้เกิดผลได้ คำพูดที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น ที่จะมีผลต่อจิตใต้สำนึก สักยภาพในการใช้หลักการแห่งการเสนอแนะตัวเองนี้ จะขึ้นกับความสามารถของตัวเอง ในการที่จะรวมพลังใจเพื่อจดจ่อกับปณิธาน จนกระทั่งปณิธานนั้น กลายเป็นการย้ำคิดที่แรงกล้า

กระตุ้นจิตใต้สำนึก คำแนะนำสำหรับปณิธานแห่งเงินทอง จะรวมเข้ากับหลักการกระตุ้นจิตใต้สำนึก สรุปเป็นขั้นตอนดังนี้

  1. หาสถานที่เงียบสงบซึ่งไม่มีใครรบกวนหรือขัดจังหวะได้ หลับตาแล้วเปล่งเสียงพูดข้อความ จำนวนเงินที่ตั้งใจไว้ออกมาดัง ๆ ควรกำหนดระยะเวลาที่จะต้องได้เงินนั้นไว้ด้วย บอกรายละเอียดของธุรกิจหรือบริการที่จะใช้หาเงินก้อนนั้น เมื่อทำตามคำแนะนำนี้แล้ว ให้นึกเห็นภาพตัวเองได้ครอบครองเงินนั้นแล้ว

ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าต้องการได้เงิน 50,000 บาท ภายในวันที่ 1 มกราคม 5 ปีหลังจากนี้และเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย ยอดขายจะทำให้ได้เงินก้อนนั้นมา ดังนั้น ข้อความที่ตั้งใจไว้ควรจะเป็นดังนี้

เมื่อถึงวันที่ 1 มกราคมปี….ฉันจะต้องมีเงิน 50,000 บาท ซึ่งเงินจะค่อย ๆ หลั่งไหลมาหาฉันอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้ได้เงินมาฉันจะทำงานอย่างสุดความสามารถที่มีอยู่ ฉันจะให้บริการการขายให้ดีที่สุด ทั้งปริมาณและคุณภาพในการในผลิตภัณฑ์… (บอกรายละเอียดงานบริการหรือธุรกิจที่ตั้งใจจะทำ)

ฉันเชื่อมั่นว่าฉันจะได้เงินนั้นมา ศรัทธาของฉันแรงกล้าจนสามารถมองเห็นเงินนั้นอยู่ตรงหน้า ฉันสามารถสัมผัสมันด้วยมือของฉัน เมื่อถึงเวลานั้นเงินจากการทำงานนี้จะรอฉันอยู่ ฉันกำลังรอแผนงานที่จะทำเงินนั้น และจะทำตามแผนทันที

  1. ทำตามขั้นตอนนี้ซ้ำ ๆ ทั้งก่อนนอนและตอนเช้า จนกระทั่งจินตนาการมองเห็นเงินที่ต้องการจะได้อย่างชัดเจน
  2. วางแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความนั้น ไว้ในที่ที่เห็นได้ง่ายในเวลากลางคืนและตอนเช้า และอ่านมันก่อนจะนอนและหลังตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งจำได้หมด

จงจำไว้ว่าเมื่อได้ทำตามคำแนะนำนี้แล้ว นั่นหมายความว่ากำลังใช้หลักการแห่งการเสนอแนะตัวเอง เพื่อออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึก จำไว้ด้วยว่าจิตใต้สำนึกจะทำงานตอบสนอง ต่อคำแนะนำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเท่านั้น ศรัทธาคืออารมณ์สร้างสรรค์อันแรงกล้า จงทำตามคำแนะนำที่ได้กล่าวไว้แล้ว จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเข้าถึงหลักการแห่งความสำเร็จในที่สุด

บทที่ 6 ความรู้เฉพาะทาง

ประสบการณ์ส่วนตัวหรือความสามารถในการสังเกต

ขั้นตอนที่ 4 สู่ความร่ำรวย

ในโลกนี้มีความรู้อยู่ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งคือความรู้ทั่วไป อีกชนิดหนึ่งคือความรู้เฉพาะทาง ความรู้ทั่วไปแม้จะมีปริมาณมากมายหรือหลากหลายสักเพียงใด แต่ก็มีประโยชน์น้อยในการทำเงิน ความรู้จะไม่สามารถทำเงินได้เลย ถ้าปราศจากการจัดการ หรือวางแผนในการนำความรู้นั้น ๆ ไปใช้ประโยชน์ ผู้คนนับล้านส่วนใหญ่เข้าใจและมีความเชื่อผิด ๆ ว่าความรู้คือพลัง จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความรู้เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งของพลังอำนาจเท่านั้น จะเกิดพลังอำนาจได้ก็ต่อเมื่อ มีการบริหารจัดการความรู้ ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ หรือเป้าหมายที่วางไว้เท่านั้น

คำว่าการศึกษา คำ ๆ นี้มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า educo หมายความว่าการดึงออกมา หรือการพัฒนาจากข้างใน ผู้มีการศึกษาไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทั่วไป และความรู้พิเศษมากมาย หากแต่ผู้มีการศึกษาที่แท้นั้นหมายถึง คนที่สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น

สามารถหาความรู้ได้มากมายเท่าที่ต้องการ ก่อนที่จะสามารถแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นเงินทองนั้น ต้องการความรู้เฉพาะทางในงานบริการ ธุรกิจ การค้า หรือความตระหนักในวิชาชีพ บางที่จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้เฉพาะทางให้มากกว่าที่มีอยู่ อาจต้องอาศัยการระดมความคิด การระดมความคิดหมายถึง การผสมผสานความรู้ที่มีกับความพากเพียรพยายาม ระหว่างผู้คนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ความหมายของการระดมสมองนั้นคือ การทำงานที่เกิดจากกลุ่มคน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเป้าหมาย อุดมการณ์เดียวกัน และต่างก็มีความรู้ความสามารถมารวมกัน เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน มีการให้บริการความรู้เฉพาะทางหลากหลายรูปแบบ และราคาถูก ถ้าสงสัยลองขอคำปรึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งใดก็ได้

วิธีการซื้อหาความรู้ และการที่จะรู้ว่าแหล่งความรู้อยู่ที่ใด ล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ก่อนอื่นจงตัดสินใจว่าแหล่งความรู้เฉพาะทางที่ต้องการอยู่ที่ไหน และเพื่อจุดประสงค์อะไร จุดประสงค์ในชีวิตคนเราอาจมีมากมาย เป้าหมายของงานที่กำลังทำอยู่อาจช่วยในการกำหนดว่า จำเป็นต้องมีความรู้อะไรบ้าง ต่อไปจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน เกี่ยวกับแหล่งความรู้นั้น ๆ  แหล่งรวบรวมความรู้สำคัญที่ควรพิจารณาคือ ประสบการณ์และการศึกษาของตัวเอง ประสบการณ์และการเรียนรู้ร่วมกับผู้ร่วมงาน (ทีมระดมความคิด) วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ห้องสมุดสาธารณะ และที่ง่ายกว่าคืออินเทอร์เน็ต หลักสูตรฝึกอบรมพิเศษ

ต้องจัดการความรู้ที่ได้มา และนำเอามาใช้เพื่อเป้าหมายที่แน่นอน โดยอาศัยแผนปฏิบัติการ ความรู้จะไม่มีคุณค่าเว้นแต่จะนำมาประยุกต์ใช้ ผู้คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่เคยหยุดยั้งที่จะหาความรู้เฉพาะทาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลัก ธุรกิจ หรืออาชีพของเขา

หนทางไปสู่ความรู้เฉพาะทาง สิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับคนเราก็คือ อะไรที่ได้มาฟรี ๆ มักไม่มีค่า โรงเรียนรัฐและห้องสมุดสาธารณะจึงดูไร้ค่า นี่คือเหตุผลหลักของคนมากมาย ที่คิดว่าจำเป็นที่ต้องฝึกอบรมเพิ่มเติม หลังจากที่เรียนจบและทำงานแล้ว คนเรามักมีจุดอ่อนที่ไม่ค่อยอยากจะแก้ไขอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ขาดความทะเยอทะยาน คนซึ่งพยายามใช้เวลาว่างเพื่อเรียนคอร์สฝึกอบรมต่าง ๆ มักจะก้าวหน้าในเวลาไม่นานนัก พวกเขาจะก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างไม่ค่อยมีอุปสรรค และผู้บริหารก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ การเรียนด้วยตัวเองที่บ้าน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มทำงาน

สจ๊วต ออสติน เวียร์ เป็นวิศวกรโครงสร้าง เขาทำงานในวิชาชีพมาด้วยดี จนกระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจก่อสร้าง เขารีบสำรวจทรัพย์สิน และตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักกฎหมายทันที เขาเรียนจนจบการศึกษา สอบผ่าน และเริ่มอาชีพนักกฎหมาย ด้วยการเป็นทนายความอย่างรวดเร็ว นี้เป็นตัวอย่างสอนใจ คนที่ชอบพูดว่าไม่สามารถกลับไปเรียนอะไรอีกแล้ว เพราะมีครอบครัวที่ต้องดูแล หรือแก่เกินไป ตอนที่เวียร์กลับไปเรียนใหม่นั้นเขาอายุเลย 40 ปีและแต่งงานแล้ว ยิ่งกว่านั้นด้วยการที่เขาเลือกเรียนหลักสูตรพิเศษ ทำให้เขาสามารถเรียนจบภายในเวลาเพียง 2 ปี ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วนักศึกษากฎหมาย จะต้องใช้เวลาเรียนถึง 4 ปี บางทีก็ต้องยอมลงทุน เพื่อจะได้รู้วิธีการหาความรู้มาใส่ตัว

ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ ไอเดียในการเริ่มงานจากตำแหน่งต่ำสุด แล้วค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นมาอาจฟังดูเข้าที แต่มีผู้คนมากมายที่เริ่มจากศูนย์ แล้วไม่สามารถยกระดับตัวเองให้โดดเด่นจากคนอื่น จนทำให้เจ้านายเห็นได้ นอกจากนี้ภาพของคนทำงานระดับล่าง มักไม่ค่อยเป็นที่สดุดตาเจ้านาย พวกเขามักจะไม่มีความทะเยอทะยาน จมปลัก และยอมรับโชคชะตาของตัวเอง เพราะติดนิสัยทำงานประจำไปวัน ๆ ในที่สุดนิสัยนี้มันก็จะติดตัวไปตลอด ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือสร้างนิสัยของการค้นหา แสวงหาโอกาส และทำมันให้สำเร็จโดยไม่ลังเล

ให้ไอเดียทำงานด้วยความรู้เฉพาะทาง ถ้าใช้จินตนาการค้นหาบริการเฉพาะบุคคล ด้วยการดูว่าตัวเองกำลังต้องการบริการอะไรบ้าง ไม่แน่ว่าไอเดียนี้อาจทำให้มีรายได้มากกว่าแพทย์ นักกฎหมาย หรือวิศวกรที่ต้องใช้เวลาเรียนหลายปีก็เป็นได้

แมรี่ เคย์ แอช ได้ใช้จินตนาการคิดค้นหาธุรกิจใหม่ ๆ เธอจะศึกษาและเขียนความรู้เฉพาะทางนั้น ๆ ไว้ เธอเคยออกจากงานหลังจากประสบความสำเร็จ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายของธุรกิจขายของขวัญ เพราะเธอท้อแท้ที่เห็นคนซึ่งเธอฝึกอบรมให้กลับมีรายได้สูงกว่า และได้รับตำแหน่งสูงกว่าตัวเธอเอง เธอได้ตัดสินใจเขียนหนังสือแนะนำ สำหรับผู้หญิงทำงาน แต่ขณะที่เธอกำลังรวบรวมความรู้ สำหรับหนทางไปสู่ความก้าวหน้าของผู้หญิง เธอเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า แท้ที่จริงแล้วเธอกำลังเขียนแผนธุรกิจ สำหรับธุรกิจใหม่ที่ต้องการ เธอนำเงินที่สะสมไว้จำนวน 5,000 ดอลลาร์ ออกมาซื้อลิขสิทธิ์ครีมถนอมผิวที่เธอชอบ และชักชวนเพื่อน ๆ ที่สนใจ มาเป็นที่ปรึกษาด้านความงามของบริษัทใหม่ที่เธอตั้งขึ้น เธอไม่ได้ขายแต่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเท่านั้น แต่ยังให้โอกาสแก่ผู้หญิงเพื่อก้าวไปสู่ความพึงพอใจส่วนตัว และความสำเร็จทางการเงินอีกด้วย

บริษัทของเธอทำกำไรสูงตั้งแต่ปีแรก และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี เมื่อเริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 บริษัทมีที่ปรึกษาด้านความงามมากกว่า 1 ล้านคนใน 30 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดขายมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ แมรี่ เคย์ คอสเมติกติดอันดับ 1 ใน 100 บริษัทที่ดีที่สุดถึง 3 ครั้ง เครือข่ายโทรทัศน์ให้เกียรติเธอเป็นนักธุรกิจหญิงแห่งศตวรรษ นอกจากนี้เธอยังเป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจ และเป็นนักเขียนหนังสือขายดีถึง 3 เล่ม

เบื้องหลังของไอเดียก็คือความรู้เฉพาะทาง จำไว้ว่าความรู้เฉพาะทางนั้นมีมากมาย และหาได้ง่ายกว่าไอเดีย เป็นความจริงที่ว่าโอกาสจะเพิ่มขึ้น สำหรับใครก็ตามที่มีความสามารถในการช่วยผู้อื่นให้ขายบริการเฉพาะบุคคลได้ ความสามารถนั้นหมายถึงจินตนาการ อันเป็นสิ่งที่จะเชื่อมโยงความรู้เฉพาะทางเข้ากับไอเดีย เพื่อสร้างสรรค์แผนการไปสู่ความร่ำรวย ถ้ามีจินตนาการจะช่วยให้มีไอเดียดี ๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยที่ต้องการ จงจำไว้ว่าไอเดียเป็นสิ่งสำคัญ และความรู้เฉพาะทางก็สามารถหาได้จากรอบ ๆ ตัวนี่เอง

บทที่ 7 จินตนาการ

แหล่งสร้างความคิด

ขั้นตอนที่ 5 สู่ความร่ำรวย

จินตนาการเป็นแหล่งสร้างแผนการทุกอย่างที่สร้างสรรค์ขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากจินตนาการแห่งความคิด จะทำให้พลังความคิดและปณิธานแปรเปลี่ยน แล้วเกิดผลในการปฏิบัติตามมา อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์สามารถสร้างทุกอย่างได้ตามจินตนาการ แต่ขณะนี้มนุษย์ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของพลังจิตแห่งจินตนาการ ข้อจำกัดก็คือการที่จะพัฒนา และนำจินตนาการไปใช้ จินตนาการของมนุษย์ทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้

จินตนาการ 2 แบบ จินตนาการทำหน้าที่ 2 อย่าง

อย่างแรกเรียกว่าจินตนาการสังเคราะห์ (synthetic imagination) เป็นการรวบรวมเอาแนวคิด และไอเดียเก่า ๆ มาผสมผสานกับแผนการ จินตนาการสังเคราะห์ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ เลย มันจะทำงานกับประสบการณ์ การศึกษา และการสังเกตเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักประดิษฐ์ส่วนใหญ่มักจะใช้จินตนาการแบบนี้ เว้นแต่อัจฉริยะบุคคลเท่านั้น ที่สามารถใช้จินตนาการสร้างสรรค์ได้

และอีกอย่างคือ จินตนาการสร้างสรรค์ (creative imagination) จินตนาการสร้างสรรค์จะทำให้จิตใจของมนุษย์ ที่มีความจำกัดสามารถสื่อสารกับอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลได้ ความสามารถนี้ผ่านรูปแบบของความสังหรณ์ใจและแรงบันดาลใจ ด้วยความสามารถนี้เอง ทำให้จิตใจมีไอเดียพื้นฐาน หรือไอเดียใหม่เกิดขึ้น ความสามารถนี้ยังทำให้สามารถรับคลื่นความคิดจากผู้อื่น ด้วยวิธีนี้ทำให้ผู้ใดผู้หนึ่งสามารถปรับเข้าหา หรือสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของผู้อื่นได้ จินตนาการสร้างสรรค์ทำงานแบบอัตโนมัติ เพียงแต่ต้องสร้างแรงจูงใจให้กับจิตสำนึก ให้พลังและกระตุ้นให้มันทำงาน มันจะได้ไวต่อการรับรู้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตสำนึก ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์แห่งปณิธานอันแรงกล้า

ปณิธานคือความคิดประเภทหนึ่ง เป็นพลังความคิดที่ไม่จีรังยั่งยืน เป็นนามธรรม บางครั้งก็ดูเหมือนไร้ค่า จนกว่ามันจะแปรเปลี่ยนไปสู่ความจริงที่จับต้องได้ ขณะที่จินตนาการสังเคราะห์เป็นสิ่งที่ถูกใช้บ่อยที่สุด ในการแปรเปลี่ยนปณิธานเป็นเงินทอง แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้จินตนาการสร้างสรรค์เช่นกัน ทั้งจินตนาการสังเคราะห์และจินตนาการสร้างสรรค์ ต้องพร้อมที่จะใช้งาน หากไม่ค่อยได้ใช้งานความสามารถในการจินตนาการจะอ่อนแอ การแปรเปลี่ยนพลังแห่งปณิธานที่จับต้องไม่ได้ ให้เป็นเงินทองที่จับต้องได้ ต้องอาศัยการวางแผน ในการวางแผนจะต้องใช้จินตนาการ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้จินตนาการสังเคราะห์ โดยดึงประสบการณ์ การศึกษา และการสังเกตมาใช้ ขณะที่ทำตามคำแนะนำ โดยเขียนปณิธานและแผนการ นั่นหมายความว่าได้เริ่มก้าวแรก ในการเปลี่ยนความคิดให้เกิดผลเป็นรูปธรรมแล้ว

ดึงจินตนาการสร้างสรรค์ออกมา โลกที่อาศัยอยู่นี้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตามลำดับขั้นทีละเล็กทีละน้อย วงการวิทยาศาสตร์สามารถกำหนดว่า ทุก ๆ สิ่งในจักรวาลประกอบด้วย 4 สิ่งนี้เท่านั้นคือ เวลา อวกาศ สสาร และพลังงาน โลกใบนี้และร่างกายของมนุษย์ทุกคน ที่ประกอบด้วยเซลล์นับพันล้านเซลล์ รวมไปถึงทุกอณูของสสารที่เล็กกว่าอะตอม ล้วนเริ่มต้นมาจากรูปแบบของพลังงาน ซึ่งจับต้องไม่ได้มีการรวมตัวกันของพลังงาน และสสารจึงเกิดมีทุก ๆ สิ่งที่จับต้องได้ ตั้งแต่ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุดในอวกาศ ไปจนถึงตัวมนุษย์เอง

ปณิธานเป็นพลังความคิดก็เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงาน เมื่อเริ่มใช้พลังความคิดแห่งปณิธาน เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง กำลังทำเช่นเดียวกับที่ธรรมชาติสรรค์สร้างสัพพะสิ่งบนโลก และเช่นเดียวกับทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในจักรวาลนี้ รวมไปถึงร่างกายและสมอง ซึ่งเป็นแหล่งของพลังงาน ความคิด ไอเดีย เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่งคั่งร่ำรวย ไอเดียเป็นผลิตผลของจินตนาการ จินตนาการมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนไอเดียเป็นความสำเร็จ

ไอเดียดี ๆ ไม่มีราคาที่ตายตัว ผู้สร้างสรรค์ไอเดียต้องตั้งราคาด้วยตัวเอง หากเขาเก่งพอก็จะได้มันมาเอง เรื่องราวแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย มักเริ่มจากคนที่สร้างสรรค์ไอเดียขึ้นมา พบกับคนที่ขายไอเดียแล้วทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้คนนับล้านใช้ชีวิตรอคอยโชคดีที่ตนปรารถนา บางทีความโชคดีก็ให้โอกาส แต่แผนการที่ดีที่สุดต้องไม่ขึ้นกับโชค ไอเดียเป็นพลังที่จับต้องไม่ได้ แต่ทรงพลังมากกว่าสมอง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของมันเสียอีก ไอเดียจะมีพลังเป็นอมตะนิรันดรกาล แม้ว่าสมองซึ่งสรรค์สร้างมันจะสูญสลายไปแล้ว

บทที่ 8 การวางแผนอย่างเป็นระบบ

ตกผลึกปณิธานสู่ปฏิบัติการ

ขั้นตอนที่ 6 สู่ความร่ำรวย

ทุก ๆ สิ่งที่สร้างสรรค์หรือได้มา ล้วนเริ่มต้นมาจากปณิธาน ปณิธานเป็นก้าวแรกของการเดินทางจากนามธรรมไปสู่รูปธรรม ซึ่งมาจากการใช้จินตนาการเพื่อสร้างสรรค์แผนปฏิบัติการ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำพื้นฐาน สำหรับการวางแผนปฏิบัติการ

  1. จงพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่จะช่วยสร้างสรรค์ และคิดแผนการเพื่อความมั่งคั่ง ใช้หลักการของการระดมความคิด จงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด อย่าละเลยมัน
  2. ก่อนที่จะสร้างทีมงานระดมความคิด จงตัดสินใจก่อนว่าอะไรเป็นผลประโยชน์ที่จะให้กับสมาชิก เพื่อเป็นการตอบแทนในความร่วมมือ ไม่มีใครจะทำงานอย่างเต็มความสามารถโดยปราศจากจากสิ่งตอบแทน ไม่มีคนฉลาดคนไหนที่คาดหวังว่าผู้อื่นจะทำให้โดยปราศจากการตอบแทนที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าบางครั้งมันอาจไม่ใช่เรื่องเงินทองเสมอไป
  3. พยายามจัดให้มีการประชุมสำหรับสมาชิกทีมระดมความคิดอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือมากกว่านั้นถ้าทำได้ จนกว่าแผนการที่จำเป็นจะเสร็จเรียบร้อย
  4. จงรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างตัวเองกับสมาชิกในทีมระดมความคิดไว้ให้ดี ถ้าไม่ได้นำคำแนะนำนี้ไปใช้ทุกตัวอักษร อาจพบกับความล้มเหลว หลักการระดมความคิดจะไม่ได้ผลเลย ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

โปรดจดจำข้อเท็จจริงต่อไปนี้

  1. ต้องมีส่วนร่วม ในภาระหน้าที่ที่มีความสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จ ต้องมีแผนรองรับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
  2. ต้องใช้ความได้เปรียบ ที่ตัวเองมีในด้านต่าง ๆ เช่น ประสบการณ์ การศึกษา ศักยภาพเฉพาะตัว และจินตนาการ นี่คือหนทางที่ทุกคนซึ่งอยากมั่งคั่งร่ำรวยต้องก้าวเดินไป

ไม่มีใครมีประสบการณ์ การศึกษา ศักยภาพ และความรู้เพียงพอที่จะได้มาซึ่งความมั่งคั่ง โดยปราศจากจากความร่วมมือจากผู้อื่น อาจเริ่มต้นจากแผนการทั้งหมดหรือบางส่วน แต่จงให้สมาชิกทุกคนในทีมได้ตรวจสอบ และให้การยอมรับแผนการนั้นเสมอ

ถ้าแผนการแรกล้มเหลว จงลองแผนอื่นต่อไป ถ้าแผนการแรกที่สร้างขึ้นไม่ประสบความสำเร็จ จงใช้แผนการใหม่ ถ้าแผนการใหม่นี้ไม่ได้ผลอีกก็ให้ใช้แผนอื่นต่อไป และต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งค้นพบแผนการที่ได้ผล ตรงนี้คือจุดที่ผู้คนส่วนใหญ่พบกับความล้มเหลว เนื่องจากขาดความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์แผนการใหม่ แทนที่แผนการที่ล้มเหลวไป ถ้าปราศจากแผนการที่ดี และสามารถนำไปใช้ได้จริงแล้ว แม้แต่บุคคลซึ่งฉลาดที่สุดก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จ ในเรื่องเงินทองหรือโครงการอื่นใดได้ จงตระหนักและจดจำความจริงข้อนี้ไว้ในใจ เมื่อแผนการล้มเหลวมันหมายความเพียงว่า แผนการนั้นไม่ดีพอ จงสรรค์สร้างแผนการอื่น ๆ ต่อไป เริ่มใหม่ไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับแผนการ ไม่มีสิ่งใดเอาชนะได้ ถ้าไม่ถอดใจยอมแพ้เสียก่อน จะไม่พ่ายแพ้จนกว่าจะถอดใจ

ในการเริ่มต้นคัดเลือกสมาชิกในทีมระดมความคิด ควรเลือกคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ คนบางคนเชื่ออย่างงมงายว่า เงินสามารถสร้างเงินได้ ไม่เป็นความจริงเลย ปณิธานเท่านั้นที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้ เงินมิใช่สิ่งที่เฉยชา แม้ว่ามันจะเคลื่อนที่ไม่ได้ คิด หรือพูดไม่ได้ แต่เงินสามารถได้ยินใครก็ตามที่ปรารถนามัน เรียกหาแล้วมันจึงจะมา แผนการอันชาญฉลาดจำเป็นสำหรับความสำเร็จในภารกิจแห่งการสร้างความร่ำรวย ความมั่งคั่งร่ำรวยอาจเริ่มต้นจากการขายงานบริการเฉพาะบุคคล หรือจากการขายไอเดีย ถ้าไม่มีผลิตภัณฑ์หรือทรัพย์สินอยู่ในมือแล้ว จะมีอะไรอีกเล่า ถ้าไม่ใช่ไอเดียและงานบริการเฉพาะบุคคล ที่จะสามารถเปลี่ยนมันเป็นความร่ำรวยได้

ผู้นำหรือผู้ตาม ในโลกมีคนอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรกคือผู้นำและอีกประเภทคือผู้ตาม จงตัดสินใจเองว่าอยากเป็นผู้นำในแบบที่เลือกได้ คุณลักษณะเด่นของความเป็นผู้นำ

  1. กล้าหาญ ยืนหยัดบนพื้นฐานความรู้ และวิชาชีพของตัวเอง ไม่มีใครอยากได้ผู้นำที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และไม่หาญกล้า
  2. การควบคุมตัวเอง คนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ย่อมไม่สามารถควบคุมผู้อื่นได้เช่นกัน
  3. สำนึกแห่งความยุติธรรม ถ้าปราศจากซึ่งความตรงไปตรงมาและยุติธรรม ก็จะไม่มีผู้นำคนใดสามารถบังคับบัญชา และได้รับความนับถือจากผู้ตามได้
  4. ตัดสินใจแน่วแน่ คนที่ตัดสินใจเด็ดขาด และแสดงความมั่นใจในตัวเอง จะสามารถนำผู้อื่นได้สำเร็จ
  5. แผนการที่ชัดเจน ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้องวางแผนการทำงาน และนำแผนนั้นไปปฏิบัติ
  6. นิสัยทำงานเกินกว่าค่าตอบแทน หนึ่งในภาระแห่งภาวะผู้นำคือ การที่ผู้นำต้องเต็มใจที่จะทำงานมากกว่าลูกน้อง
  7. บุคลิกภาพดี เป็นที่ประทับใจของผู้อื่น ภาวะผู้นำต้องการการยอมรับนับถือจากผู้คน ผู้ตามจะไม่ยอมรับนับถือผู้นำ ที่มีบุคลิกภาพดีน้อยกว่าตัวเอง
  8. ความเห็นอกเห็นใจ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องมีความเห็นอกเห็นใจลูกน้อง
  9. ความรอบรู้ในงานปลีกย่อย ภาวะผู้นำที่จะประสบความสำเร็จ ต้องการความรอบรู้ในงานปลีกย่อยในตำแหน่งของผู้นำ
  10. เต็มใจรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีความเต็มใจที่จะรับผิดชอบข้อผิดพลาด และจุดอ่อนของลูกน้อง
  11. ความร่วมมือ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องเข้าใจ รู้จักประยุกต์หลักการ ประสานความร่วมมือร่วมใจ

ผู้ที่สร้างพื้นฐานของภาวะผู้นำให้เกิดมีขึ้นแก่ตัวเอง ชีวิตจะได้ผ่านพบกับโอกาสมากมาย ที่จะช่วยนำพาให้ก้าวหน้าต่อไป

รู้หรือไม่ว่าตัวเองมีคุณค่า คำตักเตือนเก่าแก่ที่ว่า จงรู้จักตัวเองถ้าจะทำการค้าให้ประสบความสำเร็จ ต้องรู้การค้าขายเฉกเช่นเดียวกับการตลาดบริการเฉพาะบุคคล ความรู้จุดอ่อนของตัวเองแล้วกำจัดมันไปให้หมด ความรู้จักจุดแข็งของตัวเองเพื่อจะนำมาใช้ เวลาที่จะขายบริการสามารถรู้จักตัวเลขได้จากการวิเคราะห์อย่างละเอียด

ทำบัญชีผลงานของตัวเอง การวิเคราะห์ตัวเองประจำปี มีความสำคัญต่อการตลาดบริการเฉพาะบุคคล ยิ่งไปกว่านั้นการวิเคราะห์ตัวเองปีละครั้ง จะช่วยลดข้อบกพร่อง และเพิ่มสมรรถภาพในการทำงาน ก้าวหน้าในชีวิต หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง เป้าหมายควรจะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ การวิเคราะห์ตัวเองประจำปี จะแสดงให้เห็นว่ามีความก้าวหน้าหรือไม่ ถ้ามีมากน้อยแค่ไหน และช่วยให้เห็นว่าอาจจะกำลังก้าวถอยหลังด้วย

ในการทำการตลาดสำหรับงานบริการส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นที่จะต้องก้าวไปข้างหน้าถึงแม้ว่าจะช้าก็ตาม การวิเคราะห์ตัวเองนี้ควรทำตอนสิ้นปี ดังนั้น สามารถใช้ช่วงวันขึ้นปีใหม่ เพื่อตั้งใจปรับปรุงตัวเองตามผลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทำบัญชีรายการผลงานของตัวเอง โดยการตั้งคำถามต่อไปนี้กับตัวเอง และตรวจสอบคำตอบด้วยคนที่เป็นกลางไม่เข้าข้าง  แบบทดสอบเพื่อวิเคราะห์ตัวเองมี

  1. ฉันได้บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้สำหรับปีนี้หรือยัง

2 ฉันได้ให้บริการด้วยปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วหรือยัง หรือฉันสามารถจะปรับปรุงบริการนี้ได้อีกหรือไม่

  1. ฉันได้ให้บริการที่มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วหรือยัง
  2. จิตวิญญาณแห่งความประพฤติของฉัน สร้างความกลมเกลียวและร่วมมือกันตลอดเวลาหรือไม่
  3. ฉันปล่อยให้นิสัยผัดวันประกันพรุ่งมาลดประสิทธิภาพ ถ้าใช่เป็นเพราะอะไร
  4. ฉันได้ปรับปรุงบุคลิกภาพของฉันหรือไม่ และถ้าใช่เป็นเพราะเหตุใด
  5. ฉันได้พากเพียรพยายามในการทำตามแผนการจนสำเร็จหรือไม่
  6. ฉันได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแน่วแน่ทุกครั้งหรือไม่
  7. ฉันได้ยอมให้ความกลัว 6 ประการมาลดประสิทธิภาพการทำงานของฉันหรือไม่
  8. ฉันมีความระมัดระวังมากเกินไป หรือประมาทเกินไปหรือไม่
  9. ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานดีหรือไม่ ถ้าไม่ค่อยดีเป็นความบกพร่องของฉันบางส่วนหรือทั้งหมด
  10. ฉันใช้พลังงานของตัวเองอย่างสูญเปล่า ด้วยการไม่มีใจจดจ่อกับงานที่ทำหรือไม่
  11. ฉันได้เปิดใจกว้างและยอมรับฟังความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือไม่
  12. ฉันได้ปรับปรุงความสามารถในการให้บริการอย่างไรบ้าง
  13. ฉันมีอุปนิสัยมัวเมาหรือไม่ยับยั้งชั่งใจบ้างหรือไม่
  14. ฉันได้แสดงว่า ถือว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ทั้งโดยเปิดเผยหรือปกปิดไว้หรือไม่
  15. ฉันทำให้ผู้ร่วมงานนับถือหรือไม่
  16. ความคิดเห็นและการตัดสินใจของฉัน ขึ้นกับการคาดเดา หรือได้คิดวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว
  17. ฉันได้บริหารจัดการเวลา ค่าใช้จ่าย และรายได้หรือไม่
  18. ฉันได้ใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ หรือที่เป็นประโยชน์หรือไม่
  19. ฉันจะบริหารจัดการเวลาใหม่ และเปลี่ยนนิสัยเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ได้อย่างไร
  20. ฉันละอายกับพฤติกรรมที่ขัดกับจิตสำนึกของตัวเองหรือไม่
  21. ฉันได้ให้บริการมากกว่า และดีกว่าที่ตัวฉันเองได้จ่ายเงินไป เพื่อซื้อบริการนั้น ๆ หรือไม่
  22. ฉันมีความไม่ยุติธรรมกับบางคนหรือไม่ ถ้ามีเป็นเพราะอะไร
  23. ถ้าสมมุติว่าฉันเป็นผู้ซื้อบริการของตัวเอง ตลอดปีที่ผ่านมานี้ ฉันพึงพอใจกับการซื้อหรือไม่
  24. ฉันได้ใช้วิชาชีพอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
  25. ผู้ซื้อบริการจากฉันได้รับความพึงพอใจจากการบริการของฉันบ้างหรือไม่ ถ้าไม่ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
  26. จากการประเมินหลักการพื้นฐานแห่งความสำเร็จของตัวเองแล้วผลเป็นอย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นการนำเสนอรายละเอียดที่จำเป็นต้องใช้ สำหรับคนที่กำลังสร้างความร่ำรวย ด้วยการทำการตลาดสำหรับงานบริการเฉพาะบุคคล คนที่สูญเสียความมั่งคั่งไป และคนที่กำลังเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากงานบริการของตัวเอง ที่สร้างความร่ำรวย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลที่จะนำไปใช้ในการทำการตลาด สำหรับงานบริการเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

บทที่ 9 กล้าตัดสินใจ

จัดการกับการผัดวันประกันพรุ่ง

ขั้นตอนที่ 7 สู่ความร่ำรวย

จากการวิเคราะห์ผู้คนมากกว่า 25,000 คน ที่ประสบความล้มเหลวพบว่า ความไม่กล้าตัดสินใจอยู่ในอันดับต้น ๆ ของสาเหตุความล้มเหลว การผัดวันประกันพรุ่งซึ่งตรงข้ามกับความกล้าตัดสินใจ เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทุกคนต้องต่อสู้ คนหลายร้อยคนที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้ ทุกคนล้วนมีนิสัยในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนั้น

ตัดสินใจด้วยตัวเอง คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวในการจะได้มาซึ่งเงินทองที่เขาต้องการนั้น มักถูกชักจูงด้วยความคิดเห็นของผู้อื่นง่ายเกินไป ทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นมากมาย ที่พร้อมจะเล่าให้กับใครก็ได้ ที่จะฟังในเวลาที่ต้องตัดสินใจ ถ้าถูกคนอื่นชักจูงได้ง่ายเกินไป จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย ทุกคนมีสมองและจิตใจของตัวเอง จงใช้มัน และกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าต้องการข้อเท็จจริง หรือข้อมูลจากผู้อื่นเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ควรหาข้อมูลอย่างเงียบ ๆ โดยอย่าเปิดเผยเป้าหมายออกไป

มันเป็นธรรมดาของคนที่คิดว่าตัวเองมีความรู้มาก มักจะพยายามแสดงออกว่าตัวเองรู้มากกว่าจะลงมือทำ คนพวกนี้มักพูดมากแต่ฟังคนอื่นน้อย คนที่พูดมาก ๆ ไม่ค่อยทำ การพูดมากเกินไปอาจทำให้เผลอเปิดเผยแผนการ และเป้าหมายออกไปให้คนที่อยากเห็นความพ่ายแพ้ เพราะว่าเขาอิจฉาอยู่ จงจำไว้ว่าทุกครั้งที่เปิดปากพูด การพูดคุยกับผู้รู้ อย่าแสดงว่าตัวเองมีความรู้มากมายแล้ว หรือจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีความรู้ สัญลักษณ์ของผู้มีสติปัญญาที่แท้จริงคือ เงียบและถ่อมตน

เมื่อรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไรแล้วก็จะได้ตามนั้น ความคิดที่มีปณิธานอันแรงกล้าอยู่เบื้องหลัง จะแปรเปลี่ยนตัวมันไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ ในการค้นหาความลับของวิธีการ อย่ามองหาความมหัศจรรย์ เพราะจะหามันไม่เจอ จะพบแต่กฎธรรมชาติที่ไม่แปรเปลี่ยน กฎเกณฑ์นี้พร้อมแล้วสำหรับคนที่มีศรัทธาและกล้าที่จะใช้มัน อาจใช้เพื่อสร้างอิสรภาพให้กับชาติ หรือสร้างความร่ำรวยก็ได้ คนที่ตัดสินใจอย่างแน่นอนและเฉียบขาด จะต้องรู้ตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร แล้วส่วนใหญ่ก็จะได้ตามนั้น

บทที่ 10 ความมุ่งมั่น

ความพยายามอย่างไม่ลดละ สิ่งจำเป็นในการสร้างศรัทธา

ขั้นตอนที่ 8 สู่ความร่ำรวย

ความมุ่งมั่นเป็นปัจจัยสำคัญในการแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นเงินทอง พื้นฐานของความมุ่งมั่นคือพลังแห่งความตั้งใจ เมื่อรวมความตั้งใจเข้ากับปณิธานแล้ว จะเกิดสิ่งซึ่งไม่มีอะไรมาต้านทานที่พวกเขาทำได้ ก็เพราะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ร่วมกับพลังแห่งความตั้งใจ ซึ่งผสมผสานกันด้วยความมุ่งมั่น มันผสมผสานกันกลายเป็นความมั่นใจ ในการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ มีน้อยคนนักที่ยืนหยัดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากเท่าไหร่ก็ตาม อาจไม่มีวีรบุรุษคนใดเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นได้ แต่ความมุ่งมั่นก็มีคุณสมบัติพิเศษ เปรียบเหมือนเพชรที่สามารถตัดเหล็กได้ เพราะมันแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้า

บททดสอบความมุ่งมั่น การขาดความมุ่งมั่นเป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลว ยิ่งไปกว่านั้น จากการพิสูจน์ผู้คนนับพันพบว่า การขาดความมุ่งมั่นเป็นความอ่อนแอที่พบบ่อยที่สุดในผู้คนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นจะเอาชนะความอ่อนแอได้ และพลังแห่งปณิธานก็สามารถเอาชนะความไม่มุ่งมั่นได้ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จคือปณิธาน ดังนั้นจงเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ในใจให้ดี ปณิธานที่อ่อนแรงย่อมไม่ทำให้เกิดผลใด ๆ

สำนึกแห่งความร่ำรวยหรือสำนึกแห่งความยากจน จะไม่ได้รับประโยชน์จากกฎต่าง ๆ หากนำกฎนั้นไปใช้บ้างไม่ใช้บ้าง จึงต้องประยุกต์ใช้กฎทั้งหมด จนมันกลายเป็นนิสัยติดตัว ไม่มีหนทางใดที่จะใช้เพื่อพัฒนาสำนึกแห่งความร่ำรวย เงินทองจะถูกดึงดูดมาสู่คนที่มีความตั้งใจเปิดรับมัน ส่วนความยากจนก็จะถูกดึงดูดไปสู่คนที่มีจิตใจเปิดรับมันเช่นกัน ถึงแม้จะต้องตั้งใจที่จะพัฒนาสำนึกแห่งความร่ำรวย แต่สำหรับสำนึกแห่งความจนแล้ว มันเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องสร้างนิสัยเพื่อให้พร้อมรับมัน อาจปลุกจิตใจที่เฉื่อยชาด้วยวิธีการนี้ ขั้นแรกด้วยการกระตุ้นจิตใจช้า ๆ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถควบคุมความตั้งใจได้ ในครั้งแรก ๆ ไม่ต้องสนใจว่ามันจะช้ามากแค่ไหน จงมุ่งมั่นทำต่อไป ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น

ปลุกจิตใจที่เฉื่อยชาให้ตื่นขึ้น คนที่สร้างความร่ำรวยมหาศาลบางคนทำด้วยความจำเป็น เขาพัฒนาอุปนิสัยมุ่งมั่นได้ เพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวบังคับให้เขาต้องมุ่งมั่น คนที่ปลูกฝังอุปนิสัยมุ่งมั่นไว้ดีแล้ว จะเป็นหลักประกันความล้มเหลวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาจะพ่ายแพ้กี่ครั้งก็ตาม ในที่สุดเขาจะก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้ เหมือนคนที่พลิกผันตัวเองขึ้นมาจากความพ่ายแพ้ และยังคงพยายามจนกลับมาใหม่ได้ในที่สุด คนที่สามารถเข้าถึงมันได้ ย่อมได้รับรางวัลตอบแทนจากความมุ่งมั่นนั้น ผลตอบแทนที่จะได้รับก็คือ การบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เขายังจะได้รับสิ่งซึ่งสำคัญ ยิ่งกว่าผลตอบแทนทางวัตถุ นั้นคือความรู้ที่ว่าทุกครั้งที่ล้มเหลว มันได้ให้กำไรชีวิตด้วย

ผ่านพ้นความล้มเหลวด้วยความมุ่งมั่น คนที่เรียนรู้จากประสบการณ์แห่งความมุ่งมั่น ย่อมจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ใด ๆ มากไปกว่าความพ่ายแพ้ชั่วคราว เขาจะมุ่งมั่นในปณิธานจนความพ่ายแพ้แปรเปลี่ยนเป็นชัยชนะในที่สุด คนที่จมปลักอยู่ในความพ่ายแพ้มักไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ และมีคนไม่มากนักที่ใช้ความขมขื่นจากการพ่ายแพ้ เป็นตัวเร่งเร้าให้เกิดความมุ่งมั่น ซึ่งสิ่งที่มองไม่เห็น และไม่เคยคิดว่ามันมีอยู่ก็คือ พลังเงียบเป็นพลังที่ไม่สามารถจะต้านทานได้ พลังนี้มาเพื่อช่วยผู้คนที่ต่อสู้ และเผชิญหน้ากับความท้อแท้สิ้นหวัง พลังที่กล่าวถึงนี้ก็คือ ความมุ่งมั่นนั่นเอง หากปราศจากความมุ่งมั่น จะไม่มีวันประสบความสำเร็จเลย

สร้างความมุ่งมั่นให้ตัวเอง ความมุ่งมั่นเป็นสภาวะหนึ่งของจิตใจ ดังนั้น จึงสามารถพัฒนามันได้ เหมือนสภาวะส่วนใหญ่ของจิตใจ ความมุ่งมั่นขึ้นกับเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

  1. เป้าหมายที่แน่นอน ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือ รู้สิ่งที่ตัวเองต้องการ แรงจูงใจที่ทรงพลังจะผลักดันให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้
  2. ปณิธาน การมีความพยายามที่จะทำให้ปณิธานที่ตั้งไว้ลุล่วงไปนั้น จะทำให้สามารถสร้างและรักษาความมุ่งมั่นไว้ได้ง่ายขึ้น
  3. ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความเชื่อในศักยภาพของตัวเอง ที่จะทำตามแผนให้สำเร็จลุล่วง จะกระตุ้นให้ดำเนินการตามแผนการด้วยความมุ่งมั่น
  4. แผนการที่ชัดเจน ด้วยการวางแผนการที่ดี แม้แต่คนที่อ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพ ก็อาจมีความมุ่งมั่นได้
  5. รู้จริง การที่จะรู้ว่าแผนการดีพอแล้วหรือไม่นั้น ต้องอาศัยประสบการณ์ การสังเกต และการกระตุ้นเตือนให้ตัวเองมุ่งมั่น
  6. ความร่วมมือ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความร่วมมือกับผู้อื่น จะช่วยพัฒนาความมุ่งมั่น

7.พลังแห่งความตั้งใจ ความมุ่งมั่นมาจากความคิด ที่จดจ่ออยู่กับแผนการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

  1. สร้างนิสัย ความมุ่งมั่นเป็นผลจากการสร้างนิสัยโดยตรง จิตใจจะซึมซับและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน

สำรวจตัวเองและกำหนดว่าปัจจัยใดที่ยังขาดไป ในการสร้างความมุ่งมั่น การวิเคราะห์อาจนำไปสู่การค้นพบ ทำให้เข้าใจตัวเองและสิ่งซึ่งจำเป็นต้องทำต่อไป ต่อไปนี้เป็นศัตรูตัวจริงที่ขวางกั้นความสำเร็จ มันเป็นจุดอ่อนซึ่งใครก็ตามที่ต้องการความร่ำรวยต้องจัดการ

  1. ล้มเหลวที่จะตระหนักรู้ และกำหนดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ
  2. การผัดวันประกันพรุ่ง จะโดยมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็ตาม
  3. ขาดความสนใจในการหาความรู้เฉพาะทาง
  4. ความไม่กล้าตัดสินใจ และนิสัยจับจด
  5. ติดนิสัยพึ่งพาการขอโทษ แทนที่จะวางแผนแก้ไขปัญหา
  6. พอใจแต่สิ่งที่ตัวเองมี
  7. ความไม่ใส่ใจ มักสะท้อนว่าพร้อมที่จะยอมตาม มากกว่าเผชิญและต่อสู้กับอุปสรรค

8.นิสัยชอบกล่าวโทษผู้อื่นในความผิดพลาดของตัวเอง

9.ขาดปณิธานอันแรงกล้า

  1. เต็มใจที่จะล้มเลิกตั้งแต่ครั้งแรกที่พ่ายแพ้
  2. ขาดการวางแผนที่ได้เขียน และวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
  3. นิสัยเพิกเฉยที่จะลงมือทำตามความคิดตัวเอง
  4. อยากทำแต่ไม่ตั้งใจจะทำ
  5. นิสัยยอมรับสภาพความยากไร้
  6. ค้นหาแต่ทางลัดที่จะร่ำรวย
  7. กลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์

สร้างโชคด้วยตัวเอง หลายคนเชื่อว่าความสำเร็จเป็นผลจากโชคช่วย แม้ว่าบางทีก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามัวแต่รอโชคจะพบกับความผิดหวังอย่างแน่นอน จะมีโชคได้ก็ต่อเมื่อสร้างโชคให้ตัวเองด้วยความมุ่งมั่น และจุดเริ่มต้นก็คือเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อยอมให้โลกรู้ว่าพร้อมสำหรับโชค โชคเป็นสิ่งที่จะถูกชี้นำโดยคนที่เปิดโอกาสให้ มันเหมือนการเปิดประตู เมื่อโอกาสเข้ามาคนที่โชคดี มักพยายามเปิดช่องทางแห่งโชคให้เข้ามาสู่จิตใจ

ช่องทางแห่งโชคในตัว ต้องเชื่อมั่นว่าควรค่ากับโชคนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือปฏิบัติและทำให้ราวกับว่าโชคดี ถ้าทำตัวเป็นผู้แพ้ คนอื่นจะคิดว่าคือผู้แพ้ แต่ถ้ารับรู้ตัวเองว่าโชคดี มันก็จะง่ายสำหรับคนอื่นที่จะเห็นตามนั้น และถ้าเชื่อว่าตัวเองเป็นคนโชคดี โอกาสที่จะได้รับสิ่งดี ๆ ก็เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนอื่นก็หวังว่าความมีโชคจะตกไปที่เขาบ้าง นี่คือเคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งคนมีโชคได้ล่วงรู้ เขารู้ว่าเมื่อเขาดูเหมือนโชคดี คนอื่นก็ต้องการจะช่วยเหลือเขา มีคนรอเปลี่ยนแปลงชีวิตอยู่

ถ้าสอบถามคน 100 คนที่พบบนท้องถนนว่า เขาต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต 98% จะตอบว่าเขาไม่สามารถบอกได้ ถ้าหากพยายามบังคับให้ตอบ บางคนจะตอบว่าความมั่นคง บางคนตอบว่าเงินทอง คนส่วนน้อยอาจตอบว่าความสุข แต่จะไม่มีใครสามารถบอกแผนการ ที่จะทำให้พวกเขาบรรลุความสำเร็จสมปรารถนา ความร่ำรวยไม่ได้เกิดตามความปรารถนา แต่ความร่ำรวยจะเกิดได้ต้องอาศัยแผนการที่ชัดเจน ซึ่งเบื้องต้นต้องมีประณิธานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

จัดการกับอุปสรรค คนที่มีความมุ่งมั่น ใช้พลังลึกลับในการจัดการกับความยากลำบาก คุณลักษณะของความมุ่งมั่นไปสร้างจิตวิญญาณ พลังใจ หรือปฏิกิริยาทางเคมี แล้วทำให้มีพลังเหนือธรรมชาติ อัจฉริยภาพแห่งจักรวาลจะเข้ามาหาคนที่พร้อมในการต่อสู้กับโลกที่โหดร้าย ถ้าลองศึกษาชีวประวัติของศาสดา นักปรัชญา และผู้นำทางศาสนา จะพบข้อสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ความมุ่งมั่น ความพากเพียรพยายาม และการมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน เป็นเหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จ

บทที่ 11 พลังแห่งการระดมความคิด

แรงผลักดันสู่ความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 9 สู่ความร่ำรวย

พลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จ ในการสร้างความร่ำรวย แผนการอาจไร้ประโยชน์ถ้าปราศจากพลังที่จะขับเคลื่อนไปสู่การลงมือปฏิบัติ อาจให้คำจำกัดความพลังว่าเป็นการบริหารจัดการความรู้อย่างชาญฉลาด แต่พลังที่ใช้ในที่นี้หมายถึงความพยายามที่เป็นระบบ เพื่อที่จะทำให้สามารถแปรเปลี่ยนปณิธานไปสู่เงินทอง ความพยายามที่เป็นระบบนี้เกิดขึ้นจากการที่ คนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป นำความรู้และความพยายามมาร่วมมือร่วมใจกัน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความสมัครสมานสามัคคีระหว่างกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แน่นอน พลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างความร่ำรวย นอกจากนี้พลังยังจำเป็นสำหรับการรักษาเงินทองที่ได้มาอีกด้วย ท่าพลังคือความรู้ที่เป็นระบบ ลองมาตรวจสอบแหล่งกำเนิดของความรู้กัน

  1. อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล จะได้รับแหล่งความรู้นี้ ด้วยจินตนาการสร้างสรรค์ที่มาจากจิตใต้สำนึก
  2. ประสบการณ์ที่ได้สะสมมา อาจพบประสบการณ์ที่มนุษย์ชาติได้สะสมไว้ในห้องสมุดสาธารณะที่ทันสมัย จะได้ประสบการณ์ที่ได้สะสมไว้อีกส่วนหนึ่งจากการเรียนการสอนในโรงเรียน และวิทยาลัยซึ่งมีคุณภาพและได้มาตรฐาน
  3. การทดลองและวิจัย ในแวดวงวิทยาศาสตร์ และทุกย่างก้าวของชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่ได้เก็บรวบรวม จัดกลุ่ม และบริหารจัดการข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน มันจะเป็นแหล่งความรู้ ถ้าหากไม่สามารถหาความรู้ได้จากประสบการณ์ที่เก็บสะสมไว้ และอาจต้องใช้จินตนาการสร้างสรรค์ร่วมด้วย

ถ้าพิจารณาที่มาแห่งความรู้ทั้ง 3 จะเห็นว่า ค่อนข้างยากที่จะได้ความรู้มา แม้ว่าต้องสร้างความรู้ขึ้นมาด้วยการพึ่งพาตัวเองเกือบทั้งหมด ก็ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนมันให้เป็นแผนปฏิบัติการก่อนอยู่ดี แต่ถ้าแผนการใหญ่และมีรายละเอียดมาก จำเป็นต้องหาคนมาร่วมมือในการที่จะบริหารจัดการความรู้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนแผนการให้เป็นพลัง ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจพลังที่มีสักยภาพ คุณลักษณะของหลักการระดมความคิดทั้งสองประการนี้

อย่างแรกคือ พลังทางเศรษฐกิจ ลักษณะเฉพาะของเศรษฐกิจนั้น ค่อนข้างจะชัดเจนอยู่แล้ว ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอาจได้มาจากใครก็ตาม ที่ทำให้ตัวเองแวดล้อมไปด้วยคำแนะนำ คำปรึกษา และความร่วมมือร่วมใจจากกลุ่มคนที่พร้อมจะช่วยอย่างหมดจิตหมดใจ รูปแบบแห่งการร่วมมือร่วมใจฉันมิตรนี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่งคั่งร่ำรวยทั้งหลาย สถานะทางการเงินอาจขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดีหรือไม่

อย่างที่ 2 คือ พลังจิต หมายถึงส่วนของจิตใจ ที่เกี่ยวข้องกับหลักแห่งการระดมความคิดนี้ อาจเข้าใจยากสักนิดหนึ่ง จิตใจมนุษย์เป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงาน เมื่อจิตใจของคนสองคนประสานสัมพันธ์กัน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความสมานสามัคคี พลังงานจากจิตใจของแต่ละคน จะช่วยจับพลังงานของจิตใจคนอื่น มารวมตัวกันเป็นพลังจิตแห่งการระดมความคิด ถ้าวิเคราะห์ประวัติของคนที่ร่ำรวยจะพบว่า พวกเขาใช้หลักแห่งกำลังระดมความคิดทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถจะได้มาด้วยวิธีอื่นใดอีกแล้ว

วิธีเพิ่มพูนพลังสมอง สมองของมนุษย์อาจเปรียบเทียบได้กับแบตเตอรี่ไฟฟ้า แบตเตอรี่หลายตัวจะให้พลังงานมากกว่าแบตเตอรี่เพียงตัวเดียว นอกจากนี้แบตเตอรี่แต่ละตัว จะให้พลังงานโดยขึ้นกับจำนวน และความจุของเซลล์ที่บรรจุอยู่ในแบตเตอรี่นั้น ๆ สมองก็ทำหน้าที่คล้ายกัน บางคนมีสมองที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอีกคน สมองของกลุ่มคนที่มาร่วมมือกัน หรือเชื่อมโยงกันด้วยความสมัครสมานสามัคคี ทำให้เกิดพลังยิ่งใหญ่กว่าสมองของคนคนเดียว

ด้วยการอุปมานี้จะเข้าใจว่า หลักการระดมความคิดก็คือ เคล็ดลับแห่งพลังที่ได้มาจากพลังสมองของคนอื่น ที่ล้อมรอบตัวผู้นั้นนั่นเอง คำจำกัดความของสิ่งที่เรียกว่าพลังจิตจากการระดมความคิด เมื่อมีการรวมจิตใจของกลุ่มคนเพื่อร่วมกันทำงานด้วยความสมัครสมานสามัคคี พลังที่เพิ่มขึ้นก็มาจากจิตใจของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มนั่นเอง

พลังแห่งอารมณ์เชิงบวก เงินมีคุณลักษณะขี้อาย จับไม่ค่อยอยู่ รักษาไว้ได้ยาก ต้องวิงวอนขอร้อง และต้องเอาชนะด้วยวิธีการเหมือนกับที่ใช้กับคู่รัก พลังที่ใช้จับเงินไว้ให้อยู่ ไม่แตกต่างจากวิธีใช้เพื่อดึงดูดคนที่รักเอาไว้ มันเป็นพลังแห่งอารมณ์เชิงบวก ในการใช้พลังนั้นเพื่อไล่ตามเงินทองให้ประสบความสำเร็จ ต้องผสมผสานด้วยศรัทธา ปณิธาน ความมุ่งมั่น ต้องประยุกต์ใช้แผนการ และนำไปลงมือปฏิบัติ

เมื่อเงินทองมีปริมาณมากขึ้น มันจะไหลไปสู่คนที่สั่งสมมันไว้ เหมือนน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ กระแสแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งอาจเปรียบเหมือนกระแสในแม่น้ำสองทิศทาง ด้านหนึ่งพัดไปทิศทางที่นำพาผู้คน ที่เลือกกระแสข้างนี้ขึ้นไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย ส่วนกระแสอีกด้านหนึ่งพัดพาไปทิศทางตรงกันข้าม นำพาผู้คนซึ่งเคราะห์ร้ายไปสู่ความทุกข์ยากและยากจน ความยากจนและความร่ำรวยสามารถเปลี่ยนที่กันได้ ความร่ำรวยจะแทนที่ความยากจนได้ โดยการวางแผนด้วยความระมัดระวัง และไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วเท่านั้น แต่สำหรับความยากจนไม่เป็นเช่นนั้น ความยากจนไม่ต้องการแผนการใด ๆ ไม่ต้องการให้ใครช่วย เพราะมันกล้าและไร้ความปราณี ส่วนความร่ำรวยนั้นขี้อายและขี้กลัว ทำให้ต้องดึงดูดความร่ำรวยเข้ามา

บทที่ 12 สัมพันธภาพทางเพศ

เสน่ห์ดึงดูดและสร้างสรรค์

ขั้นตอนที่ 10 สู่ความร่ำรวย

ลำดับขั้นของแรงจูงใจที่สำคัญ หลังจากความต้องการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มักจะเป็นกามารมณ์และความรัก ในการวิเคราะห์แรงจูงใจเหล่านี้ว่า มีความสัมพันธ์กับทัศนะคติ และบุคลิกภาพของคนเรานั้น กามารมณ์ในบริบทนี้ไม่ได้มีความหมายถึง เรื่องความต้องการทางเพศอย่างที่เข้าใจกัน ปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้คำว่าสัมพันธ์สภาพทางเพศ ความหลงใหล หรือเสน่ห์ดึงดูด

เสน่ห์ดึงดูด อารมณ์ของมนุษย์มีส่วนสำคัญในการสร้างกฎเกณฑ์และอารยธรรม คนเรามักอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์มากกว่าเหตุผล การสร้างสรรค์งานอะไรสักอย่าง ก็ต้องใช้อารมณ์ไม่ใช่เหตุผลล้วน ๆ จิตใจของคนเราตอบสนองต่อสิ่งเร้าผ่านสิ่งซึ่งเป็นเหมือนกุญแจเปิดทาง เช่น ความกระตือรือร้น จินตนาการสร้างสรรค์ หรือปณิธานอันแรงกล้าสิ่งเร้าที่กระตุ้นจิตใจได้แก่

  1. ความต้องการแสดงออกทางเพศ
  2. ความรัก
  3. ความปรารถนาในชื่อเสียง อำนาจ ความมั่นคงทางการเงิน
  4. ดนตรี
  5. มิตรภาพและการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น
  6. กัลยาณมิตร ที่พร้อมจะร่วมกันคิดและระดมความคิดเพื่อความก้าวหน้า
  7. ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
  8. การเสนอแนะตัวเอง
  9. ความหวาดกลัว
  10. แอลกอฮอล์และยา

ความต้องการแสดงออกทางเพศ จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของสิ่งเร้าที่มีผลต่อจิตใจ และเป็นตัวผลักดันให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ความต้องการทางเพศเป็นสิ่งติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด และเป็นเรื่องของธรรมชาติ ความปรารถนานี้ไม่สามารถและไม่ควรจะถูกกักเอาไว้หรือทำลายทิ้งเสีย มันสามารถส่งผลดีให้กับร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ หากสามารถควบคุมและจัดการแรงจูงใจนี้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยใช้เพื่อการสร้างสรรค์งานวรรณกรรม ศิลปะ และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงการสร้างความร่ำรวยด้วย

นักพูด นักเทศน์ นักกฎหมาย หรือนักขายที่ขาดเสน่ห์ดึงดูดผู้อื่น และไม่เห็นความสำคัญของการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่น มักจะล้มเหลวไปตลอด ความจริงที่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะถูกโน้มน้าวด้วยเสน่ห์ที่มีผลต่ออารมณ์ จะทำให้ยิ่งเชื่อมั่นว่าเสน่ห์ดึงดูดเป็นส่วนสำคัญยิ่ง ของความสามารถในการขาย นักขายระดับแนวหน้าสามารถสร้างยอดขายได้สูง เพราะเขาสามารถแปรเปลี่ยนเสน่ห์ดึงดูด ไปเป็นความกระตือรือร้นในการขาย นั่นก็คือการแปลสภาพของกามารมณ์นั่นเอง

ความหมายง่าย ๆ ของคำว่าแปรสภาพก็คือ การเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนสภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พลังการแปรสภาพของพลังทางเพศ จึงหมายความถึงการเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด และการแสดงออกทางร่างกาย ไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตามธรรมชาติแก่ผู้อื่น พลังนี้อาจส่งต่อไปยังผู้อื่นด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  1. การจับมือ สัมผัสที่มือจะเป็นตัวบ่งบอกว่ามีเสน่ห์ดึงดูดหรือไม่
  2. โทนเสียง เสน่ห์ดึงดูดหรือพลังทางเพศเป็นส่วนสำคัญ ของน้ำเสียงที่ไพเราะและมีเสน่ห์
  3. กิริยาท่าทาง คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดจะมีกิริยาท่าทางกระชับกระเฉง แต่สุภาพเรียบร้อย
  4. บุคลิกภาพ คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดจะส่งสัมพันธภาพทางเพศ ผ่านบุคลิกที่สามารถโน้มน้าวผู้อื่น
  5. เสื้อผ้าและการแต่งกาย คนที่มีเสน่ห์ดึงดูดมักจะเป็นคนที่พิถีพิถัน ในการเลือกเสื้อผ้าและแต่งกายได้เหมาะสมกับบุคลิกภาพและสถานที่

ความรักนั้นสำคัญไฉน ความรัก ความโรแมนติก และกามอารมณ์เป็นแรงผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จสูงสุดได้ อารมณ์ทั้ง 3 นี้จะช่วยยกอัจฉริยะภาพให้สูงขึ้น ความรักนั้นจะมีอิทธิพลยาวนาน เพราะความรักเป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมะชาติของมนุษย์ ผู้ที่ไม่สามารถใช้ความรักกระตุ้นตัวเองให้ก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จได้ ผู้นั้นค่อนข้างสิ้นหวังเหมือนคนที่ตายไปแล้วทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

นอกจากนี้การเข้าไปสู่โลกของจินตนาการแห่งความรักช่วยให้รู้สึกดีขึ้น จิตใต้สำนึกอาจช่วยให้เกิดไอเดียดี ๆ และช่วยวางแผนงานที่อาจเปลี่ยนสถานะทางการเงิน และจิตวิญญาณไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีคำว่าท้อแท้สิ้นหวังสำหรับความรัก ถ้าทุกคนเข้าใจความแตกต่างระหว่างอารมณ์รัก และความรู้สึกทางเพศ ความรักเป็นอารมณ์ที่มีลักษณะหลากหลาย แต่ที่รุนแรงมากที่สุดคือ อารมณ์รักที่ผสมผสานไปกับความรู้สึกทางเพศ เมื่ออารมณ์แห่งเสน่หาเสริมกับความรักและกามารมณ์ อุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างจิตใจกับอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลก็จะหมดไป เมื่อนั้นอัจฉริยภาพในตัวก็จะเกิดขึ้น

บทที่ 13 จิตใต้สำนึก

สะพานเชื่อมต่อ

ขั้นตอนที่ 11 สู่ความร่ำรวย

จิตใต้สำนึกประกอบไปด้วยพลังความคิด ซึ่งผ่านมาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้วเข้ามาสู่จิตสำนึก พลังความคิดจะถูกจัดกลุ่ม และบันทึกไว้โดยจิตใต้สำนึก จะรับจัดเก็บความประทับใจ และความคิดโดยไม่มีการเลือก สามารถปลูกฝังแผนการ ความคิด หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ลงไปในจิตใต้สำนึก เพื่อที่จะแปรเปลี่ยนมันให้เป็นรูปธรรมหรือเป็นเงินทอง ปณิธานที่ผสมผสานด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และศรัทธาที่มีต่อศักยภาพของตัวเอง เป็นส่วนที่เข้มแข็งที่สุด

ดังนั้น มันจึงเป็นจุดแรกที่จะตอบสนองต่อจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน แม้มนุษย์ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก แต่จิตใต้สำนึกก็สามารถดึงเอาพลังแห่งอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล เอามาเป็นพลังในการแปรเปลี่ยนปณิธานให้กลายเป็นความจริง มันทำงานแบบตรงไปตรงมา และเห็นผลในทางปฏิบัติ

วิธีเพิ่มพลังจิตใต้สำนึกเพื่องานสร้างสรรค์ ถ้าสามารถเชื่อมต่องานที่ต้องการสร้างสรรค์เข้ากับจิตใต้สำนึกได้ ก็จะสามารถทำอะไรได้มากมาย ลำดับแรกต้องยอมรับเสียก่อนว่า จิตใต้สำนึกมีอยู่จริง และมันสามารถจะทำให้ได้บ้าง สิ่งนี้จะทำให้สามารถเข้าใจ ความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นสื่อกลาง ในการแปรเปลี่ยนปณิธานไปเป็นรูปธรรมหรือเงินทองที่เป็นจริง นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจความสำคัญ ของการทำให้ปณิธานมีความชัดเจนและเขียนมันออกมา ยังจำเป็นต้องใช้ความมุ่งมั่น เพื่อทำตามคำแนะนำอีกด้วย

จิตใต้สำนึกไม่เคยอยู่เฉย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ หากไม่ปลูกฝังปณิธานลงไปในจิตใต้สำนึก จะทำให้ความคิดทั้งเชิงลบและเชิงบวก เข้ามายังจิตใต้สำนึกอย่างต่อเนื่องและเจริญเติบโต ซึ่งมันเป็นผลจากการที่ละเลย ความคิดเหล่านี้มาจากแหล่งกำเนิด 4 ประการคือ

  1. จิตสำนึกของผู้อื่น
  2. จิตใต้สำนึกของตัวเอง
  3. จิตใต้สำนึกของผู้อื่น
  4. อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

ทุก ๆ วันพลังความคิดนานาชนิดได้เข้ามาสู่จิตใต้สำนึก ด้วยความที่ไม่รู้ พลังบางอย่างก็เป็นลบ บางอย่างก็เป็นบวก ความพยายามปิดกั้นพลังความคิดเชิงลบไม่ให้เข้ามา และชักนำจิตใต้สำนึกด้วยพลังความคิดเชิงบวกที่ปรารถนา เมื่อทำขั้นตอนนี้สำเร็จแล้ว จะได้ครอบครองกุญแจที่จะเปิดประตูสู่จิตใต้สำนึก ยิ่งไปกว่านั้นจะควบคุมประตูนั้นได้ทั้งหมด จนไม่มีความคิดที่ไม่พึงปรารถนาใด ๆ มากล้ำกรายจิตใต้สำนึกได้

ทุกสิ่งทุกอย่างที่สรรค์สร้างขึ้นมาเริ่มต้นจากพลังความคิด ความคิดทุกอย่างที่ต้องการเปลี่ยนให้เป็นความสำเร็จ จะต้องถูกปลูกฝังลงไปในจิตใต้สำนึก โดยผ่านทางจินตนาการและผสมผสานด้วยศรัทธา การผสมผสานด้วยศรัทธากับแผนการหรือเป้าหมาย ที่ตั้งใจจะส่งให้กับจิตใต้สำนึกสามารถทำได้ โดยผ่านจินตนาการเท่านั้น จากข้อความเหล่านี้คงชัดเจนแล้วว่า ถ้าต้องการใช้งานจิตใต้สำนึก จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ และประยุกต์ใช้หลักการแห่งความสำเร็จทั้ง 13 ข้อ

เคล็ดลับของการอธิษฐานอย่างได้ผล คนส่วนใหญ่หันเข้าหาการอธิษฐานก็ต่อเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลวแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็อธิษฐานไปตามพิธีโดยไม่รู้ความหมาย เมื่ออธิษฐานถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อธิษฐานด้วยความกลัวว่า อาจจะไม่ได้ตามที่ขอ หรือคำอธิษฐานอาจไม่ได้รับการตอบสนอง โดยอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล คำอธิษฐานก็จะไร้ประโยชน์ ในบางครั้งคำอธิษฐานก็เป็นผลจริงตามที่ขอ ถ้าเคยมีประสบการณ์ได้รับสิ่งที่อธิษฐานไว้ จงทบทวนและนึกถึงสภาวะจิตใจขณะที่กำลังอธิษฐาน แล้วจะรู้ดีว่าทฤษฎีที่ได้อธิบายนี้เป็นมากกว่าทฤษฎี

วิธีการที่ใช้สื่อสารกับอัจฉริยภาพแห่งจักรวาล คล้ายคลึงกับวิธีการการส่งเสียงด้วยคลื่นวิทยุ สถานีวิทยุนำเสียงของมนุษย์มาปรับเปลี่ยนคลื่นความถี่เป็นล้านเท่า ด้วยวิธีการนี้พลังงานเสียง จึงจะถูกส่งไปไกล ๆ เมื่อเครื่องรับวิทยุได้รับคลื่นเสียงความถี่สูงแล้ว ก็จะเปลี่ยนพลังงานนี้กลับไปเป็นคลื่นความถี่ที่ต่ำลง ๆ จนเท่ากับความถี่ของต้นกำเนิดเสียง ทำให้เกิดแรงที่ลำโพงจนกลายเป็นเสียงที่เหมือนกับต้นกำเนิด

จิตใต้สำนึกก็คือสื่อกลาง ที่จะแปลคำอธิษฐานหรือปณิธานให้อยู่ในรูปแบบที่อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล จะสามารถรับรู้ได้ ซึ่งจะย้อนกลับมาหาในรูปแบบของแผนการที่ชัดเจน หรือไอเดียที่จะทำให้บรรลุจุดประสงค์ที่ได้อธิษฐานขอไว้ เมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้วจะรู้ว่า ทำไมลำพังบทสวดอธิษฐานอย่างเดียว จึงไม่สามารถทำหน้าที่สื่อสารระหว่างจิตใจมนุษย์ และอัจฉริยภาพแห่งจักรวาลได้

บทที่ 14 ศักยภาพแห่งสมอง

สถานีรับส่งความคิด

ขั้นตอนที่ 12 สู่ความร่ำรวย

สมองของมนุษย์ทุกคน เป็นทั้งสถานีส่งและรับคลื่นความคิด ด้วยหลักการเดียวกันกับเครื่องรับวิทยุ สมองของมนุษย์ทุกคนสามารถจับคลื่นความคิด ที่ปล่อยออกมาจากสมองผู้อื่นได้ (จิตสังหรณ์และการหยั่งรู้) จินตนาการสร้างสรรค์ก็คือ สะพานเชื่อมต่อระหว่างจิตสำนึก หรือความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลกับแหล่งกำเนิดของความคิด ซึ่งมาจาก 4 แหล่งคือ

  1. จิตสำนึกของผู้อื่น
  2. จิตใต้สำนึกของตัวเอง
  3. จิตใต้สำนึกของคนอื่น
  4. อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล

เมื่อจิตใจถูกกระตุ้นหรือคลื่นความคิดมีกำลังแรงขึ้น มันจะไวต่อการรับความคิดที่มาจากแหล่งภายนอกมากขึ้น ขั้นตอนที่ทำให้คลื่นความคิดแรงขึ้นนี้ เกิดจากอารมณ์ทั้งเชิงบวกและลบ สมองที่ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์จะทำงานด้วยอัตราที่เร็วกว่า เมื่ออยู่ในภาวะปลอดจากอารมณ์หรือเงียบสงบ ผลของการที่คลื่นความคิดมีกำลังแรงขึ้น ทำให้จินตนาการสร้างสรรค์ไว ในการที่จะรับไอเดียต่าง ๆ มากขึ้น จิตใต้สำนึกเป็นสถานีส่งของสมอง ซึ่งทำหน้าที่ส่งและกระจายคลื่นความคิดออกไป การเสนอแนะตัวเองเป็นสื่อกลางที่จะใช้เชื่อมการทำงานกับสถานีส่ง ส่วนจินตนาการสร้างสรรค์ทำหน้าที่ภาครับ ที่จับพลังงานความคิดเอาไว้

พลังอันยิ่งใหญ่ที่จับต้องไม่ได้ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะจริงจังกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งไม่สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ เพิกเฉยต่อความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด เกี่ยวกับพลังที่จับต้องไม่ได้ หรือไม่สามารถอธิบายได้ ทั้ง ๆ ที่ถูกควบคุมดูแลจากพลังที่มองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท้ายที่สุดด้วยวัฒนธรรมและการศึกษาทั้งหมดที่มี ก็ยังคงมีความเข้าใจน้อยหรือไม่เข้าใจเลย กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นก็คือ ความคิด

อย่างไรก็ตาม ได้เริ่มที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานที่ซับซ้อนของสมองมากขึ้น ผลที่ได้น่าทึ่งมาก รู้ว่าจุดเชื่อมต่อเส้นใยประสาท ที่เปรียบเหมือนสวิทช์ควบคุม การรับส่งกระแสประสาทนั้นมีมากมายมหาศาล เครือข่ายที่ซับซ้อนนี้ มีหน้าที่เชื่อมโยงกันเพื่อให้แต่ละส่วนของร่างกายทำหน้าที่ และเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม ทั้งหมดนี้เป็นระบบเดียวกันกับการที่เซลล์สมอง นับพันล้านเซลล์ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน นอกจากนี้มันยังเป็นระบบที่ทำให้ เกิดการสื่อสารของพลังที่จับต้องไม่ได้อื่น ๆ อีกด้วย

วิธีการที่จะรวมใจกันทำงานเป็นทีม เรื่องภาวะที่อยู่ภายใต้จิตใจ ซึ่งตอบสนองต่อสิ่งที่เรียกว่า การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษ ซึ่งได้ค้นพบสิ่งที่เชื่อว่า เป็นภาวะที่จะกระตุ้นจิตใจเพื่อให้สัมผัสที่ 6 สามารถทำงานได้ จนค้นพบวิธีการกระตุ้นจิตใจให้รวมเป็นหนึ่งเดียว วิธีการนั้นง่ายมาก วิธีการกระตุ้นจิตใจนี้ได้ทำให้เกิดสิ่งแปลกประหลาด ในการที่จะติดต่อกับแหล่งความรู้ที่ไม่รู้จัก และนอกเหนือประสบการณ์นี่คือ วิธีการกระตุ้นจิตใจด้วยการปรึกษาหารือในเรื่องที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการอธิบายการระดมความคิดที่ง่าย และให้ผลในทางปฏิบัติที่สุด

เมื่อเข้าถึงพลังแห่งทีมระดมความคิดแล้ว จะพบว่ายิ่งทำงานร่วมกันมากเท่าใด สมาชิกแต่ละคนก็ยิ่งได้เรียนรู้ที่จะคาดการณ์ความคิดของคนอื่น สามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยความกระตือรือร้น และเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากขึ้น เมื่อใช้มันมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น

บทที่ 15 ประสาทสัมผัสที่ 6

ประตูสู่ปัญญา

ขั้นตอนที่ 13 สู่ความร่ำรวย

อัจฉริยภาพแห่งจักรวาล จะใช้ประสาทสัมผัสที่ 6 นี้เพื่อสื่อสาร โดยไม่ต้องใช้ความพยายามหรือร้องขอใด ๆ หลักการนี้เป็นส่วนยอดบนสุดของปรัชญาแห่งความสำเร็จ จะสามารถซึมซับ เข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ก็ต่อเมื่อ ได้ควบคุมหลักการอื่น ๆ ทั้ง 12 ประการแล้วเท่านั้น ประสาทสัมผัสที่ 6 เป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึก ที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการสร้างสรรค์ และยังเกี่ยวข้องกับภาครับที่ซึ่งไอเดีย แผนการ และประกายความคิดจะเข้ามาสู่จิตใจ บางครั้งเรียกประกายความคิดนี้ว่า ความสังหรณ์ใจหรือแรงบันดาลใจ

ความมหัศจรรย์แห่งประสาทสัมผัสที่ 6 มีพลังอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นแหล่งกำเนิดแรก ๆ ที่แทรกตัวอยู่ในทุก ๆ อะตอมของสสาร และกระจายตัวอยู่ในทุกอณูของพลังงาน ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ สิ่งนั้นคืออัจฉริยภาพแห่งจักรวาล อันเป็นสิ่งซึ่งเปลี่ยนผลโอ๊คให้กลายเป็นต้นโอ๊ค ทำให้กระแสน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก รักษาสมดุลของทุกหนแห่ง และสัมพันธภาพของทุกสิ่ง อัจฉริยภาพนี้สามารถช่วยเปลี่ยนปณิธานไปสู่สินทรัพย์

ให้ผู้ยิ่งใหญ่เปลี่ยนชีวิต สิ่งที่ดีที่สุดคือพยายามเอาอย่างวีรบุรุษ เพื่อให้เท่าเทียมกับท่าน โดยพยายามทำตัวให้เหมือน ชอบ และรู้สึกเหมือนท่านเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ทำให้มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ วิธีการก็คือก่อนที่จะเข้านอนในตอนกลางคืน ให้หลับตาแล้วจินตนาการเห็นกลุ่มบุคคลนี้ นั่งรายล้อมร่วมโต๊ะประชุม ที่นี่เป็นที่ที่ได้นั่งอยู่ท่ามกลางคน ที่พิจารณาแล้วว่ายิ่งใหญ่ โดยทำหน้าที่หลักด้วยการเป็นประธานในที่ประชุม

มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการใช้จินตนาการกับวิธีการนี้ เป้าหมายนั้นคือการสร้างบุคลิกภาพของตัวเองขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เกิดการผสมผสานแห่งบุคลิกภาพที่มาจากที่ปรึกษาแต่ละคนในจินตนาการ เป็นการเอาชนะอุปสรรคของการถือกำเนิด และเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดการเอาใจใส่และงมงาย ได้จัดการทำให้ตัวเองเกิดใหม่ ผ่านวิธีการที่ได้อธิบายไปข้างต้น

เปิดแหล่งสร้างแรงบันดาลใจ มีบางส่วนของเซลล์สมองที่สามารถรับคลื่นความคิดที่เรียกว่าความสังหรณ์ใจ มนุษย์สามารถรับความรู้จากแหล่งอื่น ที่นอกเหนือจากประสาทสัมผัสได้ โดยทั่วไปแล้ว ความรู้ถูกรับรู้ได้เมื่อจิตใจอยู่ภายใต้อิทธิพล ของการกระตุ้นที่ต่างไปจากปกติ ภาวะฉุกเฉินใดก็ตาม ที่กระตุ้นอารมณ์และเป็นเหตุให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสที่ 6 ทำงาน

ใครก็ตามที่มีประสบการณ์ที่เกือบจะเกิดอุบัติเหตุ ขณะขับรถยนต์จะรู้ว่า ประสาทสัมผัสที่ 6 มักมาช่วยชีวิตให้พ้นจากอุบัติเหตุในเสี้ยววินาทีสำคัญ ประสาทสัมผัสที่ 6 ไม่ใช่อะไรที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะสามารถเอาออกไป หรือนำพาเข้ามาตามความตั้งใจได้ ความสามารถที่จะใช้พลังอันยิ่งใหญ่นี้จะเกิดขึ้นช้า ๆ ผ่านการประยุกต์ใช้หลักการอื่น ๆ ไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร สามารถที่จะได้รับประโยชน์ แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจถ่องแท้ถึงวิธีการ และเหตุผลของหลักการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป้าหมายหลักคือ การสะสมเงินทองหรือทรัพย์สิน

บทที่ 16 หกปีศาจร้ายแห่งความกลัว

มีอยู่กี่ตัวที่ขวางทางอยู่

ก่อนที่จะสามารถนำปรัชญานี้ไปใช้เพื่อความสำเร็จ ต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมที่จะรับมันเสียก่อน ซึ่งการเตรียมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เริ่มต้นจากการศึกษา วิเคราะห์ และทำความเข้าใจกับศัตรู 3 ประการอย่างถ่องแท้คือ ความไม่กล้าตัดสินใจ ความลังเลสงสัย และความกลัว สัมผัสที่ 6 จะไม่ทำงานในขณะที่ศัตรูทั้ง 3 หรือตัวใดตัวหนึ่งอยู่ในจิตใจ ศัตรูทั้ง 3 นี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อเจอศัตรูตัวหนึ่งก็มักจะมีอีก 2 ตัวอยู่ใกล้ ๆ เสมอ ก่อนที่จะจัดการกับศัตรู ต้องรู้จักชื่อ นิสัยของมัน และจุดที่จะโจมตีมันเสียก่อน จงพิจารณาตัวเองว่ามีความกลัวทั้ง 6 ซ่อนอยู่ด้วยหรือไม่ และจำไว้ว่าบางทีพวกมันอาจซ่อนตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกก็ได้ ซึ่งเป็นการยากที่จะค้นพบ และยากยิ่งกว่าในการกำจัดมัน

ความกลัวพื้นฐาน 6 ประการ มีความกลัวพื้นฐาน 6 ประการที่ทำให้คนเราทุกคนต้องเป็นทุกข์ คนที่โชคดีมักไม่ต้องเผชิญกับความกลัวทั้ง 6 นี้ ความกลัวที่นอกเหนือจากนี้ไม่ค่อยมีความสำคัญนัก และเป็นเพียงข้อปลีกย่อยของความกลัวเหล่านี้ ความกลัวเป็นสภาวะจิตใจอย่างหนึ่ง และสภาวะจิตใจก็เป็นสิ่งที่สามารถควบคุมและชี้นำมันได้ ธรรมชาติได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุมทุกสิ่ง แต่ยกเว้นอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ ความคิด ทุกความคิดมีแนวโน้มที่จะปรับแต่งตัวมันเองไปเป็นรูปธรรม จึงเป็นความจริงเช่นกันว่า พลังความคิดแห่งความกลัว และความยากจนจะไม่สามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นความกล้าหาญ และผลประโยชน์ทางการเงินได้เลย

ความกลัวพื้นฐานแรก กลัวความยากจน ไม่มีการประนีประนอมกันระหว่างความยากจนและความร่ำรวย ถนน 2 สายที่นำไปสู่ความยากจนและความร่ำรวย ไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม จุดเริ่มต้นที่นำทางไปสู่ความร่ำรวยก็คือปณิธาน ถ้าต้องการจะร่ำรวยจงกำหนดรูปแบบของความร่ำรวย และจำนวนที่พอใจ รู้จักเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย และก็มีแผนที่นำทาง แล้วถ้าเดินไปตามทางนั้นจะไม่หลงทาง แต่ถ้าไม่ยอมเริ่มต้นหรือหยุดก่อนที่จะไปถึง จะไม่มีใครต่อว่านอกจากตัวเอง นี่คือสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ

ความกลัวความยากจนเป็นสภาวะหนึ่งของจิตใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำลายโอกาสแห่งความสำเร็จได้ ความกลัวจะทำให้ความสามารถในการใช้เหตุผลอ่อนแอลง ทำลายจินตนาการสร้างสรรค์ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง บั่นทอนความกระตือรือร้น ความกล้าหาญ และความคิดริเริ่มที่นำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ กระตุ้นให้เกิดการผัดวันประกันพรุ่ง ทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้นอนไม่หลับ ทุกข์ทรมาน และไม่มีความสุข ทั้ง ๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกที่มีสิ่งต่าง ๆ มากมายให้ไขว่คว้า

แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน จะไม่มีวันได้สิ่งที่ปรารถนาเลย ไม่มีสิ่งใดนำความทุกข์ยากและทำให้รู้สึกต่ำต้อยได้เท่ากับความยากจน มีเพียงคนที่มีประสบการณ์ยากจนมาแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง อาการของความกลัวยากจน

  1. ความไม่ใส่ใจ โดยทั่วไปแล้วจะแสดงออกให้เห็นจากความไม่ทะเยอทะยาน เต็มใจจะอดทนต่อความยากจน ยอมรับชะตาชีวิตโดยไม่คัดค้าน เกียจคร้านทั้งกายและใจ
  2. ไม่กล้าตัดสินใจ รีรอ หลีกเลี่ยงการตัดสินใจ
  3. ความลังเลสงสัย มักมีข้อแก้ตัว ข้ออ้างมาปกปิดและอธิบาย หรือขอโทษในความล้มเหลว
  4. วิตกกังวล มีแนวโน้มจะใช้จ่ายเกินตัว เพิกเฉยต่อภาพลักษณ์ของตัวเอง
  5. รอบคอบมากเกินไป นิสัยที่มองหาแต่แง่ลบของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
  6. ผัดวันประกันพรุ่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ควรทำ ใช้เวลาไปกับการคิดหาคำขออภัยมากกว่าเอาเวลาไปทำงาน

แม้ว่าเงินเป็นเพียงเศษโลหะหรือเศษกระดาษ แต่มันอาจเป็นสิ่งสูงค่าในหัวใจและจิตวิญญาณ ซึ่งไม่สามารถหาซื้อมาได้ด้วยเงินทอง สำหรับคนที่สิ้นเนื้อประดาตัว จะไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ในใจ และในจิตวิญญาณได้

เมื่อชายคนหนึ่งตกต่ำ ถูกไล่ออกจากงาน และเดินไปตามถนน เขาหางานทำไม่ได้เลย มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของเขา ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้จากไหล่ที่ตก ท่าเดิน และแววตาของเขา เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่เขามีงานทำกัน เขาก็ไม่สามารถหนีความรู้สึกต่ำต้อยไปได้ แม้เขาจะรู้ว่าคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีคุณสมบัติ ความเฉลียวฉลาด หรือความสามารถมากไปกว่าเขาเท่าไหร่นัก

ตรงกันข้ามกับผู้คนที่มีงานทำ หรือแม้แต่เพื่อนของเขาเอง ก็รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า และบางทีอาจรู้สึกสมเพจโดยไม่รู้ตัว มันเป็นเพียงเพราะเงินที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น แม้มีเงินเพียงน้อยนิด เขาก็จะได้ตัวตนกลับคืนมา

ความกลัวพื้นฐานที่ 2 กลัวถูกตำหนิติเตียน ความกลัวถูกตำหนิติเตียนนี้อยู่ในสายเลือด เพื่อกระตุ้นเตือนไม่ให้เอาของมีค่าของคนอื่นไป และยังใช้การทำติเตียนพฤติกรรมคนอื่น เพื่อเป็นการแสดงออกในการปกป้องตัวเอง ความกลัวจะถูกตำหนิติเตียนแย่งชิงความคิดริเริ่มไป ทำลายพลังแห่งจินตนาการ จำกัดบุคลิกเฉพาะตัว ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองสูญเสียไป ทำให้เกิดความเสียหายมากมายหลายรูปแบบ

การวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งซึ่งคนเรามักมีกันทุกคน ทุกคนมักมีเก็บไว้ในใจแล้วพร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับผู้อื่น ไม่ว่าจะได้รับการร้องขอหรือไม่ก็ตาม การตำหนิติเตียนจะปลูกฝังความกลัวหรือความไม่พอใจลงไปในจิตใจมนุษย์ โดยไม่ได้สร้างความรัก และความพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย

อาการของความกลัวถูกตำหนิติเตียน ความกลัวนี้เป็นสากลเช่นเดียวกับความกลัวจน และส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของคนเรา สาเหตุหลักคือความกลัวชนิดนี้ จะทำลายความคิดริเริ่ม และบั่นทอนการใช้จินตนาการ อาการหลัก ๆ ของความกลัวนี้คือ

  1. ความรู้สึกละอายตัวเอง มีอาการวิตกกังวลไม่กล้าพูดต่อหน้าที่ชุมนุมชน
  2. ขาดความมั่นใจ แสดงอาการด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักแน่น
  3. บุคลิกภาพที่อ่อนแอ ขาดการตัดสินใจที่แน่นอน ไม่มีเสน่ห์ ไม่สามารถแสดงความคิดเห็น
  4. รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย มีนิสัยยอมรับสภาพ โดยพยายามปกปิดความรู้สึกต่ำต้อยของตัวเอง
  5. ความฟุ่มเฟือย ติดนิสัยในการพยายามที่จะทำตัวเอง ให้ทัดเทียมผู้อื่นและใช้จ่ายเกินตัว
  6. ปราศจากความคิดริเริ่ม ล้มเหลวที่จะฉกฉวยโอกาสเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง

7.ขาดความทะเยอทะยาน เกียจคร้านทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ยืนหยัดในความคิดของตัวเอง ตัดสินใจช้า ถูกชักจูงได้ง่าย

ความกลัวพื้นฐานที่ 3 กลัวความเจ็บป่วย มนุษย์อาจถ่ายทอดความกลัวนี้ต่อ ๆ กันมาทั้งทางร่างกายและสังคม โดยมีความสัมพันธ์กับสาเหตุแห่งความกลัวแก่และกลัวตาย กลัวความเจ็บป่วยก็เพราะภาพอันน่ากลัวที่ฝังอยู่ในจิตใจว่า อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อตายไปแล้ว ยังกลัวโรคภัยไข้เจ็บ เพราะค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้รักษาตัว เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวเจ็บป่วย ฝังอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคน ความวิตกกังวล ความกลัวความผิดหวัง สามารถเป็นสาเหตุในการกระตุ้นให้เมล็ดพันธุ์นี้งอกงาม และเจริญเติบโตมากขึ้น อาการของความกลัวเจ็บป่วยมีดังนี้

  1. การเสนอแนะตัวเอง ติดนิสัยชอบใช้การเสนอแนะตัวเองในเชิงลบ และครุ่นคิดถึงอาการของโรคต่าง ๆ
  2. วิตกกังวลว่าตัวเองป่วยเป็นโรค มีนิสัยชอบพูดคุยเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ
  3. การออกกำลังกาย มักจะรบกวนการออกกำลังกายที่เหมาะสมดีอยู่แล้ว และเป็นผลทำให้น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์
  4. ความต้านทานโรคไม่ดี ความกลัวความเจ็บป่วยจะลดหภูมิต้านทานโรคตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย
  5. สำออย ติดนิสัยชอบขอความเห็นอกเห็นใจ เสแสร้งเจ็บป่วยเพื่อปกปิดความเกียจคร้าน
  6. ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ติดนิสัยชอบใช้สุรา หรือยาเสพติดเพื่อลดความเจ็บปวด แทนที่จะรักษาที่สาเหตุ
  7. ชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ แล้วตัวเองก็กังวลเป็นทุกข์ตามเรื่องที่อ่าน

ความกลัวพื้นฐานที่ 4 กลัวการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ความอิจฉาริษยาและโรคประสาท อาการอิจฉาริษยาล้วนเกิดมาจากความกลัวการสูญเสียคนที่รัก ความกลัวนี้ทำให้เจ็บปวดที่สุดในบรรดาความกลัวพื้นฐานทั้งหมด บางทีมันยังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อร่างกายและจิตใจมากกว่าความกลัวอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งอาการของความกลัวสูญเสียความรักก็มีดังนี้

  1. อิจฉาริษยา มีนิสัยระแวงเพื่อน ๆ และคนรัก
  2. ชอบจับผิด มีนิสัยชอบจับผิดด้วยเรื่องขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือบางทีก็ไม่มีเหตุผลเลย
  3. ชอบการพนัน มีนิสัยชอบการพนัน ขโมย ทุจริต ชอบเสี่ยงโชคเพื่อหาเงินทอง

ความกลัวพื้นฐานที่ 5 กลัวความแก่ชรา ต้นเหตุของความกลัวนี้มีอยู่ 2 ประการประการแรกคิดว่าอายุมากขึ้นอาจนำมาซึ่งความยากจน ประการที่ 2 กังวลว่าจะมีเรื่องเลวร้ายรออยู่เมื่ออายุมากขึ้น สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของความกลัวแก่ชรา สัมพันธ์กับแนวโน้มที่จะยากจนข้นแค้น มันสร้างความรู้สึกอ้างว้างขึ้นในจิตใจของทุกคน ที่มีโอกาสต้องรับการสงเคราะห์ในบั้นปลายแห่งชีวิต อีกสาเหตุหนึ่งของความกลัวนี้คือ การที่คนเราอายุมากขึ้น ย่อมมีโอกาสที่จะเจ็บไข้ได้ป่วยมากขึ้น สาเหตุอื่น ๆ วัยชรานำมาซึ่งการสูญเสียอิสรภาพแห่งร่างกายและเศรษฐกิจ โดยอาการของความกลัวแก่ชราก็มีดังนี้

  1. ขาดความกระตือรือร้น มีแนวโน้มทำอะไรช้าลง
  2. หมกมุ่นอยู่กับคำพูดบางคำ ติดนิสัยขออภัยกับตัวเองสำหรับความแก่ชรา แทนที่จะมองในมุมกลับ และพึงพอใจในตัวเองที่ฉลาด รอบคอบ และเข้าใจโลกมากขึ้น
  3. แต่งกายและวางบุคลิกท่าทางไม่เหมาะสม ด้วยการพยายามทำตัวและแต่งตัวเหมือนวัยรุ่น

ความกลัวพื้นฐานที่ 6 กลัวตาย สำหรับบางคนแล้วมันเป็นความกลัวที่โหดร้ายที่สุดในบรรดาความกลัวทั้งหมด เหตุผลนั้นชัดอยู่แล้ว เนื่องจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของความตาย แนวคิดการลงโทษกับชีวิตหลังความตาย ทำลายความน่าสนใจและความสุขในชีวิต ทุก ๆ ความคิดที่เกิดตามจินตนาการว่า จะเป็นจริงตามนั้น จะทำให้ระบบเหตุผลเสียไป และสร้างความกลัวตายขึ้นมาแทน

ชีวิตคือพลังงาน ถ้าไม่สามารถทำลายสสารและพลังงานได้ แน่นอนชีวิตย่อมถูกทำลายไม่ได้เหมือนกับพลังงานรูปแบบอื่น ที่ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ในการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถทำลายมันได้ ความตายเป็นการเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น ถ้าความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบเท่านั้น จึงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังความตาย นอกจากการนอนหลับอย่างยาวนาน และเป็นนิรันดร์ โดยอาการของความกลัวตายนั้นมีดังต่อไปนี้

  1. นิสัยย้ำคิดเกี่ยวกับความตาย แทนที่จะใช้ชีวิตให้คุ้มค่า
  2. บางครั้งความกลัวตายก็สัมพันธ์ใกล้ชิดกับความกลัวยากจน เนื่องจากความตายทำให้คนผู้นั้นต้องทอดทิ้งคนรัก ให้เผชิญกับความยากจน
  3. สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของความกลัวตายก็คือ โรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน ไม่มีงานทำ ผิดหวังจากความรัก วิกลจริต ความคลั่งไคล้ทางศาสนา

สิ่งเดียวที่สามารถควบคุมได้โดยสิ้นเชิง คือความคิด นี่เป็นความจริงที่สำคัญที่สุดในบรรดาข้อเท็จจริงทั้งหลายของมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติที่มาจากสวรรค์ ความสามารถในการควบคุมความคิดนั้น อาจจะมีความหมายเดียวกันกับการที่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้ ถ้าล้มเหลวที่จะควบคุมจิตใจตัวเอง ก็มั่นใจได้เลยว่าจะไม่สามารถควบคุมสิ่งอื่นใดได้อีกเลย จิตใจเป็นสินทรัพย์แห่งจิตวิญญาณ จงปกป้องมันและดูแลสิ่งซึ่งสวรรค์ประทานมาให้นี้

การควบคุมจิตใจเป็นผลมาจากการมีระเบียบวินัยในตัวเอง วิธีที่ให้ผลในทางปฏิบัติมากที่สุดในการควบคุมจิตใจก็คือ การสร้างนิสัยที่จะทำตัวเองให้ยุ่งอยู่กับเป้าหมายที่แน่นอน ด้วยแผนการที่วางไว้อย่างเป็นระบบ จงศึกษาประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วจะพบว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่ควบคุมจิตใจตัวเองได้ และชักนำมันจนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ถ้าปราศจากการควบคุมนี้ ความสำเร็จย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้

สั่งซื้อหนังสือ “THINK & GROW RICH คิดแล้วรวย” (คลิ๊ก)