เมื่อพูดถึงการควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition หรือ M&A) คำว่า “Synergy” มักถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจ แต่หลายคนอาจสงสัยว่า Synergy คืออะไร และทำไมจึงมีความสำคัญต่อการควบรวมกิจการ วันนี้เราจะมาช่วยไขข้อสงสัยและอธิบายประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับจาก Synergy ในการควบรวมกิจการ
ความหมายของ Synergy
Synergy คือการที่ธุรกิจสองแห่งหรือมากกว่ามารวมตัวกันแล้วสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากกว่าผลรวมของแต่ละบริษัทเมื่อแยกกันดำเนินงาน หรือที่มักเรียกว่า “1+1 > 2” ซึ่งหมายความว่า เมื่อสองบริษัทมารวมกัน จะสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าการดำเนินธุรกิจแยกกัน โดย Synergy มักเกิดขึ้นจากการประหยัดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของ Synergy
Synergy สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก
1. Revenue Synergy (การเพิ่มรายได้)
เกิดจากการที่บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและตลาดให้กว้างขึ้น มีโอกาสในการครอสเซลล์ผลิตภัณฑ์ระหว่างฐานลูกค้าของทั้งสองบริษัท นอกจากนี้ยังรวมถึงการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้นจากการผนวกจุดแข็งของทั้งสองบริษัท
2. Cost Synergy (การลดต้นทุน)
เป็นผลมาจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) ที่เพิ่มขึ้น การลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนในด้านต่างๆ เช่น ค่าบริหารจัดการ การใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีอำนาจต่อรองที่สูงขึ้นกับซัพพลายเออร์ ทำให้สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. Financial Synergy (การเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน)
เกิดจากการที่บริษัทสามารถลดต้นทุนทางการเงินลงได้ มีความสามารถในการกู้ยืมที่สูงขึ้นเนื่องจากมีขนาดและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น สามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างภาษีที่ดีขึ้น และมีการบริหารสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการรวมทรัพยากรทางการเงินเข้าด้วยกัน
ประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับจาก Synergy
1. การเพิ่มมูลค่าหุ้น
เมื่อการควบรวมกิจการประสบความสำเร็จและสามารถสร้าง Synergy ได้ตามเป้าหมาย มูลค่าหุ้นของบริษัทมักจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเห็นศักยภาพในการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น
2. เงินปันผลที่มั่นคง
การประหยัดต้นทุนและการเพิ่มรายได้จาก Synergy จะช่วยให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นและสม่ำเสมอมากขึ้น
3. การกระจายความเสี่ยง
การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่มีธุรกิจแตกต่างกันจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการควบรวมข้ามอุตสาหกรรม
กรณีศึกษาความสำเร็จของ Synergy
Disney และ Pixar (2006)
การควบรวมมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง Disney และ Pixar เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้าง Synergy ที่ประสบความสำเร็จ:
- Revenue Synergy: การผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ Pixar กับความแข็งแกร่งด้านการตลาดและการจัดจำหน่ายของ Disney
- Cost Synergy: การใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีร่วมกันในการผลิตภาพยนตร์
- Financial Synergy: การเพิ่มความสามารถในการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
Facebook และ Instagram (2012)
การซื้อ Instagram ในราคา 1 พันล้านดอลลาร์ของ Facebook แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการสร้าง Synergy:
- Revenue Synergy: การขยายฐานผู้ใช้งานและรายได้จากโฆษณา
- Cost Synergy: การใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีร่วมกัน
- Financial Synergy: การเพิ่มมูลค่าทางการตลาดและความสามารถในการแข่งขัน
ความท้าทายและข้อควรระวัง
แม้ว่า Synergy จะเป็นเป้าหมายสำคัญของการควบรวมกิจการ แต่นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ด้วย:
1. การประเมินมูลค่า Synergy ที่สูงเกินไป
บริษัทอาจประเมินผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก Synergy สูงเกินความเป็นจริง ทำให้จ่ายราคาซื้อกิจการที่แพงเกินไป
2. ความท้าทายในการรวมบริษัท
การผสมผสานวัฒนธรรมองค์กร ระบบการทำงาน และบุคลากรอาจเป็นเรื่องยากและใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์
3. การสูญเสียบุคลากรที่สำคัญ
การควบรวมกิจการอาจทำให้พนักงานที่มีความสามารถลาออก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและการสร้าง Synergy
สรุป
Synergy ทำให้การควบรวมกิจการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวางแผนและการบริหารจัดการที่ดี นักลงทุนควรพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และติดตามความคืบหน้าในการสร้าง Synergy อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความสำเร็จของการควบรวมกิจการและผลตอบแทนที่จะได้รับในระยะยาว