หนังสือ : เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up on Wall Street)
เนื้อหา : การทำความเข้าใจตัวเอง การยอมรับความเสี่ยง การคัดเลือกหุ้น วิธีการจัดพอร์ต ช่วงจังหวะการซื้อขายหุ้น
สิ่งที่ได้ : มุมมองการคัดเลือกหุ้น ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเก็งกำไร หุ้นปันผล หุ้นเติบโต ควรซื้อเมื่อใด ควรขายเมื่อใด
เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้น หรือ ผู้ที่สนใจศึกษาการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน
สั่งซื้อหนังสือ “เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up on Wall Street)” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
สำหรับเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ แบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1
โดยในส่วนที่ 1 จะเป็นการปูพรมก่อนเริ่มที่จะลงทุน โดยเขาตั้งชื่อส่วนนี้ว่า “เตรียมตัวลงทุน” จะเรื่องเล่าอดีตความเป็นมาของตัวเอง นับตั้งแต่เด็กจนถึงเริ่มทำงาน และ จนได้มาทำงานเป็นผู้บริหารกองทุนเมเจลลัน แห่งฟิเดลลิตี้ รวมถึงมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้น โดยที่เขาไม่ได้เชื่อในทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) ด้วยเขาเห็นตลาดผันผวนทุกวัน จนไม่เชื่อว่าตลาดมีเหตุผล ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องหาเหตุให้กับการขึ้นลงของราคาหุ้น หรือ ตลาดหุ้น
เขาได้กล่าวถึงประสบการณ์ในอาชีพนักลงทุนของเขา เป็นอาชีพที่ค่อนข้างเผชิญกับแรงกดดัน อันมาจาก มีความคาดหวังผลการดำเนินงานของกองทุน ที่ต้องสร้างผลตอบแทนได้ดี แม้ว่าจะมีบางวัน เขาจะพบเจอหุ้นเด็ด ถ้าหากมันยังเป็น No Name ก็ยังไม่สามารถซื้อได้ หากซื้อแล้วเกิดปัญหา มันก็จะกลายเป็นว่าหาเรื่องใส่ตัว ระหว่างโอกาสในการทำกำไรงามจากหุ้นเล็กๆ ทำกำไรจากบริษัทที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก กับการลงทุนในบริษัทโด่งดังและมั่นคง ทุกคนรู้จัก นักลงทุนมืออาชีพมักจะเลือกลงทุนอย่างหลัง เพราะความสำเร็จในหน้าที่การงานก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ความล้มเหลว(ขาดทุน) นั้นจะทำให้มืออาชีพเสียชื่อ และตกงานหมดอนาคตในเส้นทางได้ ดังนั้น จึงทำให้เหล่าผู้บริหารกองทุน เลือกหุ้นกลุ่มที่เป็น Safe zone จึงไม่แปลกใจที่ผู้จัดการกองทุนหลายๆแห่ง มักทำผลงานไม่ได้ดีเด่นอะไร
ก่อนจะเริ่มลงทุนในหุ้น นักลงทุนจะต้องรู้จักตนเองเสียก่อน โดย Peter Lynch ได้ตั้งคุณสมบัติ 3 ข้อ ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้น
- คุณมีบ้านไหม
ก่อนจะเอาเงินมาลงทุนหุ้นนั้น เขาเสนอให้คุณเอาเงินนั้นไปกู้ซื้อบ้านของตัวเองเสียก่อน เหตุผลง่ายๆเพราะมันไม่ได้แย่ที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง การลงทุนในบ้านนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ไม่ยุ่งยาก การเป็นเจ้าของบ้านยิ่งนานเท่าไหร่ ผลตอบแทนมันก็มีแต่จะสูงขึ้น คุณไม่ต้องกังวลใจกับราคาบ้านที่ขึ้นลง และการลงทุนในบ้านฝึกให้คุณเป็นคนละเอียดหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งเป็นบันไดที่ดีก่อนเข้าซื้อหุ้น
- คุณจำเป็นต้องใช้เงินก้องนั้น ไปทำเรืองสำคัญอื่นๆ ก่อนไหม
ถ้าคุณมีภาระต้องเลี้ยงดูลูก ต้องหาเงินให้ลูกเข้าเรียนมหาลัยดีๆ ก็ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นไปก่อน เพราะมันถือว่าเสี่ยงเกินไป แม้จะเป็นการลงทุนในหุ้น Blue chip ก็ตาม ในระยะ 10-20 ปีนั้น หุ้นเป็นอะไรที่พอคาดการณ์ได้ แต่การขึ้นลงในช่วง 2-3 ปีนั้น หุ้นมันคาดเดาไม่ได้เลย หุ้นบลูชิพที่คุณซื้อไว้อาจจะตกต่ำอยู่ 2-3 ปี จนคุณต้องจำใจตัดขายขาดทุนเพื่อนำเงินมาใช้ก่อน
- มีคุณบัติส่วนตัวที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้นหรือ?
Peter Lynch ได้เล่าว่า คุณสมบัติควรรวมถึงความอดทน และ ทนต่อความเจ็บปวด พึ่งตนเอง ใจที่เปิดกว้างไม่ยึดติด ยอมรับความผิดพลาด และไม่สนใจความแตกตื่นของคนอื่นๆ ต้องสามารถตัดสินใจโดยปราศจากข้อมูลที่สมบูรณ์ เพราะไม่มีอะไรแน่นอน ในวอลสตรีท ด้วยความคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่จะต้องรู้ข้อมูลทั้งหมด อาจพ่ายแพ้
ส่วนที่ 2
ส่วนที่2 หลังจากที่ปูพื้นฐานเตรียมตัวก่อนเข้าสู่ตลาดหุ้น ถัดมาในส่วนนี้จะกล่าวถึงการคัดเลือกหุ้น จากประสบการณ์ของเขา และได้ตั้งชื่อในส่วนนี้ว่า “เลือกผู้ชนะ”
เขาได้เล่าถึงวิธีเลือกหุ้นของเขา ตัวอย่าง สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือในสถานที่ทำงาน โดยข้อมูลในสายอาชีพนั้นก็อาจเป็นแหล่งข่าวสารหุ้นเด็ด ทำให้คุณมีข้อได้เปรียบมืออาชีพได้ เช่น ถ้าคุณเป็นหมอ ในปัจจุบันไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดหนัก ยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งหากจะควบคุมได้นั้น จำเป็นต้องพัฒนาวัคซีน เพื่อใช้ป้องกันการเสียชีวิต และ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้เป็นที่ต้องการทั่วโลก ซึ่งทำให้บริษัทยา แข่งกันผลิตวัคซีน เช่น Moderna, Pfizer ทำกำไรได้มหาศาล ส่งให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสิบเด้งในเวลาเพียง 1 ปี
จากการคร่ำหวอดในตลาดหุ้น Peter Lynch ได้จำแนกหุ้นที่น่าลงทุน และ หุ้นที่ควรเลี่ยงลงทุน อย่างละ 6 ประเภท
หุ้นที่น่าลงทุน
1.หุ้นโตช้า (Slow Grower) คือ หุ้นขนาดใหญ่ เก่าแก่ จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
2.หุ้นแข็งแกร่ง (The Stalwarts) คือ หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเผชิญสถานการณ์เลวร้าย ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาเท่าใด
3.หุ้นโตเร็ว (The Fast Growers) คือ หุ้นขนาดเล็ก ที่ทำธุรกิจที่เป็นเทรนธุรกิจ ณ ขณะนั้น (ซึ่งมีความเสี่ยงสูง เมื่อจบเทรน)
4.หุ้นวัฏจักร (The Cyclicals) คือ ราคาหุ้นวิ่งไปตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม
5.หุ้นฟื้นตัว (Turn Arounds) คือ หุ้นดาวดับ ที่กำลังกลับมา ซึ่งฟื้นตัวจากวัฏจักรธุรกิจ หรือ ผลการดำเนินงานที่ค่อยๆดีขึ้น
6.หุ้นทรัพย์สินมาก (The Asset Plays) คือ หุ้นที่มีกระแสเงินสดมาก หรือ หุ้นที่มีสินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่มาก เช่น อสังหา, สิทธิบัตร
หุ้นที่ควรเลี่ยงลงทุน
1.หุ้นร้อน คือ หุ้นที่ถูกไล่ราคาขึ้นมาอย่างร้อนแรง และมีโอกาสที่จะถูกเทขายทำกำไรได้ทุกเมื่อ
2.หุ้นที่กำลังจะเป็น The Next คือ หุ้นที่กำลังจะถูกไล่ราคา และกลายเป็นหุ้นร้อน
3.Diworsification คือ หุ้นที่ซื้อกิจการอื่นๆ อย่างโง่เขลา กระจายความเสี่ยงแบบผิดๆ
4.หุ้นกระซิบ คือ หุ้นผีบอก ที่ไม่มีแหล่งที่มาอย่างน่าเชื่อถือ และไม่แน่ว่าราคาจะวิ่ง ตามที่กระชิบ
5.ระวังพ่อค้าคนกลาง คือ หุ้นที่ค้าขายสินค้า 15-50% แก่ลูกค้าเพียงรายเดียว เป็นสถานการณ์ล่อแหลมมากๆ
6.หุ้นที่มีชื่อน่าตื่นเต้น คือ หุ้นที่มีซื่อน่าสนใจ แต่การวิ่งของราคาอาจไม่น่าสนใจ
การจะเลือกหุ้นสักตัวนั้น จะต้องพิจารณาข้อมูลต่างๆเหล่านี้
PE Ratio ที่ใช้เป็นตัวชี้วัดว่าหุ้นมีราคาสูงเกินไป หรือต่ำเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัท แน่นอน การที่ตลาดหุ้นนั้น มีหุ้นบางตัวที่ PE สูง และราคาสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ในขณะที่หุ้นยังมีหุ้น PE ต่ำมากมายให้เลือก มันไม่ได้แปลว่าตลาดหุ้นไร้สาระ มันแสดงว่านักลงทุนกำลัง “Bet” บริษัทที่กำไรโตกระฉูดในอนาคต อย่าจมกับค่า PE แต่ก็อย่าละเลยมัน
ฐานะเงินสด เป็นตัวเลขที่บอกถึงความมั่งคั่งของบริษัท
ปัจจัยทางด้านหนี้ “หนี้ธนาคาร” เป็นหนี้ที่แย่ที่สุด เมื่อถึงกำหนดจะถูกเรียกคืน ไม่ว่าบริษัทจะอยู่ในสถานะใด แต่ในส่วน “หนี้ระยะยาว” จะอยู่ในรูปแบบพันธบัตรระยะยาว คือหนี้ที่ดีที่สุด เพราะไม่สามารถถูกเรียกคืนได้ ไม่ว่าบริษัทจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด ตราบที่ยังมีการจ่ายดอกเบี้ย มันมักจะมาในรูปแบบ Long Term Bond มันยืดหยุ่นกว่า ให้เวลาบริษัทได้มากกว่า หากเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ยังพอแก้ไขทัน
ปันผล การมีปันผลจะช่วยให้ราคาหุ้นไม่ตกลงมามากเท่ากับหุ้นที่ไม่มีปันผล โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดถล่ม เป็นเหตุผลที่ Peter lynch ชอบเก็บหุ้นแข็งแกร่งหรือหุ้นโตช้าไว้บางตัวในพอร์ต เพราะจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
มูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) หากซื้อหุ้นถูกๆ ควรซิ้อในช่วงที่ มูลค่าทางบัญชีต่ำกว่า 1 แต่ถ้าหากซื้อมากกว่า มูลค่าทางบัญชีมากกว่า 1 แสดงว่าเริ่มซื้อหุ้นตัวนั้นแพงแล้ว
ทรัพย์สินที่ซ่อนไว้เพิ่มเติม กล่าวคือ หากบริษัท มีทรัพย์สินที่ซ่อนไว้ เช่น สิทธิบัตร บ่อน้ำมันใต้ที่อสังหา ล้วนทำให้บริษัทมี ฐานะเงินสดเพิ่มขึ้น ตามมูลค่าสินทรัพย์ที่ซ่อนไว้
กระแสเงินสด Cash Flow หุ้นที่มีกระแสเงินสดที่ดี ไม่ต้องลงทุนบ่อยๆ ย่อมดีกว่า
สินค้าคงคลัง สำหรับบริษัทผู้ผลิตหรือค้าปลีก เมื่อสต๊อกสินค้าเพิ่มมากขึ้นเร็วกว่ายอดขาย คือสัญญาณอันตราย เช่น ยอดขายเพิ่ม 10% แต่ inventory เพิ่ม 30% มันอาจหมายความว่า ในปีต่อๆไป ของใหม่ที่ผลิตออกมาจะแข่งขันกับของเก่าและสต๊อกก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีกจนมันถูกบังคับให้ต้องลดราคา และแปลว่ากำไรจะน้อยลง
อัตราการเจริญเติบโต กล่าวถึงบริษัทที่สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้น สิ่งของที่อยู่ไกล้ตัวเรา ยกตัวอย่าง Philip Morris ผู้ผลิตบุหรี่ Marlboro ได้ลดต้นทุนโดยใช้เครื่องมวนบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง ในระหว่างนั้นอุตสาหกรรมได้ขึ้นราคาบุหรี่ทุกปี หากต้นทุนเพิ่ม 4% เขาสามารถเพิ่มราคาขาย 6% ซึ่งทำให้ Margin เพิ่ม 2% ดังนั้น การเพิ่ม Margin 2% หมายถึงกำไรที่เพิ่มขึ้น 20%
เขาได้กล่าวเพิ่มเติม ถึง ข่าวลือ! มีน้ำหนักกว่าเอกสารเผยแพร่ของบริษัท มันเป็นกฎของคำประกาศิตเก่าๆ ที่กำลังทำงานนั่นก็คือ ยิ่งแหล่งข้อมูลลึกลับเท่าไร คนก็จะยิ่งเชื่อมากเท่านั้น
ส่วนที่ 3
ส่วนที่3 หลังจากที่ได้อธิบายเทคนิคการเลือกซื้อหุ้นไปแล้ว เนื้อหาถัดจากนี้จะเป็นการกล่าวถึง การออกแบบพอร์ตลงทุน จับจังหวะซื้อขาย และได้ตั้งชื่อส่วนนี้ว่า “ภาพระยะยาว”
จากประสบการณ์ของ Peter lynch ได้อธิบายแนวคิดในการบริหารจัดการ โดยไม่คาดหวังสูง การคาดหวังจะทำเงินจากหุ้นในอัตราปีละ 25-30% ทุกปีนั้น มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ควรคาดหวังผลตอบแทน ให้สูงกว่าการลงทุนในธนบัตร และพอร์ตหุ้นของนักลงทุนจำเป็นต้อง กระจายความเสี่ยง โดยแบ่งเงินลงในหุ้นหลายๆกลุ่ม เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความเสียหายเมื่อเกิดวิกฤติ
เพื่อไม่ให้ฟังดูเหมือนกับเป็นนักคาดการณ์ตลาด เวลาที่ดีที่สุดที่จะซื้อหุ้นก็คือวันที่คุณเชื่อว่าคุณได้พบกับสินค้าที่มั่นคงในราคาถูก นอกจากนั้น จะมี 2 ช่วงเวลาที่เหมาะกับการซื้อหุ้น ได้แก่
ช่วงแรก คือ ในระหว่างเวลาสิ้นปีภาษีที่มีการขายหุ้นที่ขาดทุนเพื่อไปลดหย่อนภาษี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่การตกต่ำหนักที่สุดส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในระหว่างเดือนตุลาคม – ธันวาคม
ช่วงสอง ก็คือช่วงที่ตลาดหุ้นร่วงถล่มทลาย ดัชนีร่วงลงมาแบบไม่มีแนวรับ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นทุกๆ 3-4 ปี ถ้าหากคุณบังคับจิตใจตนเอง ให้มีความกล้า เมื่อคนอื่นกลัว
ขายหุ้นเมื่อไหร่
เขาอธิบายว่า เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปอย่างร้อนแรงอย่างไม่มีเหตุผล และเมื่อตรวจสอบพื้นฐานและกิจการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงจำป็นต้องขาย แม้ว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องก็ตาม ตลาดไม่สามารถบอกคุณได้ว่าจะขายเมื่อไหร่ การขายหุ้น “ไม่มีสูตรสำเร็จ” แต่ให้คิดเวลาขายหุ้น ให้เหมือนกับเวลาซื้อ ส่วนตัวเขาไม่ให้ความสนใจกับภาวะเศรษฐกิจ ยกเว้นบางสถานการณ์ที่ชัดมากๆ
Peter Lynch ได้สรุปปัจจัยในการขายหุ้น ดังนี้
ขายหุ้นโตช้าเมื่อไหร่
- สูญเสียส่วนแบ่งตลาด 2 ปีติดต่อกัน
- ไม่มี R&D กำลังกินบุญเก่า
- ราคาหุ้นตกต่ำ ปันผลไม่สูงพอ
ขายหุ้นแข็งแกร่งเมื่อไหร่
- ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ออกมาในช่วงสองปี ไม่ประสบความสำเร็จ
- บริษัทกำลังโต ด้วยการลดต้นทุน
ขายหุ้นโตเร็วเมื่อไหร่
- ช่วงท้ายของหุ้นโตเร็ว PE จะสูงแบบไม่น่าเชื่อ เช่น 50 60 เท่า
ขายหุ้นฟื้นตัวเมื่อไหร่
- เมื่อปัญหาทุกอย่างถูกจัดการและคนรู้ว่ามันกลับมาแล้ว บริษัทกลับมาเป็นแบบเดิมก่อนที่มันจะล้มเหลว คนไม่กลัวหุ้นตัวนี้แล้ว หุ้นฟื้นตัวจะถูกจัดกลุ่มใหม่ ถ้าคุณซื้อมันเพราะต้องการหุ้นฟื้นตัว คุณก็ต้องขายเมื่อมันฟื้นตัวสำเร็จแล้ว แต่หากหลังฟื้นตัวแล้วมันเป็นหุ้นในกลุ่มที่คุณชอบ ก็ถือต่อ
ขายหุ้นทรัพย์สินมากเมื่อไหร่
- ถ้าบริษัทมีสินทรัพย์ซ่อนอยู่จริง และไม่ก่อหนี้ขึ้นมามากจนลดมูลค่าทรัพย์สิน ก็รอให้นักล่ากิจการเข้ามาจัดการ ดังนั้นคุณจะขายก็ต่อเมื่อมีคนมาเทคโอเวอร์นั่นเอง เพราะราคามันจะพุ่งถึง 2-4 เท่า
สรุป
เป็นอีกหนังสือที่อธิบายหลักการคัดเลือกหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน ที่ถูกถ่ายทอดโดยปรัมจารย์ Peter Lynch ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แม้จะอ่านยากไปหน่อย แต่ถ้าทำความเข้าใจ จะพบว่าเนื้อหาหลักๆ ประกอบด้วย การทำความเข้าใจตัวเอง การยอมรับความเสี่ยง และไฮไลท์ของหนังสือเล่มนี้คือ การคัดเลือกหุ้น วิธีการจัดพอร์ต ช่วงจังหวะการซื้อขายหุ้น ที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดประสบการณ์ ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจ และ ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์ และนำไปประยุกต์ เกิดเป็นสไตล์ การลงทุนของตัวเองได้
Writer: ชายโขง
สั่งซื้อหนังสือ “เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up on Wall Street)” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก