สรุปหนังสือ คัมภีร์หน้าหนา REJECTION PROOF

บทนำ

ในช่วงบ่ายที่อากาศร้อนเป็นพิเศษของวันที่ 18 พฤศจิกายน 2012 ในเมืองออสตินรัฐเท็กซัส แต่ความร้อนไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนเหงื่อแตกพราก เขากำลังขับรถยนต์โตโยต้า ราฟ 4 ที่มีฝุ่นจับเขรอะอย่างช้า ๆ ไปตามย่านที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง ในแถบชานเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ พลางครุ่นคิดว่าจะเคาะประตูบ้านหลังไหนดี ผู้เขียนขับรถผ่านบ้านนับร้อย ๆ หลังโดยที่ใจก็อยากจะเลือกมาสักหลัง แต่ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่กำลังจะทำ บ้านทุกหลังย่อมดูหน้าหวาดกลัวเหมือนกันหมด

เขาตัดสินใจจอดรถตรงหน้าบ้านชั้นเดียวที่ทำจากอิฐแดง และมีแปลงดอกไม้ที่สวยมาก ทันทีที่เดินมาถึงประตูจึงเคราะประตูเคราะห์เบา ๆ เพราะกลัวว่าถ้าแรงไปจะแสดงออกถึงเจตนาแบบผิด ๆ แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจึงเคาะใหม่อีกครั้ง โดยเคาะแรงขึ้นกว่าเดิมอีกนิดก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอยู่เหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่พึ่งเหลือบไปเห็นออดจึงเอื้อมมือไปกด สักพักประตูก็เปิดออกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นชายร่างใหญ่ วัยประมาณ 40 ปี เขาสวมเสื้อยืดสีเทาลายธงรัฐเท็กซัสขนาดใหญ่

ผู้เขียนได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากโทรทัศน์ในห้องรับแขก โดยเป็นเสียงการบรรยายการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล และเสียงเชียร์ของฝูงชนในสนาม ผู้เขียนพยายามทักทาย โดยพูดลากเสียงแบบชาวเท็กซัส พร้อมกับรวบรวมความกล้าว่า พอจะช่วยถ่ายรูปตอนที่กำลังเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้านได้ไหม ชายคนนั้นหรี่ตาลงก่อนจะก้มมองรองเท้าฟุตบอล แล้วถามย้ำแบบลากเสียงว่าเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้านของผมงั้นเหรอ ผู้เขียนบอกว่ามันเป็นภารกิจอย่างหนึ่ง หลังจากเวลาผ่านไป 1 นาที แต่จริง ๆ อาจจะแค่ไม่กี่วินาที ก็ได้แฟนตัวยงของทีมดัลลัสคาวบอยคนนั้น ก็จ้องตาและให้คำตอบ..

บทที่ 1

พบเจอกับการถูกปฏิเสธ

อาจสงสัยว่าทำไม ผู้เขียนถึงไปยืนอยู่หน้าประตูบ้านของผู้ชายคนนั้น อะไรคือภารกิจ แล้วกำลังฝึกฝนกลยุทธ์ใหม่ทางการขาย ได้รับคำท้า หรือมันเป็นการทดลองอย่างหนึ่งกันแน่ มันเป็นส่วนหนึ่งในการผจญภัย 100 วันเพื่อเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธของผู้เขียน ซึ่งจะมอบมุมมองใหม่ ๆ ทั้งในแง่ของธุรกิจและความเป็นมนุษย์ แถมยังมอบเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทำให้เก่งขึ้นในแทบทุกด้านด้วย เรียกได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเลย

เดิมผู้เขียนใช้ชีวิตตามความฝันแบบอเมริกาชนในหลากหลายแง่มุม เติบโตมาในกรุงปักกิ่งประเทศจีน ไฝ่ฝันอยากเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนอายุ 16 ปีได้รับโอกาสให้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา และหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ก็จะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงแรงกล้าเหมือนเดิม อันที่จริงผู้เขียนไม่เชื่อว่าตัวเองจะล้มเหลว การเป็นผู้ประกอบการเปรียบได้กับพรหมลิขิตหรือโชคชะตา เป้าหมายนี้ฝังลึกอยู่ในใจ และไม่สามารถสั่นคลอนได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม

ครั้งแรกที่ผู้เขียนมีโอกาสทำตามความฝัน ในการเป็นผู้ประกอบการอย่างแท้จริง เกิดขึ้นตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เขาใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับอุปกรณ์ใหม่สุดเจ๋ง ที่สามารถประดิษฐ์ขึ้นมาได้อยู่นานหลายปีทีเดียว วันหนึ่งขณะที่กำลังดูอัลบั้มรูปเก่า ๆ ก็เจอรูปตัวเองสมัยเด็ก ตอนที่กำลังเล่นโรลเลอร์สเก็ต ความทรงจำอันแสนสุขกับเพื่อน ๆ หวนกลับมา จู่ ๆ ก็เริ่มคิดว่าจะเจ๋งแค่ไหน หากนำรองเท้าเทนนิสมารวมกับโรเลอร์เบลด เด็กและผู้ใหญ่จะสวมมัน แล้วเดินหรือเล่นกับเพื่อนฝูงก็ได้ โลกจะกลายเป็นลานสเก็ตขนาดมหึมา และความสุขก็จะแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง

เขาใช้สมุดร่างภาพออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด และเริ่มลงมือวาดภาพจากแนวคิดต่าง ๆ ว่าจะนำล้อไปติดกับรองเท้าอย่างไรให้มันใช้งานได้ เขาชอบแนวคิดนี้มากถึงขั้นวาดพิมพ์เขียวออกมา เพื่อใช้สำหรับยื่นขอจดสิทธิบัตรในอนาคต ใช้เวลากับมันตลอดสุดสัปดาห์ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สุดยอดแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มันเป็นแนวคิดและก็คิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก บางทีมันอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้แจ้งเกิดในวงการผู้ประกอบการก็ได้

อาคนหนึ่งที่ผู้เขียนเคารพนับถือเป็นอย่างมาก อาศัยอยู่ที่เมืองซานดิเอโก ผู้เขียนอยากได้รับการยอมรับจากเขามาก จึงส่งสำเนาภาพที่วาดไปให้เขาดู และรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นปฏิกิริยาที่เขามีต่อแนวคิดรองเท้าติดล้อ โดยหวังว่าจะได้รับกำลังใจจากเขา ลองนึกดูนะว่าจะผิดหวังแค่ไหนตอนได้รับคำตำหนิอย่างรุนแรง แทนที่จะเป็นการสนับสนุน เขาคิดว่าแนวคิดของผู้เขียนงี่เง่าสุด ๆ แถมยังตำหนิที่มัวแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่ไกลเกินเอื้อม แทนที่จะตั้งใจเรียนและพัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเอง ผู้เขียนรู้สึกสิ้นหวังเสียจนโยนสมุดร่างภาพลงในลิ้นชัก และไม่เคยนำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอดอีกเลย ถ้าอาของเขาปฏิเสธแนวคิดนี้ มั่นใจว่าคนทั้งโลกย่อมเกลียดมันอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น 2 ปี ชายคนหนึ่งที่ชื่อ โรเจอร์ อดัม ได้จดสิทธิบัตรรองเท้าแบบเดียวกับที่ผู้เขียนเคยคิดขึ้นมา รองเท้าติดล้อและก่อตั้งบริษัทชื่อ ฮีลลีส์ หลังจากนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2007 ฮีลลีส์ก็มีมูลค่าสูงเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่พิมพ์เขียวของผู้เขียนถูกทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่ในลิ้นชัก หน้าเศร้าที่ในนั้นไม่ได้มีแค่พิมพ์เขียวของแนวคิดเดียว ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า รองเท้าติดล้อจะประสบความสำเร็จแบบเดียวกับของอดัม หรือแนวคิดอื่นจะกลายเป็นรากฐานของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ แต่ผู้เขียนไม่เคยให้โอกาสแนวคิดเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งตัวเองได้ลองหาคำตอบ เขาได้ปฏิเสธแนวคิดของตัวเอง ก่อนที่มันจะถูกโลกนี้ปฏิเสธเสียอีก

ผู้เขียนมีความคิดว่า จะได้สัมผัสถึงอิสระในการกลายเป็นผู้ประกอบการหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม แรงกดดันจากครอบครัวและสังคมไม่ได้หายไป มันยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เมื่อก่อนต้องพยายามเสาะหาการยอมรับจากผู้อื่น ด้วยการเรียนให้ได้เกรดดี ๆ แต่ตอนนี้ต้องชนะใจพวกเขาด้วยการมีอาชีพการงานที่มั่นคง ไม่ได้ก่อตั้งบริษัทตอนเรียนมหาวิทยาลัย และยังคงไม่ได้ทำแบบนั้นหลังเรียนจบ แล้วย้อนกลับไปหาความอุ่นใจที่เคยได้รับจากมหาวิทยาลัย คราวนี้ผู้เขียนเรียนต่อสาขาบริหารธุรกิจหรือเอ็มบีเอ ที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก หลังจากนั้นก็ทำงานด้านการตลาดให้กับบริษัทในกลุ่มฟอร์จูน 500 คิดว่าคำสรรเสริญและการยอมรับที่จะได้รับจากปริญญาอันทรงเกียรติ รวมถึงรายได้ 6 หลักจะทำให้ผู้ประกอบการในตัวรู้สึกพึงพอใจ แต่กลายเป็นว่าคิดผิดถนัด

ในตอนที่ผู้เขียนอายุ 30 ปี และเป็นผู้จัดการระดับกลาง แถมยังกำลังจะกลายเป็นพ่อคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ภรรยาของเขาเทรซี่รู้มาหลายสัปดาห์แล้วว่า ผู้เขียนกำลังเศร้าโศกและเธอก็ดูด้วยว่าเป็นเพราะอะไร เธอท้าทายด้วยการบอกให้ลาออกจากงาน และใช้เวลา 6 เดือนไปกับการก่อตั้งบริษัทโดยเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วพยายามอย่างหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ถ้าครบ 6 เดือนแล้วบริษัทยังไม่ได้รับความสนใจและไม่มีนักลงทุน ก็ค่อยกระโจนกลับไปยังขั้นบันไดในองค์กรอีกครั้ง หลังจากยื่นใบลาออกได้ 2 สัปดาห์ ก็เดินออกจากอาคารสำนักงานขนาดมหึมาเป็นครั้งสุดท้าย โดยบอกลาเงินเดือน ประกันสุขภาพ แผนออมเงินเพื่อการเกษียณ และห้องทำงานที่แอร์เย็นฉ่ำ รู้สึกตื่นเต้นและเป็นอิสระ แต่ก็รู้สึกกลัวด้วย

บนโลกใบนี้ไม่มีคู่มือการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่บริษัทตั้งใหม่ทุกแห่งย่อมเริ่มต้นด้วยแนวคิดอะไรบางอย่าง ผู้เขียนครุ่นคิดเกี่ยวกับแนวคิดหนึ่งมาสักพัก มันเป็นสิ่งที่เขาเชื่อมั่น ซึ่งดีกว่าและซับซ้อนกว่ารองเท้าติดล้อ จะเป็นอย่างไรถ้าคิดค้นแอพพลิเคชั่น ที่จะมอบคะแนนเมื่อผู้คนสามารถทำตามคำมั่นสัญญาที่ตัวเองให้ไว้ได้ คำมั่นสัญญาที่ถูกทำให้เป็นเกม อาจกระตุ้นให้ผู้คนรักษาคำพูด พัฒนาความสัมพันธ์ และทำให้การรักษาสัญญากลายเป็นเรื่องสนุก ผู้เขียนนำแนวคิดนี้ไปพูดคุยกับเพื่อนหลายคนรวมถึงผู้ประกอบการ คนส่วนใหญ่ล้วนชื่นชอบแนวคิดนี้

ในวันเดียวกับที่ลาออก เขาเริ่มมองหาคนที่จะมาช่วยสร้างแอพพลิเคชั่นนี้ โดยเฉพาะวิศวกรซอฟต์แวร์ระดับหัวกะทิ ที่มีทักษะในการเขียนโปรแกรม เขาภูมิใจในทีมของตัวเองมาก แถมยังรู้สึกเป็นเกียรติที่พวกเขาเชื่อในวิสัยทัศน์ และเต็มใจจะลงเรือลำเดียวกัน ไม่นานหลังจากจ้างพวกเขา ผู้เขียนก็เช่าพื้นที่ทำงานร่วมกันในย่านใจกลางเมืองออสติน ซึ่งออกแบบมาเพื่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงาน การสร้างแอพพลิเคชั่นและการสร้างธุรกิจถือเป็นเรื่องยาก มีความซับซ้อน และจำเป็นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำติดต่อกันหลายสัปดาห์ แต่เขาก็สนุกกับมันมาก

หลังจากการเริ่มต้นผจญภัยครั้งนี้มาได้ 4 เดือน ก็ดูเหมือนว่าจะได้รับการตอบสนอง แอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการให้คำมั่นสัญญา ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนภายนอก ใช้เวลาหลายชั่วโมงเพื่อเตรียมตัว และเตรียมบทพูดสำหรับการนำเสนอ เขายังเชื่อว่าตัวเองถูกลิขิตมาให้เป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังมีเวลาเหลืออีกแค่ 2 เดือนที่จะรักษาความฝันนี้ไว้ และการลงทุนครั้งนี้ก็เปรียบได้กับเชือกช่วยชีวิต ความที่อยากได้เงินจากนักลงทุนมาก หลายวันต่อมาเขาอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อร่วมงานฉลองวันเกิดเพื่อน โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่น มันแจ้งเตือนให้รู้ว่ามีอีเมลใหม่จากนักลงทุน เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะส่งพลังงานบวกไปยังเนื้อหาในอีเมล จากนั้นเขาก็เปิดมันขึ้นมา และพบว่าอีเมลนั้นสั้นมาก นักลงทุนตอบปฎิเสธ

บทที่ 2

ต่อสู้กับการถูกปฏิเสธ

ผู้เขียนยังรู้สึกผิดกับภรรยา คิดว่าตัวของเขาทำให้เธอเสียใจ และเธอก็คงผิดหวัง ปัญหาของอาการเสียความมั่นใจก็คือ จะเริ่มรู้สึกราวกับว่าทุกคนอาจปฏิเสธ แม้กระทั่งคนที่รักและสนิทสนมมากที่สุดก็ตาม วันแรกที่กลับไปทำงานที่บริษัทตั้งใหม่ หลังจากถูกนักลงทุนปฏิเสธช่างหน้าหดหู่เหลือเกิน เมื่อกลับถึงบ้านคืนนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองต้องขอโทษภรรยา เขาบอกเธอว่าขอโทษที่ล้มเหลว และจะมองหางานใหม่เร็วขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้สัก 2-3 สัปดาห์ เพื่อทำให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง

เมื่อพูดจบก็มองหน้าเธอ โดยหวังว่าเธอจะเข้ามากอดด้วยความเห็นใจ แต่กลับได้ยินประโยคที่ช่วยเตือนสติว่า ได้ให้เวลา 6 เดือนไม่ใช่ 4 เดือน ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือน จงเดินหน้าต่อและอย่าเสียใจในภายหลัง นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาตระหนักว่า ตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้แต่งงานกับเธอ ผู้เขียนตกลงว่าจะทำตามแผนเดิมต่ออีก 2 เดือน ในระหว่างนั้นจะทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อให้แนวคิดและบริษัทประสบความสำเร็จ แต่ความล้มเหลวในการหาเงินทุน ทำให้กลัวการถูกปฏิเสธซ้ำอีก อยากหานักลงทุนรายอื่น แต่กลับติดแหงกอยู่กับความกลัวว่าพวกเขาจะปฏิเสธ และความฝันจะพังทลาย

ผู้เขียนมีเวลา 2 เดือนที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่น และหานักลงทุนเพิ่ม นอกจากนั้นยังตระหนักด้วยว่า ยังจำเป็นต้องหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธ เขาไม่ได้แค่จำเป็นต้องเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ แต่ยังต้องเรียนรู้ที่จะเติบโต หลังจากเผชิญหน้ากับมันด้วย ผู้เขียนเริ่มต้นจากค้นหาในกูเกิล พิมพ์คำว่า เอาชนะการถูกปฏิเสธ ลงในช่องค้นหา และกวาดตาดูผลลัพธ์คร่าว ๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาทั้งหมด มีบทความแนะนำวิธีการ บทความด้านจิตวิทยาจำนวนมาก และคำคมให้แรงบันดาลใจอีกนิดหน่อย แต่ไม่มีอันไหนทำให้รู้สึกว่าเป็นทางออกของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่

หลังจากเข้าไปดูเว็บไซต์ต่าง ๆ อย่างไร้จุดหมาย แล้วก็พบกับเว็บไซต์หนึ่งที่พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า การบำบัดการถูกปฏิเสธ มันเป็นเกมที่สร้างโดยผู้ประกอบการชาวแคนาดาชื่อว่า เจสัน คัมลี สิ่งที่ต้องทำก็คือตั้งใจเสาะหาการถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่มีต่อคำว่าไม่ เขาตกหลุมรักแนวคิดนี้ทันที ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แล้วยังสาบานว่าจะลองใช้วิธีนี้ และจะลองทำมันถึง 100 ครั้งด้วย แล้วจะบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรูปแบบของคลิปวีดีโอ และเขียนบล็อกเกี่ยวกับมันด้วย

ผู้เขียนก่อตั้งเว็บไซต์ชื่อ FearBuster.com และเริ่มต้นเขียนบล็อกในเว็บไซต์ดังกล่าว โดยตั้งชื่อว่า 100 Days of Rejection (100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ) ซึ่งทำให้การเขียนบล็อกดูเหมือนคำมั่นสัญญาอย่างหนึ่ง กล่าวคือถ้าเขียนจนมีผู้ติดตาม การล้มเลิกกลางคันย่อมกลายเป็นเรื่องยาก เกมของคัมลีขายชุดไพ่สำรับ 1 ที่ระบุภารกิจที่ผู้เล่นสามารถทำได้ในแต่ละวัน และดูมีแนวโน้มว่าจะนำไปสู่การถูกปฏิเสธ ผู้เขียนมองว่าภารกิจเหล่านั้นดูจืดชืดเกินไป ถ้าจะลงมือทำแล้วอยากให้ภารกิจดูสร้างสรรค์ บางทีอาจถึงขั้นบ้าบิ่นนิดหน่อยด้วย อยากให้มันมีความแปลกใหม่ คิดว่าการทำแบบนี้อาจช่วยให้ภารกิจที่น่าหวาดกลัว กลายเป็นเรื่องที่สนุกสนานมากขึ้นอีกสักนิด

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธวันที่ 1 – 3

วันที่ 1 ขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย วันที่ 2 ขอบริการเติมแฮมเบอร์เกอร์ไม่อั้นที่ร้านไฟฟ์กายส์เบอเกอร์สแอนด์ฟรายส์ ซึ่งคำขอถูกปฏิเสธทั้ง 2 เรื่อง

วันที่ 3 ไปร้านคริสปี้ครีม ตอนนั้นคือปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน ผู้เขียนจะขอให้พวกเขาทำโดนัท 5 ชิ้น คล้องกันเหมือนห่วงโอลิมปิก ไม่กี่นาทีต่อมาแคชเชียร์คนนั้นก็เดินออกมาจากครัวพร้อมกล่องโดนัทในมือ ในกล่องมีโดนัท 5 ชิ้นที่คล้องกันเป็นห่วงโอลิมปิก โดยแต่ละห่วงยังเคลือบน้ำตาลสีเดียวกับห่วงโอลิมปิกของจริงด้วย ผู้เขียนสังเกตเห็นป้ายชื่อของเธอที่เขียนว่าแจ็คกี้ ในภายหลังได้รู้ว่าเธอชื่อ แจ็คกี้ บราวน์ ผู้เขียนควักกระเป๋าสตางค์ออกมาและเต็มใจจ่ายค่าโดนัท ไม่ว่าเธอจะคิดเงินเท่าไหร่ก็ตาม แต่แจ็คกี้กลับทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง ด้วยการบอกว่าอย่าห่วงเรื่องเงินเลยทำให้ฟรี

การบริการลูกค้าอันแสนยอดเยี่ยม และความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ แบบที่แจ็คกี้แสดงออกมาให้เห็น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พบเจออยู่บ่อย ๆ หรือมักได้ยินข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ การขโมย ความโลภในแวดวงธุรกิจ แต่เรื่องราวเกี่ยวกับผู้จัดการร้านขายอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่เต็มใจทำตามคำขออันแสนไร้สาระของลูกค้าภายใน 15 นาทีแบบนี้นับว่าวิเศษสุด ๆ ประเด็นที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ ภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธกลับถูกปฏิเสธไป

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธวันที่ 4-6

วันที่ 4 ผู้เขียนไปยังร้านโดมิโน่พิซซ่า เพื่อขออาสารับหน้าที่เป็นคนส่งพิซซ่า ส่วนวันที่ 5 ขอให้พนักงานร้านชำพาไปเยี่ยมชมคลังสินค้าของร้าน ซึ่งคำขอถูกปฏิเสธทั้ง 2 เรื่อง ภารกิจวันที่ 6 ก็คือการขอบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลของชาวเท็กซัส ซึ่งไม่ใช่แนวคิดที่ดีนัก แม้จะอยู่ในสถานการที่ดีที่สุดก็ตาม สก๊อตต์ผู้เป็นแฟนทีมดัลลัสคาวบอย ได้ตอบรับคำขออันแปลกประหลาด ผู้เขียนเดินเข้าไปในบ้านของคนแปลกหน้า ตรงดิ่งไปยังสนามหลังบ้าน เตะลูกบอลด้วยเท้า ไปจนถึงโพสต์ท่าถ่ายรูป ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งใจที่เขายอมเล่นตามน้ำ ในขณะที่กำลังเดินออกจากบ้านของเขา ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า ทำไมถึงตอบตกลง สก๊อตต์เอามือถูคางก่อนจะตอบว่า มันฟังดูเพี้ยนมากจะให้ปฏิเสธได้ยังไง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตอบตกลงเหมือนสก๊อตต์ แต่เขาสอนให้รู้ว่า บางครั้งความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อคำขอของอีกฝ่าย อาจเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ นั่นหมายความว่าการกระตุ้นความสนใจของผู้คนด้วยคำขออันแปลกประหลาด อาจทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการตอบตกลง

เกมเสาะหาการถูกปฏิเสธแบบดั้งเดิมของเจสัน คัมลี เป็นเรื่องของการบรรเทาความเจ็บปวด แต่ภารกิจร้อยวันของการถูกปฏิเสธกลับแปรเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปอย่างรวดเร็วนั่นคือ หลักสูตรฉบับเร่งรัดเกี่ยวกับชีวิตและธุรกิจ ผู้เขียนเริ่มมองเห็นว่ารูปแบบการสื่อสาร มีความสำคัญต่อผลลัพธ์ที่จะได้รับอย่างไร เมื่อมีความมั่นใจ เป็นมิตร และเปิดเผย ก็ดูเหมือนว่าผู้อื่นจะมีแนวโน้มมากขึ้น ที่จะยอมทำตามคำขอ หรือถึงแม้พวกเขาจะปฏิเสธ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีส่วนร่วมมากขึ้นด้วยการตั้งคำถาม ถ้าสามารถเสาะหาวิธีสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ อาจเพิ่มโอกาสที่จะได้รับการตอบตกลง แถมยังลดความกลัวที่มีต่อความเป็นไปได้ที่จะถูกปฏิเสธด้วย

บางทีการถูกปฏิเสธอาจไม่ได้เห็นชัดเจนเหมือนสีขาวและสีดำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอยู่ถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้ได้รับหรือไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ ไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อชักจูงหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ การที่คำขอถูกปฏิเสธย่อมมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ใครเป็นคนขอ ใครคือคนที่ถูกขอ สิ่งที่ขอคืออะไร ใช้วิธีใดในการขอ การขอเกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้ง และการขอเกิดขึ้นที่ไหน มันอาจเหมือนกับสมการตรงที่การเปลี่ยนตัวแปรใดตัวแปรหนึ่ง จะทำให้ผลลัพธ์ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และแล้วก็มีอะไรบางอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือความมั่นใจและพฤติกรรม

ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับบริษัทมากขึ้น ยิ้มบ่อยกว่าเดิมและดำเนินการประชุมด้วยความมั่นใจ เสนอความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระมากขึ้น โดยไม่เอาแต่คอยสังเกตสีหน้าของผู้อื่น เพื่อดูว่าพวกเขาจะชอบสิ่งที่พูดหรือเปล่า หรือขอความคิดเห็นจากผู้อื่น โดยไม่มัวแต่มองหาคำชม และเก็บเอาคำวิพากษ์วิจารณ์มาใส่ใจ เมื่อปราศจากอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบ ความคิดเห็นที่ได้รับก็เริ่มมีประโยชน์มากขึ้น รู้สึกว่ากลายเป็นผู้นำที่ซักถาม รับฟัง และสร้างแรงบันดาลใจ แทนที่จะเป็นเพียงคนที่คอยออกคำสั่ง เรียกได้ว่าความมั่นใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก

ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้น แค่ในชีวิตการทำงานของผู้เขียนเท่านั้น เมื่อเริ่มตระหนักว่าพฤติกรรม ส่งผลกระทบต่อโลกรอบตัวอย่างไรบ้าง ก็เริ่มมีความชัดเจนและมีความสุขุมมากขึ้นเวลาพูดคุย มันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นอันน่าอัศจรรย์ของการพลิกชีวิต ได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่แปลกใหม่ น่าตื่นเต้น และมีประโยชน์ แถมยังอดใจรอแทบไม่ไหวแล้วว่า จะได้เรียนรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันเข้ามาขัดจังหวะทุกอย่างที่กำลังทำและเรียนรู้ นั่นคือ ชื่อเสียง

บทที่ 3

ลิ้มรสชื่อเสียง

ตั้งแต่เริ่มถ่ายคลิปวีดีโอ และโพสต์เกี่ยวกับภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธ มีผู้มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของผู้เขียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การผจญภัยที่ร้านครีสปีครีมได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ โดยมีคนหลายร้อยคนเข้ามาดูคลิปวีดีโอทันทีที่โพสต์ลงไป แต่บางคนกลับโพสต์คลิปดังกล่าวลงในเว็บไซต์ข่าวสังคมและบันเทิงอย่าง Reddit.com ทำให้กลายเป็นกระแสทันที เว็บไซต์ Redit เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในสัปดาห์ถัดมาเรื่องนี้ได้รับความสนใจไปทั่วโลก เว็บไซต์ข่าวของ Yahoo นำคลิปวีดีโอขึ้นบนหน้าแรกของเว็บไซต์ เช่นเดียวกับเว็บไซต์ Gawker.com และ MSN.com รวมถึงเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เดอะฮัฟฟิงตัน โพสต์ หนังสือพิมพ์เดลี เมล และหนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ ออฟ อินเดีย ภายในชั่วข้ามคืนคลิปวีดีโอคำขอที่ร้านคริสปี้ครีมของเขา ได้กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก โดยมีคนเข้ามาดูหลายล้านคน เรื่องราวดังกล่าวยังดึงดูดความสนใจจากฮอลลีวูด ด้วยเวลาผ่านไปยังไม่ทันจะข้ามคืน ผู้ผลิตรายการเรียลลิตี้ก็เริ่มโทรเข้ามาเสนอความคิด ที่จะเปลี่ยนเรื่องราวของเขาให้กลายเป็นรายการโทรทัศน์ โดยผู้เขียนจะรับหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการถูกปฏิเสธ ซึ่งคอยช่วยเหลือให้ผู้อื่นเอาชนะความกลัว และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของพวกเขา

ผู้อำนวยการผลิตของรายการ Jeff Probst Show ซึ่งออกอากาศทั่วประเทศโทรมาเชิญผู้เขียนไปออกรายการ เขาก็ตอบตกลงทันที 2 สัปดาห์หลังจากนั้น สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสแจ้งให้บินไปยังฮอลลีวูด พร้อมกับแจ็คกี้ บราวน์ จากคริสปีครีม ผู้อำนวยการผลิตได้เชิญแขกอีกคนมาด้วย นั่นคือเจสัน คัมลี ซึ่งเป็นผู้คิดค้นเกมบำบัดการถูกปฏิเสธ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทำภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ผู้เขียนไม่เคยเจอเขามาก่อนแต่ชอบเขาทันที นับตั้งแต่ตอนนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน

ความสนใจจากสื่อและสาธารณชนที่ได้รับถือเป็นเรื่องพิเศษมาก แต่ถ้าให้เลือกเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่สุด ก็คงเป็นการได้รับอีเมลตอบกลับจากคนที่เป็นฮีโร่ของผู้เขียน หนึ่งในคนที่ส่งอีเมลไปหาก็คือโทนี่ เช ปรากฏว่าเชเคยได้ยินเรื่องราวของผู้เขียนและชอบคลิปวีดีโอ เชเชิญผู้เขียนไปยังลาสเวกัส ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของแซปโปส เพื่อเป็นหนึ่งในผู้บรรยายของโครงการดาวทาวน์ลาสเวกัส ที่เขากำลังดำเนินการอยู่

หลังจากผู้เขียนบรรยายจบ ผู้ฟังก็ลุกขึ้นยืนแล้วปรบมือให้กับผู้เขียน ผู้ฟังพากันเข้ามารายล้อม จับมือ และกล่าวขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวให้ฟัง ราวกับกำลังช่วยเหลือพวกเขาอย่างมหาศาล ด้วยการพยายามเอาชนะความกลัวของตัวผู้เขียนเอง เมื่อฝูงชนเริ่มเบาบางเชก็แตะไหล่ของผู้เขียน แล้วเชิญเข้าไปในห้องทำงานของเขา เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว เชเสนองานให้ถ้าย้ายไปลาสเวกัส เขาจะก่อตั้งธุรกิจใหม่ และจ้างผู้เขียนทำงานในฐานะนักพูดมืออาชีพ เขาจะได้เดินทางไปบรรยายทั่วประเทศเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้กับผู้คนทั้งในงานสัมมนาและในองค์กรต่าง ๆ เช่น อยากจ้างเพราะเห็นถึงพรสวรรค์ ที่ผู้เขียนไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี จนกระทั่งวันนี้นั่นคือการพูดต่อหน้าผู้คนในที่สาธารณะ

แรงกระตุ้นที่จะตอบตกลงกับอะไรก็ตาม ที่ชายคนนี้ยื่นข้อเสนอมานั้น ช่างแรงกล้าเสียจนผู้เขียนแทบจะตอบตกลงในทันที แต่การย้ายไปลาสเวกัส และละทิ้งบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ถือเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว ผู้เขียนจึงขอเวลาพิจารณาข้อเสนอของเขาเสียก่อน

นี่ไม่ใช่ความฝัน และก็ต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าควรทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการถูกปฏิเสธ ในรายการเรียบลิตี้ของตัวเอง หรือรับบทชายหนุ่มที่กำลังสิ้นหวังในภาพยนตร์ฮอลลีวูด ซึ่งค้นพบรักแท้จากการบำบัดการถูกปฏิเสธ ไปทำงานกับโทนี่ เช  ผู้เป็นบุคคลต้นแบบของผู้เขียน หรือกลับไปทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ อย่างการบริหารบริษัทตั้งใหม่ด้านเทคโนโลยีที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน

ในขณะเดียวกันก็ถ่ายคลิปวีดีโอ ระหว่างทำภารกิจของตัวเอง และโพสต์ลงในบล็อกต่อไป การมองข้ามโอกาสงาม ๆ และกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ดูจะเป็นเรื่องบ้าและไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมาภายในช่วงเวลาสั้น ๆ และในกรณีของผู้เขียนก็นับว่าเป็นเรื่องมหาศาลมาก ถ้าอยากใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้มีชื่อเสียงภายในเวลาอันรวดเร็ว จำเป็นต้องเสาะหาว่าเส้นทางอาชีพใดจะเหมาะสมมากที่สุดในระยะยาว ไม่แน่ว่าคำตอบอาจเป็นการนำเอาเส้นทางอาชีพต่าง ๆ มาผสมผสานกันก็ได้

จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนมีความกล้า จะเป็นอย่างไรถ้าผู้คนไม่ติดอยู่กับความกลัวการถูกปฏิเสธ จะเป็นอย่างไรถ้าการถูกปฏิเสธไม่ได้น่าอับอาย และไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่เป็นเรื่องที่สามารถนำมาพูดคุยกันได้ และจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ใช่แค่พูดคุยเกี่ยวกับมัน แต่ยังหาทางเอาชนะมันได้ด้วย ถ้าจู่ ๆ คนที่กลัวการถูกปฏิเสธกลับเลิกกลัวมันขึ้นมา คิดว่าคน ๆ นั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง เขาย่อมเก่งขึ้นในทุกเรื่องที่ทำใช่หรือเปล่า

พอล เกรแฮม ผู้ประกอบการและผู้ก่อตั้งบริษัทชื่อดัง ที่ทำหน้าที่บ่มเพาะบริษัทตั้งใหม่อย่าง วาย คอมบิเนเตอร์ ได้เขียนเอาไว้ว่าวิธีผุดแนวคิดสำหรับบริษัทตั้งใหม่ก็คือ พยายามไม่คิดเกี่ยวกับมันแต่ให้เสาะหาปัญหา ทางที่ดีต้องเป็นปัญหาที่เผชิญด้วยตัวเอง ตอนนี้ผู้เขียนมองเห็นความหมายของการช่วยเหลือผู้คน ให้เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธมากขึ้น ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่วันที่เหลืออยู่ของภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ถือเป็นห้องทดลองที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการทดลองสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ นั่นคือวิธีการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ

บทที่ 4

การต่อสู้กับวิวัฒนาการ

การตัดสินใจเลิกสร้างแอพพลิเคชั่น และเบนเข็มไปยังทิศทางใหม่โดยสิ้นเชิงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตอนนี้ผู้เขียนได้งานใหม่แล้วนั้นคือ การเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธแบบเต็มเวลา ถ้าเทียบกับหัวข้อที่มีความเชื่อมโยงกับการถูกปฏิเสธอย่างความสำเร็จ เสน่ห์ดึงดูด ความเป็นผู้นำ การเจรจาต่อรอง และแม้กระทั่งความล้มเหลว หัวข้อที่ช่วยอธิบายเรื่องการถูกปฏิเสธ และความสำคัญของมันกับชีวิตประจำวัน สรุปได้ดังนี้ การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่าเก็บมาใส่ใจ จงแข็งแกร่งเข้าไว้และเดินหน้าต่อไป

การถูกปฏิเสธและความล้มเหลว

บางทีเหตุผลสำคัญที่สุดที่ผู้คนไม่พูดถึงการถูกปฏิเสธให้มากกว่านี้ก็คือ พวกเขามักพูดเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกัน และจัดการง่ายกว่าอย่างความล้มเหลวแทน ถึงแม้ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิด ก็มีหลายวิธีที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเรื่องดี อาจบอกตัวเองว่าไม่ถนัดเรื่องนั้น แล้วสาบานว่าจะพัฒนาตัวเอง หรือย้ำเตือนตัวเองให้นึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เชี่ยวชาญแทน ทำให้รู้สึกดีขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าตอนก่อนที่จะล้มเหลว อันที่จริงแล้วผู้ประกอบการชอบเล่า และฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความล้มเหลว เพราะบ่อยครั้งความล้มเหลว คือบันใดที่นำไปสู่ความสำเร็จ ความล้มเหลวแทบกลายเป็นสิ่งจำเป็นก่อนจะพบเจอกับความสำเร็จ ในบางกรณีความล้มเหลวก็เป็นเรื่องที่สุด ๆ ไม่ต่างจากการได้รับการยอมรับจากผู้คน

ในทางกลับกันการถูกปฏิเสธไม่ใช่เรื่องดีเลย มันมีคนที่ปฏิเสธเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อีกฝ่ายมักทำแบบนั้นเพื่อช่วยเหลือคนอื่น และเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแบบซึ่ง ๆ หน้า การถูกปฏิเสธหมายความว่า อยากให้ใครสักคนเชื่อมั่นแต่คนคนนั้นไม่เชื่อมั่น อยากให้ใครสักคนชอบแต่คนคนนั้นไม่ชอบ เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก ไม่ได้แค่รู้สึกว่าถูกปฏิเสธคำขอเท่านั้น แต่ยังเหมือนถูกปฏิเสธนิสัย ท่าทาง ความสามารถ สติปัญญา บุคลิกลักษณะ วัฒนธรรม หรือความเชื่อด้วย

ถึงแม้คนที่ปฏิเสธคำขอ อาจไม่ได้เจตนาให้เก็บมาใส่ใจ แต่คนถูกปฏิเสธกลับทำแบบนั้นไปแล้ว การถูกปฏิเสธคือการแลกเปลี่ยนอย่างไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างผู้ปฏิเสธกับผู้ถูกปฏิเสธ และมันส่งผลกระทบต่อฝ่ายหลังมากกว่าฝ่ายแรก เมื่อพบเจอกับการถูกปฏิเสธ ถ้าไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างเหมาะสม ก็จะเหลือทางเลือกที่เลวร้ายอยู่ 2 อย่างด้วยกันนั่นคือ ถ้าเชื่อว่าตัวเองสมควรถูกปฏิเสธก็จะโทษตัวเอง รวมถึงจมอยู่กับความรู้สึกอับอาย และความคิดที่ว่าตัวเองงี่เง่า

แต่ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรม และไม่ควรจะเกิดขึ้น จะโทษคนอื่นแล้วปล่อยให้ความโกรธและความแค้นเข้าครอบงำ พูดง่าย ๆ ก็คือ โดยธรรมชาติแล้วผู้คนจะต้องการแก้แค้นหลังจากถูกปฏิเสธ โดยอาจคิดว่าตัวเองจะรู้สึกดีขึ้น หากได้แสดงให้ผู้ปฏิเสธเห็นว่าพวกเขาคิดผิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นแบบนั้น คนที่แก้แค้นกลับลงเอยด้วยการรู้สึกแย่กว่าเดิมเสียอีก

ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ

เมื่อมนุษย์รู้สึกเจ็บปวดทางกาย สมองจะหลั่งสารเคมีที่กำจัดความเจ็บปวด อย่างโอปิออยด์เข้าสู่ร่างกาย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด และช่วยให้รับมือกับมันได้ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมการพูดว่าอย่าเก็บมาใส่ใจ จึงเป็นคำแนะนำที่ไร้ประโยชน์ สำหรับใครก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิเสธ การที่รู้สึกแบบเดียวกับสำนวนที่ว่า รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าหลังจากถูกปฏิเสธ ย่อมไม่ได้เป็นเพียงสำนวนอีกต่อไป

ความกลัวการถูกปฏิเสธ

ถ้าความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นในสมอง การที่กลัวการถูกปฏิเสธจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และความกลัวดังกล่าวจะทำให้ไม่กล้าร้องขออะไรบางอย่าง และบางครั้งก็ทำให้เหงื่อตก เมื่อต้องรวบรวมความกล้าเพื่อทำแบบนั้น แค่นึกถึงตอนรู้สึกกลัวก็ทำให้ตัดสินใจได้ว่า จะไม่ทำให้ตัวเองต้องรู้สึกแบบนั้นอีก เนื่องจากความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ ไม่ต่างจากความเจ็บปวดทางร่างกาย การจัดให้ความกลัวการถูกปฏิเสธอยู่ในอันดับต้น ๆ จึงถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

นักวิจัยสรุปว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมวิวัฒนาการความกลัวที่ติดตัวมาแต่เกิด รวมถึงความตื่นตัวต่ออันตรายต่าง ๆ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงและหลบหนีได้รวดเร็วขึ้น ความกลัวจำเป็นต่อการอยู่รอด ความกลัวการถูกปฏิเสธก็เช่นกัน ย้อนกลับไปสมัยที่ยังออกล่าช้างมาสโตดอนและอาศัยอยู่ในถ้ำ การมีชีวิตรอดย่อมขึ้นอยู่กับการรวมกลุ่มและการร่วมมือกัน การถูกกลุ่มปฏิเสธหรือขับไล่ด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทำให้ต้องเผชิญกับหมาป่าและสิงโตตามลำพัง ในสถานการณ์ดังกล่าวการถูกปฏิเสธย่อมไม่ต่างจากความตาย การที่สัญชาตญาณนี้ยังคงฝังอยู่ใน DNA จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แม้กระทั่งทุกวันนี้บางครั้งการถูกปฏิเสธ ก็ทำให้ตกอยู่ในภาวะที่เลวร้ายกว่าความตายเสียอีก

หลักฐานจากเรื่องเล่าจำนวนมากระบุว่า อารมณ์ขันช่วยลดความเจ็บปวดและความเครียดได้ การหัวเราะเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ เพราะมันช่วยให้มนุษย์รวมกลุ่มกันแบบเดียวกับกิจกรรม อย่างการเต้นและการร้องเพลง การหัวเราะ การเต้น และการร้องเพลงจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารโอปิออยด์ประเภทหนึ่ง มันไม่เพียงช่วยต่อสู้กับความเจ็บปวด แต่ยังทำให้รู้สึกดีด้วย การหัวเราะเปรียบได้กับการได้รับยาระงับความเจ็บปวด 2 เม็ดจากสมอง

แน่นอนว่าอารมณ์ขันก็มีข้อจำกัด มันไม่ได้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ในชีวิตจริง โดยเฉพาะเวลาที่มีความเสี่ยงสูง และผลลัพธ์มีความสำคัญจริง ๆ นอกจากนี้สารเอ็นดอร์ฟิน ยังช่วยจัดการได้เฉพาะผลลัพธ์ที่เกิดจากการถูกปฏิเสธ ซึ่งก็คือความเจ็บปวด มันไม่ได้ช่วยจัดการกับความกลัว และการคาดเดาว่าจะถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งพลังทำลายล้างของการถูกปฏิเสธ ส่วนใหญ่แล้วถ้าพิจารณาการถูกปฏิเสธอย่างจริงจัง รู้สึกว่าคำว่า ไม่ พุ่งตรงมาอย่างรุนแรง และก็รู้สึกว่ามันจะทำร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไป การที่ชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายจากการถูกปฏิเสธ ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก

บทที่ 5

มองการถูกปฏิเสธในแง่มุมใหม่

ตอนเริ่มต้นการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ ผู้เขียนอยากจัดการยักษ์โกไลแอทของตัวเองมาก ยิ่งออกผจญภัยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากศึกษาและทำความเข้าใจการถูกปฏิเสธมากขึ้นเท่านั้น

ร้อยวันแห่งการถูกปฏิเสธ : หางานให้ได้ภายใน 1 วัน

ในช่วงต้นปี 2013 เศรษฐกิจยังคงซบเซา และมีการแข่งขันกันสูงมากสำหรับตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ ผู้เขียนจึงตัดสินใจที่จะทำภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธเกี่ยวกับงาน จึงอยากเผชิญกับประสบการณ์ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงานบ้าง เพื่อที่จะได้นำบทเรียนที่ได้รับไปช่วยเหลือคนอื่น ในบริษัท 2 แห่งแรกที่ผู้เขียนแวะไป เขาถูกปฏิเสธทันทีจากผู้จัดการที่ทำหน้าเคร่งเครียด หนึ่งในนั้นถึงขั้นสอนด้วยซ้ำว่า ไม่ควรโผล่มาดื้อ ๆ แบบนี้ แต่ต้องทำตามกระบวนการสมัครงานอย่างเป็นทางการ

เขาไม่สนใจและเดินเข้าไปในอาคารของบริษัทแห่งที่ 3 เพื่อพยายามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบอกลาภารกิจนี้ ผู้จัดการของบริษัทแห่งนั้นทักทายด้วยรอยยิ้ม ในแบบที่ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามรู้สึกสบายใจ เธอชื่อ เจนนิเฟอร์ แคเรียร์ หลังจากฟังคำขอแล้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ เธอก็ตอบตกลงแบบมีเงื่อนไขโดยบอกว่า ขอปรึกษาเจ้านายก่อนที่จะแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นไม่กี่วันแคเรียร์ก็โทรหา เธอยื่นข้อเสนอให้ทำงานกับบริษัทของเธอ 1 วัน ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทดังกล่าวที่ชื่อบิ๊กคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองออสติน พวกเขารับสร้างเว็บไซต์ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก โดยผู้เขียนต้องช่วยแคเรียร์ทำงานที่เธอทำเป็นประจำทุกวัน เช่น ต้อนรับแขก แก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับบริษัทและพนักงาน รวมถึงสั่งอาหารกลางวัน

การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมชาติ

ในภารกิจนี้ผู้เขียนสังเกตเห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก นั่นคือผู้คนมีปฏิกิริยาต่อคำขอเดียวกันในแบบที่แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง ปฏิกิริยาของคนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติ ความอยากรู้อยากเห็น และระดับความเสี่ยงที่พวกเขารับได้ ซึ่งย่อมแตกต่างกันไป คนจำนวนมากอาจสูญเสียความไม่มั่นใจหลังจากถูกปฏิเสธแค่ไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่พวกเขาขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พวกเขาจะรู้สึกว่าจักรวาลกำลังตัดสินว่า พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับสิ่งนั้นหรือไม่ แต่จักรวาลประกอบด้วยผู้คนหลายประเภท ซึ่งมีบุคลิก ลักษณะ แรงจูงใจ และภูมิหลังที่แตกต่างกันคนละขั้ว ส่วนปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อคำขอ ก็เผยให้เห็นถึงตัวตนของพวกเขาได้มากกว่าตัวคำขอเองเสียอีก การถูกปฏิเสธเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งกลุ่มคนอย่างน้อยสองฝ่ายจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจทุกครั้ง การถูกปฏิเสธก็จะเปรียบได้กับข้อกล่าวหา และการตอบตกลงก็เปรียบได้กับคำยืนยัน แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

การถูกปฏิเสธเป็นความคิดเห็นอย่างหนึ่ง

ประสบการณ์เกี่ยวกับการหางาน ยังจุดประกายให้มุมมองเปลี่ยนแปลงไปด้วย นับตั้งแต่นั้นการถูกปฏิเสธก็ดูจะเป็นข้อเท็จจริงน้อยลง และกลายเป็นความคิดเห็นมากขึ้น คนอื่นแค่ประเมินคำขอแล้วแสดงความคิดเห็นของพวกเขาออกมา ความคิดเห็นดังกล่าวอาจตั้งอยู่บนพื้นฐานอารมณ์ ความจำเป็น และสถานการณ์ในตอนนั้นของพวกเขา หรือไม่ก็เพราะความรู้ ประสบการณ์ การศึกษา วัฒนธรรม และการเลี้ยงดูที่พวกเขาได้รับมาตลอดชีวิต แต่ไม่ว่าความคิดเห็นของพวกเขาจะตั้งอยู่บนปัจจัยใดก็ตาม มันก็มีพลังมากกว่าวิธีสื่อสาร บุคลิกลักษณะ และคำขอ

นอกจากนี้ความคิดเห็นมักเปลี่ยนไปตามเวลาและพื้นที่ แถมยังได้รับอิทธิพลอย่างแรงกล้าจากสังคม การเมือง และสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ผู้คนมักอ่อนไหวต่อแรงกดดันทางสังคม ซึ่งกระตุ้นให้พวกเขาประพฤติตัวแบบใดแบบหนึ่ง อิทธิพลภายนอกส่งผลกระทบอย่างมหาศาลกับมุมมองที่ผู้คนมีต่อสถานการณ์ และอิทธิพลเหล่านั้นก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา การตระหนักรู้อันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนี้ ช่วยให้โยนอารมณ์ความรู้สึกออกจากการถูกปฏิเสธ และมองการตัดสินใจของผู้คนด้วยสายตาแบบใหม่ ผู้เขียนตัดสินใจว่าภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ จะเป็นเหมือนการทดลองเพื่อตรวจสอบว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้คนจะเห็นตรงกันว่าแนวคิดหนึ่ง ๆ นั้นดีหรือไม่

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : แจกแอปเปิ้ลให้คนแปลกหน้า

ไล่ตั้งแต่หนังสือปฐมกาลไปจนถึงนิทานอย่างสโนวไวท์ การรับแอปเปิ้ลจากคนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องดีเลย เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามนี้ ผู้เขียนจึงตรงดิ่งไปยังลานจอดรถของห้างทาร์เก็ตที่อยู่ในละแวกบ้าน แล้วยืนอยู่บนทางเดินใกล้กับประตูทางออกของห้าง และเริ่มแจกแอปเปิ้ลให้กับผู้คน ไม่แปลกใจเลยที่คนส่วนใหญ่ปฏิเสธทันที แต่แล้วก็มีผู้หญิงที่แต่งตัวดีคนหนึ่ง ก็ทำให้ตกตะลึงสุดขีดตอนที่ยื่นแอปเปิ้ลให้ เธอกล่าวว่าขอบใจจากนั้นก็คว้าแอปเปิ้ล และเดินต่อไปเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมพอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็กัดแอปเปิ้ลกินทันที ถ้าแนวคิดแย่ ๆ อย่างการกินอาหารที่ถูกแกะออกมาจากบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้รับจากคนแปลกหน้านั้นไม่ถูกปฏิเสธจากคนจำนวนหนึ่งแล้ว แนวคิดที่ทุกคนย่อมปฏิเสธจะมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าไม่มีนั้นอาจหมายความว่า เหตุผลเดียวที่ถูกปฏิเสธก็คือ แค่ยังไม่เจอคนที่จะตอบตกลงนั่นเอง

การถูกปฏิเสธมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจง

ในระหว่างที่ทำภารกิจก็เริ่มตระหนักว่า สามารถทำให้ผู้คนตอบตกลงได้ด้วยการพูดคุยกับพวกเขาให้มากขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกภารกิจที่จะได้รับการตอบตกลงด้วย เฉพาะภารกิจที่ออกจะบ้าบิ่นสักหน่อย แต่ก็แปลกใจว่าบ่อยครั้งที่การตื้อช่วยได้ นี่ทำให้สงสัยว่าการปฏิเสธมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจงหรือเปล่า แล้วถ้าขอในสิ่งที่ต้องการกับคนจำนวนมากพอ โดยขอในจำนวนครั้งที่มากพอเช่นกัน ในที่สุดก็จะเจอใครสักคนที่ตอบตกลงใช่ไหม

ไม่ว่าผลงานจะดีหรือแย่ก็ย่อมไม่มีวิธีการที่แน่นอน ที่จะทำให้ทุกคนบนโลกตอบตกลงหรือปฏิเสธมัน แต่ถ้าอยากต่อสู้เพื่อให้ผลงานของตัวเองได้รับการตอบตกลง ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือพูดคุยกับคนจำนวนมากพอ เพื่อเพิ่มโอกาสที่ใครสักคนจะตอบตกลงในที่สุด จำไว้ว่าการถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความคิดเห็นอย่างหนึ่ง และมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจง ถ้ามองว่าความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นตัวตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ทำ ชีวิตก็คงไม่มีความสุขเพราะนำคุณค่าของตัวเอง และแม้กระทั่งเส้นทางของชีวิต ไปผูกติดอยู่กับคำตัดสินของผู้อื่น

บทที่ 6

ยอมรับคำปฏิเสธ

ในช่วงครึ่งทางของภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ความกลัวการถูกปฏิเสธของผู้เขียนได้แปรเปลี่ยนไป เป็นอะไรบางอย่างที่คล้ายความอยากรู้อยากเห็น การเปลี่ยนแปลงมุมมองดังกล่าว เปิดโอกาสให้ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการถูกปฏิเสธมากขึ้น จนอยากขุดค้นและศึกษามันจากหลาย ๆ ด้าน สิ่งแรกที่สำรวจก็คือเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากถูกปฏิเสธ เมื่อก่อนผู้เขียนคิดเสมอว่าวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการบรรเทาความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธให้เหลือน้อยที่สุดก็คือ ทำให้มันจบลงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะใช้วิธีหนี บางครั้งก็วิ่งหนีจริง ๆ หลังจากถูกปฏิเสธ โดยรีบจบบทสนทนาให้ไวที่สุด แต่ตอนนี้อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่หนี แล้วคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น แทบไม่เคยตระหนักเลยว่า จะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนจากการไม่หนี

ถามว่าทำไมก่อนบอกลา

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : ปลูกดอกไม้ในสวนของคนอื่น

หลังจากผู้เขียนโพสคลิปวีดีโอตอนที่เล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน หลายคนเริ่มขอให้ไปเคาะประตูบ้านของคนแปลกหน้าเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ในบรรดาแนวคิดที่แสนสร้างสรรค์ทั้งหลายนั้น มีแนวคิดหนึ่งที่เตะตาเข้าอย่างจัง นั่นคือขอเข้าไปปลูกดอกไม้ในสวนของคนอื่น ผู้เขียนชอบแนวคิดนี้เพราะมันแปลกมากพอ ที่แทบจะรับประกันได้ว่าไม่มีใครตอบตกลงแน่ และถ้าอีกฝ่ายตอบตกลงก็จะได้ช่วยทำให้สวนของใครบางคนดูงดงามขึ้นกว่าเดิม

หลังจากซื้อต้นกุหลาบพันธุ์ดับเบิ้ลดีไลท์สีพีชพร้อมปลูกมาเรียบร้อย ผู้เขียนก็ขับรถไปรอบ ๆ เมืองออสติน เพื่อมองหาบ้านที่จะทำภารกิจ แล้วเลือกบ้านหลังหนึ่ง เดินตรงไปเคาะประตูทันที ความรู้สึกราวกับเข้าใกล้ความตายที่ผุดขึ้นมาตอนเดินไปเคาะประตูบ้านของสก๊อตต์แทบจะไม่หลงเหลือแล้ว คราวนี้เป็นชายชราผมขาวโพลนที่ออกมาเปิดประตู เขาเหลือบมองต้นกุหลาบในมือ ผู้เขียนจึงอธิบายว่าอยากปลูกต้นกุหลาบในสวนให้เขาแบบฟรี ๆ ผู้เขียนถูกปฏิเสธ

ขณะที่เขากำลังจะปิดประตู ผู้เขียนก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ขอถามหน่อยได้ไหมว่าทำไม ชายชราตอบว่าเพราะสุนัขของเขาจะขุดมันขึ้นมาและทำให้มันตาย เขาซาบซึ้งมากที่ทำแบบนี้ แต่ถามผิดคนแล้ว ถ้าข้ามถนนแล้วตรงไปที่บ้านของลอเรนเธออาจตอบตกลงก็ได้เธอชอบต้นไม้ นี่เป็นการพลิกสถานการณ์ในแบบที่ผู้เขียนไม่ได้คาดคิดมาก่อน ผู้เขียนเดินข้ามถนนไปตรงไปที่บ้านของลอเรน พร้อมกับข้อมูลที่ได้จากชายชรา เขาเห็นลอเรนและสามีของเธอกำลังจะออกจากบ้าน แต่หลังจากได้ฟังคำขอและพูดคุยกับสามีแล้ว เธอก็ยินยอมให้ปลูกต้นกุหลาบในสวนของเธอ

หลังจากถูกปฏิเสธการได้พูดคุยกับชายชราคนนั้น ทำให้ได้รับบทเรียนอันมีค่า 2 อย่างด้วยกันนั่นคือ 1. เขาไม่ได้ปฏิเสธเพราะไม่ไว้ใจ หรือมองว่าเพี้ยน เขาชอบข้อเสนอดังกล่าว แต่มันแค่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของเขา 2. เขายังแนะนำให้ไปหาอีกคน ซึ่งเขารู้ว่าเปิดใจที่จะรับของขวัญมากกว่า การถามว่าทำไมมีแนวโน้มที่จะกำจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อแรงจูงใจของผู้อื่น ก่อนหน้านี้เมื่อถูกปฏิเสธจะทึกทักเอาเองโดยอัตโนมัติว่า ต้องทำบางอย่างผิดพลาดแน่ ๆ แต่การใช้เวลาเพื่อพูดคุยสักเล็กน้อยกับคนที่ปฏิเสธ ก็ทำให้ค้นพบว่าข้อเสนอแค่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ของเขา ไม่มีแง่มุมไหนที่ควรเก็บมาใส่ใจเลย ทุกการตัดสินใจของผู้คนย่อมมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าเหตุผลดังกล่าวจะสมเหตุสมผล และผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว หรือจะเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกและเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบก็ตาม การได้รับรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการถูกปฏิเสธช่วยบรรเทา หรือแม้กระทั่งกำจัดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการถูกปฏิเสธดังกล่าว

การถามว่าทำไมมีแต่ข้อดี เพราะถึงอย่างไรก็ถูกปฏิเสธไปแล้ว และข้อมูลที่จะได้รับจากคนที่ปฏิเสธก็นับว่ามีค่ามาก อันที่จริงการถามว่าทำไม ยังเป็นเครื่องมือที่จะเปลี่ยนการถูกปฏิเสธ ให้กลายเป็นการตอบตกลงได้อีกด้วย

ถอยได้แต่อย่าหนี

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : ท้าทายแมคโดนัล (ขอซื้อเมนูอาหารเช้าในช่วงบ่าย)

มีคนท้าให้ผู้เขียนไปที่ร้านแมคโดนัลตอนบ่าย และขอซื้อแซนด์วิชที่เรียกว่าแมคกริดเดิล ที่เป็นเมนูที่ขายเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น เจ้าของคำถามมั่นใจว่าจะถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน ตอนนั้นเป็นเวลา 14:00 น. ผู้เขียนเดินไปซื้อแมคกริดเดิลกับพนักงาน และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้นั่นคือถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว หลังจากถามพนักงานว่าทำไม ก็ได้รับคำอธิบายว่าพนักงานได้ทำความสะอาดเครื่องทอดไข่และไส้กรอกแล้ว จึงทำการเปลี่ยนกลยุทธ์ทันทีว่า มีอะไรที่คล้ายกับแมคกริดเดิลบ้าง คำถามนี้ก็ดึงดูดความสนใจของพนักงานคนนั้น เธอบอกว่าสามารถทำแมคกริดเดิลแบบธรรมดาให้ได้

การท้าทายแมคโดนัลด์ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ไร้สาระเล็กน้อย แต่กลับลงเอยด้วยการได้รับบทเรียนที่สำคัญอีกอย่างโดยไม่ตั้งใจ พยายามใช้กลยุทธ์การเจรจาต่อรอง ซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญอีกอย่างโดยไม่ตั้งใจ เมื่อใช้กลยุทธ์การเจรจาต่อรอง ซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญ แทนที่จะตั้งเป้าหมายเป็นอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง หันกลับมาประเมินคำขอใหม่อีกครั้ง และลดความต้องการของตัวเองลงมา ซึ่งในกรณีนี้ก็คืออะไรที่คล้ายกับแมคกริดเดิล

พนักงานเห็นว่ายอมโอนอ่อนผ่อนตาม เธอจึงยอมที่จะพบกันครึ่งทาง ด้วยการเสนอทางออกอย่างอื่นแทน สำหรับคนที่กลัวหรือกังวลเกี่ยวกับการถูกปฏิเสธ การขออะไรบางอย่างอาจทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับสงครามขนาดย่อม เมื่อรู้สึกอึดอัดที่จะขออาจตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร จึงมีหนทาง 2 วิธีที่สามารถทำได้นั่นคือ 1. ถ้ายืนกรานว่าต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างไร เขาจะรำคาญและปฏิเสธอย่างเย็นชา 2. ถ้าหันหลังและวิ่งหนีนั่นหมายความว่า กำลังแตกทัพหรือทำให้ความพยายามเสียเปล่า แต่ภาระกิจแมคกริดเดิลสอนให้รู้ว่ายังมีวิธีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพมากนั่นคือ การถอยออกมาก่อนและประเมินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็พยายามเข้าหาอีกฝ่ายด้วยวิธีอื่น ถ้าปรับเปลี่ยนคำขอของตัวเอง และมองการขอด้วยแง่มุมอื่นสิ่งที่น่าสนใจและไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้น

ร่วมมือแต่อย่าโต้เถียง

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : คิดค้นรสชาติไอศกรีมของตัวเอง

ความฝันในวัยเด็กของผู้เขียนก็คือ การคิดค้นรสชาติไอศกรีมของตัวเอง ตอนนี้เขากำลังสนุกกับการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ และมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นว่าจะเปลี่ยนคำปฏิเสธให้กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจได้อย่างไร จึงรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะลองดูแล้ว หลังจากครุ่นคิดเรื่องรสชาติไอศกรีมแล้วก็ตรงไปที่ร้านเอมี่ส์ ไอศกรีม ซึ่งเป็นร้านไอศกรีมชื่อดังในท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ หลังจากเดินเข้าไปในร้านก็ขอให้พนักงานทำไอศกรีม พร้อมทั้งอธิบายว่ามันเป็นการผสมผสานกันระหว่างพริกแห้ง พริกฮาราปิโน และพริกปีศาจ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เป็นรสชาติที่แน่ใจว่าไม่มีใครอยากกิน และไม่มีพนักงานร้านไอศกรีมคนไหนจะทำมันให้ได้แน่

ไม่น่าแปลกใจเลยที่พนักงานจะปฏิเสธทันที และโน้มน้าวให้สั่งไอศกรีมรสชาติอื่น แต่แทนที่จะเดินออกจากร้าน หรือเปลี่ยนไปสั่งรสวานิลลา กลับเริ่มซักถามเขาว่า มีรสชาติไหนที่เผ็ดบ้าง พนักงานบอกว่าร้านเคยขายอยู่ 2 รถชาติในช่วงฤดูร้อน (ส่วนตอนนั้นเป็นฤดูหนาว) นั่นคือรสฮาราปิโน่และรถช็อคโกแลตวาซาบิ ท้ายที่สุดเขาก็ให้ผู้เขียนชิมไอศกรีมรสชาติแปลก ๆ ของร้านอย่างเบคอนมิ้นท์ แล้วผู้เขียนก็ชอบมันมาก

เมื่อมองย้อนกลับไปก็ตระหนักว่า พนักงานคนนั้นเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสถานการณ์ดังกล่าว นี่ไม่ใช่เกมที่มีการแพ้ชนะ แต่เป็นเกมที่ผู้เขียนและพนักงานต้องช่วยกันแก้ปัญหา และนั่นก็ถือเป็นชัยชนะสำหรับทั้งคู่ นอกจากนี้เขายังเปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้คิดค้นรสชาติไอศกรีมของตัวเอง ถ้ายอมพบกันครึ่งทางด้วยการนำวัตถุดิบมาเอง

ตอนที่ผู้เขียนยังกลัวการถูกปฏิเสธ มักมองว่าคนที่มีอำนาจในการตอบตกลงหรือปฏิเสธคำขอเป็นศัตรู แต่หลังจากที่เปลี่ยนแปลงความคิด และเริ่มมองว่าพวกเขาเป็นผู้ให้ความร่วมมือ ก็ค้นพบว่าตัวเองได้ก้าวเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งใหม่ จึงไม่ได้เข้าหาพนักงานของร้านเอมี่ส์ไอศกรีมด้วยอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบ การมีสภาพจิตใจที่มั่นคงทำให้มองโลกในแง่ดี และให้เกียรติอีกฝ่าย นอกจากนี้การที่ซักถามพนักงานหลังจากถูกปฏิเสธคือ การเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นผู้ให้ความร่วมมือ ซึ่งกระตุ้นให้เขาทำหน้าที่บริการลูกค้า และช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ในที่สุดผลลัพธ์ก็ออกมาดีกว่าคำขอในตอนแรก

ในทางกลับกัน สิ่งที่ตรงข้ามกับการให้ความร่วมมือ ซึ่งก็คือการโต้เถียงเปรียบได้กับแม่เหล็กดึงดูดคำปฏิเสธ เมืองออสตินซึ่งมีฉายาอย่างเป็นทางการว่า เมืองหลวงแห่งการแสดงดนตรีสดของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยสตูดิโอสำหรับทำเพลงเป็นจำนวนมาก โดยปกติแล้วพนักงานของสตูดิโอเหล่านี้จะทำงานพิเศษเป็นนักดนตรีด้วย แนวคิดในการทำภารกิจครั้งนี้ก็คือ ไปที่สตูดิโอสักแห่งและขอให้พนักงานเล่นเพลงโปรดของตัวเองให้ฟังสักเพลง เพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผู้เขียนเป็นคนทำภารกิจนี้ จึงให้อีธานซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานเป็นคนลอง เขาเดินเข้าไปหาพนักงานแล้วบอกคำขอ พนักงานคนดังกล่าวปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่ากำลังทำงานอยู่ แถมยังมีท่าทีรำคาญด้วย อีธานเริ่มต้นเถียงและบอกพนักงานคนนั้นว่า เขามีหน้าที่ทำตามคำขอของลูกค้า พนักงานแย้งว่าสดุดิโอแห่งนี้มีนโยบายไม่ให้พนักงาน หรือลูกค้าเล่นเครื่องดนตรีโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่จ่ายเงิน ทั้งคู่เถียงกันและเพิ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้เขียนรู้จากประสบการณ์ว่ามันไม่มีทางลงเอยด้วยดีแน่ จึงเข้าไปขัดจังหวะพร้อมกับบอกว่านี่เป็นคำขอที่แปลกประหลาด และการที่คุณปฏิเสธก็ไม่ใช่ปัญหาเลยด้วย แต่เราจะรู้สึกซาบซึ้งมากถ้าตอบตกลง แค่อยากฟังคุณเล่นกลองในสตูดิโอนี้เท่านั้น พนักงานคนนั้นมองหน้าก่อนจะเงยมองเพดาน จากนั้นก็พยักหน้าและพูดว่าโอเค แล้วเขาก็พาไปยังห้องที่มีกลองที่ดีที่สุดของสตูดิโอ และเริ่มตีกลองตามจังหวะที่เขาชอบให้ฟัง

ถ้าดูจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็นับว่าสมเหตุสมผล การโต้เถียงกับคนที่ปฏิเสธอาจเป็นวิธีที่ด้อยประสิทธิภาพที่สุด ที่จะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ อันที่จริงมันคือวิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะทำให้ถูกปฏิเสธ เพราะการโต้เถียงมักเปลี่ยนผู้ให้ความร่วมมือเป็นศัตรู การเข้าหาพนักงานของสตูดิโอโดยมองว่าเขาคือผู้ให้ความร่วมมือ แค่การเปลี่ยนวิธีเข้าหาก็ทำให้เขาเปลี่ยนใจ การบอกอย่างชัดเจนว่าเขามีอิสระที่จะปฏิเสธ ทำให้ได้รับการตอบตกลงอย่างที่หวังเอาไว้

ปรับเปลี่ยนแต่อย่ายอมแพ้

คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของแทบทุกคนที่ล้มเหลวกับอะไรบางอย่างก็คือ จะยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้ดี เมื่อเป็นเรื่องของการถูกปฏิเสธข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายย่อมฟังดูสมเหตุสมผลพอ ๆ กัน ในภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ บางครั้งไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์หรือวิธีใดก็ตาม อีกฝ่ายก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี ในกรณีนี้การขอเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ภายใต้เงื่อนไขเดิมกับคนเดิม ๆ โดยหวังว่าการตื้อจะช่วยเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นั้น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล

แต่แทนที่จะยอมแพ้ ค้นพบว่าการถอยกลับแล้วลองใหม่ ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้ผลลัพธ์ต่างไปจากเดิม เรียกการทำแบบนี้ว่าการปรับเปลี่ยน การเข้าหาคนหลายคนนับว่ามีประสิทธิภาพ มากกว่าการพยายามโน้มน้าวคนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่สนใจความต้องการ และความชื่นชอบของเขา อีกวิธีหนึ่งในการปรับเปลี่ยนก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม

บทที่ 7

อยู่ในจุดที่จะได้รับการตอบตกลง

ถ้าความเชี่ยวชาญอย่างการรับมือกับการถูกปฏิเสธ และการไม่ยอมแพ้หลังจากถูกปฏิเสธ นั่นหมายความว่าถึงผู้เขียนจะเรียนรู้มามากเท่าไหร่ ก็ย่อมมีเรื่องให้ได้เรียนรู้อีกเยอะ ขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำก็คือ เรียนรู้วิธีที่จะพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ได้รับการตอบตกลงตั้งแต่แรก ในเมื่อการจะได้รับการตอบตกลง ต้องอาศัยการโน้มน้าวใจ ผู้เขียนจึงสาบานว่าจะไม่ปรับลดความบ้าบิ่นของคำขอ เพื่อทำให้มันได้รับการตอบตกลงง่ายขึ้นเป็นอันขาด ไม่อยากได้รับการตอบตกลงด้วยการขอเรื่องง่าย ๆ ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อีกฝ่ายจะตอบตกลงอย่างแน่นอน

บอกเหตุผลว่าทำไม

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : สุ่มแจกเงิน 5 ดอลลาร์ให้ชาวเมืองออสติน และถ่ายรูปกับคนแปลกหน้าในนิวยอร์ก

เงินคือสิ่งที่ผู้คนอยากได้มากกว่าสิ่งอื่นใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ ผู้เขียนก็คิดว่าการแจกเงินโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ คงได้รับการตอบตกลงอย่างถล่มทลาย อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่คิดตอนหาที่ยืนตรงหัวมุมถนนสายหนึ่งที่มีผู้คนขวักไขว่ ในย่านใจกลางเมืองออสติน และสุ่มแจกธนบัตรใบละ 5 ดอลลาร์ ให้กับคนแปลกหน้า 5 คนที่เดินผ่านไปมา เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วยื่นธนบัตรให้ผู้คน พร้อมกับถามว่าอยากได้เงิน 5 ดอลลาร์ไหม โดยไม่ได้บอกเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น ผลสรุปก็คือมีคนตอบตกลงที่จะรับเงิน 2 คน และมีคนปฏิเสธ 3 คน

หลังจากนั้นไม่นานผู้เขียนก็ไปเยี่ยมป้าที่นิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน แนวคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว เนื่องจากชาวนิวยอร์กก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเมืองไม่ต่างจากอาคารต่าง ๆ ทำไมจึงไม่ชวนพวกเขามาถ่ายรูป โดยให้ป้าเป็นคนถ่าย ตลอดระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงต่อจากนั้น เขาชวนชาวนิวยอร์กหลายสิบคนมาถ่ายรูปด้วย พวกเขามีเชื้อชาติ เพศ และอายุที่แตกต่างกันไป แถมบางคนยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ด้วย ปัจจัยเดียวที่เหมือนกันคือวิธีที่เข้าหาพวกเขา บอกชาวนิวยอร์กเหล่านี้ว่าอยากถ่ายรูปด้วย เพราะเชื่อว่าผู้คนก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเมืองเหมือนกัน

บางคนลังเลในตอนแรก และหยุดคิดสักพักเพื่อประมวลผลคำขออันแปลกประหลาดนี้ แต่คนที่แปลกใจที่สุดก็คือผู้เขียนเอง เพราะทุกคนล้วนตอบตกลง เขาถูกปฏิเสธหลายครั้งในเมืองออสติน แถมบางครั้งยังเป็นตอนที่แทบไม่ได้คาดหวังเลยด้วยว่าจะถูกปฏิเสธ เช่น ตอนที่ยื่นธนบัตร 5 ดอลลาร์ให้ผู้คน แต่ตอนนี้อยู่นิวยอร์กและขอให้ชาวนิวยอร์กทำในสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพวกเขาเลย ทว่าทุกคนที่เข้าหากลับตอบตกลงที่จะถ่ายรูปด้วย

หลังจากย้อนกลับไปดูคลิปวีดีโออีกรอบ ก็มองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างภารกิจขอถ่ายรูปในนิวยอร์ก กับภารกิจแจกเงินในออสติน กล่าวคือในนิวยอร์กผู้เขียนบอกทุกคนที่เข้าหาว่า ทำไมถึงขอถ่ายรูปกับพวกเขา นั่นคืออยากให้มีรูปของผู้คนด้วย แทนที่จะมีแค่สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของนิวยอร์กเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาคิดเอาเองว่าเจตนาคืออะไร ผลที่ตามมาก็คือ ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองในเชิงบวก ถึงแม้คำขอจะผิดแผกไปจากพฤติกรรมที่พวกเขาพบเห็นอยู่ทุกวัน

ตระหนักถึงความกังขาของผู้คน

ความไว้ใจและความสบายใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุด ที่พบเจอตลอดการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ ที่เริ่มสังเกตเห็นสีหน้า บางอย่างที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้คน ที่ได้ยินคำขอมันมีทั้งความแปลกใจ ความสับสน และความกังขาผสมปนเปกันไป บอกได้เลยว่าพวกเขากำลังประเมินอยู่ และถามตัวเองในใจ ผู้เขียนรู้ว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ต้องทำอย่างไรพวกเขาถึงจะคิดเหมือนกัน และต้องทำอย่างไรให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาพูดคุยกัน

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : ทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับของสตาร์บัค

ผู้เขียนรู้สึกว่าพนักงานของสตาร์บัคดูเป็นมิตร และให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แถมยังชอบกาแฟของร้านนี้ด้วย สตาร์บัคไม่มีพนักงานต้อนรับ และเขาก็สงสัยว่าจะมีตำแหน่งนี้ไหม นี่ดูเป็นแนวคิดที่ดีพอสำหรับภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธ จึงไปที่สตาร์บัคในละแวกบ้าน แล้วถามบาริสต้าว่าจะขอยืนอยู่ตรงประตูหน้าร้านสัก 1 ชั่วโมง เพื่อทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับของสตาร์บัคได้หรือเปล่า และไม่แปลกเลยที่เขาจะรู้สึกลำบากใจเมื่อได้ยินคำขอ เขาอยากตอบตกลงแต่ก็ไม่แน่ใจในเจตนา เมื่อผู้เขียนเห็นว่าเขากำลังลังเล ก็พยายามทำให้เขาสบายใจขึ้น คำขอฟังดูแปลก ๆ ใช่ไหมผู้เขียนถาม ใช่มันแปลกนิดหน่อยพนักงานตอบด้วยท่าทีโล่งอก การที่ผู้เขียนตระหนักว่าคำขอของตัวเองฟังดูแปลก ๆ ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น ไม่ได้พยายามขายอะไรบางอย่างใช่หรือเปล่าเขาถาม จากนั้นก็เล่าว่าเคยมีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนตรงประตู และพยายามขายสินค้าให้กับลูกค้า จนพนักงานต้องขอให้เธอออกไป เขาไม่อยากพบเจอประสบการณ์แบบนั้นอีก ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่เขารู้สึกลังเลกับคำขอ ที่เกิดจากเหตุการณ์นั้น ในที่สุดก็ตอบตกลง

ถึงแม้การตระหนักถึงความกังขาของผู้คนจะฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่อันที่จริงมันทำได้ยากมาก ในช่วงเวลาที่กำลังตื่นเต้นสุด ๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ การไม่ต้องการพูดถึงความกังขา หรือคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจเลย คิดว่าการทำแบบนั้นจะบั่นทอนข้อเสนอ และหยิบยื่นเหตุผลในการตอบปฏิเสธให้กับพวกเขา แล้วหวังว่าการไม่พูดถึงความกังขาต่าง ๆ จะทำให้มันหายไปเอง หรืออย่างน้อยก็ซ่อนอยู่แบบนั้นต่อไป

แต่ในกรณีส่วนใหญ่มันไม่เคยหายไป และมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้คนปฏิเสธ ถ้าไม่ควบคุมมันให้ดี แน่นอนว่าถึงแม้จะทำทุกอย่างด้วยความถูกต้องเหมาะสม เพื่อพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่จะได้รับการตอบตกลง ไม่ว่าจะเป็นการระบุเหตุผล เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ผม หรือตระหนักถึงความกังขาของผู้คน ก็ย่อมมีแนวโน้มที่พวกเขาจะปฏิเสธอยู่ดี บางครั้งผู้คนก็ปฏิเสธไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยอาจแค่ไม่ต้องการ หรือไม่อยากได้ในสิ่งที่หยิบยื่นให้

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : สอนในมหาวิทยาลัย

แผนผังครอบครัวของผู้เขียนมีแต่คนที่ประกอบอาชีพครู จึงมักสงสัยว่าการสอนในมหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร ในภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ รู้สึกราวกับได้เปิดหน้าต่างแห่งโอกาสขึ้นมาในชีวิต ทำไมไม่ลองสอนหนังสือสักหนึ่งชั่วโมง ผู้เขียนเริ่มต้นที่โรงเรียนธุรกิจเพราะรู้สึกว่าการที่เคยจบจากโรงเรียนธุรกิจ และปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการ น่าจะทำให้เชื่อมโยงกับบรรดาอาจารย์ที่นั่นได้ แต่ก็พบว่าตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม แทบไม่มีอาจารย์

จึงคว้าสมุดรายชื่อ และเริ่มโทรหาอาจารย์จากคณะอื่น เพื่อพยายามพูดคุยกับใครสักคน เลือกที่จะโทรหาอาจารย์จากคณะนิเทศศาสตร์ที่ชื่อ ดอกเตอร์โจเอล โรลลินส์ ซึ่งในตอนนั้นเขาสอนวิชาโต้วาที หลังจากพูดคุยกันนิดหน่อย โรลลินส์ก็ตอบตกลงที่จะเพิ่มผู้เขียนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตร นี่ไม่ใช่การสอนครั้งสุดท้ายแต่เป็นครั้งแรก ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็แต่งตัวในชุดที่ดูดีที่สุด ในชั้นเรียนเขาพูดถึงเรื่องที่ว่า ผู้คนต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของอำนาจ และขนบธรรมเนียม แนวคิดและการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ จึงมักพบเจอกับอุบัติเหตุในแบบที่รุนแรงที่สุด เขายกตัวอย่างของนักบุญเปาโลอัครทูตและมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ โดยพูดถึงวิธีที่พวกเขาเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้กลายเป็นโอกาส แล้วลงเอยด้วยการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้ กระตุ้นให้นักศึกษาอย่ายอมแพ้อย่างง่ายดาย เวลาพบเจอกับการถูกปฏิเสธ และใช้วิธีการที่ชาญฉลาดเพื่อให้ตัวเองได้รับการตอบตกลง เมื่อสอนจบนักศึกษาก็พากันปรบมือ ส่วนโรลลินส์ก็เข้ามากอด เทรซี่ภรรยาของผู้เขียนอยู่ที่นั่นด้วย ตอนเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกัน ผู้เขียนก็ยกมือปาดน้ำตาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ

การวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเอง หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกถือเป็นเรื่องยาก จวบจนทุกวันนี้ยังไม่อยากเชื่อเลยว่า สิ่งที่มีความหมายกับผู้เขียนสุด ๆ จะเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าได้ทำสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง และมันก็เป็นหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุด นั่นคือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้องเหมาะสม

ก่อนที่ผู้เขียนจะได้พบโรลลินส์ เขาใช้เวลาหลายวันไปกับการจัดทำเอกสารประกอบการสอน ให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่สมมติขึ้นมา ในชั้นเรียนที่สมมติขึ้นมาอีกเช่นกัน นึกภาพตัวเองเป็นอาจารย์ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เขาทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ว่าจะได้สอนนักศึกษา หรือจะมีใครได้เห็นมันหรือไม่ ทั้งยังแต่งตัวอย่างเหมาะสม และเตรียมเรซูเม่ที่เน้นย้ำถึงประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำให้ดูน่าเชื่อถือเวลาไปพบกับโรลลินส์ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่แค่คนบ้า ที่มีความปรารถนาอันแปลกประหลาด หรือตัวตลกที่มองหาเสียงหัวเราะ

แต่ไม่ว่าจะเตรียมตัวดีแค่ไหน ก็รู้ว่าโอกาสที่จะโน้มน้าวให้คนที่เป็นอาจารย์ ยอมให้คนแปลกหน้าสอนนักศึกษาได้นั้นต่ำมาก จึงเพิ่มโอกาสด้วยการพุ่งเป้าไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม โดยเริ่มต้นที่โรงเรียนธุรกิจ เพราะคิดว่าพวกเขาจะเห็นคุณค่าของเนื้อหาที่เตรียมมามากที่สุด แต่เมื่อวิธีนี้ไม่ได้ผลเพราะจังหวะเวลาไม่เหมาะสม ก็หันไปจับตัวเลือกถัดไปที่ดีที่สุดนั่นคือคณะนิเทศศาสตร์ โรลลินส์อ้าแขนต้อนรับ นักศึกษาของเขาก็เช่นกัน ถ้าเลือกคณะพยาบาลศาสตร์ก็คงถูกปฏิเสธทันที พูดง่าย ๆ ก็คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายมีความสำคัญมาก

สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าทำผลงานได้ดีแค่ไหน หรือผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมเพียงใด เพราะถ้ากำหนดกลุ่มเป้าหมายผิด โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนที่ไม่ตระหนัก ไม่ชื่นชม และไม่ต้องการคุณค่าที่หยิบยื่นให้ ความพยายามก็จะสูญเปล่า และลงเอยด้วยการถูกปฏิเสธ

บทที่ 8

เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

หลังจากทำภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธมาหลายสัปดาห์ ก็มองว่ามันคือกิจวัตรสนุก ๆ อย่างหนึ่ง โดยผู้เขียนจะตื่นนอนทุกเช้าพร้อมกับคิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธ ทั้งยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับจิตวิทยาการเจรจาต่อรองและการจูงใจ ความท้าทายของการทดลอง และการทดสอบความรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วนำมาแบ่งปันกับผู้อื่น ยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา

เมื่อการต่อสู้กับการถูกปฏิเสธเริ่มออกสู่สาธารณะ ก็ค้นพบว่าได้ตกเป็นฝ่ายถูกขอ ในช่วงแรกผู้เขียนตอบตกลงกับทุกเรื่องที่พอจะทำได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การทำตามคำขอต่าง ๆ ก็เริ่มสูบเอาเวลาในชีวิตไปจนหมด ปริมาณคำขอมหาศาลเริ่มกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ในที่สุดก็ตระหนักว่าต้องเริ่มตอบปฏิเสธบ้าง เพื่อนำเอาสมดุลชีวิตกลับคืนมา และมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

ผู้เขียนจึงย้อนกลับไปดูคลิปวิดีโอเก่า ๆ เพื่อพิจารณาว่าทุกคนที่เข้าหาใช้วิธีใดในการปฏิเสธ ได้ค้นพบว่าวิธีปฏิเสธของพวกเขาไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด โดยมีทั้งวิธีที่ดีและแย่ บางคนปฏิเสธอย่างหยาบกระด้าง และแสดงท่าทางเพิกเฉย ส่วนคนอื่น ๆ ปฏิเสธอย่างสุภาพและใจดี ซึ่งทำให้ผู้เขียนยังชอบพวกเขาอยู่ทั้งที่เพิ่งถูกปฏิเสธมา ผู้ปฏิเสธที่ดีมอบบทเรียนบางอย่างให้

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : แลกเปลี่ยนความรู้กับเทรนเนอร์ในฟิตเนส

ในสมัยโบราณก่อนจะมีการใช้เงินตรา การแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในระบบที่ผู้คนใช้ในการค้าขายสินค้าและบริการ ผู้เขียนสงสัยว่าการแลกเปลี่ยนยังคงใช้ได้ผลอยู่ไหม จึงนำแนวคิดนี้มาเปลี่ยนเป็นภาระกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธ โดยเป้าหมายคือการทำให้เทรนเนอร์ยอมสอนออกกำลังกายเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแบบฟรี ๆ โดยที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกฟิตเนส และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนจะสอนทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ และการเขียนบล็อกเป็นเวลา 1 ชั่วโมงให้อีกฝ่ายแบบฟรี ๆ เช่นกัน

เขาเดินเข้าไปที่ฟิตเนสแห่งหนึ่ง และเริ่มมองหาเป้าหมาย แล้วก็มองเห็นจอร์แดนเทรนเนอร์หนุ่มรูปร่างสูงและร่างกายบึกบึน จอร์แดนรับฟังคำขอแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างอดทน และรีบอธิบายทันทีที่พูดจบว่า เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะฟิตเนสแห่งนี้มีนโยบายว่าห้ามสอนฟรี แต่จอร์แดนมีน้ำใจมากแนะนำว่า ถ้าสมัครเป็นสมาชิกจะได้เรียนฟรี 1 ชั่วโมง ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของการแนะนำเบื้องต้น ผู้เขียนไม่อยากสมัครเป็นสมาชิก เพราะมันจะทำลายจุดประสงค์ของภาระกิจ ผู้เขียนจึงถอยอย่างมีเชิงแล้วพยายามเข้าหาใหม่ อย่างการถามว่าถ้าแลกเปลี่ยนวิชาที่นี่ไม่ได้ไปที่อื่นแทนได้ไหม จอร์แดน บอกว่าเขาเซ็นสัญญาห้ามทำธุรกิจแข่งกับนายจ้าง และจะถูกไล่ออกหากไปสอนที่อื่นไม่ว่าที่ไหนก็ตาม

แน่นอนว่าผู้เขียนก็ไม่อยากให้จอร์แดนถูกไล่ออก แต่ก่อนจะออกจากฟิตเนสแห่งนี้ ผู้เขียนอยากรู้จริง ๆ ว่าข้อเสนอในตอนแรกมีค่าสำหรับจอร์แดนหรือเปล่า จึงถามว่าสนใจเรื่องการเป็นผู้ประกอบการและการเขียนบล็อกไหม จอร์แดนตอบไม่เลยเขาอยากเป็นนักดับเพลิง แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผู้เขียนไม่คาดคิด ส่งนามบัตรของเพื่อนที่เป็นเจ้าของฟิตเนสให้ เขาบอกผมรู้มาว่าที่นั่นมีเทรนเนอร์หลายคน และไม่ได้เซ็นสัญญากับฟิตเนสไหน พวกเขาเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจช่วยได้ จอร์แดนยื่นนามบัตรดังกล่าวให้ ผู้เขียนโทรไปยังเบอร์ที่ระบุอยู่บนนั้น และได้รับข้อเสนอให้ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของเพื่อนจอร์แดนแบบฟรี ๆ

สิ่งที่ทำให้ทึ่งไม่ใช่ความใจกว้างของจอร์แดน แต่เป็นวิธีที่เขาปฏิเสธคำขอในตอนแรกต่างหาก เขาไม่ได้แสดงท่าทางเพิกเฉย ถึงแม้คำขอจะไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจเลยสักนิด เขาตั้งใจฟังและแสดงให้เห็นว่า เขาพิจารณาคำขออย่างจริงจัง ด้วยการระบุเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมถึงทำตามคำขอดังกล่าวไม่ได้ เขาทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ด้วยทักษะการแก้ปัญหาของเขา และทำทุกสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ การปฏิเสธของจอร์แดนแทบจะเหมือนกับการตกลง นั่นทำให้เขาปฏิเสธได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ

ใจเย็นและให้เกียรติ

สิ่งที่ประทับใจเกี่ยวกับจอร์แดนมากที่สุดคือ ทัศนคติที่เขามีให้ในฐานะบุคคล ไม่ว่าผู้เขียนจะพยายามกี่ครั้ง หรือใช้กี่วิธีเพื่อให้ตัวเองสมหวัง เขาก็ยังคงใจเย็นและให้เกียรติ ไม่มีทางรู้สึกไม่พอใจเลย ถ้าอีกฝ่ายปฏิบัติเป็นอย่างดี การใจเย็นและให้เกียรติเวลาปฏิเสธใครสักคน ถือเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย แต่น่าประหลาดตรงที่ไม่ค่อยนำมันมาใช้ การใจเย็นและการให้เกียรติสามารถทำให้การปฏิเสธดูนุ่มนวลขึ้น แถมบางครั้งอีกฝ่ายก็จะให้เกียรติและเข้าใจด้วย แต่การมีทัศนคติที่แย่จะส่งผลตรงกันข้าม เพราะมันทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น และบางครั้งผู้คนก็จะแสดงความอาฆาตแบบไร้เหตุผลกลับมาด้วย

ตรงไปตรงมา

นอกจากความสุภาพแล้ว อีกอย่างที่ประทับใจในตัวจอร์แดนคือ ความตรงไปตรงมา ตอนที่ถามเขาว่าสนใจเรื่องการเขียนบล็อกหรือเปล่า เขาตอบชัดเจนว่าไม่ โดยไม่ได้แกล้งทำเป็นสนใจ นั่นทำให้เกิดความเคารพคำปฏิเสธ และเคารพในฐานะบุคคลด้วย หลายคนมีแนวโน้มจะปฏิเสธแบบอ้อม ๆ ด้วยถ้อยคำหวานหู การปฏิเสธแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันได้แก่ การพูดเยิ่นเย้อ และ การบอกว่าใช่ แต่… เมื่อต้องปฏิเสธใครสักคนต้องทำอย่างรวดเร็ว และตรงไปตรงมา อาจระบุเหตุผลหลังจากนั้นถ้าอีกฝ่ายอยากรับฟัง ไม่มีใครชอบที่ตัวเองถูกปฏิเสธ แต่ผู้คนเกลียดการพูดจาเยิ่นเย้อและคำว่าใช่แต่…เป็นพิเศษ การทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้การปฏิเสธดูนุ่มนวลขึ้น  อันที่จริงมันส่งผลตรงกันข้าม

เสนอทางเลือก

วิธีที่ยอดเยี่ยมในการปฏิเสธใครสักคนนั่นคือ เสนอทางเลือกอื่น จอร์แดนซึ่งเป็นเทรนเนอร์ของฟิตเนสแห่งหนึ่ง ก็เสนอทางเลือกอื่นให้ด้วยการแนะนำให้แวะไปที่ฟิตเนสของเพื่อนเขา เช่นเดียวกับชายชราผมขาวที่ไม่อยากปลูกต้นกุหลาบในสนาม เขาจึงแนะนำให้ไปหาคนที่น่าจะชื่นชอบข้อเสนอมากที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้มีปัจจัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน และเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมาก กล่าวคือในแต่ละเหตุการณ์บรรดาคนที่เป็นฝ่ายปฏิเสธ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอ ไม่ใช่ปฏิเสธตัวตน

การแยกแยะประเด็น 2 อย่างนี้ออกจากกัน เวลาที่ถูกปฏิเสธอาจเป็นเรื่องยาก อันที่จริงหนึ่งในเหตุผลที่ผู้คนไม่ชอบการถูกปฏิเสธเป็นอย่างมากก็คือ พวกเขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง 2 ประเด็นนี้ได้ การแยก 2 อย่างนี้ออกจากกัน และไม่เก็บการถูกปฏิเสธมาใส่ใจ ต้องอาศัยการฝึกฝนและการครุ่นคิดอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม การเสนอทางเลือกอื่นเวลาปฏิเสธใครสักคน หมายความว่าผู้ปฏิเสธได้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ถูกปฏิเสธ

การปฏิเสธเป็นประสบการณ์ที่จะฝังลึกอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือทุ่มเทคิดหาคำดี ๆ ในการปฏิเสธมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อจำเป็นต้องปฏิเสธต้องระบุอย่างเฉพาะเจาะจง ต้องทำให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้ว่ากำลังปฏิเสธเรื่องอะไร และบอกเหตุผลไปตามตรงว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธ นี่จะช่วยให้ทุกฝ่ายไม่เสียเวลา ไม่เกิดปัญหา และไม่ทำให้ใครต้องเสียใจ

บทที่ 9

เสาะหาด้านดี

ตลอดชีวิตทุกคนย่อมถูกปฏิเสธมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีการถูกปฏิเสธเพียงน้อยนิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การถูกปฏิเสธเกือบทุกครั้งล้วนเปิดโอกาสให้ได้เติบโต ท้าทายตัวเอง รวมถึงเอาชนะความกลัวและความไม่มั่นคง ซึ่งขัดขวางไม่ให้ดึงเอาศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ อันที่จริงหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ที่ได้เรียนรู้จากการผจญภัยก็คือ การถูกปฏิเสธอาจมีข้อดีซ่อนอยู่ แค่ต้องเต็มใจที่จะมองหามัน

แรงจูงใจ

หนึ่งในข้อดีที่สุดของการถูกปฏิเสธคือ มันสามารถเปลี่ยนเป็นแรงจูงใจ การถูกปฏิเสธคือประสบการณ์ที่ขึ้นอยู่กับการให้คำนิยาม พูดง่าย ๆ ก็คือมันจะหมายความถึงอะไรก็ตามซึ่งกำหนดมุมมองที่มีต่อการถูกปฏิเสธ สามารถเป็นได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยขึ้นอยู่กับว่าจะมองมันในมุมไหน บางคนเชี่ยวชาญเรื่องการเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้กลายเป็นเรื่องดี ถึงแม้มันจะทำให้พวกเขารู้สึกแย่มากก็ตาม พวกเขาใช้ประสบการณ์ในการถูกปฏิเสธ เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง และสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง

การพัฒนาตัวเอง

ผู้เขียนได้เรียนรู้หลายอย่างจากภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธนี้ บทเรียนที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีใช้การถูกปฏิเสธ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ปรับตัวและปรับปรุง แทนที่จะรู้สึกโกรธ ลงมือทำต่อไป หรือไม่ก็ค่อยยอมแพ้หลังจากทำไปสัก 15 นาที เขามองว่าประสบการณ์การถูกปฏิเสธ เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ได้รับข้อมูลป้อนกลับ และเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่ใช้ทันที โดยไม่ล้มเลิกสิ่งที่กำลังทำอยู่

การนำข้อมูลป้อนกลับจากลูกค้ามาใช้ ในการสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็ว ถือเป็นวิธีปฏิบัติอันเป็นมาตรฐานสำหรับธุรกิจจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลป้อนกลับที่พวกเขาได้รับสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งธุรกิจโดยรวมได้เลย แต่มุมมองแบบนี้แทบไม่เคยถูกนำมาใช้เมื่อเป็นเรื่องของการถูกปฏิเสธ เมื่อจดจ่ออยู่กับความคาดหวังและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ผู้ถูกปฏิเสธมักไม่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลป้อนกลับที่ได้รับจากผู้ปฏิเสธ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคำขอ และใช้การปฏิเสธของผู้อื่นเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนคำขอของตัวเอง กุญแจสำคัญคือการดึงเอาตัวเองออกจากอารมณ์ความรู้สึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วทำราวกับว่าคำขอเป็นการทดลองที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ และความคิดสร้างสรรค์

ความคู่ควร

เมื่อนึกถึงการถูกปฏิเสธ มักทึกทักเอาเองโดยอัตโนมัติว่ามันคือความล้มเหลว ต้นตอของความเจ็บปวด และอะไรบางอย่างที่ต้องเอาชนะ แทบไม่เคยสำรวจความเป็นไปได้ ที่ในบางกรณีการถูกปฏิเสธอาจหมายถึงการที่นำหน้าคนอื่น ๆ อยู่ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเห็นตัวอย่างนับไม่ถ้วนของคนที่ถูกปฏิเสธ หรือแม้กระทั่งถูกลงโทษเพราะความเชื่อของพวกเขา ซึ่งในภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง

คราวหน้าถ้าทุกคนยอมรับแนวคิด หรือข้อเสนอโดยทันที ไม่มีท่าทีว่าจะโต้แย้ง ควรหยุดพิจารณาสักครู่เพื่อดูว่า นี่เป็นผลมาจากกระแสความเชื่อ และความคิดแบบพวกมากลากไปหรือเปล่า ถ้าใครสักคนคิดว่าแนวคิดงี่เง่ามาก ให้มองว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ไม่แน่ว่าคำถามที่ควรถามเกี่ยวกับแนวคิดของตัวเอง อาจไม่ใช่จะหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธได้อย่างไร แต่ควรจะเป็นแนวคิดคู่ควรกับการถูกปฏิเสธหรือเปล่า

การสร้างนิสัย

การเสาะหาการถูกปฏิเสธในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ช่วยให้ผู้คนสามารถสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ ซึ่งทำให้พวกเขากล้าที่จะตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การเปลี่ยนการถูกปฏิเสธให้เป็นเรื่องดี ต้องอาศัยความกล้า ต้องจ้องเข้าไป และมองการถูกปฏิเสธที่มันเป็นจริง ๆ นั่นคือประสบการณ์ที่อาจทำร้ายหรือช่วยเหลือ โดยขึ้นอยู่กับว่าจะมองมันอย่างไร เพราะทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับทัศนคติ โดยปกติแล้วการถูกปฏิเสธถือเป็นเรื่องเจ็บปวด

ถ้ามองว่ามันคือความล้มเหลว สิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจ หรือเหตุผลในการวางมือ มันก็จะเป็นอย่างที่มอง แต่ถ้ามีความกล้าที่จะถอยออกมา 1 ก้าว แล้วมองการถูกปฏิเสธในแง่มุมที่ต่างออกไป จะค้นพบเรื่องน่าทึ่งกล่าวคือ ไม่มีการถูกปฏิเสธครั้งใดที่เลวร้าย ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบต้นหลิวและหมู่บ้านอันแสนน่ารัก

บทที่ 10

เสาะหาความหมาย

เห็นได้ชัดว่าการถูกปฏิเสธที่เสาะหามาตลอดภารกิจ 100 วัน ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่ได้เผชิญกับอุปสรรคใด ๆ เลย นอกจากต่อสู้กับการถูกปฏิเสธในใจเอง แต่สงสัยว่าจะรู้สึกอย่างไรถ้าใช้พลังงานไปกับคำขอที่มีความหมายมากกว่านี้ บทเรียนใดบ้างที่สามารถเรียนรู้ได้จากการถูกปฏิเสธที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต ตอนที่ไม่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเลย สิ่งที่ควรพบคือบางครั้งการถูกปฏิเสธ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการได้รับการตอบตกลงหรือการตอบปฏิเสธ แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นอย่างการเต็มใจที่จะอดทนต่อการถูกปฏิเสธ เพราะมีเหตุผลบางอย่างในการทำแบบนั้น

100 วันแห่งการถูกปฎิเสธ : สร้างรอยยิ้มให้วอชิงตัน ดี.ซี.

ในระหว่างการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ ผู้เขียนได้รับเกียรติในการพบกับผู้คนจำนวนมาก ที่กำลังอยู่บนเส้นทางอันน่าสนใจของพวกเขา มาซูด อดิบปัวร์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เขาได้ค่าตอบแทนสูงแต่กลับรู้สึกทุกข์ทรมาน ในที่สุดเขาก็ลาออกและเริ่มออกเดินทาง ในปี 2013 เขาจึงก่อตั้งโครงการชื่อสร้างรอยยิ้มให้วอชิงตัน ดี.ซี. โดยทุกเช้าวันจันทร์เขาจะถือป้ายที่มีข้อความดี ๆ แล้วไปยืนอยู่บริเวณหัวมุมถนนอันแสนพลุกพล่านของวอชิงตัน ดี.ซี. ในขณะที่ชูป้ายเขาก็จะโบกมือ และส่งรอยยิ้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมา เขาบอกว่าเป้าหมายเดียวก็คือ ส่งเสริมการมองโลกในแง่ดี และหวังว่าจะฉุดผู้คนออกจากเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตของพวกเขา

อดิบปัวร์ได้ยินเรื่องราว 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธของผู้เขียน และติดต่อมาเพราะหวังว่าจะได้ร่วมมือกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงนัดเจอกันและตกลงกันว่าจะเข้าร่วมโครงการของเขา ในระหว่างที่ผู้เขียนอยู่ที่เมืองนั้น ผู้เขียนจะเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวให้เป็นภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธ ด้วยการขอให้คนแปลกหน้ามาร่วมสนุกแทนที่จะยืนถือป้ายเฉย ๆ

อดิบปัวร์ลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาซึ่งมีรายได้งาม เพราะมองไม่เห็นความหมายในงานนั้น แต่กลับค้นพบความหมายในโครงการสร้างรอยยิ้มให้วอชิงตัน ดี.ซี. และการรู้สึกว่าชีวิตมีเป้าหมายดูจะเป็นวัคซีนป้องกันเขา จากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกคนแปลกหน้าปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของเขาแสดงให้เห็นว่า ความสุขไม่ได้มาจากเงิน ความสะดวกสบาย หรือการได้รับการยอมรับเสมอไป นี่คือสาเหตุว่าทำไมบางคนที่ชาญฉลาดและมีอิทธิพลที่สุด ถึงใช้เวลาและพลังงานไปกับการทำในสิ่งที่มอบรางวัลตอบแทนภายในให้กับพวกเขา แต่พวกเขาอุทิศชีวิตของตัวเองให้กับเรื่องที่มีความหมายสำหรับพวกเขา ถึงแม้พวกเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบาก และถูกปฏิเสธมาแล้วหลายต่อหลายครั้งก็ตาม

เสาะหาความเข้าอกเข้าใจ

ในงานบรรยายที่ราชสมาคมศิลปะ (Royal Society for the Encouragement of Arts หรือ RSA) เบรเน่ บราวน์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮูสตั้น ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างความเข้าอกเข้าใจกับความเห็นใจว่า ความเข้าอกเข้าใจกระตุ้นให้เกิดความเชื่อมโยง ในขณะที่ความเห็นใจกระตุ้นให้ความเชื่อมโยงหายไป ความเข้าอกเข้าใจคือความรู้สึกที่มีต่อผู้คน สมมติเวลาที่ใครสักคนตกลงไปในหลุมลึก แล้วตะโกนขึ้นมาจากก้นหลุมว่าติดอยู่ตรงนี้ มันมืดมากทนไม่ไหวแล้ว เมื่อเจอแบบนั้นจะมองลงไปและพูดว่า รู้ว่าเป็นยังไงเวลาอยู่ตรงนั้น และก็ไม่ได้อยู่ตามลำพัง แล้วก็ปีนลงไปอยู่กับคนคนนั้นที่ก้นหลุม แต่ความเห็นใจคือการพูดจากข้างบนว่า แย่จังอยากได้แซนด์วิชสักชิ้นไหม

สตีเฟน โควีย์ ผู้เขียนหนังสือติดอันดับขายดีเรื่อง The Seven Habits of Highly Effective People กล่าวว่า เวลาที่แสดงความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง พลังการป้องกันตัวของพวกเขาจะลดลง และพลังบวกจะเข้ามาแทนที่ เมื่อถึงตอนนั้นจะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ในการแก้ปัญหาการถูกปฏิเสธ คือโอกาสในการแสดงความเข้าอกเข้าใจ ถ้ามองมันในแง่มุมที่เหมาะสม ถึงแม้จะสามารถยอมให้การถูกปฏิเสธคอยขัดขวาง แต่ก็สามารถยอมให้มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เปิดใจ เพื่อที่จะเข้าใจและช่วยเหลือผู้อื่นได้เช่นกัน

เสาะหาคุณค่า

ผู้เขียนสงสัยว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ทำให้เต็มใจที่จะถูกปฏิเสธถึง 40 ครั้ง 400 ครั้งหรือ 4,000 ครั้ง บางทีอาจเพื่อข้อเสนอที่คุ้มค่าสำหรับรถยนต์ หรือไม่ก็เพื่อความสำเร็จในธุรกิจ หรืออาชีพการงาน แน่นอนว่าย่อมเต็มใจที่จะถูกปฏิเสธเพื่อชีวิตคู่ที่ยอดเยี่ยม และความสุขของคนที่รัก ยิ่งจำนวนครั้งสูงเท่าไหร่ คุณค่าของสิ่งที่เต็มใจจะถูกปฏิเสธย่อมมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อเป็นเรื่องของความรัก มิตรภาพ และสุขภาพ ก็ตระหนักว่าจำนวนครั้งดังกล่าวคงไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองต้องการและเห็นคุณค่าของอะไรบางอย่างมากแค่ไหน การถูกปฏิเสธย่อมเป็นมาตรวัดที่ดี บางคนประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อได้เผชิญกับการถูกปฏิเสธที่เจ็บปวดที่สุด เพราะมันทำให้พวกเขาค้นพบว่า พวกเขาเต็มใจที่จะเผชิญกับความเจ็บปวดมากแค่ไหน เพื่อแลกกับการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง

พวกเราส่วนใหญ่มักโตมากับการเก็บซ่อนความฝันอันยิ่งใหญ่ไว้ในใจ คนส่วนใหญ่ละทิ้งความฝันในวัยเด็ก เมื่อเติบโตขึ้นได้เรียนรู้ผ่านการพิจารณาตัวตนของตัวเองว่า ไม่ได้มีส่วนผสมของความปรารถนา แรงกระตุ้น หรือความสามารถในการทำตามความฝันดังกล่าว หรือไม่ก็ได้เรียนรู้จากการถูกปฏิเสธว่า โลกไม่ยอมรับความพยายาม จึงเปลี่ยนแปลงเส้นทางโดยมักเสาะหาความสำเร็จในอาชีพอื่นแทน และนี่คือข้อดีของการยอมแพ้ ที่นักเศรษฐศาสตร์อย่าง สตีเฟน ดับเนอร์ และสตีเวน เลวิตต์ พูดถึง แต่บางคนไม่ยอมแพ้ ถึงแม้โลกจะปฏิเสธพวกเขาตั้งแต่ต้น หรือปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขากลายเป็นคนที่อยากเป็น เพราะได้เรียนรู้ผ่านการถูกปฏิเสธที่เลวร้ายสุดขีดว่า ความฝันมีความหมายกับพวกเขามากแค่ไหน

บทที่ 11

เสาะหาอิสระภาพ

ผู้เขียนเริ่มต้นการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ ด้วยเป้าหมายที่ตรงไปตรงมามากนั่นคือเอาชนะการถูกปฏิเสธเพื่อจะได้มีอิสระที่จะรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของธุรกิจและอาชีพการงาน พูดง่าย ๆ ก็คือกำลังจดจ่ออยู่กับโลกภายนอก และวิธีที่จะรับมือกับมันได้ดียิ่งขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดในการผจญภัยก็คือ การเอาชนะการถูกปฏิเสธได้เปลี่ยนแปลงโลกภายในอย่างมหาศาล และค้นพบอิสรภาพและความสงบสุข ซึ่งไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกเส้นเชือกทางความคิด และจิตวิทยาผูกมัดอยู่อย่างแน่นหนาแค่ไหน จนกระทั่งหลุดออกมาได้

อิสรภาพในการขอ

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : ขับเครื่องบิน

เมื่อผู้เขียนมาถึงตอนท้าย ๆ ของการผจญภัยไปกับการถูกปฏิเสธ มักได้รับการตอบตกลงมากกว่าการตอบปฏิเสธอยู่เยอะทีเดียว เขาสนุกมากที่ได้ทำเรื่องเจ๋ง ๆ และเพี้ยน ๆ แต่ก็หงุดหงิดนิดหน่อยที่ได้รับการตอบตกลงทุกครั้ง ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเพราะเริ่มเชี่ยวชาญเรื่องการขอ จนผู้คนมองว่าการปฏิเสธเป็นเรื่องยาก หรือเป็นเพราะคำของ่ายเกินไป แต่ผู้เขียนอยากถูกปฏิเสธมากกว่านี้ เพื่อให้การเรียนรู้มีความสมดุล จึงตัดสินใจว่าจะขอในสิ่งที่ไม่มีใครยอมตอบตกลงแน่ ๆ

สำหรับภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธครั้งที่ 92 เขาเดินทางไปที่สนามบินในเมืองออสติน และถามกัปตันชื่อ เดสมอนด์ ว่าจะขอขับเครื่องบินได้หรือไม่ แน่นอนว่าเขาไม่มีใบอนุญาต ไม่มีประสบการณ์ และบอกตามตรงว่าไม่มีความกล้าที่จะขับเครื่องบินด้วย เขาแค่ขอเพื่อให้ตัวเองถูกปฏิเสธเท่านั้น

ปรากฏว่าเดสมอนด์เป็นเจ้าของไจโรเพลน (gyroplane) ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็กแบบเปิดโล่ง และดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์ย่อส่วน แถมยังบินขึ้นและลงจอดได้ง่ายมาก สำหรับผู้เขียนแล้วมันเหมือนรถมอเตอร์ไซค์มากกว่าเครื่องบินเสียอีก อันที่จริงแล้วเดสมอนด์ชื่นชอบไจโรเพลนมาก แทบจะอดใจไม่ไหวที่จะป่าวประกาศให้ทุกคนฟังว่า พาหนะลำนี้ของเขาเจ๋งแค่ไหน เพื่อทำให้แน่ใจว่าผู้เขียนจะไม่ขับไปชนกับอะไรบางอย่างและเสียชีวิต เขาจึงนั่งไปด้วยและสอนให้ผู้เขียนขับ

นี่เป็นเที่ยวบินที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผู้เขียน หลังจากลงจอดเรียบร้อยแล้ว ในหัวก็คิดแค่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ได้ขอขับเครื่องบิน ถ้าเป็นแบบนั้นคงพลาดโอกาสนี้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไจโรเพลนอยู่บนโลกด้วย

เมื่อมองย้อนกลับไปยังภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ถ้าไม่ขอคงไม่ได้สัมผัสประสบการณ์หลายอย่าง ได้รับความทรงจำที่น่าทึ่งมากมายอย่างที่ไม่เคยนึกฝัน ประสบการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่แสวงหามัน เรียกได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเอ่ยปากขอ แน่นอนว่าการเรียนรู้ที่จะขอโดยใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ แถมยังฝึกรับมือกับการถูกปฏิเสธ จริงอยู่ที่ยังคงถูกปฏิเสธอยู่เหมือนเดิม เพราะไม่ว่าอย่างไร ทุกคนที่เริ่มต้นการผจญภัยย่อมถูกปฏิเสธ ไม่ตรงจุดใดก็จุดหนึ่งในระหว่างการผจญภัย แต่การไม่ขอเลยหมายความว่า กำลังปฏิเสธตัวเองโดยอัตโนมัติ

อิสรภาพในการยอมรับตัวเอง

ผู้เขียนได้จดบทเรียนสำคัญต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการถูกปฏิเสธ เพื่อเอาไว้เตือนใจไม่ให้ตัวเองสร้างนิสัยแย่ ๆ ขึ้นมา โดยบทเรียนดังกล่าวประกอบไปด้วย

การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมชาติ การตอบปฏิเสธและการตอบตกลง เกิดจากมุมมองเฉพาะบุคคล ที่ผู้คนมีต่อแนวคิดหรือผลิตภัณฑ์บางอย่าง

การถูกปฏิเสธเป็นความคิดเห็นอย่างหนึ่ง การถูกปฏิเสธสะท้อนถึงตัวตนของผู้ปฏิเสธมากกว่าผู้ถูกปฏิเสธ

การถูกปฏิเสธมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจง คนเราสามารถถามคนอื่น ๆ ได้ไม่สิ้นสุด แทนที่จะถามแค่เพียงคนเดียว

ถามว่าทำไมก่อนบอกลา การคุยกันว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว เกิดขึ้นเพื่อเสาะหาเหตุผลที่แท้จริงที่ปฏิเสธ

ถอยได้แต่อย่าหนี คนเราสามารถถอยมาตั้งหลัก แล้วค่อยนำเสนอแนวคิดด้วยวิธีใหม่ ๆ

ร่วมมือแต่อย่าโต้เถียง

ปรับเปลี่ยนแต่อย่ายอมแพ้ คนเราสามารถปรับเปลี่ยนได้ ด้วยการนำเสนอสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแทนที่จะยอมแพ้

แรงจูงใจ คนเราสามารถใช้การถูกปฏิเสธเป็นแรงจูงใจ ในการทำตามแนวคิดของตัวเอง

การพัฒนาตัวเอง สามารถใช้การถูกปฏิเสธเป็นแรงกระตุ้นในการหมั่นพิจารณาพิมพ์เขียวแนวคิดต้นแบบ โดยวาดต้นแบบให้ดีขึ้น และปรับปรุงให้ดูใช้งานจริงได้มากกว่าเดิม

ความคู่ควร สามารถสรุปได้ว่า การถูกปฏิเสธอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า แนวคิดมีความแปลกใหม่และสร้างสรรค์

การสร้างนิสัย สามารถใช้การถูกปฏิเสธเพื่อทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้นแทนที่จะอ่อนแอลง การถูกปฏิเสธจากคนในครอบครัวถือเป็นการเตรียมพร้อมที่ยอดเยี่ยมมาก สำหรับการถูกปฏิเสธจากลูกค้าและนักลงทุนในอนาคต

ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ จะได้ตระหนักว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เมื่อเป็นเรื่องของแนวคิดเกี่ยวกับรองเท้าติดล้อ ผู้เขียนกลับตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรง กล่าวคือเขาปล่อยให้การถูกปฏิเสธเพียงครั้งเดียว ยับยั้งไม่ให้นำแนวคิดดังกล่าวไปต่อยอด นี่เป็นเพราะคนที่เขารักและเคารพมองว่ามันไม่ดีพอ แล้วทำไมต้องขอความเห็นชอบจากอาด้วย คำตอบคือเพราะตอนนั้นเขาเสาะหาการยอมรับ ความเห็นชอบ และการยืนยันในแทบทุกเรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างการเลือกอาชีพการงาน หรือเรื่องเล็กอย่างอาหารที่จะกิน ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ย่อมไม่ใช่การยอมรับจากผู้อื่น แต่เป็นการยอมรับจากตัวเองต่างหาก อันที่จริงการรู้สึกดีกับตัวตนของตัวเองควรเกิดขึ้นก่อน แทนที่จะเป็นผลลัพธ์ของการเสาะหาความเห็นชอบจากผู้อื่น ทุกคนควรตระหนักว่าดีพอ ที่จะได้รับการตอบตกลงจากตัวเอง

บทที่ 12 เสาะหาอำนาจ

การค้นพบอิสรภาพภายในตัวเองจากการถูกปฏิเสธ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ แต่ผู้เขียนจำเป็นต้องทำมากกว่าแค่การค้นพบอิสรภาพ ต้องลงมือทำด้วยเพราะใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักปรัชญาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตัวเอง แถมยังไม่ได้อยากเป็นแค่ผู้ประกอบการธรรมดา ๆ แต่ต้องเป็นผู้ประกอบการที่สร้างผลงาน ในแบบที่ทำให้โลกหน้าอยู่ขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ หลักการที่ได้เรียนรู้มาจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายภายนอกได้อย่างไร

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : ทำตัวเป็นพนักงานขายที่ห่วยแตกที่สุด

ในงานเซาท์บายเซาท์เวสต์เป็นงานประชุมด้านดนตรี ภาพยนตร์ และเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นในย่านใจกลางเมืองออสติน เป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ ทุกปีบริษัทตั้งใหม่ด้านเทคโนโลยีหลายพันแห่ง จะมารวมตัวกันในงานเพื่อนำเสนอเว็บไซต์ นวัตกรรม และแอพพลิเคชั่นของตัวเอง ทุกคนจะงัดเอาเทคนิคการขายที่ดีที่สุดออกมาใช้ รวมถึงดึงดูดความสนใจด้วยความกระตือรือร้น การโน้มน้าวใจ และของกำนัลจำนวนมาก ผู้เขียนสงสัยว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าพยายามทำตัวเป็นพนักงานขายที่ห่วยแตกที่สุด

ในขณะที่เดินไปรอบ ๆ ศูนย์ประชุมของเมืองออสติน ผู้เขียนมองเห็นผู้หญิง 2 คนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นนักศึกษากำลังนั่งอยู่ตรงมุมห้อง พวกเธอถือใบปลิวอยู่จำนวนหนึ่งด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและลังเลใจ เมื่อผู้เขียนถามว่ามีใบปลิวให้ช่วยแจกไหม ทั้งคู่ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พวกเธอดูมีความสุขสุด ๆ กับข้อเสนอ เมื่อมีใบปลิวจำนวนมากอยู่ในมือ ผู้เขียนก็เริ่มต้นการทดลองพนักงานขายจอมห่วยแตก ด้วยการสุ่มเข้าหาคนแปลกหน้าที่กำลังยืนรอเข้าร่วมกิจกรรม หรือไม่ก็กำลังพักผ่อนจากการร่วมกิจกรรมมาทั้งวัน

ผลสรุปก็คือ ผู้เขียนยื่นใบปลิวให้คนแปลกหน้าทั้งหมด 10 คน มี 5 คนที่รับใบปลิวไป และมี 2 คนที่ลงทะเบียนในเว็บไซต์ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต่อหน้าทันที ส่วนที่เหลืออีก 3 คนปฏิเสธไม่รับใบปลิว มี 2 ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับภารกิจเสาะหาการถูกปฏิเสธในครั้งนี้

ประเด็นแรกคือได้ค้นพบอีกแง่มุมหนึ่งของการขายที่ไม่เคยรู้มาก่อน ผู้เขียนเคยมองว่าการขายคือทักษะในการโน้มน้าวใจ กล่าวคือการจะขายได้หรือไม่ได้ล้วนขึ้นอยู่กับทักษะในการสื่อสาร แต่พอพยายามทำตัวเป็นพนักงานขายที่ห่วยแตกที่สุด โดยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่กำลังขาย และไม่พยายามที่จะขายมันด้วย บางคนต้องรับใบปลิวไปเพราะเดินหนีไปได้ไม่เร็วพอ แต่บางคนก็แวะพูดคุยเพราะเกิดความสนใจ หรือมีความจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ ที่แสดงให้เห็นว่าการตอบตกลงหรือการปฏิเสธ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของอีกฝ่ายเป็นหลัก แน่นอนว่าผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการขาย ที่ค้นพบหลักการใหม่ ๆ ถึงแม้จะเชื่ออย่างแท้จริงว่า แทนที่จะจดจ่ออยู่กับการเรียนรู้เทคนิคการขาย จำเป็นต้องเอาชนะความกลัวให้ได้เสียก่อน และสนุกสนานไปกับการขาย แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก รวมถึงการใช้เทคนิคการขายอื่น ๆ ด้วย

การดึงตัวเองออกจากผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

ไม่ควรดึงตัวเองออกจากสิ่งที่หลงใหลหรือแนวคิด แต่การดึงตัวเองออกจากผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น และความเป็นไปได้ที่จะถูกปฏิเสธนับว่ามีประโยชน์ ทุกคนไม่ได้เก่งหรือเห็นด้วยกับการทำแบบนี้ในสังคมและในแวดวงธุรกิจ การได้รับผลลัพธ์บางอย่างดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่คนจำนวนมากให้ความสำคัญ และใช้มันเพื่อวัดผลตัวเอง กล่าวคือพนักงานขายวัดผลความสำเร็จของตัวเองโดยดูจากยอดขายที่พวกเขาทำได้เมื่อเทียบกับพนักงานขายคนอื่น และนักวิทยาศาสตร์จะถูกตัดสินความสามารถ จากจำนวนงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ การศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ผู้คนเขียนลงในหน้าประวัติออนไลน์ของพวกเขา ที่จัดทำขึ้นโดยเว็บไซต์ linkin ระบุว่า คำว่า มุ่งเน้นผลลัพธ์ เป็นหนึ่งในคำที่ผู้คนนิยมใช้ เพราะพวกเขาเชื่อว่านายจ้างให้คุณค่ากับคุณสมบัตินี้มากที่สุด และบ่อยครั้งพวกเขาก็คิดถูก แต่การมุ่งเน้นผลลัพธ์เป็นมากกว่าแค่การมีวิสัยทัศน์แคบ อันที่จริงมันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แย่กว่าเดิมในระยะยาว เพราะมันทำให้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับฟังความคิดเห็นที่อาจมีประโยชน์

100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ : จากการสัมภาษณ์โอบามาสู่การตามหากูเกิล

เมื่อใกล้จะถึงช่วงท้าย ๆ ของภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ผู้เขียนเกิดความกดดันว่าจะต้องปิดภารกิจนี้อย่างงดงามให้ได้ เขาสามารถขอให้ใครสักคนทำบางอย่างตอนไหนก็ได้ แต่ก็อยากให้ภารกิจครั้งที่ 100 กลายเป็นตำนานอยู่ดี คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ผู้เขียนควรสัมภาษณ์ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกตะวันตกในช่วงเวลานั้น  แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำตามแนวคิดนี้ จึงยกเลิกโครงการสัมภาษณ์โอบามาอย่างรวดเร็ว และเริ่มต้นหาภารกิจใหม่ ผู้เขียนอยากให้ภารกิจนี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนได้จริง ๆ และอยากให้ใครบางคนที่ว่านั้นเป็นภรรยาของเขาเอง

ดังนั้น คืนหนึ่งจึงถามเทรซี่ว่า ถ้าสามารถทำงานให้กับบริษัทใดก็ได้ในโลกนี้ จะเลือกบริษัทใด เครซี่ตอบแบบแทบไม่ต้องคิดเลยว่า กูเกิล ตอนนี้ผู้เขียนจะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อภารกิจนี้ แถมยังมีเหตุผล 3 ข้อที่ทำให้ชอบแนวคิดดังกล่าว

เหตุผลข้อแรกคือ น่าจะเป็นภารกิจที่ยากสุด ๆ กูเกิลสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมให้กับพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสำนักงานที่ดูราวกับสวนสนุก มีอาหารดี ๆ ให้กินฟรี มีบริการนวดในสำนักงาน มีสนามวอลเลย์บอล หรือสวัสดิการอื่น ๆ ที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว

เหตุผลข้อที่ 2 คือ มีไม่กี่อย่างในชีวิตของผู้คน ที่เชื่อมโยงกับการถูกปฏิเสธได้มากกว่าการหางาน

เหตุผลข้อสุดท้ายคือ เทรซี่จำเป็นต้องได้ทำงานที่กูเกิล ถึงแม้เธอจะเป็นพนักงานดีเด่น และได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมากจากเพื่อนร่วมงาน แต่บริษัทของเธอกำลังอยู่ในช่วงขาลง เพื่อนร่วมงานหลายคนถูกไล่ออก รวมถึงเจ้านายและเพื่อนสนิทบางคนของเธอด้วย

นี่จึงเป็นภารกิจครั้งสุดท้าย ที่จะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้คำปรึกษา และทำให้เทรซี่ได้ทำงานที่กูเกิล เรียกภารกิจนี้ว่าตามหากูเกิล ภารกิจนี้น่าหวาดหวั่นมาก เพราะมันเหมือนกับการก่อตั้งบริษัทในแง่ที่ว่า มันไม่สามารถทำแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ได้ ถ้าอยากทำภารกิจนี้อย่างเต็มที่ เทรซี่ต้องยอมรับความเสี่ยงด้วย จึงตัดสินใจว่าเธอต้องลาออกจากงาน และจดจ่ออยู่กับการหางานใหม่เพียงอย่างเดียว มันเป็นภารกิจที่กินเวลา และมีความเสี่ยง แต่ก็สนุกสนานมาก ให้เวลา 6 เดือนในการทำภารกิจนี้

ภารกิจหางานเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องดีและเรื่องแย่ รวมถึงการถูกปฏิเสธและการตอบตกลง จึงเริ่มต้นด้วยการเขียนสิ่งที่สามารถควบคุมได้ เช่น เครือข่าย การปรับปรุงเรซูเม่ การสมัครงาน และการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ จากนั้นก็เขียนสิ่งที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การได้รับคำตอบจากคำขอที่ส่งให้เพื่อน ๆ ในเครือข่าย การทำให้ตัวเองถูกเรียกไปสัมภาษณ์ การทำให้ผู้สัมภาษณ์ชอบ และการได้งานทำ ในขณะที่พยายามอย่างสุดความสามารถ จะยึดมั่นในแก่นของการสร้างภูมิต้านทานการถูกปฏิเสธ อย่างการดึงตัวเองออกจากผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

การถูกปฏิเสธส่งผลเสียต่ออารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น ผู้เขียนจึงมองว่าหน้าที่หลักคือ การทำให้แน่ใจว่าเทรซี่จะไม่ได้รับผลกระทบในแง่ลบจากมัน ผู้เขียนกระตุ้นให้เธอสำรวจข้อดี และการถูกกปฏิเสธโดยบอกเธอว่า อย่าทำให้มันเสียเปล่า เธอสามารถใช้การถูกปฏิเสธเป็นข้อมูลป้อนกลับ เครื่องมือในการเรียนรู้ และแรงจูงใจให้พยายามต่อไป เธอเข้าใจเรื่องนี้ดี ไม่นานเธอก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการถูกปฏิเสธ

ในที่สุดก็มาถึงการสัมภาษณ์ครั้งที่ 4 คราวนี้คำบรรยายลักษณะงานตรงกับประสบการณ์ของเธอทุกอย่าง และการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก็ไปได้สวย กูเกิลขอให้เธอเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ในเมืองเมาน์เทนวิวรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสัมภาษณ์งานที่นั่น เทรซี่ต้องเผชิญกับชาวกูเกิลจำนวนหนึ่ง ที่เตรียมคำถามมาเป็นอย่างดี โดยซักถามเธออย่างละเอียด เกี่ยวกับประสบการณ์และทักษะของเธอ เธอกลับมาถึงบ้านในสภาพที่หมดแรง และบอกว่าเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองทำได้ดีหรือไม่ เพราะการอ่านท่าทีของผู้สัมภาษณ์ที่ไม่ได้ส่งสัญญาณ บอกอะไรไม่ได้เลยซึ่งถือเป็นเรื่องยาก

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เทรซี่ก็ได้รับอีเมลจากเจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากรของกูเกิล ทั้งคู่อ่านอีเมลดังกล่าวด้วยกัน ปรากฏว่าเนื้อหาและโครงสร้างของประโยคดูคุ้นเคยเหลือเกิน นั่นคือขอบคุณที่มาสัมภาษณ์ น่าเสียดายที่ต้องบอกว่า… เทรซี่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง จนถึงตอนนี้เธอส่งอีเมลเพื่อขอพูดคุยทางโทรศัพท์ไปแล้วหลายร้อยฉบับ พูดคุยกับผู้คนทางโทรศัพท์นับครั้งไม่ถ้วน และถูกเรียกไปสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ 4 ครั้ง เธอจดจ่ออยู่กับทุกอย่างที่เธอควบคุมได้ และปล่อยให้สิ่งที่เธอควบคุมไม่ได้ดำเนินไปตามทางของมัน แต่จนถึงตอนนี้สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ล้วนส่งผลให้เธอต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธ

หลังจากนั้น 2 วัน ผู้เขียนก็เห็นเธอกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม เธอมองหน้าผู้เขียนแล้วบอกว่ากูเกิลเปลี่ยนใจแล้ว พวกเขาเพิ่งเสนองานให้ การถูกปฏิเสธเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่งจริง ๆ มันเปราะบางและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แถมยังมีจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจงด้วย อย่างในกรณีของเทรซี่จำนวนครั้งดังกล่าวก็คือ 4 เมื่อมองย้อนกลับไป การเข้าทำงานที่กูเกิลเป็นเรื่องยากมาก แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียกูเกิลก็มีพนักงานหลายหมื่นคน และคนเหล่านั้นก็สามารถเข้าทำงานได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง นอกจากนี้เทรซี่ยังเป็นมืออาชีพ ที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยฝีมือของตัวเองล้วน ๆ เธอจึงมีโอกาสที่จะได้งานด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีในแบบฉบับของเธอ

บทที่ 13

ใช้ชีวิตกับภารกิจใหม่

เมื่อมองย้อนกลับไปที่ภารกิจ 100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ ผู้เขียนก็รู้สึกว่ามันเป็นการเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลง เขาเอาชนะความกลัว แถมยังได้รับความรู้และภูมิปัญญาด้วย นอกจากนี้ยังค้นพบอิสรภาพ และอำนาจในแง่มุมใหม่ ๆ ซึ่งทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป 2 เดือนหลังจากเทรซี่ได้งานในฝันที่กูเกิล พวกเขาก็ย้ายบ้านจากเมืองออสตินไปยังซิลิคอนวัลเลย์ เพื่อที่เทรซี่จะได้เริ่มทำงานใหม่ของเธอ ทุกวันหลังเลิกงานเธอจะกลับมาบ้านอย่างกระตือรือร้น เพราะเธอได้เห็นและสร้างเทคโนโลยีอันน่าทึ่งในที่ทำงานของเธอ

ส่วนผู้เขียนมีหน้าที่รับส่งไบรอันจากศูนย์ดูแลเด็ก ได้เขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราว และแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ผู้เขียนอยากขยับขยายเขตแดนแห่งความสบายใจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และไม่อยากสูญเสียทักษะที่ฝึกฝนมา อย่างการรับมือกับการถูกปฏิเสธ ความเชื่อของเขาตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ นั่นคือความกล้าหาญไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ มันก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ จำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเริ่มอ่อนแอลงหรือหายไป

การอ้าแขนรับและเอาชนะในสิ่งที่กลัวมากที่สุด ทำให้ค้นพบภารกิจใหม่ในชีวิต ผู้เขียนกำลังอุทิศพลังงานของการเป็นผู้ประกอบการ ให้กับการสร้างเครื่องมือที่สามารถช่วยเหลือผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นต้องอาศัยการวาดพิมพ์เขียว การได้รับความคิดเห็น การจ้างคน การขอเงินทุน และแน่นอนว่าการถูกปฏิเสธที่มากขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คราวนี้เขาไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว แต่กลับรู้สึกตื่นเต้น และกระตือรือร้นอยากรู้ว่าการต่อสู้กับการถูกปฏิเสธ และการช่วยเหลือให้ผู้คนเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ จะทำให้ผู้คนจำนวนมากน้อยแค่ไหนสามารถทำความฝันของตัวเองเป็นจริง จะทำให้แนวคิดเจ๋ง ๆ มากน้อยแค่ไหนได้รับการยอมรับ และจะทำให้เรื่องราวความรักมากน้อยแค่ไหนถูกเขียนขึ้น หากไม่กลัวการถูกปฏิเสธ

นอกจากนี้เขายังอยากช่วยเหลือโลกนี้ ลองนึกขึ้นดูว่าถ้าทุกคนมีภูมิต้านทานการถูกปฏิเสธ โลกนี้ย่อมน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมจริงไหม โลกที่มีภูมิต้านทานการถูกปฏิเสธคือ สถานที่อันแสนวิเศษในการดำรงชีวิต.