สรุปหนังสือ The 4-Hour Workweek
ทำน้อยแต่รวยมาก
The 4 Hour Workweek กลายเป็นหนังสือยอดฮิตติดอันดับยาวนาน และทุก ๆ เดือนจะนำมาซึ่งเรื่องราวใหม่ ๆ และค้นพบใหม่ ๆ จากนิตยสาร Economist จนมาถึงปก New York Times Style จากถนนในดูไบจนถึงคาเฟ่ในเบอร์ลิน การออกแบบไลฟ์สไตล์ได้ก้าวข้ามวัฒนธรรม จนกลายเป็นรูปแบบสากล ความคิดดั้งเดิมของหนังสือเล่มนี้ถูกแยกส่วน ปรับปรุง และทดสอบในสภาพแวดล้อม และวิถีทางที่ไม่เคยจินตนาการถึงมันมาก่อน ครอบครัวหรือนักศึกษา CEO หรือคนไม่มีที่หลักแหล่ง เลือกได้ควรจะมีสักคนที่สามารถเลียนแบบชีวิตของเขาได้ อยากได้แนวทางเจรจาเพื่อทำงานจากนอกบริษัท ได้รับค่าจ้างทั้งที่พักผ่อนอยู่ในอาร์เจนตินา
สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมโหฬารตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2007 กิจการธนาคารล่วงดิ่งกองทุนบำนาญและเกษียณอายุสลายตัวไป ตำแหน่งงานหายสาบสูญ ผู้อ่านและคนที่มีข้อกังขาในใจต่างก็มีคำถามเหมือนกันว่า หลักการและเทคนิคต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้จะใช้ยังไงให้ได้ผลช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้หรือไม่ มันได้ผลและมันก็ใช้ได้ผล การจัดลำดับความสำคัญและการตัดสินใจจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ถ้าไม่สามารถเกษียณตัวเองจากการทำงานได้อีกต่อไป นี่ไม่ใช่เหตุการณ์สมมติ คนนับล้านได้เห็นพอร์ตเงินออมของตัวเองล่วงดิ่งลงมาถึง 40% หรือยิ่งกว่านั้นในแง่ของมูลค่า และกำลังมองหาทางเลือกที่ 3 และ 4 พวกเขาจะสามารถเกษียณตัวเองจากการทำงานได้หรือไม่
เมื่อเจอเศรษฐกิจดิ่งเหว แนวคิดของการออกแบบไลฟ์สไตล์ เพื่อนำมาทดแทนแผนการในชีวิต ที่มีหลายช่วงหลายระดับนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันยิ่งกว่ายืดหยุ่นอีก และช่วยอำนวยให้ได้ทดลองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันออกไป โดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองอยู่กับแผนการเกษียณอายุ ที่ยาวนานเป็น 10 หรือ 20 ปี ซึ่งมันสามารถจบลงไปได้ทุกเมื่อ ในเมื่อความผันผวนของตลาดเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ผู้คนกำลังเปิดกว้างเพื่อมองหาทางเลือกอื่น ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อทางเลือกที่ครั้งหนึ่งเคยปลอดภัยกลับล้มเหลวขึ้นมาแล้ว
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แล้วจะผิดตรงไหนถ้าจะทดลองอะไร ๆ ที่อยู่นอกบรรทัดฐานฐานเดิม ๆ แทบไม่มีอะไรต้องเสีย ไม่ว่าจะเป็นการหยุดพักร้อนยาวตลอดปี ไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ การปรับโครงสร้างชีวิตท่ามกลางปัญหาทางธุรกิจอันวุ่นวาย หรือความฝันที่พักผ่อนเอาไว้ด้วยคำว่า สักวันหนึ่งนะ มันไม่มีเวลาไหนจะเหมาะสำหรับการทดลองความคิดนอกกรอบเท่ากับเวลานี้แล้ว
ไลฟ์สไตล์ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะไหม เป็นไปได้มากว่าเหมาะ เหล่านี้เป็นข้อสงสัยและความหวั่นใจอันดับต้น ๆ ที่ผู้คนต่างก็มีให้กันก่อนที่จะก้าวกระโดดเข้าร่วมเป็นเศรษฐีแนวใหม่ (New Rich) ต้องลาออกจากงานหรือเกลียดงานที่ทำหรือเปล่า จะต้องเป็นคนกล้าเสี่ยงหรือเปล่า ไม่ต้องเลยแม้แต่ข้อเดียว การใช้ทริกเจไดในการหายตัวไปจากออฟฟิศ เพื่อออกแบบธุรกิจที่จะทำเงินให้กับไลฟ์สไตล์ มันมีวิถีทางที่ทำได้อย่างสบายใจ พนักงานของบริษัทติดอันดับ 500 อันดับแรกของนิตยสารฟอร์จูน ไปค้นหาอัญมณีที่ประเทศจีนเป็นเวลานานนับเดือน โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อปกปิดเส้นทาง และเดินทางของตัวเองได้ สร้างธุรกิจที่ทำเงินให้เดือนละ 80,000 เหรียญ โดยไม่ต้องไปคอยบริหารจัดการเลยได้ยังไง คำตอบทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว
หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับทุกคนที่เบื่อหน่ายกับแผนชีวิตที่ต้องรอไปก่อน และอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่แทนที่จะผัดผ่อนมันต่อไป ถ้าเอียนเต็มทีกับทางเลือกตามกรอบแบบเดิม ๆ และพร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยทางเลือกอันไร้ขอบเขต มันเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่เรียกว่าเศรษฐีแนวใหม่ การสะสมทองคำเป็นเรื่องตกยุคไปแล้ว กลุ่มเศรษฐีแนวใหม่นั้น เป็นพวกที่โยนแผนชีวิตที่จะจ้องคอยเลื่อนเวลา ในการหาความสุขออกไปก่อนทิ้ง แล้วสร้างไลฟ์สไตล์อันสุขสมบูรณ์ขึ้นมา โดยนำแนวคิดสำคัญของการเป็นเศรษฐีแนวใหม่มาใช้ เวลาและอิสระนี่คือศาตร์และศิลป์ที่จะเรียกมันว่า การออกแบบไลฟ์สไตล์ (LD) ผสมผสานมันให้เป็นไปในแบบที่ปรารถนา มันง่ายกว่าที่คิดมาก การเดินทางจากคนที่ต้องหักโหมงานหนัก และรับค่าตอบแทนต่ำกว่าความเป็นจริงไป สู่การเป็นสมาชิก New Rich นั้นมันประหลาดยิ่งกว่านิยาย และตอนนี้ได้ถอดรหัสลับออกมาแล้วทำตามได้ไม่ยากเลย มันมีสูตรอยู่ความจริงอย่างน้อยก็ความจริงที่ได้เจอมา และกำลังจะเล่าให้ฟังในหนังสือเล่มนี้ มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของค่าเงิน ไปจนถึงการจ้างคนภายนอกมาช่วยจัดการชีวิตให้ แสดงให้เห็นถึงการใช้ทริกลับ ๆ ทางด้านการเงินอย่างชำนิชำนาญ เพื่อทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้
อันดับแรกสุด
ไม่ว่าความฝันจะเป็นการไม่ต้องทนทำงานอย่างพะอืดพะอม ได้ท่องเที่ยวอย่างที่ฝันไว้ ได้เดินทางยาว ๆ ได้สร้างสถิติโลกหรือแค่ได้เปลี่ยนอาชีพที่ทำ แทนที่จะต้องรอจนเกษียณ มันมีวิธีที่จะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานหนักมาตลอดชีวิต โดยไม่ต้องรอให้ถึงบั้นปลาย ผู้คนไม่ได้อยากจะเป็นมหาเศรษฐีหรอก พวกเขาอยากจะสัมผัสชีวิตแบบที่พวกเขาเชื่อว่าเงินล้านเท่านั้นที่จะซื้อได้ต่างหาก เงิน 1 ล้านเหรียญในธนาคารไม่ใช่ความฝัน ความฝันคือไลฟ์สไตล์อันอิสระเสรีเต็มที่ที่เงินจำนวนนั้นควรจะมอบให้ได้ต่างหาก
ที่นี้คำถามก็คือ จะมีไลฟ์สไตล์ที่สุดเสรีดั่งเศรษฐีเงินล้านได้โดยไม่ต้องมีเงิน 1 ล้านเหรียญก่อนได้ยังไง หัวใจสำคัญเพียงข้อเดียวของการเป็นผู้กำหนดข้อตกลง คุณสมบัติของการเป็นผู้กำหนดข้อตกลงนั้นง่ายมาก นั่นคือความจริงเป็นสิ่งต่อรองได้ มันอยู่นอกกรอบของความเป็นวิทยาศาสตร์และกฎเกณฑ์ กฎทั้งหลายล้วนบิดงอได้ และนั่นไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงการทำผิดศีลธรรมด้วย คำว่าข้อ ตกลง ของการเป็นผู้กำหนดข้อตกลงนั้น เป็นตัวย่อของกระบวนการในการกลายเป็นเศรษฐีแนวใหม่ ขั้นตอนและกลยุทธ์ทั้งหลายสามารถสร้างผลลัพธ์อันเหลือเชื่อให้ได้ ในการเพิ่มรายได้ให้ตัวเองเป็น 2 เท่า ลดเวลาการทำงานเหลือเพียงครึ่ง หรืออย่างน้อยก็ทำให้มีเวลาพักร้อนเพิ่มขึ้นอีกสักเท่าตัว นี่คือกระบวนการแต่ละขั้นตอนที่จะใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ต ย่อมาจาก ตั้งนิยามใหม่ การทำความรู้จักกับกฎเกณฑ์ และเป้าหมายของเกมใหม่
ก ย่อมาจาก กำจัด กำจัดความคิดคร่ำครึเกี่ยวกับการบริหารเวลาทิ้งไป การทำให้ผลลัพธ์การทำงานต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าหรือมากกว่านั้น ด้วยเทคนิคอันท้าทายสัญชาตญาณของเศรษฐีแนวใหม่
ล ย่อมาจาก ลื่นไหล ปล่อยให้กระแสเงินสดขับเคลื่อนตัวมันเอง โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยน การจ้างงานภายนอก และกฎของการไม่ต้องตัดสินใจ
ง ย่อมาจาก ง้างโซ่ตรวน นี่คือสุดยอดหัวใจที่ทั่วโลกปรารถนา แนวคิดเรื่องการลองชิมลางเกษียณแบบย่อม ๆ การง้างโซ่ตรวนนั้นไม่ได้หมายถึงการเดินทางท่องเที่ยวแบบทั่วไป แต่หมายถึงการทำลายกรอบที่ปิดกั้นเอาไว้ให้อยู่แต่ในที่แห่งเดียว
เหล่าลูกจ้างทั้งหลายควรจะทำความเข้าใจกระบวนการของ ตกลง ในแบบของเจ้าของกิจการ แต่นำมาทำให้สำเร็จด้วยการสลับขั้นตอนเสียงใหม่เป็น ตกงล ถ้าตัดสินใจที่จะทำงานเดิมต่อไป ก็จำเป็นที่จะต้องสร้างอิสรภาพทางด้านสถานที่ ก่อนที่จะลดชั่วโมงการทำงานลง 80% หรือต่อให้ไม่เคยมีความคิดที่จะกลายเป็นเจ้าของกิจการเลย กระบวนการตกลงนี้ก็จะช่วยทำให้กลายเป็นเจ้าของกิจการอย่างแท้จริง
ขั้นที่ 1 ต คือ ตั้งนิยามใหม่
ข้อควรระวังและข้อเปรียบเทียบ
อะไรที่แยกเศรษฐีแนวใหม่ผู้มีทางเลือกในชีวิต ออกจากเหล่าเศรษฐีตอนแก่ หรือบรรดาคนที่เก็บสะสมเงินทั้งหมดไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต เพื่อที่จะพบว่าชีวิตได้ผ่านเลยพวกเขาไปนานแล้ว มันเริ่มมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย เศรษฐีแนวใหม่ไม่สามารถแยกตัวออกจากแรงผลักดันที่เกิดจากเป้าหมายชีวิตของพวกเขาได้ สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนอยู่ในการจัดลำดับความสำคัญ และปรัชญาการใช้ชีวิตของพวกเขา ความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยในคำเรียกนี่แหละ ที่เปลี่ยนวิถีปฏิบัติที่สำคัญ ในการทำสิ่งที่เมื่อมองดูเว็บแรก เหมือนจะเป็นเป้าหมายเดียวกันให้สำเร็จลงได้ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่สำหรับเจ้าของกิจการเท่านั้น เพราะในตอนแรกมันถูกใช้สำหรับลูกจ้าง
ลงจากรถไฟสายที่ผิดนั่น พอแล้วก็คือพอเลิกแห่ทำตามคนอื่นเขาสักที การก้มหน้าหาเงินอย่างหน้ามืดตามัวเป็นเรื่องที่คนไม่ฉลาดเขาทำกัน การเพลิดเพลินกับการลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศมากมายในโลก ขณะอยู่ที่สุดยอดลานสกีชั้นนำ และใช้ชีวิตเยี่ยงราชา นอนเอกเขนกอยู่ริมสระว่ายน้ำของวิลล่าตากอากาศส่วนตัว มีความลับเล็ก ๆ บางอย่างที่ไม่ค่อยจะแย้มให้ใครรู้เท่าไหร่ จะบอกว่าทั้งหมดนี้ถูกกว่าการเช่าห้องเช่าในอเมริกาอีก เพียงแค่มีอิสรภาพด้านเวลาและสถานที่ เงินจะมีค่าขึ้น 3 ถึง 10 เท่าโดยอัตโนมัติทีเดียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเลย การมีเงินเป็นฟ่อนกับความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างมหาเศรษฐี เป็น 2 สิ่งที่แตกต่างกันโดยพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง การที่เงินจะทวีค่าเพิ่มขึ้นได้นาน ขึ้นอยู่กับ 4W ที่เป็นตัวควบคุมในชีวิต What ทำอะไร When ทำเมื่อไหร่ Where ทำที่ไหนและ Whom ทำมันกับใคร เรียกสิ่งนี้ว่า ตัวทวีค่าอิสรภาพ
ทางเลือกการที่สามารถเลือกได้นั่นคือ อำนาจที่แท้จริง หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำให้มองเห็น สร้างทางเลือกเหล่านั้นด้วยการลงแรง และใช้เงินให้น้อยที่สุด มันเกิดขึ้นได้จริง ๆ ถึงมันจะฟังดูขัดหูสิ้นดีก็เถอะ ว่าสามารถทำเงินได้มากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล ด้วยการทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้เพียงครึ่งเดียว
เศรษฐีแนวใหม่เป็นใครกัน ลูกจ้างบริษัทที่จัดตารางการทำงานของตัวเองใหม่ แล้วต่อรองที่จะขอทำงานจากนอกบริษัท โดยที่จะให้ผลงาน 90% ด้วยการใช้เวลาแค่ 1/10 ของที่เคยใช้ ทำให้มีเวลาที่จะไปฝึกสกีครอสคันทรี และขับรถเที่ยวกับครอบครัวเดือนละ 2 สัปดาห์
เจ้าของธุรกิจที่กำจัดลูกค้า และโครงการที่ทำรายได้น้อยที่สุดทิ้งไป แล้วเดินระบบงานทั้งหมดด้วยการจ้างคนภายนอก และออกเดินทางท่องโลกเพื่อสะสมเอกสารหายาก ในขณะเดียวกันก็ทำงานจากทางไกล ผ่านเว็บไซต์เพื่ออวดงานภาพวาดของตัวเอง
นักศึกษาที่ยินดีทุ่มหมดตัว ที่จริงก็ไม่มีอะไรจะให้ทุ่มหรอก เพื่อก่อตั้งบริการให้เช่าวีดีโอออนไลน์ ที่ทำเงินได้เดือนละ 5,000 เหรียญจากแผ่นภาพยนตร์บลูเรย์นอกกระแส งานพิเศษที่ใช้เวลาสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ทำให้เขามีเวลาไปทำงานเป็นล็อบบี้ยีสต์ เพื่อช่วยพิทักษ์สิทธิสัตว์เลี้ยงได้
ทางเลือกนั้นมีมากมายไร้ขีดจำกัด แต่ทุกเส้นทางล้วนเริ่มต้นด้วยก้าวเดียวกันนั่นคือ การเปลี่ยนแนวคิดพื้นฐานที่มีใหม่ เพื่อเข้าร่วมกระบวนการนี้ จำเป็นต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ และการตั้งเข็มทิศใหม่สำหรับใช้เดินทางในโลกที่ไม่ธรรมดานี้ ตั้งแต่การพลิกความหมายของคำว่า ความรับผิดชอบ ไปจนถึงการโยนแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความสำเร็จแบบเดิม ๆ ทิ้งไป จำเป็นต้องเปลี่ยนกฎทั้งหลายใหม่ก่อน
2 กฎแห่งการเปลี่ยนกฎ
ทุกสิ่งที่แพร่หลายย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
พิชิตเกมไม่ใช่เล่นเกม ในปี 1999 ในช่วงลาออกจากงานอันไม่น่าพึงปรารถนางานที่ 2 ผู้เขียนก็คว้าเหรียญทองในการแข่งขันมวยจีนซานชูระดับประเทศ เขาชนะด้วยการอ่านกฎการแข่งขัน และเล็งหาช่องโหว่ที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่ให้ตัวเอง ซึ่งมีอยู่ 2 ประการคือ
- การชั่งน้ำหนักมีขึ้นก่อนวันแข่ง 1 วัน ใช้เทคนิคการรีดน้ำออกจากร่างกาย จนลดน้ำหนักลงได้เกือบ 13 กิโลกรัมภายในเวลา 18 ชั่วโมง น้ำหนักที่สร้างเพื่อลงแข่งคือ 75 กิโลกรัม จากนั้นก็เอาน้ำกลับเข้าร่างกายจนกลับมาน้ำหนัก 87.5 กิโลกรัมดังเดิม
- เทคนิคการเอาชนะมันซ่อนอยู่ในกฎการแข่งขัน ถ้านักสู้คนไหนตกจากเวทีครบ 3 ครั้งใน 1 รอบ คู่ต่อสู้ของเขาจะถือว่าชนะโดยอัตโนมัติ
ผลลัพธ์ผู้เขียนชนะทุกการแข่งขันแบบ TKO แล้วก็เอาแชมป์กลับบ้าน มันเป็นสิ่งที่คู่แข่งขันซึ่งมีประสบการณ์ 5-10 ปี 99% ไม่สามารถทำได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าแล้วการไล่ผลักคนตกจากเวทีไม่ใช่เรื่องผิดจรรยาบรรณหรอ ไม่เลยมันเป็นแค่การทำสิ่งที่ไม่มีคนทำกัน ภายใต้กฎที่วางเอาไว้เท่านั้น ความแตกต่างที่สำคัญก็คือ มันเป็นกฎที่เกมกำหนดขึ้น กับกฎที่ตัวเราเองกำหนดขึ้น เทคนิคการลดน้ำหนักและการเหวี่ยงคู่ต่อสู้ลงจากเวทีที่ใช้นั้น บัดนี้กลายเป็นมาตรฐานการปฏิบัติที่ทำกันในการแข่งขันซานชู ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนคิดค้นมัน แค่มองเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนอื่น ๆ ที่ได้ลองใช้วิธีสุดเจ๋งพวกนี้ก็คิดเหมือนกัน และตอนนี้มันก็กลายเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็คิดได้
ถ้าทายสิ่งเดิม ๆ หรือทำเรื่องโง่ คนส่วนใหญ่เดินด้วยขา การเดินด้วยขาและเก็บกางเกงในไว้ข้างในเป็นเรื่องที่เข้าท่าอยู่จนถึงทุกวันนี้ อะไรดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปซ่อมมัน ความแตกต่างจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าก็ต่อเมื่อทำแล้วเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และสนุกสนานมากกว่าเดิม ถ้าทุกคนนิยมปัญหาและแก้ไขมันด้วยวิธีการเดียวกันหมด แล้วผลที่ได้ออกมามันห่วยแตก มันถึงเวลาแล้วที่จะตั้งคำถาม ถ้าหากว่าทำในสิ่งที่ส่วนทางไปเลย อย่าทำตามแบบอย่างที่ไม่ได้ผล ถ้าสูตรมันห่วยต่อให้ทำอาหารเก่งแค่ไหนมันก็ไม่มีทางอร่อยขึ้นมาได้
กฎพื้นฐานของการเป็นเศรษฐีแนวใหม่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ เลือกใช้สิ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้าน และทำตัวให้แตกต่างจากสิ่งที่โลกที่เหลือทั้งโลกกำลังทำ กฎดังต่อไปนี้เป็นการสร้างความแตกต่างขั้นพื้นฐาน ที่ควรจะจำไว้ตลอด
- การวางแผนเกษียณอายุให้เหมือนการทำประกันชีวิต มันควรจะถูกมองเป็นแค่เครื่องป้องกันจากสิ่งชั่วร้ายที่สุด อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีนี้ก็คือ การพิการทางร่างกายจนไม่สามารถทำงานได้ และต้องการเงินบำนาญเพื่อใช้ในการดำรงชีพ แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่าการเกษียณคือเป้าหมายชีวิต
- ความสนใจและกำลังของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา คำนิยามของอาชีพทั่ว ๆ ไปคือการทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวันจนกว่าจะหมดแรง หรือไม่ก็มีเงินมากพอที่จะเลิกทำงานอย่างถาวร การมีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น และการพักผ่อนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะให้มีชีวิตรอด นี่ยังไม่ได้พูดถึงการประสบความสำเร็จด้วยซ้ำ สมรรถภาพร่างกาย ความสนใจ และความแข็งแกร่งของจิตใจสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีลักษณะแปรเปลี่ยนขึ้น ๆ ลง ๆ การวางแผนให้สอดคล้องกับสิ่งเหล่านี้ เศรษฐีแนวใหม่จะตั้งเป้าหมายให้มีการเกษียณขนาดย่อมไปตลอดชีวิตของตัวเอง แทนที่จะรวบยอดเอาการพักผ่อน และความสนุกสนานในชีวิตไปกองไว้กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของชีวิตวัยเกษียณ โดยทำงานเฉพาะเมื่อรู้สึกมีประสิทธิภาพที่สุด ชีวิตจะได้ทั้งผลงานและความสนุกที่มากขึ้น นี่เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของการจับปลา แล้วได้ปลาทั้งสองมือเลยทีเดียว
- ทำน้อยไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ การทำงานที่ไม่เกิดประโยชน์ให้น้อยลง เพื่อที่จะได้ไปทุ่มเทกับสิ่งที่สำคัญกับตัวเองมากกว่า ไม่ได้แปลว่าขี้เกียจ นี่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกันไม่ค่อยได้ เพราะวัฒนธรรมมีแนวโน้มที่จะยกย่องผู้ที่เสียสละ ทุ่มเททำมากกว่าคนที่ทำผลงานได้ดี
- เวลาเหมาะ ๆ มันไม่เคยมี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรอให้ถึงเวลาเหมาะ ๆ เป็นเรื่องห่วยแตกที่สุด ดวงดาวไม่มีวันเรียงตัวและไฟจราจรของสี่แยกชีวิตก็ไม่มีวันเขียวพร้อมกัน โชคชะตาไม่ได้กลั่นแกล้ง แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปดังใจทุกอย่างเหมือนกัน ถ้าหากว่ามันสำคัญจริง ๆ และก็ต้องการทำมันจริง ๆ ในท้ายที่สุดลงมือทำมัน แล้วก็แก้ไขกันไปจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่
- ขอโทษไม่ใช่ขออนุญาต ถ้าหากว่ามันไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับใครต่อใครรอบตัว ก็ลองทำมันดูแล้วค่อยมาอธิบายกันทีหลัง คนอื่น ๆ มักจะปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ ด้วยอารมณ์ในตอนแรก แต่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้ และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง หากความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ร้ายแรงหรือสามารถแก้ไขได้ ก็อย่าให้ใครมาห้าม ทำตัวให้ชินกับการเป็นตัวปัญหา และเอ่ยปากขอโทษเวลาที่ทำผิดพลาดขึ้นมาจริง ๆ
- ชูจุดเด่น อย่าเน้นแค่จุดด้อย คนส่วนใหญ่จะมีสิ่งที่ตัวเองถนัดอยู่แค่ไม่กี่อย่าง นอกนั้นห่วยหมด มันคุ้มค่าและสนุกกว่าในการเลือกที่จะชูจุดเด่น แทนที่จะพยายามคอยปะผุอุดรูโหว่ที่มีทั้งหลาย มีทางเลือกระหว่างการได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จากการเช็คจุดเด่นของตัวเอง หรือพยายามปรับปรุงจุดด้อย โฟกัสไปที่การฝึกใช้ไม้ตายให้เก่ง แทนที่จะเอาแต่คอยแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา
- อะไรที่มากไปย่อมกลายเป็นสิ่งตรงข้าม สิ่งที่ต้องการหากทำมากเกินไป เยอะเกินไป และบ่อยเกินไป ก็สามารถกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของ เงินทอง หรือแม้แต่เวลา การออกแบบไลฟ์สไตล์จึงไม่สนใจ ที่จะพยายามสร้างให้มีเวลาว่างมากมาย ซึ่งจะกลายเป็นผลเสียแทน แต่มุ่งเน้นที่จะให้รู้จักใช้เวลาว่างอย่างสร้างสรรค์ ด้วยวิธีคิดง่าย ๆ ที่ว่า ทำในสิ่งที่อยากทำ ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่โดนบังคับมา
- เงินเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออก อำนาจของเงินนั้นเป็นเรื่องที่มีให้พูดถึงมากมายมหาศาล แต่การหาเงินเพิ่มไม่ใช่คำตอบที่มักจะคิดทำกัน เอาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในวงล้อของกิจวัตรการทำงานหาเงิน และหลอกตัวเองว่านั่นเป็นทางแก้ทุกอย่างได้ แล้วจากนั้นก็ค่อย ๆ มโนภาพข้ออ้างต่าง ๆ นานาที่คอยป้องกันไม่ให้มองเห็นว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไร้จุดหมายแค่ไหน ลึก ๆ ในใจรู้ดีว่า ทั้งหมดนี้คือภาพลวง แต่เมื่อทุกคนต่างก็ร่วมเล่นเกมชวนเชื่อเกมเดียวกันนี่อยู่ มันก็ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะลืม ๆ ไป
- รายได้สัมพัทธ์สำคัญกว่ารายได้สัมบูรณ์ รายได้สัมบูรณ์จะวัดเพียงแค่ตัวแปรที่ปรากฏออกมาตายตัวเท่านั้น คือตัวเงินรายได้ทั้งหมดเพียงอย่างเดียว แต่รายได้สัมพัทธ์นั้นใช้ตัวแปร 2 ตัวแปรนั่นคือ เงินและเวลา ชนิดวัดกันเป็นหน่วยชั่วโมงเลยทีเดียว รายได้สัมบูรณ์ทั้งหมดคือจำนวนเงินที่จำเป็น ที่จะทำให้ความฝันเป็นจริงได้ (ไม่ใช่เอาไว้ไปเทียบกับชาวบ้านเขา) ส่วนรายได้สัมพัทธ์คือ มาตราวัดความมั่งคั่งที่แท้จริงสำหรับเศรษฐีแนวใหม่
- กังวลนั้นแย่ แต่กดดันนั้นดี มนุษย์ผู้รักความสนุกส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องที่ว่าความเครียดนั้นไม่ใช่จะเลวร้ายไปหมด เศรษฐีแนวใหม่ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะกำจัดความเครียดให้หมดไป ความเครียดนั้นมี 2 แบบ ทั้ง 2 แบบนั้นต่างกัน เหมือนการเคลิบเคลิ้มเป็นสุข (euphoria) แล้วความกลัดกลุ้ม (dysphoria)
ความเครียดที่เลวร้าย (distress) นั้นเป็นตัวกระตุ้นสุดเลวร้ายที่จะทำให้อ่อนแอ หมดความมั่นใจ และไร้ความสามารถ นี่เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้พบเจอ คำว่าความเครียดที่ดีหรือ Eustress นั้นคำว่ายู (Eu) นั้นเป็นคำนำหน้าในภาษากรีก หมายถึง แข็งแรงดี ถูกใช้ในลักษณะเดียวกันกับคำว่า euphoria คนเก่งที่ช่วยผลักดันให้ก้าวข้ามขีดจำกัด การออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน และการลองเสี่ยงที่ช่วยขยายพื้นที่ปลอดภัยให้กว้างออกไป เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของความเครียดที่ดี ความเครียดที่ส่งผลดีและช่วยกระตุ้นให้เติบโต เศรษฐีแนวใหม่จะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะขจัดความเครียดที่เลวร้าย และค้นหาความเครียดที่ดีให้กับตัวเอง
3 วิธีหลบกระสุน
การจัดการความกลัวและวิธีหลุดพ้นจากการไม่กล้าขยับตัว
ทุกคนเคยให้สัญญากับตัวเองแบบว่า ถ้าเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้อีกจะไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปการได้เรียนรู้บางสิ่งที่สำคัญ ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลย ทันทีที่ลองเสี่ยงทำมัน ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าต้องการอะไร แต่รู้แล้วว่าอาชีพที่ทำอยู่มันเป็นยังไง พูดง่าย ๆ ก็คือรู้ดีเลยว่าทำอะไรที่ทำให้เบื่อจนแทบจะขาดใจ และก็รู้สึกว่าพอแล้วกับสิ่งนั้นไม่เอาอีกแล้ว กับการมีชีวิตเหมือนร่างไร้วิญญาณที่ต้องทนทำงานแบบตายซากไปวัน ๆ ทันทีที่ฮานส์ตัดสินใจแบบนั้น ความเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น จะรู้สึกถึงความสุขสงบภายในตัวเอง และในสิ่งที่กำลังทำเป็นครั้งแรก หลังจากที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแสนนาน แต่ในเวลานั้นเขาเริ่มก่อตั้งบริษัท Nexus Surf บริษัทที่ทำธุรกิจด้านการโต้คลื่นชั้นแนวหน้า ที่มีฐานอยู่ในแดนสวรรค์อย่างฟรอเรียโนโปลิส บราซิล เขาได้ค้นพบนางในฝันของเขาที่นี่ สาวริโอสีผิวคาราเมลชื่อทาเทียน่า และได้ใช้เวลาส่วนตัวนอนเอกเขนกอยู่ใต้ต้นปาล์ม หรือไม่ก็ดูแลลูกค้าให้ได้พบกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต
อำนาจแห่งการมองโลกในแง่ร้าย นิยามฝันร้าย จะทำหรือไม่ทำ จะลองหรือไม่ลอง คนส่วนใหญ่จะเลือกว่าไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดว่าตัวเองเป็นคนกล้าหรือไม่ก็ตาม ความไม่แน่นอนและความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว เป็นเสียงอันน่าหวาดกลัวที่ดังมาจากความมืด คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่มีความสุขมากกว่าความไม่แน่นอน ตั้งบริษัทของตัวเองเพียงเพื่อที่จะรู้ว่ามันขายไม่ได้ ความจริงก็คือ ยังไปไม่ถึงขีดจำกัดของตัวเอง แค่มาถึงทางตันกับแผนธุรกิจในช่วงเวลานั้นเท่านั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนขับ มันอยู่ที่ยานพาหนะต่างหาก ว่าจะนำพาชีวิตไปทางไหน
ความผิดพลาดร้ายแรงในช่วงก่อตั้งกิจการ ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถขายบริษัทได้ เขาจะแหกคุกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วไปเที่ยว แต่ก่อนหน้านั้นรู้สึกเหมือนอยากจะดีดดิ้นด้วยความอัปยศ และความละอายใจและความโกรธเคืองอยู่ถึง 6 เดือน วนซ้ำไปมาถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมการเดินทางในฝันเพื่อละทิ้งงานที่ควรทำครั้งนี้จะต้องเหลวไม่เป็นท่า นี่ก็เป็นอีกช่วงที่ชีวิตเสียไปเปล่าๆ จากนั้นอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการวาดภาพว่า อนาคตของตัวเองจะต้องเจอกับเรื่องบัดซบขนาดไหน ความคิดแสนวิเศษก็ผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นวลีสำคัญของช่วงชีวิตของเขาเลยทีเดียว จงกังวลอย่าทำให้สุขใจ และผมก็คิดขึ้นมาว่า ทำไมไม่ทำสิ่งที่เป็นเหมือนฝันร้ายของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย อะไรคือสิ่งเลวร้ายที่สุด ที่อาจจะเป็นผลมาจากการออกเดินทางครั้งนี้
เอาชนะความกลัวเท่ากับนิยามความกลัว แล้วเรื่องตลกก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ผู้เขียนมุ่งมั่นหาความย่ำแย่ในชีวิต ทันทีที่ก้าวข้ามผ่านความอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก และความวิตกด้วยการนิยามฝันร้ายของตัวเอง สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ แล้วไม่กังวลเรื่องการเดินทางครั้งนี้อีกเลย ก็เริ่มคิดถึงวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ เพื่อกอบกู้ทรัพยากรตัวเอง และกลับมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ถ้าหากว่าธุรกิจเกิดพังครืนลงไปจริง ๆ ทางเลือกมีมากมายเหลือเกิน เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรที่คอขาดบาดตายเลยสักนิด แค่ความผิดพลาดนิดหน่อยบนเส้นทางชีวิตเท่านั้นเอง ระดับคะแนน 1-10 นั้น 1 คือการอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร และ 10 คือการได้เปลี่ยนชีวิตไปอย่างถาวร สิ่งที่เรียกว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดน่าจะมีผลกระทบชั่วคราวที่อยู่ราวระดับ 3 หรือ 4 เท่านั้น ผลกระทบในเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตจะพุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 9 หรือ 10 อย่างถาวรได้เลยทีเดียว พูดง่าย ๆ ก็คือกำลังลองเสี่ยงเป็นการชั่วคราวในระดับ 3 หรือ 4 เพื่อที่อาจจะได้รับสิ่งที่ถาวรในระดับ 9 หรือ 10 แถมยังสามารถกลับมาติดคุกคนบ้างานเหมือนเดิมได้ถ้าต้องการ
กระชากหน้ากากความกลัวที่ซ่อนอยู่ ในรูปของการมองโลกในแง่ดี ความกลัวมาในหลายรูปแบบ และมักจะไม่เรียกมันว่าความกลัว ความกลัวนี่เองที่ก่อให้เกิดความกลัว บรรดาคนหัวใสทั้งหลายในโลกเรียกมันด้วยคำใหม่ที่เก๋ไก๋กว่าว่า การปฏิเสธอย่างมองโลกในแง่ดี คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมลาออกจากงาน จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีด้วยการคิดว่า เดี๋ยวเวลาผ่านไปอะไร ๆ ก็ดีขึ้นเอง หรือไม่เดี๋ยวก็คงได้เงินเดือนขึ้น มันก็ฟังดูจะใช้ได้อยู่หรอก นี่เป็นการสร้างภาพหลอนที่ไม่เลวทีเดียว ในยามที่งานนั้นแค่น่าเบื่อหรือไม่สร้างแรงบันดาลใจ แต่ไม่ใช่เวลาที่มันเหมือนตกนรก
งานที่ทรมานเหมือนตกนรกจะบีบเค้นให้เกิดการลงมือทำ คิดจริง ๆ หรือว่ามันจะดีขึ้นหรือเป็นแค่เพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ และเป็นข้ออ้างที่จะไม่ลงมือทำอะไรกันแน่ มันคือความกลัวที่อำพรางตัวเองอยู่ในร่างของการมองโลกในแง่ดี ดูว่าดีกว่าตัวเองเมื่อ 1 ปีก่อน 1 เดือนก่อนหรือ 1 สัปดาห์ก่อนหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ควรรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่มีทางที่จะดีขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง กำลังหลอกตัวเอง ได้เวลาหยุดและวางแผนที่จะกระโดดออกไปได้แล้ว
ถ้ากำลังกังวลที่จะกระโดดไปสู่ชีวิตใหม่ หรือเลื่อนมันออกไปก่อน เพราะกลัวที่จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร นี่คือยาถอนพิษ ให้เขียนคำตอบลงไปแล้วโปรดจำไว้ว่า การคิดเยอะไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไร เขียนลงไปและไม่ต้องแก้ พุ่งเป้าไปที่ปริมาณ ใช้เวลากับแต่ละข้อเพียง 1-2 นาทีก็พอ
- นิยามฝันร้าย ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าทำในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ความสงสัย ความกลัว และหากว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว ยามที่ครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถทำได้ หรือต้องการจะทำ บรรยายมันออกมาให้ละเอียด จะอยู่ในระดับไหนจาก 1-10 แล้วมันจะเป็นแบบนั้นถาวรเลยหรือเปล่า คิดว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ มากแค่ไหน
- จะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อแก้ไขความเสียหาย หรือทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ต่อให้เป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม โอกาสที่จะทำได้มันง่ายกว่าที่คิด จะทำอะไร จะทำให้ทุกอย่างกลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมได้อย่างไร
- อะไรคือผลลัพธ์หรือประโยชน์ที่ได้ ทั้งแบบชั่วคราวและถาวรของสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ผลกระทบที่เกิดจากผลลัพธ์เหล่านี้ จะส่งผลกระทบในระดับใดจาก 1-10 มีโอกาสที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดี อย่างน้อย ๆ ในระดับปานกลางมากแค่ไหน
- ถ้าถูกไล่ออกจากงานวันนี้ จะจัดการเงินของตัวเองอย่างไร ถ้าออกจากงานเพื่อทดลองทางเลือกอื่น จะกลับมาสู่เส้นทางอาชีพเดิมได้อย่างไร ถ้าหากว่าจำเป็นต้องทำจริง ๆ
- สิ่งที่กลัวจนไม่กล้าทำมีอะไรบ้าง โดยปกติแล้วสิ่งที่กลัวที่จะทำมากที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำมากที่สุด ลองทำสิ่งที่กลัวทุกวันวันละ 1 เรื่อง
- หากไม่ลงมือทำมันเสียตอนนี้ จะต้องเสียอะไร เงินทอง ความรู้สึก สมรรถภาพร่างกาย ถ้านิยามความเสี่ยงว่าเป็นความเป็นไปได้ของการเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายอันไม่อาจแก้ไขได้ ถ้างั้นการไม่ทำอะไรเลยก็เป็นการเสี่ยงอย่างที่สุด
- กำลังรออะไรอยู่ ถ้าไม่สามารถตอบคำถามนี้ โดยไม่หวนกลับไปทบทวนถึงแนวคิดเรื่องการรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่พึ่งบอกให้โยนทิ้งไป คำตอบนั้นง่ายมากคือกลัว ซึ่งก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ทั้งโลกนั้น ลองวัดความเสียหายของการไม่ลงมือทำดูสิ ลองคิดดูว่าความผิดพลาดนั้นแทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้น และหนำซ้ำยังแก้ไขได้ด้วย แล้วสร้างนิสัยที่สำคัญที่สุดของบรรดาคนเก่งทั้งหลาย และทำมันอย่างสนุก นั่นคือการลงมือทำ
4 รีเซ็ตระบบใหม่
การทำตัวไร้เหตุผลและชัดเจน
การทำเรื่องที่ไม่อิงกับความเป็นจริงนั้นง่ายกว่า เป้าหมายที่ดูไม่มีเหตุผลและดูไม่สมจริง ยังเป็นสิ่งที่ทำสำเร็จง่ายกว่าด้วยเหตุผลอีกข้อหนึ่งด้วย การมีเป้าหมายใหญ่เกินธรรมดาจะทำให้อะดรีนาลินในร่างกายไหลพล่าน ส่งผลให้เกิดความอึดอดทนที่จะฝันฝ่า การต้องลองผิดลองถูก และผ่านความยากลำบากทั้งหลาย ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงมาได้ เป้าหมายที่ดูสมจริงเป็นเป้าหมายที่จำกัดอยู่แค่ความทะเยอทะยานในระดับกลาง ๆ นั้นไม่สร้างแรงบันดาลใจ จุดตกปลาที่ดีที่สุดคือจุดที่ไม่ค่อยมีคนไป ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงที่เป็นการทั่วโลกนั้นทำได้ง่ายกว่า เป้าหมายที่ใหญ่กว่ามีการแข่งขันที่น้อยกว่าเสมอ การทำสิ่งยิ่งใหญ่เริ่มต้นได้ด้วยการตั้งคำถามถึงมันให้เข้าท่า
ก่อนอื่นตั้งคำถามที่เข้าท่ากว่าเดิม ต้องการอะไร ? คนส่วนใหญ่ไม่มีวันรู้หรอกว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่ถ้าถามผู้เขียนว่าอยากเรียนภาษาอะไรในอีก 5 เดือนข้างหน้าอันนี้รู้ มันขึ้นอยู่กับการเฉพาะจงลงไป ต้องการอะไรเป็นคำถามที่คลุมเครือเกินกว่า จะหาคำตอบที่มีความหมายและปฏิบัติได้จริง เพราะฉะนั้นจงลืมมันไป ตั้งคำถามเสียใหม่ ต้องกล้าถอยหลังออกมาแล้วมองดูภาพรวมทั้งหมด สมมุติว่ามีเป้าหมาย 10 ประการแล้วทำได้ตามเป้าหมาย อะไรคือผลลัพธ์อันน่าปรารถนาที่ทำให้รู้สึกว่าการทุ่มเทนั้นคุ้มค่า และสิ่งที่ตรงข้ามกับความสุขก็คือความเบื่อหน่ายความตื่นเต้นเป็นอีกชื่อหนึ่งขอคำว่าความสุข ที่ใช้ได้จริงมากกว่าในทางปฏิบัติ และมันคือสิ่งที่ควรค่าที่สุดจะไล่ไขว่คว้า มันคือโอสถสารพัดนึก ที่นี้ก็ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นกันได้ คำถามที่ควรจะถามไม่ใช่ ต้องการอะไร หรือเป้าหมายคืออะไร แต่เป็น อะไรที่ทำให้ตื่นเต้นต่างหาก
โรคผู้ใหญ่ โรคต่อมอยากผจญภัยบกพร่อง เลิกฝันเฟื่องและลืมตาดูโลกจริง ๆ เสีย ชีวิตมันไม่เหมือนในละคร สมมุติว่าถ้าสามารถทำเฉยใส่บรรดาคนที่คอยขัดคอเหล่านี้ได้ และลงมือก่อร่างธุรกิจของตัวเองจริง ๆ โรคร้ายนี้มันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก มันแค่เปลี่ยนสภาพไปเท่านั้นเอง
หนทางแก้ไข อย่ามองอะไรตามความเป็นจริง มีวิธีการหนึ่งที่ใช้และยังคงใช้อยู่ เพื่อจุดไฟให้กับชีวิตหรือเป็นการบำบัดแก้ไข มันอาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่มันเป็นวิธีการเดียวกันกับที่บรรดาเศรษฐีแนวใหม่ผู้เก่งกาจ ที่ได้พบทั่วโลกเขาใช้กันนั่นคือ การเขียนแผนงานความฝัน มันถูกเรียกแบบนั้นเพราะว่ามันต้องมีลำดับเวลาการลงมือทำ ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกมันว่าความฝันเอาไว้ด้วย มันเหมือนกับการวางเป้าหมาย แตกต่างกันตรงพื้นฐานบางอย่าง
- เป้าหมายเปลี่ยนจากแค่ความต้องการอันคลุมเครือ มาเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน
- เป้าหมายจะต้องเป็นสิ่งที่ไม่อิงกับความเป็นจริง เพื่อให้ได้ผลที่สุด
- โฟกัสที่กิจกรรมที่จะเข้าไปอุดช่องว่าง เมื่องานที่ต้องทำถูกขจัดออกไป การมีชีวิตเหมือนมหาเศรษฐี จะต้องได้ทำในสิ่งที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่เป็นเจ้าของสิ่งที่น่าอิจฉา
แผนงานความฝันจะเป็นเรื่องน่าสนุก และมันจะเป็นเรื่องยากด้วยเหมือนกัน ยิ่งยากเท่าไหร่ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีมันมากเท่านั้น เพื่อช่วยประหยัดเวลา
- จะทำอะไรถ้าหากว่าไม่มีวันล้มเหลว ถ้าหากว่าฉลาดกว่าคนอื่น ๆ ในโลกนี้ 10 เท่า เขียนไทม์ไลน์ขึ้นมา 2 ส่วนแบ่งเป็นตารางช่วงเวลา 6 เดือนและ 12 เดือน และเขียน 5 สิ่งที่ฝันอยากจะมีลงไป สิ่งที่อยากจะเป็น และสิ่งที่อยากจะทำตามลำดับ ถ้ามีปัญหากับการไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในบางหัวข้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกันให้นึกถึงสิ่งที่เกลียดหรือกลัวในหัวข้อนั้น แล้วเขียนสิ่งที่ตรงข้ามลงไป อย่าตีกรอบให้ตัวเอง และอย่าไปพะวงว่าสิ่งเหล่านี้จะทำสำเร็จได้ยังไง สำหรับตอนนี้มันไม่สำคัญ นี่เป็นแบบฝึกหัดเพื่อการฝึกทำลายกำแพงที่ล้อมกรอบความคิดไปเสียก่อน
- คิดไม่ออกหรอ คนเราพร่ำบ่นสารพัด ถึงสิ่งที่ฉุดรั้งพวกเขาเอาไว้ แต่คนส่วนมากมีปัญหากับการระบุความฝัน ทำให้พวกเขาถูกฉุดรั้งไม่ให้ไปไหนนี่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อสิ่งที่อยากทำ ในกรณีแบบนี้ให้พิจารณาดูคำถาม ต่อไปนี้
A: จะทำอะไรในแต่ละวันถ้ามีเงิน 100 ล้านเหรียญในธนาคาร
B: อะไรที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นที่สุด ที่จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของแต่ละวัน ไม่ต้องรีบให้ใช้เวลานึกถึงมันสักครู่
- สิ่งที่อยากเป็นนั้นต้องทำยังไงถึงจะได้เป็น เปลี่ยนสิ่งที่อยากเป็นให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้มันสามารถลงมือปฏิบัติได้
- สุดยอดความฝัน 4 ประการที่จะพลิกชีวิต ในส่วนตารางเวลา 6 เดือน กาดอกจันหรือไฮไลท์ความฝัน 4 อย่าง ที่น่าตื่นเต้นที่สุดหรือสำคัญที่สุด จากทั้งหมดในช่องนั้น ทำแบบเดียวกัน
- กำหนดค่าใช้จ่ายของแต่ละความฝันออกมา และคำนวณรายรับเป้าหมายประจำเดือน (Target Monthly Income: TMI) ออกมาในทั้ง 2 ตาราง หากคำนวณออกมาเป็นเงินได้ ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของความฝันทั้ง 4 ประการจะเป็นเท่าไหร่ เริ่มคิดถึงรายได้และรายจ่ายในแง่ของกระแสเงินสดในแต่ละเดือน เงินเข้าเท่าไหร่และเงินออกเท่าไหร่ แทนที่จะคิดยอดรวมทั้งหมด
- กำหนด 3 ขั้นตอนสำหรับความฝันแต่ละอย่างทั้ง 4 ความฝัน ให้อยู่ในระยะเวลา 6 เดือน และเริ่มลงมือทำขั้นตอนแรกในทันที
ท้าทายความสบายใจ การลงมือทำสิ่งที่สำคัญที่สุดจะไม่มีวันเป็นเรื่องน่าสบายใจ โชคยังดีเพราะสามารถพาตัวเองให้ไปตกอยู่ในสภาวะอันน่าอึดอัดใจและเอาชนะมันได้ เพื่อให้ได้การตอบสนองที่อยากได้ แทนที่จะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบแบบธรรมดา วิธีนี้ทำให้ได้ยืนยันในความคิดของตัวเอง การจะมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ธรรมดา จำเป็นที่จะต้องสร้างนิสัยที่ไม่ธรรมดา ในการตัดสินใจขึ้นมาก่อน ทั้งสำหรับตัวเองและคนอื่น
ขั้นที่ 2 ก คือ กำจัด
5 อวสานของการบริหารเวลา
ขอพูดเกี่ยวกับการบริหารเวลาแค่ 2-3 คำเท่านั้น นั่นคือลืมมันไปเสีย ถ้าจะพูดให้ชัดที่สุดก็คือ ไม่ควรพยายามที่จะทำงานเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน การทำตัวให้ยุ่งนั้นถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้าง ในการหลีกเลี่ยงไม่ยอมทำเรื่องสำคัญที่ชวนอึดอัดใจมากที่สุด การทำให้ตัวเองงานยุ่งจึงมีวิธีมากมายแทบไร้ที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม มันยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า และมันจะทำได้มากกว่าแค่ช่วยเพิ่มผลลัพธ์การทำงาน มันจะช่วยเพิ่มพูนผลลัพธ์เป็นทวีคูณเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่มันจะทำสำเร็จได้ ด้วยการทำงานน้อยลงเท่านั้น เข้าสู่โลกแห่งการกำจัดได้เลย
จะใช้ผลผลิตของตัวเองแบบไหน หลังจากที่ได้นิยามแล้วว่า อยากจะเอาเวลาของตัวเองไปทำอะไร จะต้องสร้างอิสรภาพให้กับเวลาที่ว่านั่น และกลเม็ดสำคัญก็คือจะต้องทำเช่นนั้นโดยที่ยังคงไว้ซึ่งรายรับปกติของตัวเอง หรือทำให้มันมากขึ้นได้ไปพร้อมกันด้วย หลักการนั้นเหมือนกันทั้งกับนายจ้างและลูกจ้าง แต่เป้าหมายของการเพิ่มผลผลิต ของทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลุ่มแรกลูกจ้าง ลูกจ้างต้องเพิ่มผลผลิตเพื่อเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองใน 2 เป้าหมายพร้อม ๆ กันนั่นคือ การขึ้นเงินเดือนและการขอทำงานจากนอกบริษัท
การทำตัวมีประสิทธิผลกับการทำตัวมีประสิทธิภาพ การมีประสิทธิผลคือ การทำสิ่งที่ทำให้ได้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ในขณะที่การทำตัวมีประสิทธิภาพคือ การทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ก็ตาม ให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การทำตัวมีประสิทธิภาพโดยไม่สนใจประสิทธิผล เป็นโหมดอัตโนมัติที่คนส่วนใหญ่ทำกัน นี่คือความจริง 2 สิ่งที่ควรจะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ
- การทำสิ่งไม่สำคัญด้วยความตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันสำคัญขึ้นมา
- การที่ต้องใช้เวลาทำมาก ไม่ได้ทำให้มันกลายเป็นงานที่สำคัญขึ้นมา
สิ่งที่ทำสำคัญกว่าวิธีที่ทำมันอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ประสิทธิผลยังคงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าไม่ได้นำไปใช้กับสิ่งที่ควรทำมันก็ไร้ค่าอยู่ดี
พาเรโตกับสวนของเขา 80/20 และอิสรภาพจากความไร้ประโยชน์ วิลเฟรดโด พาเรโต เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยาหัววิพากษ์ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1848 ถึง 1923 จากการได้รับการฝึกอบรมทางด้านวิศวะกรรมศาสตร์ ทำให้มีอาชีพที่หลากหลาย โดยเริ่มต้นอาชีพของตัวเองด้วยการเป็นผู้จัดการเหมืองถ่านหิน และรับช่วงตำแหน่งต่อจาก ลีอง วาลราส ที่คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยโลซานน์ในสวิตเซอร์แลนด์ ผลงานที่ทรงอิทธิพลของเขาคือคำสอนเศรษฐวิทยาซึ่งได้กล่าวถึง กฎของการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในเวลานั้น และต่อมาบทนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กฎของพาเรโตหรือการแจกแจงของพาเรโต และในศตวรรษที่ผ่านมาก็ถูกเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า กฎ 80/20
ยังสามารถเขียนความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้กฎนี้ออกมาได้หลากหลายมากมายชนิดไม่มีที่สิ้นสุด ผู้เขียนบังเอิญได้อ่านงานของพาเลโตในตอนค่ำวันหนึ่ง ตอนนั้นกำลังทำงานเยี่ยงทาส 15 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ รู้สึกถูกภาระต่าง ๆ ถาโถมและสิ้นหวังอย่างที่สุด ระหว่างเผชิญหน้ากับการมอดไหม้กับสิ่งที่เป็นอยู่ และการลองเสี่ยงกับความคิดของพาเลโต เขาเลือกข้อหลัง แล้วเช้าวันต่อมาก็เริ่มชำแหละธุรกิจและชีวิตของตัวเองออกเป็นส่วน ๆ ผ่านเลนที่เกิดจากคำถาม 2 ข้อ
- ต้นเหตุ 20% ใดที่เป็นที่มาของปัญหาและความทุกข์ถึง 80%
- ต้นเหตุ 20% ใดที่เป็นที่มาของผลลัพธ์และความสุขที่ปรารถนาถึง 80%
ตลอดวันนั้นทั้งวันผู้เขียนพักทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเร่งด่วน ทำการวิเคราะห์อย่างจริงจังและตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยการถามคำถามนี้กับทุก ๆ อย่างตั้งแต่เพื่อน ๆ ไปจนถึงลูกค้า การโฆษณา กิจกรรมการพักผ่อน อย่าคาดหวังว่าจะทำทุกอย่างถูกต้องไปหมด เป้าหมายคือการค้นหาจุดด้อยในตัวเพื่อที่จะกำจัดมัน และค้นหาจุดแข็งเพื่อที่จะได้เพิ่มพูนมัน
การตัดสินใจแรกที่ทำเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยม ที่แสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์ เพื่อตัดส่วนเกินออกจากการลงทุนในครั้งนี้ ทำให้ได้ผลตอบแทนที่เปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ และทำให้รู้ว่าได้รับผลตอบแทนรวดเร็วแค่ไหน เขาหยุดติดต่อลูกค้า 95% ของตัวเอง และกำจัดทิ้งไปอีก 2% เหลือแค่ 3% ของลูกค้าชั้นดี ที่เก็บโปรไฟล์เอาไว้และใช้สำหรับมองหาลูกค้าแบบเดียวกัน ปัญหาและการพร่ำบ่นทั้งหมดเรียกว่าทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มาจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไม่สร้างผลลัพธ์ใด ๆ เลยยกเว้นลูกค้า 2 รายใหญ่ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกของการทำธุรกิจปัดสวะให้พ้นตัว ที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะต้องตามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ทำการแช่แข็งลูกค้าที่ไม่สร้างผลประโยชน์ทั้งกลุ่มนี้ทันที ถ้าพวกเขาสั่งซื้อของเยี่ยมเลย ให้พวกเขาแฟกซ์ใบสั่งสินค้าเข้ามา ถ้าไม่ทำก็จะไม่ตามใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่โทร ไม่อีเมล ไม่ทำอะไรเลย นั่นทำให้เหลือลูกค้ารายใหญ่กว่าอีก 2 รายให้รับมือ ซึ่งเป็นระดับจัดการยากทั้งคู่แต่ก็สร้างรายได้ 10% ให้กับบริษัท ณ เวลานั้น แล้วผลสุดท้ายคืออะไร เปลี่ยนจากการไล่ตามและเอาใจลูกค้า 120 ราย มาเป็นการรับออเดอร์ล็อตใหญ่จากลูกค้า 8 ราย รายได้ต่อเดือนเพิ่มขึ้นจาก 30,000 เหรียญเป็น 60,000 เหรียญใน 4 สัปดาห์ และชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ก็ลดลงจาก 80 ชั่วโมงเหลือเพียง 15 ชั่วโมง ที่สำคัญที่สุดคือ มีความสุขกับตัวเอง และรู้สึกถึงทั้งการมองโลกในแง่ดี และมีอิสรภาพเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ต่างกันหรอกในทุกเรื่อง การทำตัวยุ่งก็คือรูปแบบหนึ่งของความขี้เกียจ ขี้เกียจที่จะคิด หรือการทำอะไรโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ระลึกเอาไว้ว่าการไม่มีเวลาแท้จริงแล้วก็คือ การไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญต่างหาก
ภาพลวงตา 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น และกฎของพาร์กินสัน ถ้าเป็นลูกจ้างบริษัท การใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระจะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิด บ่อยครั้งที่มันไม่ได้มีโบนัสเพิ่มขึ้นจากการรู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เว้นแต่ว่าจะได้ค่าตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น โลกใบนี้ชื่นชมการสาละวนจัดเรียงเอกสารในช่วงเวลา 9:00 น. ถึง 17:00 น. และในเมื่อติดอยู่ในสำนักงาน ในโมงยามที่ต้องทำงานเยี่ยงทาสแบบนั้น จึงรู้สึกว่าต้องสร้างกิจกรรมขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างเวลาดังกล่าว
ตอนนี้มีเป้าหมายใหม่ คือการเจรจาต่อรองขอทำงานจากนอกสำนักงาน แทนที่จะแค่รอรับเงินเดือนไปวัน ๆ มันก็ได้เวลาที่จะกลับมาพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง และทำตัวให้มีประสิทธิภาพได้แล้ว พนักงานที่ดีที่สุดคือคนที่มีอำนาจต่อรองมากที่สุด
สำหรับเจ้าของกิจการ การใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์เป็นเรื่องของนิสัยเสีย และการลอกเลียนแบบเจ้าของกิจการส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เคยเป็นลูกจ้างมาก่อน และมาจากวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ด้วยเหตุนี้พวกเขาก็เลยเอาตารางเวลาเดียวกันนี้มาปรับใช้ ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็จะเริ่มทำงานที่ 9 โมงเช้าหรือไม่ก็ต้องทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รายได้ตามเป้า ตารางเวลานี้เป็นข้อตกลงร่วมกันของสังคม และเป็นมรดกตกทอดยุคไดโนเสาร์ของการวัดผลงานจากปริมาณ
คำแนะนำบางอย่างเรื่องกฎของพาร์กินสัน กฎของพาร์กินสันกล่าวว่า งานชิ้นหนึ่งจะกลายเป็นงานที่รู้สึกว่ามีความสำคัญและซับซ้อน เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับเวลาที่ได้รับในการทำงาน ชิ้นงานที่เสร็จมีวิธีการ 2 แบบที่ต่างกัน แต่สามารถนำมาใช้ทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้
- ลดงานให้เหลือแต่เฉพาะงานที่สำคัญ เพื่อจำกัดเวลาการทำงานให้น้อยลง (กฎ 80/20)
- ลดเวลาการทำงานลง เพื่อจำกัดงานให้เหลือแต่งานที่สำคัญ (กฎของพาร์กินสัน)
วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้มันทั้ง 2 วิธี ระบุงานที่สำคัญจริง ๆ สัก 2-3 อย่างที่ช่วยสร้างรายได้มากที่สุด และวางตารางเวลาในการทำงานด้วย deadline ที่สั้นและชัดเจน การทำงานแบบไร้ไขมันส่วนเกิน และอิสรภาพทางเวลาสามารถเริ่มต้นได้ด้วย การจำกัดสิ่งที่ถูกป้อนใส่เข้ามามากจนเกินไปออกเสียก่อน
6 บริโภคข้อมูลข่าวสารให้น้อย
บ่มเพาะนิสัยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ
การรู้จักเลือกที่จะไม่ใส่ใจรับรู้ การเพิกเฉยอาจจะเป็นเรื่องที่สร้างความสุขใจ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจ และหันเหข่าวสารข้อมูล เรื่องกวนใจทั้งหลายที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สำคัญหรือไม่สามารถปฏิบัติได้จริงออกไปให้พ้นตัวเสียบ้าง การออกแบบไลฟ์สไตล์นั้นอยู่บนพื้นฐานของการทำสิ่งต่าง ๆ นั่นคือผลลัพธ์ การเพิ่มผลลัพธ์ให้มากขึ้น จะต้องลดสิ่งที่ป้อนใส่เข้าไป ข่าวสารข้อมูลส่วนใหญ่เป็นตัวกินเวลา ส่งผลในแง่ลบ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเป้าหมาย แถมอยู่พ้นไปจากอำนาจการควบคุม
- เริ่มต้นการหักดิบไม่รับข่าวสารเป็นเวลา 1 สัปดาห์โดยทันที โลกไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ถ้าจะขาดการรับข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้รู้ว่านี่เป็นความจริง
- สร้างนิสัยในการถามตัวเองว่า จะต้องใช้ข้อมูลนี้เพื่อสิ่งที่สำคัญ หรือจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ หรอ แค่ต้องการข้อมูลเพื่อเอาไปใช้กับบางอย่าง นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือเร่งด่วนเลย ถ้าคำตอบคือไม่ ทั้งไม่สำคัญแล้วก็ไม่เร่งด่วนด้วย แล้วก็อย่าได้เปิดอ่านมันเด็ดขาด
- ฝึกฝนศิลปะของการทำไม่เสร็จ นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ใช้เวลานานมากกว่าจะเรียนรู้ได้ การเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำมันให้เสร็จ
มากกว่าไม่ได้แปลว่าดี และการหยุดทำก็มักจะดีกว่าการดันทุรังทำไปจนเสร็จ 10 เท่า จงสร้างนิสัยของการไม่ต้องทำให้เสร็จกับสิ่งที่น่าเบื่อหรือไร้ประโยชน์ เว้นแต่ว่าเจ้านายจะสั่งให้ทำ
เทคนิคการอ่านให้เร็วขึ้น 200% ใน 10 นาที นี่คือเคล็ดลับง่าย ๆ 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายน้อยลง และเพิ่มความรวดเร็วขึ้นอย่างน้อย 200% ใน 10 นาที โดยที่ยังได้ใจความครบถ้วน
- 2 นาที ใช้ปากกาหรือนิ้วลากไปตามใต้บรรทัดที่อ่านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การอ่านคือชุดภาพที่ผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่องเรียกว่า Saccades หรือการกวาดสายตา และใช้การชี้นำสายตาเพื่อไม่ให้ย้อนกลับมาอ่านยังจุดเดิมอีก
- 3 นาที เริ่มต้นแต่ละบรรทัดด้วยการพุ่งความสนใจไปยังคำที่ 3 นับจากคำแรก และจบประโยคด้วยการพุ่งความสนใจไปที่คำที่ 3 นับจากคำสุดท้าย นี่จะทำให้ใช้ประโยชน์จากเส้นรอบวงการมองเห็นของดวงตา ซึ่งปกติแล้วจะเสียไปเปล่า ๆ กับการมองเห็นขอบกระดาษ
- 2 นาที เมื่อเริ่มชินกับการร่นคำเข้ามาได้ 3 หรือ 4 คำจากทั้งหัวและท้าย ประโยคก็เริ่มพยายามที่จะมองเหลือเพียง 2 คำหรือสิ่งที่เรียกว่าคำติดตา (Fixation) ต่อบรรทัด คือคำแรกและคำสุดท้ายที่ร่นเข้ามานั่นเอง
- 3 นาที ฝึกการอ่านให้เร็วที่สุดเพื่อลองจับใจความ โดยใช้เทคนิคทั้ง 3 ข้อข้างต้นสัก 5 หน้าก่อน แล้วค่อยกลับไปอ่านแบบสบาย ๆ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการรับรู้ และปรับความเร็วในการอ่านเสียใหม่
7 จัดการสิ่งขัดจังหวะและศิลปะแห่งการปฏิเสธ
จงทำตัวให้เป็นคนรับมือยากเข้าไว้เมื่อถึงคราวต้องทำ การยืนกรานในความคิดของตัวเอง จะทำให้ได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า โดยไม่จำเป็นต้องขอร้องหรือโต้เถียงมันทุกคราไป การทำสิ่งสำคัญและเพิ่มสีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นทำได้ยาก ก็เพราะว่าโลกทั้งใบดูเหมือนจะรวมหัวกันผลักแต่เรื่องบ้า ๆ มาให้ โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ แค่ไม่กี่อย่าง จะช่วยทำให้พวกที่มาก่อกวน และยอมปล่อยให้อยู่อย่างสงบ
มารร้ายมีหลายร่าง การขัดจังหวะก็คืออะไรก็ตามที่เข้ามาขัดขวางการทำงานสำคัญ จากจุดเริ่มต้นจนถึงเสร็จสิ้น และเจ้าตัวยุ่มย่ามพวกนี้มีอยู่ 3 ชนิดหลัก ๆ คือ
- เรื่องเสียเวลา คืออะไรก็ตามที่สามารถเพิกเฉยใส่มันได้ โดยที่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือมีบ้างเล็กน้อย เรื่องเสียเวลาทั้งหลายก็ได้แก่การประชุม การเสวนา โทรศัพท์ ท่องเว็บ และอีเมลที่ไม่สำคัญ
- เรื่องกินเวลา งานที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จ แต่กลับไปขัดจังหวะงานที่มีความสำคัญมากกว่า เช่น การอ่านและตอบอีเมล การโทรศัพท์ติดต่อและโทรกลับไปหา รายงานการเงินหรือการขาย ธุระส่วนตัว งานหรือสิ่งที่จำเป็นต้องทำซ้ำอยู่ตลอด
- ความล้มเหลวในการมอบอำนาจ เมื่อใครสักคนต้องการคำอนุมัติในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยกตัวอย่างเช่นการแก้ปัญหาให้ลูกค้า (สินค้าหายจากการจัดส่ง สินค้าเสียหายจากการขนส่ง สินค้าชำรุด) ที่นี้มาดูใบสั่งยาสำหรับแก้ไขอาการทั้ง 3 กันทีละข้อ
เรื่องเสียเวลา ทำไม่รู้ไม่ชี้ เรื่องเสียเวลานั้นสามารถจัดการและกำจัดได้ง่ายที่สุด เพียงแค่จำกัดการเข้าถึง และลดข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้เหลือน้อยที่สุด
ขั้นแรกเลยจำกัดการอ่านและเขียนอีเมล นี้เป็นสุดยอดแห่งตัวขัดจังหวะ
- ปิดเสียงเตือน
- เช็คอีเมลวันละ 2 ครั้ง
งานกินเวลา จงทำยกชุดและหยุดวอกแวก เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพทางด้านค่าใช้จ่ายและเวลาก็คือ การรอจนกว่าจะได้รับงานล็อตใหญ่ วิธีการนี้เรียกว่าทำแบบชุดใหญ่ การทำงานแบบชุดใหญ่ยังช่วยแก้ปัญหาการมัวไปทำเรื่องเสียเวลา ทั้งนี้มีงานชิ้นสำคัญต้องทำได้อีกด้วย ทำงานซ้ำซากทั้งหลายที่คอยขัดจังหวะการทำงานสำคัญ งานทุกอย่างจะต้องมีระยะเวลาในการเตรียมงานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จะงานเล็กหรือใหญ่ก็ต้องทำ และบ่อยครั้งที่งานเพียงชิ้นเดียวก็ต้องใช้เวลาเตรียมไม่ต่างกับงานเป็น 100 ชิ้น
การมอบหมายอำนาจที่ไร้ผล กฎและการปรับเปลี่ยน การมอบอำนาจที่ใช้ไม่ได้ผลหมายถึงการที่ไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้โดยไม่ต้องรอขออนุญาต หรือขอข้อมูลเพิ่มเติมเสียก่อนมันเป็นกรณีที่มักเกิดขึ้น จากการทำงานแบบเข้าไปควบคุมรายละเอียดต่าง ๆ มากเกินไปหรือควบคุมใครคนใดคนหนึ่งมากเกิน การทำงานทั้ง 2 แบบที่ว่านี้ ล้วนเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลา สำหรับลูกจ้างเป้าหมายก็คือ ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างเต็มที่ และมีความสามารถในการตัดสินใจ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับเจ้าของกิจการเป้าหมายคือ การมอบข้อมูลและความสามารถในการตัดสินใจ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้กับลูกจ้างและผู้ที่ทำงานให้
ขั้นที่ 3 ล ย่อมาจากลื่นไหล
8 ชีวิตของการจ้างงานภายนอก
สลัดส่วนที่เหลือทิ้งแล้วลิ้มรสชาติส่วนต่างกำไรชีวิตที่ได้ เป็นลูกจ้างวิธีนี้จะช่วยได้ยังไง การมีผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานจากระยะไกล เป็นจุดสำคัญในการออกเดินทาง และเป็นช่วงเวลาที่จะได้เรียนรู้ที่จะออกคำสั่ง และเป็นผู้บังคับบัญชาแทนที่จะถูกบัญชา นี่เป็นการฝึกฝนระดับเล็ก ๆ เท่านั้น สำหรับทักษะที่สำคัญที่สุดของเศรษฐีแนวใหม่ก็คือ การบริหารจัดการและการสื่อสารจากระยะไกล ถึงเวลาแล้วที่จะเรียนรู้การทำตัวเป็นหัวหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลามากเลย แถมยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยและยังความเสี่ยงต่ำ ไม่ว่าจะจำเป็นต้องมีผู้ช่วยหรือไม่ในช่วงเวลานี้
นี่คือแบบฝึกหัดและยังเป็นตัวทดสอบ ความเป็นเจ้าของกิจการในตัวอีกด้วย การใช้ผู้ช่วยเสมือน (VA) เป็นแบบฝึกหัดง่าย ๆ ที่ไม่ส่งผลเสียหายใด ๆ การฝึกบริหารจัดการขั้นพื้นฐานนี้ กินเวลาราว 2-4 สัปดาห์ และมีค่าใช้จ่ายราว ๆ 100-400 เหรียญ นี่คือการลงทุนไม่ใช่การเสียเงินเปล่า และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนก็น่าทึ่งมากทีเดียว การเป็นสมาชิกของเศรษฐีแนวใหม่ไม่ใช่แค่การทำงานให้ฉลาดขึ้นเท่านั้น มันเกี่ยวกับการสร้างระบบที่จะมาทำงานแทนด้วย พร้อมที่จะสร้างกองทัพผู้ช่วยหรือยัง เริ่มจากการหันไปมองดูด้านมืดของการมอบหมายงานให้คนอื่นทำกันก่อน เรื่องราวนี้จะเล่าเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิด และพฤติกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์
อันตรายของการมอบหมายงาน ก่อนจะเริ่มลงมือ เคยได้รับมอบหมายงานที่ไม่เข้าท่าไหม งานไร้สาระ หรือได้รับคำสั่งให้ทำอะไรสักอย่าง ที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันทั้งไม่สนุกและไม่มีประโยชน์อะไร กำจัดงานที่ไม่จำเป็นก่อนจะหาใครมาทำแทน อย่าเอาสิ่งที่สามารถกำจัดทิ้งได้มารวมไว้ในระบบอัตโนมัติ และอย่ามอบหมายบางอย่างที่สามารถทำด้วยระบบอัตโนมัติได้ให้ใคร ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนอื่นเสียเวลาไปด้วย หลักการสำคัญคือแก้ไขปรับปรุงกฎ และขั้นตอนต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเพิ่มคนเข้าไป การใช้คนเข้ามาช่วยในกระบวนการที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วนั้นจะได้ผลลัพธ์เพิ่มขึ้น ถ้าใช้คนเป็นทางแก้สำหรับกระบวนการทำงานที่มีปัญหา ก็รังแต่จะสร้างปัญหาหนักกว่าเดิม
เมนูให้เลือก โลกของความเป็นไปได้ มีแนวทางสำคัญ 2 ข้อ คือ
กฎทองข้อแรก งานที่มอบหมายให้ผู้อื่นทำแต่ละงานจะต้องเป็นงานที่ทั้งสิ้นเปลืองเวลา และมีความชัดเจนอยู่แล้ว
กฎทองข้อสอง อย่าไปเครียด ขอให้สนุกกับมัน การทำตัวมีประสิทธิภาพไม่ได้แปลว่าจะต้องหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตลอดเวลา มันสนุกดีออกที่จะได้เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่อนคลายตัวเองบ้างเดี๋ยวจะเป็นบ้าไปก่อน
ในโลกของระบบอัตโนมัติ ไม่ใช่ว่าโมเดลธุรกิจทุกแบบจะทำงานเหมือนกัน จะต้องผนวกธุรกิจแต่ละส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเอาไว้ด้วยกันโดยไม่ต้องแม้แต่กระดิกนิ้วได้อย่างไร จะทำให้การฝากเงินในบัญชีกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ โดยไม่เลี่ยงไม่ต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ ที่มักเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเริ่มต้นด้วยการเข้าใจทางเลือกต่าง ๆ ก่อน ศิลปะของการหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ถาโถมเข้ามา และนั่นคือสิ่งที่จะเรียกว่างานสร้างทางสู่ฝัน
9 ระบบทำเงินอัตโนมัติ 1
ตามหางานสร้างทางสู่ฝัน จะทำอะไร ถ้าไม่ต้องคอยพะวงเรื่องเงิน ถ้าทำตามคำแนะนำ จะสามารถตอบคำถามนี้ได้ในอีกไม่นาน ได้เวลาที่จะตามหางานสร้างทางสู่ฝันกันแล้ว มีวิธีเป็นล้านที่จะหาเงินล้านเหรียญ ตั้งแต่การทำธุรกิจแฟรนไซส์ไปจนถึงที่ปรึกษาอิสระ มีมากกมายนับไม่หวาดไม่ไหว ที่วิธีส่วนใหญ่พวกนี้ไม่เข้ากันกับเป้าหมาย เนื้อหาในบทนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อคนที่อยากจะทำธุรกิจ แต่มีไว้เพื่อคนที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ และไม่อยากจะใช้เวลากับมัน
ทำใจให้เชื่อไม่ลงว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จแบบสุดขั้วในโลกนี้ ไม่ใช้โรงงานที่ผลิตสินค้าของตัวเอง รับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง จัดส่งสินค้าด้วยตัวเอง หรือให้บริการลูกค้าของเขาด้วยตัวเอง มีบริษัทเป็นร้อย ๆ ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการทำงานให้กับคนอื่น ช่วยทำงานเหล่านี้ให้ จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายเอาไว้ให้เช่า สำหรับใครก็ตามที่รู้ว่าจะหาพวกเขาเจอได้ที่ไหน ทุกอย่างล้วนง่ายดายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมาสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมา จำเป็นต้องหาผลิตภัณฑ์ที่จะขายให้เจอก่อน
ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจให้บริการ เนื้อหาส่วนนี้จะช่วยแปลงความเชี่ยวชาญให้กลายเป็นของที่ดาวน์โหลดได้ หรือกลายเป็นสินค้าที่สามารถจัดส่งไปไหน ๆ เพื่อให้หลุดกรอบออกมาจากโมเดลธุรกิจแบบทำงานรายชั่วโมง ถ้าเริ่มต้นจากงบประมาณน้อย ๆ ก็อย่าเพิ่งไปสนใจธุรกิจให้บริการ เพราะการต้องคอยติดต่ออยู่กับลูกค้าอยู่บ่อย ๆ จะทำให้การแวบ หายตัวไปทำได้ยาก เพื่อให้แคบเข้ามาอีก ผลิตภัณฑ์เป้าหมายจะต้องไม่ใช้เงินมากกว่า 500 เหรียญในการทดลองจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นั้น จะต้องทำตัวเองให้เข้าไปอยู่ในระบบอัตโนมัติได้ภายใน 4 สัปดาห์ และเมื่อเริ่มเข้าที่แล้ว มันก็จะต้องไม่ใช้เวลามากกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ในการบริหารจัดการ
เป้าหมายนั้นเรียบง่ายมาก มันคือการสร้างระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่จะช่วยผลิตเงินสดให้โดยไม่ต้องเสียเวลาดูแล เรียกระบบขับเคลื่อนนี้ว่า งานสร้างทางสู่ฝัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำได้ เพื่อแยกมันออกมาจากคำคลุมเครือที่เรียกว่า ธุรกิจ เป้าหมายมีขอบเขตที่แคบกว่านั้น เพราะฉะนั้นมันจึงต้องตั้งชื่อใหม่ที่ถูกต้องกว่าให้กับมัน เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเลย กระแสเงินสดและเวลา ถ้ามี 2 อย่างนี้ อะไรอย่างอื่นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเป็นไปได้เลย
ขั้นที่ 1 เลือกตลาดเฉพาะทางที่จ่ายไหว การสร้างความต้องการสินค้าเป็นงานยาก เติมเต็มความต้องการง่ายกว่า อย่าเพิ่งสร้างผลิตภัณฑ์แล้วคอยหาว่าจะขายมันให้ใคร จงหาตลาด ระบุตัวลูกค้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองพวกเขา จงทำตัวเป็นสมาชิกของกลุ่มตลาดเป้าหมาย และอย่าเสียเวลาไปพะวงถึงความต้องการ หรือความอยากซื้อของคนกลุ่มอื่น
เริ่มเล็ก ๆ แต่คิดใหญ่ ๆ ธุรกิจแบบนี้เรียกว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มได้ ว่ากันว่าถ้าคนทุกคนคือลูกค้า นั่นแปลว่าไม่มีใครเป็นลูกค้าจริง ๆ เลยสักคน ถ้าเริ่มต้นด้วยการวางเป้าว่าจะขายผลิตภัณฑ์ให้คนรักสุนัขหรือคนรักรถ หยุดเสียมันแพงเกินที่จะจ่ายค่าโฆษณาสำหรับตลาดที่กว้างขนาดนั้น และยังต้องฟาดฟันกับผลิตภัณฑ์เจ้าอื่น และข้อมูลอื่น ๆ อีกบานตะไท ลองถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ เพื่อที่จะได้ค้นพบตลาดเฉพาะกลุ่ม ที่สามารถทำกำไรให้ได้
- เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคม อุตสาหกรรม และกลุ่มอาชีพใด หรือมีความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ทำอาชีพทันตแพทย์ วิศวกร นักปีนเขา นักปั่นจักรยานเพื่อการพักผ่อน แฟนคลับรถเก่า นักเต้น หรือคนกลุ่มอื่น ๆ หรือไม่
- ในบรรดาที่คัดลายชื่อออกมา มีคนกลุ่มไหนบ้างที่มีนิตยสารสำหรับพวกเขา
ขั้นที่ 2 ระดมสมอง เลือกตลาดที่คุ้นเคยมากที่สุดมาสัก 2 ตลาด ที่นิตยสารของพวกเขามีโฆษณาขนาดเต็มหน้า ในราคาต่ำกว่า 5,000 เหรียญ และไม่ควรจะมีผู้อ่านน้อยกว่า 15,000 คน เป้าหมายคือการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีไอเดียดี และไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย
คุณประโยชน์สำคัญของสินค้า ควรจะเขียนออกมาได้ในประโยคเดียว
ลูกค้าควรจะจ่ายราวๆ 50 – 200 เหรียญ ราคาที่ต่ำเกินไปก็เป็นเรื่องไม่ฉลาด เพราะจะต้องมีใครคนอื่นสักคน ที่ยินดีจะสังเวยส่วนต่างกำไร นอกจากการทำให้ผลิตภัณฑ์ดูมีราคาแล้ว การสร้างภาพลักษณ์ให้สินค้าดูเป็นของพรีเมี่ยมชั้นสูง และขายในราคาที่แพงกว่าคู่แข่ง ยังมีประโยชน์อีก 3 ข้อ
- ราคาที่สูงกว่าหมายถึงสามารถจำหน่ายในจำนวนที่น้อยกว่าได้
- ราคาที่สูงกว่าจะดึงดูดลูกค้าที่ไม่ต้องดูแลมาก
- ราคาที่สูงกว่าย่อมสร้างส่วนต่างกำไรที่สูงกว่าปลอดภัยกว่า
อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาสูง ๆ มันก็มีขอบเขตอยู่ ถ้าราคาต่อหน่วยมันสูงเกินจุดหนึ่งขึ้นไป ลูกค้าที่สนใจจะโทรมาสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จนกว่าพวกเขาจะรู้สึกสบายใจที่จะสั่งซื้อสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการเลือกรับข้อมูลข่าวสารแต่น้อย พบว่าช่วงราคา 50-200 เหรียญต่อสินค้า 1 ชิ้นจะทำให้มีกำไรสูงสุด โดยที่จะต้องวุ่นวายกับการบริหารลูกค้าน้อยที่สุด ตั้งราคาให้สูง แล้วทำให้มันดูมีเหตุผลที่ควรจะจ่าย
มันควรจะใช้เวลาผลิตไม่เกินกว่า 3-4 สัปดาห์
มันควรจะมีคำอธิบายที่ครบถ้วนอยู่ในส่วนของเว็บไซต์ออนไลน์ตรงคำถามที่พบบ่อย เลือกผลิตภัณฑ์สร้างทางสู่ฝัน ที่สร้างความพอใจได้ยังไง มันมีอยู่ 3 ทางเลือก คือ
ทางเลือกที่ 1 รับมาขายต่อ ซื้อสินค้าที่มีจำหน่ายแบบขายส่งอยู่แล้ว และนำมาขายต่อด้วยช่องทางที่ง่ายที่สุด แต่ก็จะทำกำไรน้อยที่สุดด้วย มันเร็วกว่าที่จะเริ่มธุรกิจ แต่ก็จะตายเร็วด้วยสงครามราคา ที่ต้องตบตีกับพ่อค้าปลีกคนอื่น สำหรับการซื้อสินค้าขายส่งให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ติดต่อโรงงานผู้ผลิตและขอรายละเอียดราคาส่ง
- ถ้าจำเป็นต้องใช้หมายเลขผู้เสียภาษีธุรกิจ ให้พริ้นต์แบบฟอร์มจากเว็บไซต์ แล้วยื่นเพื่อขอจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด
ทางเลือกที่ 2 จดลิขสิทธิ์สินค้า แบรนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกบางแบรนด์และสินค้าบางตัว เป็นของที่ถูกยืมมาจากใครบางคน จากที่ไหนสักแห่ง มีคน 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์ และสมาชิกของกลุ่มเศรษฐีแนวใหม่ก็สามารถเลือกได้ว่า อยากเป็นกลุ่มไหน กลุ่มแรกคือผู้คิดค้นผลิตภัณฑ์ เรียกว่าเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งสามารถขายสิทธิ์ให้ผู้ผลิต สามารถใช้หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของเขาได้ ปกติแล้วคิดส่วนแบ่ง 3 – 10% ของราคาส่งสำหรับการขายสินค้าแต่ละหน่วย ผู้คิดค้นและปล่อยให้คนอื่นทำสิ่งที่เหลือแล้วนั่งรับเงิน ก็เป็นโมเดลที่ไม่เลวเท่าไหร่
อีกฟากหนึ่งของสมการคือบุคคลที่สนใจในการลงมือผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้คิดค้นเพื่อที่จะได้ส่วนแบ่ง 90 ถึง 97% ของผลกำไรคนกลุ่มนี้เรียกว่าผู้ถือลิขสิทธิ์สำหรับผมและเศรษฐีแนวใหม่คนอื่นๆแล้วรูปแบบนี้เป็นที่น่าสนใจมากกว่า
ทางเลือกที่ 3 สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เอง การสร้างผลิตภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนอะไร สร้างสรรค์ฟังดูเหมือนว่าจะต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องมากกว่าที่เป็น จริง ๆ ถ้าคิดที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องจ้างวิศวกรหรือนักออกแบบอุตสาหกรรม จะทำการทดลองผลตอบรับของตลาดโดยที่ยังไม่มีการผลิตสินค้า แต่ถ้าการทดลองประสบความสำเร็จ การลงมือผลิตก็จะเป็นขั้นตอนต่อไป นั่นหมายความว่าจะต้องระลึกถึงค่าใช้จ่ายเริ่มต้นของการวางระบบการผลิต ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยการผลิต และการสั่งผลิตสินค้าขั้นต่ำ การคิดค้นอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ดีเยี่ยมออกมา มักจะต้องมีการใช้เครื่องมือพิเศษในการผลิต ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการวางระบบ สูงเกินกว่าที่วางเกณฑ์เอาไว้
แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็อย่าเพิ่งกังวลไป ข้อแรกผู้เชี่ยวชาญในบริบทของการขายผลิตภัณฑ์ที่หมายความว่ารู้เกี่ยวกับสินค้ามากกว่าผู้ซื้อนั้น ไม่ใช่อีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด รู้ดีที่สุด แค่รู้มากกว่าลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ ที่ตั้งใจจะขายสินค้าให้ก็พอ ลองสมมติว่าแผนการความฝันปัจจุบันคือ การเข้าร่วมการแข่งขันสุนัขลากเลื่อนที่อิดิทาร็อดในอลาสก้า ต้องใช้เงิน 5,000 เหรียญสำหรับค่าใช้จ่าย ถ้ามีผู้อ่าน 15,000 คน และสามารถโน้มน้าว 50 คน 0.33% ได้ด้วยทักษะความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่า และพวกเขายอมจ่ายเงิน 100 เหรียญเป็นค่าคอร์สเรียนในสิ่งที่สอน แค่นั้นก็ได้เงิน 5,000 เหรียญแล้ว ลูกค้า 50 คนเหล่านั้นคือสิ่งที่เรียกว่า ฐานลูกค้าขั้นต่ำ คือจำนวนต่ำสุดของลูกค้าที่ต้องการ เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญในการเติมเต็มแผนการความฝันให้สำเร็จ
ประการที่ 2 สถานะความเป็นผู้เชี่ยวชาญ สามารถสร้างขึ้นได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 สัปดาห์ ถ้าเข้าใจตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือพื้นฐาน เป็นเรื่องสำคัญที่จะเรียนรู้ว่าบรรดานักประชาสัมพันธ์มือโปร เขียนประโยคในประวัติการทำงานและเลือกลูกค้าอย่างไร
10 ระบบทำเงินอัตโนมัติ 2
ทดสอบงานสร้างทางสู่ฝัน
เรื่องของเรื่องก็คือทั้งสัญชาตญาณ และประสบการณ์ล้วนแต่เป็นเครื่องมือที่ห่วยแตก ในการที่จะคาดคะเนว่าผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจใดที่จะทำกำไรให้ เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวชี้วัดที่ถูกต้องของสิ่งที่มีแนวโน้มจะพัฒนาเป็นธุรกิจได้ จงอย่าถามว่าพวกเขาจะซื้อมันเองหรือเปล่า ขอให้พวกเขาซื้อมันไปเลย ปฏิกิริยาตอบโต้ที่ได้เป็นสิ่งเดียวที่สำคัญ การก้าวไปเป็นเศรษฐีแนวใหม่ก็สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน
ขั้นที่ 3 ทดสอบผลิตภัณฑ์ในตลาดขนาดเล็ก การทำการทดสอบแบบกลุ่มเล็ก ๆ นี้หมายความว่ารวมถึงการใช้โฆษณาราคาย่อมเยา เพื่อหยั่งดูเสียงตอบรับของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้า ก่อนที่จะลงมือสั่งผลิตออกมา การทดสอบขั้นพื้นฐานนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน
ต้องเหนือกว่าคู่แข่ง ข้อแรกและข้อสำคัญ ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะต้องผ่านการทดสอบศักยภาพในการแข่งขันด้วย เช่น
- ลองใช้คำสำคัญลำดับต้น ๆ ที่คิดว่าเมื่อพิมพ์เข้าไปใน Google แล้วจะได้เจอสินค้า เพื่อจะได้เรียนรู้ถึงคำที่เกี่ยวข้องและคำที่ใกล้เคียง ใช้เครื่องมือที่ช่วยแนะนำคำค้นหา สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าได้
ใช้ตัวชี้วัดความน่าเชื่อที่มากขึ้น (สื่อ สถาบันการศึกษา สมาคม และหนังสือรองรับ)
ให้การรับประกันที่ดีกว่า
เสนอตัวเลือกที่ดีกว่า
ส่งฟรีหรือสั่งได้รวดเร็วกว่า
- สร้างโฆษณาที่เต็มไปด้วยคำยืนยันถึงข้อดีของสินค้า จำนวน 1 หน้าความยาว 300-600 คํา เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างและประโยชน์ของสินค้า ทดสอบตัวโฆษณา ทดสอบผลตอบรับที่แท้จริงที่ลูกค้ามีต่อโฆษณา สร้างเว็บไซต์หน้าเดียวสำหรับโฆษณา เมื่อการทดสอบสิ้นสุด จำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบจำนวนการคลิกเข้ามาชมของโฆษณาแต่ละตัว แล้วเริ่มจุดเด่นที่สุดของโฆษณาแต่ละชิ้น (พาดหัว ชื่อโดเมน และเนื้อหา) มาผสมรวมกันเพื่อให้ออกมาเป็นโฆษณาชิ้นสุดท้าย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด โปรดดูให้แน่ใจว่าสินค้าแต่ละชิ้นไม่ได้มีไว้เพื่อดักลูกค้าให้คลิกเข้ามาในเว็บเพียงอย่างเดียว รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าควรจะกระจ่างแจ้ง เป้าหมายคือการได้มาซึ่งผู้ที่มีความเหมาะสมจะเป็นลูกค้า เพราะฉะนั้นไม่ต้องการที่จะเสนอของฟรี
ทำหรือทิ้ง จำนวนการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ และจำนวนผู้ที่ถูกโน้มน้าวจนสั่งซื้อสินค้าต้องมากแค่ไหน ที่จะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับดี นี่คือจุดที่คณิตศาสตร์อาจตบตาได้ การตัดสินใจที่จะใช้วิธีคิดง่าย ๆ คือ จ่ายเงินค่าโฆษณา PPC ไปเท่าไหร่ และตอนนี้ขายได้เท่าไหร่
11 ระบบทำเงินอัตโนมัติ 3
บริหารกิจการด้วยการหายตัว
เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ จะไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจโดยมีการตั้งเป้าว่า จะสร้างให้เป็นระบบอัตโนมัติ สิ่งนี้ทำให้ต้องพบกับความสับสนงุนงงขนาดใหญ่ ในโลกที่มีกูรูธุรกิจแต่ละคนต่างก็ให้คำแนะนำไปคนละทางสองทาง บรรดาคำแนะนำที่แย้งกันเอง ซึ่งมักพบในหนังสือธุรกิจและที่อื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเกี่ยวข้องกับการบริหารคน ทันทีที่สินค้าได้ขายไป มันก็ถึงเวลาแล้วที่จะออกแบบโครงสร้างธุรกิจ ที่สามารถแก้ไขและดำเนินไปได้ด้วยตัวของมันเอง
เบื้องหลังโครงสร้างงานสร้างทางสู่ฝัน แผนผังควรจะเป็นแค่พิมพ์เขียวคร่าว ๆ ในการออกแบบระบบที่สามารถดำรงอยู่ด้วยตัวเองได้ มันอาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปอยู่สองสามประการ แต่หัวใจสำคัญนั้นเหมือนกัน คือ
- ว่าจ้างบริษัทรับจ้างภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง และจ้างฟรีแลนซ์ควบคู่กันไปด้วยหากทำได้ ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกเลิกจ้างหรือลาออกไป หรือไม่ยอมทำงาน จะสามารถแทนที่ได้โดยไม่ต้องทำให้ธุรกิจต้องสะดุด
- ดูให้แน่ใจว่าผู้ที่ถูกจ้างจากภายนอกนั้น เต็มใจที่จะติดต่อสื่อสารกันเองในหมู่พวกเขา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา และอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรให้สามารถตัดสินใจ ในเรื่องที่เสียค่าใช้จ่ายไม่สูงด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องขอความเห็น
เพื่อการยกระดับโครงสร้างภายในของบริษัทตามลำดับต่อไปนี้ ใช้จำนวนสินค้าที่ต้องจัดส่งเป็นเกณฑ์
ระยะที่ 1 ยอดส่งสินค้า 0-50 ชิ้น ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ใส่เบอร์โทรศัพท์ไว้บนเว็บไซต์ ทั้งในส่วนของการตอบคำถามทั่วไป และส่วนของการสั่งซื้อสินค้า นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก ในช่วงแรกให้รับสายที่ลูกค้าโทรมา เพื่อประเมินว่าคำถามทั่วไปคำถามไหน ที่น่าจะนำไปใส่ไว้ในส่วนคำถามที่พบบ่อยบนเว็บไซต์ ส่วนคำถามที่พบบ่อยนี้ ยังจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปใช้ในการฝึกอบรมพนักงานรับโทรศัพท์ และคิดบทสนทนาในการขายด้วย ตอบกับอีเมลทุกฉบับ และเก็บอีเมลตอบรับเอาไว้ในแฟ้มที่มีชื่อว่า คำถามสำหรับลูกค้าสัมพันธ์ ส่งสำเนาอีเมลที่ตอบกลับลูกค้าให้กับตัวเองด้วย แล้วนำคำถามเหล่านั้นมาแยกประเภทให้เป็นหมวดหมู่สำหรับใช้ในอนาคต บรรจุสินค้าและจัดส่งสินค้าทั้งหมดด้วยตัวเอง เพื่อประเมินหาวิธีที่จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด สำหรับทั้ง 2 อย่างนี้ แล้วสอบถามการเปิดบัญชีเพื่อการค้าจากธนาคารท้องถิ่นขนาดเล็ก มันจะง่ายกว่าการทำกับธนาคารใหญ่ ๆ สำหรับการจ้างงานภายนอก เพื่อดูแลเรื่องธุรกรรมบัตรเครดิต เมื่อยอดจำหน่ายสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
ระยะที่ 2 มากกว่า 10 ชิ้นต่อสัปดาห์ เพิ่มเติมคำถามที่พบบ่อยให้มากขึ้นอีกเว็บไซต์ และเพิ่มเติมคำตอบสำหรับคำถามพบบ่อยที่ได้รับอยู่เรื่อย ๆ ตามหาบริษัทจัดส่งท้องถิ่นในสมุดหน้าเหลือง ภายใต้หัวข้อว่าบริการจัดส่งสินค้า หรือบริการจัดส่งทางไปรษณีย์ ถ้าหาไม่เจอบริการทั้ง 2 แบบให้โทรหาโรงพิมพ์ท้องถิ่น แล้วถามว่าพวกเขาแนะนำให้ใช้บริการที่ไหน ตัดตัวเลือกออกให้เหลือแต่เจ้าที่ยินดีจะไม่เก็บค่าบริการแรกเข้า และไม่มีกำหนดส่งสินค้าขั้นต่ำในแต่ละเดือน
ระยะที่ 3 จัดส่งสินค้ามากกว่า 20 ชิ้นต่อสัปดาห์ ตอนนี้มีกระแสเงินสดมากพอที่จะจ่ายค่าเริ่มต้น และค่าบริการขั้นต่ำสำหรับผู้รับจ้างจากภายนอกที่ใหญ่กว่า และมีความเชี่ยวชาญมากกว่าได้แล้ว ให้โทรหาบริษัทรับส่งครบวงจรที่สามารถรับมือได้ทุกอย่าง ตั้งแต่สถานะการจัดส่งไปจนถึงการส่งคืนสินค้า หรือการขอคืนเงิน ซักถามพวกเขาเรื่องค่าใช้จ่าย และถามพวกเขาถึงบริการ call center และผู้ให้บริการบัตรเครดิตที่พวกเขาเข้าร่วมงานด้วย สำหรับการส่งต่อไฟล์ข้อมูลและการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อย่าเอาบริษัทแปลกหน้าหรือคนนอกที่ไม่เคยรู้จักมาเข้าร่วมไว้ในโครงสร้างระบบ นั่นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการวางระบบการทำงานใหม่อีกครั้ง และอาจเกิดความผิดพลาดได้ ซึ่งทั้ง 2 ปัญหาล้วนแต่ต้องจ่ายเงินก้อนโต
ศิลปะของการไม่ตัดสินใจ ยิ่งมีให้เลือกน้อยเท่าไหร่ รายได้ยิ่งมาก ศิลปะของการไม่ตัดสินใจหมายถึง การลดจำนวนการตัดสินใจที่ลูกค้าสามารถทำได้ หรือจำเป็นต้องทำให้น้อยลง นี่คือขั้นตอน เหล่านั้น
- เสนอทางเลือกในการซื้อค่า 1 หรือ 2 อย่างเท่านั้น
- อย่าเสนอรูปแบบการส่งสินค้าที่หลากหลาย
- อย่าเสนอการจัดส่งสินค้าภายในวันที่สั่งซื้อหรือแบบด่วนพิเศษ
- กำจัดการสั่งสินค้าทางโทรศัพท์ทิ้งไป แล้วให้ลูกค้าสั่งสินค้าทางออนไลน์แทน
- อย่าเสนอการส่งสินค้าข้ามประเทศ
นโยบายที่แนะนำเอาไว้เหล่านี้ บอกเป็นนัย ๆ ให้รู้แล้วว่า อะไรที่จะช่วยให้ประหยัดเวลาได้มากที่สุด ในบรรดาทุกอย่างคือการคัดกรองลูกค้านั่นเอง
ลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทันทีที่ปริมาณการส่งสินค้ามาถึงระยะที่ 3 และมีกระแสเงินสดหมุนเวียนแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะประเมินลูกค้าอีกรอบหนึ่ง และกำจัดลูกค้าที่ไม่น่าพิศมัยทิ้งไป แนะนำให้มองหาลูกค้าในฐานะคู่ค้าที่เท่าเทียมกัน และไม่ใช่บุคคลที่เป็นฝ่ายถูกตลอดกาล และต้องถูกเอาอกเอาใจไปหมดทุกเรื่อง ถ้าเป็นผู้เสนอผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยมในราคาที่ยอมรับได้ให้แล้ว มันก็เป็นการทำการค้าอย่างเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย จงทำตัวให้เป็นมืออาชีพ แต่อย่ายอมคุกเข่าก้มหน้าให้คนที่ไร้เหตุผล แทนที่จะเลือกรับมือกับลูกค้าเจ้าปัญหา แนะนำให้ป้องกันไม่ให้พวกเขาสั่งสินค้าตั้งแต่แรกเลยจะดีกว่า
- ไม่รับชำระเงินผ่าน Western Union เช็คหรือใบสั่งจ่ายเงิน
- ขยับจำนวนสินค้าขั้นต่ำของการขายส่งมาเป็น 12-100 ชิ้น และขอหมายเลขผู้เสียภาษีจากลูกค้า เพื่อเลือกแต่เฉพาะตัวแทนจำหน่ายที่เป็นนักธุรกิจตัวจริง ไม่ใช่พวกมือใหม่ไร้ประสบการณ์
- แจ้งตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับแบบฟอร์มใบสั่งซื้อออนไลน์ ที่จะต้องถูกพิมพ์ออกมา กรอกข้อมูล และแฟกซ์เข้ามา งดการเจรจาต่อรองราคา หรือยอมลดราคาให้กับคนที่ซื้อสินค้าจำนวนมาก
- เสนอผลิตภัณฑ์ราคาถูก
- นำเสนอการรับประกันแบบยินดีคืนเงิน
- ไม่รับใบสั่งซื้อสินค้าจากประเทศที่มีการฉ้อโกงสูง
ทำให้ลูกค้าเป็นเหมือนสมาคมสำหรับคนพิเศษ และปฏิบัติต่อเหล่าสมาชิกเป็นอย่างดี เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้ว
ขั้นที่ 4 ง คือ ง้างโซ่ตรวน
12 ปฏิบัติการหายตัว
วิธีวิ่งหนีออกจากที่ทำงาน ดำเนินแผนการหลบหนีของตัวเองเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เพิ่มการลงทุนให้ตัวเอง การขอไปฝึกอบรมเพิ่มเติมที่มีให้กับพนักงาน เพื่อให้บริษัทลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้เกิดการสูญเสียที่มากขึ้น ถ้าหากว่าเขาต้องการลาออก
ขั้นตอนที่ 2 พิสูจน์ให้เห็นว่า ทำงานนอกบริษัทได้งานมากกว่า ลาป่วยในวันอังคารและวันพุธถัดมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลงานการทำงานนอกสถานที่ ลาป่วยในวันอังคารและพุธนั้นด้วยเหตุผล 2 ประการ ข้อแรกเพราะมันจะทำให้ดูไม่เหมือนการโกหก เพื่อให้ได้หยุดยาว 3 วัน และข้อ 2 มันทำให้สามารถแสดงให้เห็นว่า สามารถทำงานได้ดีแค่ไหนเมื่ออยู่สันโดษจากสังคม โดยไม่ต้องอาศัยวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง ทำทุกอย่างให้แน่ใจว่า สามารถสร้างผลงานออกมาได้เป็น 2 เท่าในทั้ง 2 วันนั้น ส่งอีเมลเป็นเบาะแสให้หัวหน้าได้สังเกตเห็น และเก็บบันทึกจำนวนงานที่ทำเสร็จเอาไว้ ใช้สำหรับการต่อรองในภายหลัง
ขั้นตอนที่ 3 เตรียมแสดงให้เห็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่บริษัทจะได้ ทำรายการออกมาเป็นข้อ ๆ ว่าสามารถทำงานได้มากชิ้นขนาดนั้นเมื่อทำงานจากภายนอกบริษัท พร้อมคำอธิบายหรือว่าจะต้องนำเสนอการทำงานนอกสถานที่ว่า เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่เข้าท่า ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ผลลัพธ์ของงานที่ออกมานั้นทำได้มากกว่า
ขั้นตอนที่ 4 เสนอขอช่วงทดลองทำงานนอกสถานที่ ที่จะเพิกถอนสิทธิ์นี้เมื่อไหร่ก็ได้
ขั้นตอนที่ 5 ขยายช่วงเวลาออกไป ทำทุกอย่างให้แน่ใจได้ว่า วันที่ทำงานจากนอกออฟฟิศนั้น จะเป็นวันที่สร้างผลงานได้มากที่สุด
13 เกินกว่าจะแก้ไข
อย่างนี้ต้องลาออก
งานบางงานก็เกินกว่าจะเยียวยาได้ การปรับปรุงแก้ไขงานประเภทนี้ ก็เหมือนกับการเอาม่านสวย ๆ ไปติดลูกกรงคุกก็สวยดี แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าดีงาม งานจะหมายถึงทั้งบริษัทที่บริหารกิจการ และงานธรรมดาทั่วไป ถ้าเป็นคนทำงานปกติ คำแนะนำอย่างนั้นเหมาะสำหรับงานประเภทใดประเภทหนึ่งหรือทั้ง 2 ประเภท แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึงทั้งคู่เพียง เพราะว่างานนั้นเป็นเรื่องที่มีหลายอย่างให้ต้องจัดการ หรือใช้เวลามากมายในการทำ ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นงานที่ก่อให้เกิดดอกออกผลหรือคุ้มค่าที่จะทำ
ควรระลึกไว้ว่าทิฐิเป็นเรื่องโง่ ความสามารถที่จะเลิกทำสิ่งที่มันไม่ได้ส่งผลดี เป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้ชนะ การกระโจนลงไปทำโครงการหรืองานอะไรสักอย่าง โดยที่ไม่ได้ระบุลงไปว่าเมื่อไหร่มันจึงจะคุ้มค่าที่ได้ทำ จะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า มีความกลัวหลัก ๆ อยู่มากมายหลายอย่าง ที่ทำให้ทนปักหลักยืนอยู่บนเรือที่กำลังจะจม และนี่คือข้อโต้แย้งความกลัวเหล่านั้น
- การลาออกเป็นเรื่องถาวร เลือกเส้นทางอาชีพ หรือตั้งต้นบริษัทอีกครั้ง หลังจากผ่านจุดนี้ไปได้ ไม่เคยเห็นใครที่เมื่อตัดสินใจลองเปลี่ยนเส้นทางแล้ว จะกลับมาทำงานเดิมอีกไม่ได้เลย
- คงไม่มีปัญญาจัดการกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะหางานใหม่ หรือแหล่งรายได้ใหม่ให้ได้ก่อนที่จะลาออกจากงานปัจจุบัน แค่นั้นก็เรียบร้อย
- ประกันสุขภาพและเงินออมหลังเกษียณจะหายไปถ้าลาออก เมื่อลองมาดูความจริง และทบทวนดูทางเลือกต่าง ๆ ดูแล้วก็ได้รู้ว่า สามารถมีประการสุขภาพและทันตกรรมที่ครอบคลุมเหมือนกัน จากผู้ที่ให้บริการและเครือข่ายเดียวกัน
- มันจะทำให้ resume ดูไม่ดี มันไม่ยากเลยที่จะจัดการกับช่วงว่างที่ไม่มีงานทำใน resume และทำในสิ่งที่ดูไม่ปกตินี้ ทำให้ถูกเรียกสัมภาษณ์งาน โดยทำเรื่องน่าสนใจและทำให้พวกเขาอิจฉาสิ ถ้าลาออกจากงานแล้วนั่งอืดอยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่มีใครจ้างเหมือนกัน ตรงข้ามถ้าระบุว่าออกท่องโลกเป็นเวลา 1-2 ปีในเรซูเม่ หรือไปร่วมฝึกกับทีมฟุตบอลอาชีพในยุโรปจะมีเรื่องน่าสนใจ 2 อย่างเกิดขึ้น เมื่อหวนกลับมาสู่โลกแห่งการทำงาน เรื่องแรกจะถูกเรียกสัมภาษณ์มากขึ้นเพราะจะโดดเด่นมากกว่าใคร 2.ผู้สัมภาษณ์ที่สุดเซ็งกับงานของตัวเอง จะใช้เวลาตลอดการสัมภาษณ์ถามว่าทำมันได้ยังไง
14 การเกษียณแบบย่อม
อ้าแขนรับชีวิตไม่ต้องติดอยู่กับที่
ถ้าหากผ่านขั้นตอนก่อนหน้าที่กล่าวมาหมดแล้ว ตั้งแต่การกำจัด ระบบอัตโนมัติ และการง้างโซ่ที่ล่ามไว้กับที่ใดที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว มันก็ถึงเวลาแล้วที่ปล่อยตัวเองไปตามความฝัน แล้วออกสำรวจโลก บทนี้จะเป็นข้อสอบชุดสุดท้ายสำหรับการออกแบบงานสร้างทางสู่ฝัน
กำหนดการเกษียณขนาดย่อม และจุดจบของการลาพักร้อน ถ้าคุ้นเคยกับการทำงานปีละ 50 สัปดาห์ ก็มีแนวโน้นว่าต่อให้หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนก็ได้ตามใจ จนสามารถเดินทางท่องเที่ยวยาว ๆ ได้ ก็จะทำให้เสียสติจนวางแผนเที่ยว 10 ประเทศใน 14 วัน และจบลงด้วยร่างอันแหลกเละ มันก็เหมือนกับการเอาสุนัขที่อดอาหารจนหิวโซ โยนเข้าไปที่โต๊ะบุฟเฟ่ต์มันจะกินจนท้องแตกตาย แทนที่จะเที่ยวแบบสวาปามแบบนี้ ให้เที่ยวแบบเกษียณขนาดย่อมดีกว่า พาตัวเองย้ายไปอยู่ยังที่แห่งหนึ่งสัก 1-6 เดือน ก่อนที่จะกลับบ้านแล้วค่อยย้ายไปที่แห่งใหม่
นี่เป็นการท่องเที่ยวที่ตรงข้ามกับการพักร้อนอย่างสิ้นเชิงในแง่ที่ดี เพราะมันทำให้ได้ผ่อนคลาย การเกษียณขนาดย่อมไม่ใช่การหลบหนีออกจากชีวิต แต่มันเป็นการย้อนกลับมาพิจารณาดูชีวิตอีกครั้งต่างหาก เหมือนการสร้างแผ่นกระดาษเปล่า ๆ ขึ้นมา เมื่อทำตามขั้นตอนการกำจัดและระบบอัตโนมัติแล้ว การทำแบบนี้ยังแตกต่างจากการหยุดพักทำงาน ซึ่งมักจะถูกมองว่าเหมือนกับการเกษียณ เพราะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ดื่มด่ำกับมันในขณะที่ยังทำได้ การเกษียณขนาดย่อมนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มันคือไลฟ์สไตล์ บางครั้งการได้ไปอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ ๆ ก็ช่วยพาไปได้ทั่วโลก หลายครั้งแค่ช่วงหัวเลี้ยวถนนเดียว มันก็พาไปในที่ต่าง ๆ ภายในโลกที่แตกต่างออกไป ที่ซึ่งการประชุม อีเมล และการโทรศัพท์ไม่ได้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาขณะนั้น
เสรีภาพที่แท้จริงนั้นเป็นอะไรที่มากกว่าการมีรายได้อย่างเพียงพอ และมีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำ มันออกจะเป็นเหมือนกฎมากกว่าจะเป็นข้อยกเว้น ที่จะมีอิสรภาพทางด้านการเงินและเวลา แต่ก็ยังต้องติดอยู่ในการแข่งขันอันแสนทรมาน คนเราจะไม่มีวันเป็นอิสระจากความเคร่งเครียดที่เกิดจากวัฒนธรรมที่หมกมุ่นอยู่กับความเร่งรีบ และต้องครอบครองสิ่งที่ใหญ่โต จนกว่าจะได้เป็นอิสระจากการเสพติดเรื่องวัตถุนิยม และวิธีคิดที่ว่าเวลาเป็นสิ่งที่ขาดแคลน มีมากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอสักที รวมถึงแรงกระตุ้นของการเปรียบเทียบที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เรื่องนี้ต้องใช้เวลากันมากหน่อย และผลกระทบของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสะสมเพิ่มพูนได้ และเวลาการออกทัศนาจรแค่ 2 สัปดาห์นั้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็น้อยเกินกว่าที่จะมาทดแทน การค่อย ๆ ท่องเที่ยวอย่างลึกซึ้งเพียงครั้งเดียว และรู้ที่จะชะลอความเร็วของชีวิตลง ตั้งใจหลงทางเสียบ้าง สังเกตดูว่าตัดสินทั้งตัวเองและคนรอบข้างยังไงบ้าง มีโอกาสที่จะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาสักพักแล้ว ลองหาเวลาอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อทำลายนิสัยเดิม ๆ ทิ้งไป แล้วค้นพบตัวเองอีกครั้ง โดยไม่ต้องมาคอยคิดถึงเที่ยวบินขากลับที่กำลังจะมาถึง
15 เติมเต็มความว่างเปล่า
เพิ่มชีวิตชีวาทดแทนงานที่หายไป
ภาวะซึมเศร้าหลังจากไม่ได้ทำงานเรื่องปกติ เมื่อมีทั้งเงินและเวลามากกว่าที่เคยฝันไว้แล้วทำไมถึงเศร้านักมันเป็นคำถามที่ดี ที่มาพร้อมกับคำตอบที่ดี จงดีใจเถอะที่คิดได้อย่างนี้เสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนใกล้ตาย การได้เกษียณจากการทำงาน และความร่ำรวยมักจะกลายเป็นสิ่งไม่น่าพิสมัย แล้วชวนให้คุ้มคลั่งด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นก็คือ มันทำให้มีเวลาว่างมากเกินไป เวลาว่างที่มากเกินไปก็คือ ปุ๋ยที่หว่านโปรยใส่ความกังขาในตัวเอง และทำให้สภาพจิตใจคิดวนเวียนไปมาไม่รู้จบ การขจัดสิ่งเลวร้ายออกไปไม่ได้ช่วยสร้างสิ่งที่ดีขึ้นมาได้ มันแค่ทำให้เกิดช่องว่างต่างหาก
การลดงานที่ทำเพื่อหวังรายได้ให้น้อยลงไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย การใช้ชีวิตให้มากขึ้นและเป็นไปได้มากกว่าเดิมต่างหากที่เป็นบั้นปลาย นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับคนเก่งทั้งหลาย ที่ต้องถอยเกียร์ลงหลังจากที่ทำงานหนักหน่วงมาอย่างยาวนาน ยิ่งเป็นคนฉลาดและมีเป้าหมายมากแค่ไหน เรื่องนี้ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น เรียนรู้ที่จะทดแทนความรู้สึกขาดแคลนเวลา ด้วยการรู้สึกอิ่มเอมกับเวลาอันเหลือเฟือที่มีนั้น อย่าได้หวาดกลัวกับความเป็นปัจเจกชนของตัวเอง หรือความท้าทายทางสังคมเลย อิสรภาพก็เหมือนกับกีฬาชนิดใหม่นั่นแหละ ตอนเริ่มต้นความแปลกใหม่ของมันน่าทึ่งมาก พอที่จะทำให้ทุกอย่างดูน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา แต่ทันทีที่เรียนรู้พื้นฐานการเล่นทั้งหมดแล้ว มันก็เห็นได้ชัดเจนว่าต่อให้คนที่เล่นเก่งแล้ว ก็ยังต้องฝึกหนักอยู่ดี อย่าไปกลุ้มเลย รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังจะมาถึงแล้ว และก็อยู่ห่างจากเส้นชัยแค่นิดเดียว
หงุดหงิดและกังขา อย่าคิดว่าเป็นอยู่คนเดียว ทันทีที่กำจัดชีวิตการทำงานตั้งแต่ 9:00 น. ถึง 17:00 น. ทิ้งไปได้ และเริ่มออกเดินทางก็ไม่ใช่ว่าถนนนั้นจะปูลานด้วยกลีบกุหลาบ และทรายขาวไปหมดหรอก ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ เมื่อไม่มีกำหนดงานและเพื่อนร่วมงานมาคอยกวนใจแล้ว การสลัดคำถามใหญ่ออกไปก็จะกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น ควรจะทำอะไรกับชีวิตดี แรงกระตุ้นให้เกิดการเปรียบเทียบจะคืบคลานเข้ามา ความพะวงสงสัย และการทำร้ายตัวเองนั้นประกอบไปด้วย
- ทำแบบนี้เพื่อที่จะได้มีอิสระ และได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม หรือที่จริงก็แค่ขี้เกียจ
- ลาออกจากสมรภูมิการทำงาน เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้าย หรือแค่เพราะว่ามันไม่ได้เรื่อง หรือไร้ความรับผิดชอบ
- แบบนี้มันดีแล้วเหรอ บางทีจะไปได้ดีกว่านี้ตอนที่คอยรับคำสั่ง และไม่ต้องสนใจโอกาสต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา อย่างน้อยมันก็ง่ายกว่ากัน
- นี่ประสบความสำเร็จแล้วจริง ๆ หรือว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่เนี่ย
- ลดมาตรฐานของตัวเองเพื่อให้เป็นผู้ชนะหรือเปล่า เพื่อน ๆ ที่ตอนนี้กำลังทำเงินได้มากกว่า 2 เท่าของเมื่อ 3 ปีก่อนเป็นฝ่ายที่เลือกถูก
- ทำไมถึงไม่มีความสุข สามารถทำทุกอย่างที่อยากทำได้ แต่ก็ยังไม่มีความสุข นี่สมควรต้องเจอแบบนี้หรือเปล่า
ข้อกังขาส่วนใหญ่เหล่านี้ มักจะจัดการได้ในทันทีที่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือการเปรียบเทียบที่แสนจะตกยุคสุด ๆ ไปเลย มันคือความเชื่อที่ว่ายิ่งมากยิ่งดี และเงินคือเครื่องวัดความสำเร็จที่ทำให้ต้องมาลำบากลำบนกันตั้งแต่ต้น แต่ถึงจะรู้แบบนี้แล้ว ก็ยังต้องมาพิจารณากันให้ลึกซึ้งลงไปมากกว่านี้ ความกังขาเหล่านี้จะเคลื่อนเข้ามารุกล้ำความคิดยามที่ไม่มีอะไรทำ ลองคิดถึงเวลาที่รู้สึกมีชีวิตชีวาเต็ม 100% และไม่วอกแวกไปกับอะไรดู ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตอนที่พุ่งเป้าไปที่อะไรภายนอกสักอย่าง ใครสักคน สิ่งไหนสักสิ่ง อย่างเต็มที่นั่นเอง เมื่อไม่มีอะไรให้พุ่งเป้าไปหา ความคิดก็จะหวนกลับมาหมกมุ่นอยู่กับตัวมันเอง และสร้างปัญหาให้ต้องแก้ ต่อให้ปัญหานั้นไม่ได้มีอยู่จริง หรือไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยก็ตาม
ถ้าหากเจอว่าจะพุ่งเป้าไปที่อะไร แล้วมีเป้าหมายสูงส่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ และบังคับให้ต้องเติบโต แล้วความพะวงสงสัยบ้าบอพวกนี้ก็จะหายไป กระบวนการในการมองหาเป้าหมายใหม่นั้น เกือบจะเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ให้คำถามใหญ่พรุ่งนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นแรงกดดันจากนักปรัชญาปลอม ๆ ที่มีอยู่ทุกหนแห่ง ที่ทำให้โยนคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องทิ้งไป และพยายามจะตอบแต่สิ่งที่เป็นเรื่องนอกกาย
สองตัวอย่างยอดฮิตของคำถามพวกนี้คือ ความหมายของชีวิตคืออะไร และทั้งหมดนี้มันจะมีประโยชน์ตรงไหน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสน นี่เป็นคำถามที่ไม่ควรจะเสียเวลาใส่ใจ ถ้าไม่สามารถนิยามให้มันชัดเจนหรือลงมือทำได้ ก็จงลืมมันไปเสีย การลับตรรกะตัวเองให้เฉียบคม และการฝึกฝนจิตใจ มันคือการเป็นคนฉลาด และนำความพยายามไปใช้ สร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตัวเองและคนอื่นต่างหาก ชีวิตนั้นดำรงอยู่เพื่อจะเป็นสุข และสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง
คนแต่ละคนต่างก็มีพาหนะของตัวเองที่จะพาไปถึงจุดนั้น และพาหนะนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สำหรับบางคนคำตอบอาจจะเป็นการทำงานเพื่อเหล่าเด็กกำพร้า และสำหรับคนอื่น ๆ มันอาจจะเป็นการได้แต่งเพลง บางคนต่อว่าต่อขานการรักตัวเอง และสนใจแต่ความสนุกว่าเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวหรือสุขนิยม แต่มันไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ การมีความสุขกับชีวิตและช่วยเหลือผู้อื่นคือ การรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง และการทำสิ่งดี ๆ เพิ่มมากขึ้น มันก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าการทำตัวไร้ศาสนา หรือมีศีลธรรมนำชีวิตหรอก มันทำคู่กันไปได้ทั้งนั้น แต่ก็ยังคงทิ้งคำถามที่ว่า แล้วจะเอาเวลาของตัวเองไปทำอะไร เพื่อให้สนุกสนานกับชีวิต และรู้สึกดีกับตัวเอง มันมีองค์ประกอบพื้นฐานอยู่ 2 ข้อ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการลงมือทำอะไรให้ผู้อื่น
เรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อดำรงชีวิตและเรียนรู้ สามารถอัพเกรดสมองได้แม้จะอยู่บ้าน เดินทาง หรือย้ายไปอยู่ในสถานที่ ที่มีเงื่อนไขที่ทำให้การเรียนรู้ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากเดิม จะทำให้หน้าที่เป็นเหมือนตัวเปรียบเทียบ และกระจกส่องอคติ ซึ่งจะทำให้ข้อด้อยได้รับการแก้ไขได้ง่ายขึ้น การเรียนภาษานี่เป็นเรื่องที่ต้องเน้นกันหน่อย เพราะมันเป็นสิ่งที่สามารถทำเพื่อฝึกฝนการคิดอย่างกระจ่างแจ้งได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
นอกเหนือจากความจริงที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจวัฒนธรรมโดยไม่เข้าใจภาษา การเรียนภาษาใหม่ ๆ จะทำให้รู้ซึ้งถึงภาษาของตัวเอง ความคิด ข้อดีของการพูดภาษาต่างชาติได้ มักถูกตีค่าต่ำเกินไป และความยากของมันก็จะถูกประเมินสูงเกินไป นักภาษาศาสตร์หลายคนคงเห็นขัดแย้งกับเรื่องนี้ จากการศึกษาวิจัยและการทดลองด้วยตัวเองของผู้เขียนในด้านการเรียนภาษามากกว่าหนึ่งโหลว่า 1.ผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ได้เร็วพอ ๆ กับเด็ก เมื่อไม่ต้องทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น และ 2.มันเป็นไปได้ที่จะสามารถสนทนาได้อย่างคล่องแคล่วในภาษาใด ๆ ก็ตามภายในเวลา 6 เดือน หรือน้อยกว่านั้นด้วยการเรียนวันละ 4 ชั่วโมง สามารถย่นเวลาเรียน 6 เดือนให้เหลือแค่ 3 เดือน ได้เรียนรู้ภาษาใหม่แล้วจะได้เลนส์ชิ้นที่ 2 เพื่อใช้ตั้งคำถามและทำความเข้าใจโลก และการด่าคนโดยที่เขาฟังไม่รู้เรื่องมันสนุกดีด้วย อย่าพลาดโอกาสที่จะได้สนุกกับชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ทำเพื่อผู้อื่นด้วยเหตุผลที่ใช่ การช่วยเหลือผู้อื่นแล้วมันเป็นเรื่องง่ายมาก นั่นคือการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ชีวิตของผู้อื่นดีขึ้น แทนที่จะเป็นชีวิตของตัวเอง นี่มันต่างจากการทำตัวเป็นผู้ใจบุญ การเป็นผู้ใจบุญนั่นคือการทำอะไร โดยยึดเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ชีวิตของมวลมนุษยชาติได้มีความเป็นอยู่ที่ดี ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงติดอยู่กับการโต้เถียงว่า เรื่องของฉันสำคัญกว่าเรื่องของเธออยู่เลย เพราะมันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
ความจริงก็คือ ในบรรดาชีวิตนับพันที่ช่วยเหลือเอาไว้นั้น จะสามารถกลายเป็นผู้บรรเทาความอดอยากที่ฆ่าคนนับล้านได้ หรือต้นไม้สักต้นที่ช่วยปกป้องในโบลิเวีย อาจจะเป็นที่มาของยารักษามะเร็งก็ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่าผลกระทบที่จะตามมาของสิ่งที่ทำนั้นจะเป็นอย่างไร จงทำดีที่สุดและคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าช่วยทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะนิยามมันว่าอะไรก็ตาม ก็นับว่าทำได้ดีแล้ว การทำเพื่อผู้อื่นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การช่วยชีวิต หรือรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น มันยังหมายถึงการช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วย การทำเพื่อผู้อื่นเป็นเรื่องของทัศนคติ จงค้นหาสาเหตุหรือแรงกระตุ้นที่สนใจมากที่สุด แล้วก็ไม่ต้องขอโทษที่ลงมือทำมัน
16. 13 ข้อผิดพลาดที่เศรษฐีแนวใหม่มักจะทำ
ความผิดพลาดคือเรื่องสำคัญที่สุดในการออกแบบไลฟ์สไตล์ มันจำเป็นต้องต่อสู้กับแรงกระตุ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ที่เกิดจากความคิดการเกษียณแบบเก่า ที่ต้องรอคอยอย่างยาวนาน และนี่คือข้อผิดพลาดที่จะต้องเกิดขึ้น อย่าหัวเสียไปเลย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
- หลงลืมความฝันและตกหลุมพรางการทำงานแบบแค่ให้ได้ทำ อยากจะบอกว่าไม่ว่าใครก็เป็น แต่มีหลายคนที่ติดแล้วติดยาว เอาตัวออกมาไม่ได้
- ลงไปจู้จี้จุกจิกกับงาน และส่งอีเมลเพื่อฆ่าเวลา กำหนดความรับผิดชอบ ลักษณะปัญหา และตั้งกฎขึ้นมา แล้วก็ขอบเขตการตัดสินใจที่คนอื่นทำแทนได้โดยอัตโนมัติ เสร็จแล้วจงหยุดเพื่อสภาพจิตที่ดีของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน
- ลงไปแก้ปัญหาของผู้จ้างงานภายนอกที่จ้างมา หรือปัญหาที่เพื่อนร่วมงานสามารถทำได้
- ช่วยผู้ที่จ้างงานภายนอกมาแก้ปัญหาเดิมมากกว่า 1 ครั้ง หรือไปช่วยแก้ปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แจ้งวิธีแก้ไขแบบถ้าเป็นแบบนี้ก็ให้ทำแบบนั้น สำหรับการแก้ปัญหาทุกรูปแบบ ยกเว้นแต่ปัญหาที่ใหญ่จริง ๆ ให้อิสระพวกเขาในการลงมือปฏิบัติโดยที่ไม่ต้องมาคอยชี้นิ้ว สร้างกำหนดขอบเขตให้เป็นลายลักษณ์อักษร และเน้นย้ำด้วยลายลักษณ์อักษรกับตัวเองด้วยว่า จะไม่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่สามารถจัดการได้ด้วยกฎเหล่านี้
- ไล่ตามลูกค้า โดยเฉพาะประเภทที่ไม่มีคุณภาพ และอยู่ในต่างประเทศ เวลาที่มีเงินสดมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจแล้ว
- ตอบอีเมลที่จะไม่ได้ส่งผลต่อยอดขาย หรือสามารถจัดการได้ด้วยระบบตอบอีเมลอัตโนมัติ หรือส่วนของคำถามที่พบบ่อย
- ทำงานในที่ที่เป็นที่อยู่อาศัย ห้องนอน หรือสถานที่ ที่ควรจะเป็นที่ผ่อนคลาย จงแยกสภาพแวดล้อมเหล่านี้ออกจากกัน จัดพื้นที่สำหรับทำงาน และใช้เพื่อทำงานเท่านั้น
- ไม่ใช้กฎ 80/20 ในการวิเคราะห์ธุรกิจ หรือชีวิตส่วนตัวเป็นประจำทุก 2 หรือ 4 สัปดาห์
- กระหายหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะพอใจแค่ยอดเยี่ยมหรือดีมากก็พอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือการทำงาน ความสมบูรณ์แบบเป็นอุดมคติที่ดีและน่าถวิลหาอยู่ แต่พึงระลึกเอาไว้ว่า มันคือเป้าหมายที่ไม่มีวันไปถึง
- ควานหาเรื่องหยุมหยิมและปัญหาเล็กน้อยมาจัดการ เพื่อเป็นข้ออ้างให้ได้ทำงาน
- ทำเรื่องที่ไม่ต้องรีบทำ ให้กลายเป็นเรื่องด่วน เพื่อให้กลายเป็นงานที่ต้องทำขึ้นมา ถ้าไม่สามารถหาความหมายในชีวิตตัวเองเจอ ก็เป็นความรับผิดชอบในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่จะต้องเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มความฝัน หรือค้นหางานที่จะทำให้มีเป้าหมาย และคุณค่าในตัวเอง จะดีมากเลยถ้ามันเป็นส่วนผสมของทั้ง 2 อย่าง
- มองดูผลิตภัณฑ์ งาน หรือโปรเจกต์ว่าคือสิ่งสำคัญที่สุดในการดำรงอยู่ของตัวเอง ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะนำมาทิ้งขว้าง แต่มันก็ยาวนานเกินกว่าจะมามองโลกในแง่ร้าย หรือไม่ใยดีกับมัน ไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ก็ตาม มันก็เป็นแค่บันไดขั้นหนึ่งที่จะก้าวต่อไปยังงานหรือการผจญภัยครั้งใหม่
- เพิกเฉยกับรางวัลทางสังคมของชีวิต จงแวดล้อมตัวเองด้วยผู้คนที่มองโลกในแง่ดี และเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จงอย่าใช้ชีวิตเดียวดาย ความสุขที่ถูกแบ่งปันในรูปแบบของมิตรภาพและความรัก จะยิ่งสุขเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี
บทสุดท้าย
ถ้าเกิดความสับสนกับชีวิต ไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวหรอก พวกเราเกือบอีก 7,000 ล้านคนก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้นแหละ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปัญหาทันทีที่ได้รู้ว่า ชีวิตไม่ใช่ทั้งปัญหาที่จะต้องแก้ หรือเกมการแข่งขันที่จะต้องพิชิตให้ได้ ถ้าตั้งใจที่จะยัดชิ้นส่วนปริศนาที่ไม่ได้มีอยู่จริงให้เข้าที่ให้ได้ ก็จะพลาดความสนุกที่แท้จริงทั้งหลาย การไล่ตามความสำเร็จอย่างหนักหน่วง สามารถแทนที่ได้ด้วยความเบาหวิวชวนฝัน เมื่อแก้โจทย์ออกแล้วว่า กฎและข้อจำกัดเดียวที่มีก็คือ กฎและข้อจำกัดที่กำหนดให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นทำใจกล้า ๆ และอย่ากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ค่อยจะคิดอะไรอยู่แล้ว.