กลยุทธ์ SEPA (Specific Entry Point Analysis) การวิเคราะห์จุดเข้าซื้อแบบเจาะจง เป็นกลยุทธ์ที่คิดค้นโดย Mark Minervini ที่เป็นการผสมผสานของปัจจัยทางด้านพื้นฐาน และพฤติกรรมทางเทคนิคของหุ้น

5 องค์ประกอบสำคัญของ SEPA

ลักษณะโดยทั่วไปซึ่งเป็นรากฐานวิธีการของ SEPA ถูกแบ่งออกเป็น 5 หมวดใหญ่ๆ ได้แก่

  1. แนวโน้ม หากมองหุ้นผลตอบแทนชั้นยอดในภาพใหญ่ หุ้นผู้ชนะจะเกิดขึ้นในขณะที่ราคาหุ้นถูกระบุได้อย่างชัดเจนแล้วว่ามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น และในแทบจะทุกครั้ง แนวโน้มจะมองเห็นได้ตั้งแต่ช่วงต้นที่ราคาของหุ้นผลตอบแทนชั้นยอดได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
  2. ปัจจัยพื้นฐาน ช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่หุ้นอยู่ในระยะผลตอบแทนชั้นยอด ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนโดยกำไร รายได้ และอัตราผลกำไรของบริษัทที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัวเลขเหล่านี้จะมองเห็นได้ก่อนที่หุ้นตัวดังกล่าวจะเริ่มต้นสู่ระยะการเคลื่อนที่ของราคาแบบผลตอบแทนชั้นยอด ในกรณีส่วนใหญ่ กำไรและยอดขายจะเป็นข้อมูลที่เปิดเผยอยู่แล้วและสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ในระหว่างที่ราคาหุ้นกำลังทำผลตอบแทนชั้นยอด พัฒนาการที่ดีขึ้นของปัจจัยทั้งหลายจะสะท้อนออกมาในภาพของปัจจัยพื้นฐาน และส่งผลกระทบเป็นทอดๆ ออกมาเป็นยอดขาย อัตรากำไร และผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
  3. ตัวเร่ง หุ้นทุกตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างมากจะมีปัจจัยที่เป็นตัวเร่งหนุนหลัง ตัวเร่งนี้อาจจะไม่ปรากฎให้เห็นได้อย่างรวดเร็วในทุกครั้ง แต่การทำงานเป็นนักสืบเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของบริษัทจะสามารถบอกใบ้คุณได้ว่าหุ้นตัวนี้มีศักยภาพที่จะเป็นหุ้นผลตอบแทนชั้นยอด สินค้าขายดีด้วใหม่ที่เป็นเหตุให้ยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัย อาจเป็นตัวจุดชนวนให้หุ้นเข้าสู่ระยะผลตอบแทนชั้นยอด หรือใบอนุญาตจากองค์การอาหารและยา สัญญาฉบับใหม่ หรือแม้แต่ชีอีโอคนใหม่ ก็สามารถสร้างความสดใสให้กับหุ้นที่ดูเฉยเมยได้ ในการจัดการกับหุ้นตัวเล็กที่มีชื่อเสียงน้อยกว่ามันจำเป็นต้องมีเหตุการณ์ขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจ ผมชอบที่จะเห็นบางอย่างที่ทำให้นักลงทุนตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น Apple (AAPL)สร้างลัทธิของตัวเองขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ Mac และผลิตภัณฑ์ตระกูล “i” ทั้งหลาย, Research In Motion (RIMM) ที่มีโทรศัพท์มือถือ Bเackberry (สร้างนิสัยเสพติดอินเทอร์เน็ดและอีเมล เป็นของฉายา CrackBerry เบอร์รี่บ้าบอ), Google (GOOG) เป็นชื่อของเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ด ที่ได้บัญญัติเป็นคำกริยาในพจนานุกรม สถานการณ์แด่ละสถานการณ์อาจค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเติบโต บริษัทฟื้นตัว หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์หรือบริษัทเทคโนโลยีชิวภาพที่กำลังจะออกยาตัวใหม่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เบื้องหลังของหุ้นผลตอบแทนชั้นยอดจะต้องมีปัจจัยที่เป็นตัวเร่งช่วยเรียกความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน
  4. จุดเข้าซื้อหุ้น หุ้นผลตอบแทนชั้นยอด ส่วนใหญ่ให้โอกาสคุณอย่างน้อย 1 ครั้ง และบางทีก็ให้โอกาสหลายๆ ครั้งเพื่อให้คุณได้มีส่วนร่วมกับการพุ่งไปดวงดาวในจุดที่มีความเสี่ยงต่ำ การระบุเวลาเข้าซื้อเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย การระบุเวลาเข้าซื้อที่ผิดทำให้คุณต้องออกจากการเทรดโดยไม่จำเป็น หรือเกิดความเสียหายมากถ้าราคาหุ้นกลับทิศทางและคุณขายออกไม่ทัน การระบุเวลาเข้าซื้อหุ้นอย่างถูกต้องในช่วงตลาดกระทิงทำให้คุณสามารถทำกำไรได้ในทันที และเป็นจุดเริ่มในการทำผลตอบแทนอย่างงดงาม
  5. จุดขายหุ้น ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่ปรากฎลักษณะของหุ้นผลตอบแทนชั้นยอดจะสร้างผลตอบแทนให้คุณได้ตลอด หุ้นหลายตัวอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดถึงแม้ว่าคุณจะเข้าซื้อได้ในจุดที่ถูกต้อง นี่เป็นเหตุผล

ว่าทำไมคุณจำเป็นต้องวางจุดขายดัดขาดทุนไว้ด้วย เป็นการบังคับให้คุณออกจากการเทรดที่แพ้และปกป้องเงินทุนของคุณ ในทางตรงกันข้าม ที่จุดใดจุดหนึ่ง หุ้นของคุณจะต้องถูกขายออกไปเพื่อรับผลกำไร เป็นการจบช่วงผลตอบแทนชั้นยอดที่ต้องการ และเป็นการรักษาสิ่งที่คุณได้ทำมา

เรียงลำดับกระบวนการ SEPA โดยสรุปได้ดังนี้

  1. หุ้นต้องตรงกับรูปแบบแนวโน้ม (Trend Template) ของผมก่อน*** จึงจะถูกตัดสินว่าเป็นผู้ท้าชิง S8PA ที่มีศักยภาพ 
  2. หุ้นที่ตรงกับรูปแบบแนวโน้ม ต้องผ่านการคัดกรองอีกชั้นด้วยพื้นฐานเรื่องกำไร ยอดขาย และอัตราการเดิบโด รวมถึงความแข็งแกร่ง และความผันผวนของราคา ประมาณ 95% ของหุ้นที่ผ่านเกณฑ์รูปแบบแนวโน้มแล้วจะสอบตกในการคัดกรองขั้นนี้
  3. หุ้นที่เหลือรอด จะถูกกลั่นกรองคล้ายกับในหัวข้อคุณสมบัติของผู้นำเพื่อระบุว่าพวกมันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั้งปัจจัยทางด้านพื้นฐานและกราฟเทคนิค ตามต้นแบบของหุ้นผลดอบแทนชั้นยอดในอดีดในขั้นนี้ทำให้รายชื่อบริษัทที่เหลืออยู่ถูกทิ้งออกไปเกือบทั้งหมด คงเหลือแต่รายชื่อหุ้นสำหรับลงทุนที่น้อยมากๆ เอาไว้คอยติดตามและประเมินผลอย่างใกล้ชิด
  4. ขั้นตอนสุดท้ายคือการทบทวนเองอีกครั้งด้วยมือ หุ้นผู้ท้าชิงจำนวนน้อยที่คัดมาได้จะถูกตรวจสอบทีละตัว และให้คะแนนโดยการจัดอันดับความแข็งแกร่ง กระบวนการจัดอันดับจะทำโดยการตัดสินจากคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  • กำไรและยอดขายที่รายงานออกมา
  • กำไรและยอดขายที่ดีกว่าการคาดการณ์ย้อนหลัง
  • การเดิบโตของกำไรต่อหุ้น และอัดราเร่ง
  • การเติบโตของรายได้ และอัดราเร่ง
  • แผนการดำเนินงานของบริษัท
  • ประมาณการผลประกอบการของนักวิเคราะห์
  • อัตรากำไรต่อยอดขาย
  • อันดับในอุดสาหกรรมและตลาด
  • ตัวเร่งที่มีศักยภาพ (สินค้าและบริการใหม่ๆ หรือการพัฒนา
  • แบบเฉพาะเจาะจงของบริษัทหรืออุดสาหกรรม)
  • ศักยภาพเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • วิเคราะห์ราคาหุ้นและปริมาณการซื้อขาย
  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง

กระบวนการจัดอันดับ SEPA มุ่งเน้นที่จะระบุศักยภาพดามหัวข้อดังต่อไปนี้

  1. กำไรและยอดขายในอนาคดเพิ่มขึ้นอย่างมากจนน่าประหลาดใจและประมาณการผลประกอบการในด้านบวก
  2. ปริมาณการซื้อขายที่สนับสนุนจากสถาบัน (อุปสงค์ความต้องการซื้อหุ้นของบริษัทอย่างมีนัย)
  3. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาหุ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุปสงค์และอุปทานที่ผิดปกติ (มีความต้องการขายน้อยกว่าความต้องการซื้อเมื่อเปรียบเทียบกัน)

*** Trend Template

ราคาหุ้นแบ่งเป็นออก 4 สเตจ 

  1. สเตจ 1 ช่วงที่หุ้นถูกละเลย : หุ้นกำลังทำฐานใหม่
  2. สเตจ 2 ช่วงที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น : หุ้นกำลังถูกซื้อสะสม และวิ่งขึ้น
  3. สเตจ 3 ช่วงที่ราคาหุ้นถึงจุดสูงสุด : หุ้นเริ่มถูกทยอยขาย (ออกของ) และจบรอบ
  4. สเตจ 4 ช่วงที่ราคาหุ้นลดต่ำลง : ช่วงขาลง การพังทลายของราคาหุ้น

คุณควรเข้าร่วมตอนที่ราคาหุ้นอยู่ในสเตจ 2 ผมไม่ให้ความสนใจรีบเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคายังคงอยู่ในสเตจ 1 เลย และแน่นอนว่า ผมก็ไม่ต้องการถือหุ้นไว้ตอนราคาหุ้นอยู่ในสเตจ 3 อย่างแน่นอน ส่วนสเตจ 4 ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

Trend Template

  1. ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 150 วัน (30 สัปดาห์) และ 200 วัน (40 สัปดาห์) ทั้ง 2 เส้น
  1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 150 วันอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน
  2. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน (จะดีมากหากเป็นขาขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 4-5 เดือนในกรณีส่วนใหญ่)
  3. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (10 สัปดาห์ อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 150 วันและ 200 วันทั้ง 2 เส้น
  4. ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน
  5. ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์อย่างน้อย 30% (ตัวเลือกที่ดีส่วนใหญ่จะมีราคาสูงกว่าระดับราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ 100%, 300%,หรือสูงกว่านั้น ก่อนที่ราคาจะโผล่ออกจากช่วงการสะสมที่หนาแน่น และเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีกมาก)
  6. ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ต่ำากว่าระดับราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ไม่เกิน 25% (ยิ่งใกล้ระดับราคาสูงสุดครั้งใหม่เท่าไหร่ยิ่งดี)
  7. ตัวเลขการจัดอันดับความแข็งแกร่ง (ตัวเลข relative strength ซึ่งมีรายงานในหนังสือพิมพ์ Investor’s Business Daily) มีค่าไม่ต่ำกว่า 70 แล้วจะดีมากถ้าเป็น 80+ หรือ 90+ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหุ้นตัวนั้นจะถูกพิจารณาให้เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า