ตลาดผู้ขายน้อยราย หรือ Oligopoly เป็นโครงสร้างตลาดที่มีความซับซ้อนและน่าสนใจในทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition) ตลาดผู้ขายน้อยรายมีลักษณะเด่นคือมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดที่สูงกว่าและมีจำนวนผู้ขายน้อยราย นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างที่สำคัญคือการที่ธุรกิจในตลาดมีการพึ่งพาอาศัยกัน (Interdependence) ทำให้การเปลี่ยนแปลงราคาของธุรกิจหนึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นในตลาด และมักนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงราคาตามกัน
แบบจำลองการกำหนดราคาในตลาดผู้ขายน้อยราย
ด้วยความซับซ้อนของการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างธุรกิจ ทำให้การวิเคราะห์การกำหนดราคาและกำไรในตลาดผู้ขายน้อยรายต้องอาศัยแบบจำลองที่หลากหลาย โดยแต่ละแบบจำลองมีข้อสมมติที่แตกต่างกัน ดังนี้:
แบบจำลองเส้นอุปสงค์โค้งงอ (Kinked Demand Curve Model)
แบบจำลองเส้นอุปสงค์โค้งงอเป็นแบบจำลองที่อธิบายพฤติกรรมการกำหนดราคาในตลาดผู้ขายน้อยราย โดยมีสมมติฐานสำคัญว่าคู่แข่งจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของธุรกิจแตกต่างกันระหว่างการขึ้นราคาและการลดราคา เมื่อธุรกิจใดขึ้นราคา คู่แข่งจะไม่ปรับราคาตาม ส่งผลให้ธุรกิจที่ขึ้นราคาสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าจะหันไปซื้อสินค้าจากคู่แข่งที่ราคาต่ำกว่า ในทางตรงกันข้าม เมื่อธุรกิจใดลดราคา คู่แข่งจะรีบลดราคาตามทันที ทำให้ธุรกิจที่ลดราคาไม่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากนัก ยอดขายจึงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
Source: https://www.economicsonline.co.uk/definitions/kinked-demand-curve.html/
ลักษณะการตอบสนองที่แตกต่างกันนี้ทำให้เส้นอุปสงค์ที่ธุรกิจเผชิญมีลักษณะโค้งงอที่ระดับราคา Pk โดยส่วนบนของเส้นอุปสงค์มีความยืดหยุ่นมากกว่า (แบนกว่า) เพราะการขึ้นราคาทำให้ยอดขายลดลงมาก ส่วนล่างของเส้นอุปสงค์มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า (ชันกว่า) เพราะการลดราคาทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงราคาจากระดับ Pk เพราะทั้งการขึ้นราคาและลดราคาล้วนทำให้กำไรลดลง ราคา Pk จึงเป็นระดับราคาที่มีเสถียรภาพในตลาด
แบบจำลอง Cournot (Cournot Model)
แบบจำลอง Cournot เป็นแบบจำลองดั้งเดิมที่ใช้วิเคราะห์การแข่งขันในตลาดผู้ขายน้อยราย โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้ขายสองราย (Duopoly) แบบจำลองนี้มีสมมติฐานว่าผู้ขายแต่ละรายตัดสินใจเลือกปริมาณการผลิตพร้อมกัน โดยไม่มีการสื่อสารหรือร่วมมือกัน แต่ละรายจะคาดการณ์การตอบสนองของคู่แข่งจากข้อมูลการตัดสินใจในอดีต การตัดสินใจของแต่ละรายจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับการตัดสินใจของคู่แข่ง
Source: https://open.oregonstate.education/intermediatemicroeconomics/chapter/module-18/
ภายใต้แบบจำลอง Cournot เมื่อผู้ขายมีโครงสร้างต้นทุนที่เหมือนกัน จุดสมดุลจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองบริษัทผลิตในปริมาณเท่ากันและตั้งราคาเท่ากัน ทำให้แต่ละรายมีส่วนแบ่งตลาดเท่ากัน ราคาที่เกิดขึ้นจะอยู่ระหว่างราคาในตลาดแข่งขันสมบูรณ์และราคาในตลาดผูกขาด โดยสูงกว่าราคาในตลาดแข่งขันสมบูรณ์แต่ต่ำกว่าราคาในตลาดผูกขาด ส่งผลให้ธุรกิจได้รับกำไรในระดับปานกลาง
แบบจำลองสมดุลแบบแนช (Nash Equilibrium)
แบบจำลองสมดุลแบบแนชเป็นแนวคิดที่พัฒนาโดย John Nash เพื่ออธิบายจุดสมดุลในสถานการณ์ที่มีการแข่งขัน โดยเน้นการวิเคราะห์การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้แข่งขันแต่ละราย แบบจำลองนี้พิจารณาว่าผู้ขายแต่ละรายจะเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง โดยคำนึงถึงการตอบสนองที่เป็นไปได้ของคู่แข่ง จุดสมดุลแบบแนชจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีผู้ขายรายใดได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ฝ่ายเดียว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีที่ธุรกิจสองรายต้องเลือกระหว่างการตั้งราคาสูงหรือราคาต่ำ หากทั้งคู่ตั้งราคาสูง ธุรกิจ A จะได้กำไร 1,000 และธุรกิจ B ได้ 600 แต่ธุรกิจ B มีแรงจูงใจที่จะลดราคาเพื่อเพิ่มกำไรเป็น 700 ในขณะที่ธุรกิจ A ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านอกจากคงราคาสูงไว้ จุดสมดุลแบบแนชในกรณีนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจ A ตั้งราคาสูงและธุรกิจ B ตั้งราคาต่ำ
แบบจำลองผู้นำตลาด Stackelberg (Stackelberg Model)
แบบจำลอง Stackelberg อธิบายตลาดที่มีผู้นำชัดเจนและมีผู้ตามหลายราย โดยผู้นำตลาดมักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนต่ำกว่าและมีอำนาจตลาดสูง ผู้นำจะเป็นฝ่ายกำหนดราคาหรือปริมาณการผลิตก่อน จากนั้นผู้ตามซึ่งมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าและต้นทุนสูงกว่าจะต้องปรับตัวตามการตัดสินใจของผู้นำ ในระยะสั้น ผู้นำสามารถกำหนดราคาที่สูงกว่าต้นทุนได้ ในขณะที่ผู้ตามต้องยอมรับราคาตลาด ทำให้ผู้นำได้รับกำไรสูงกว่าผู้ตาม
Source: https://inomics.com/terms/stackelberg-competition-1526239
ในระยะยาว หากผู้ตามพยายามลดราคาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ผู้นำจะตอบโต้ด้วยการลดราคาเช่นกัน เนื่องจากผู้นำมีต้นทุนที่ต่ำกว่า การตอบโต้นี้จะทำให้ผู้ตามประสบปัญหาขาดทุนและอาจต้องลดการผลิตหรือออกจากตลาดในที่สุด ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของผู้นำเพิ่มขึ้นและมีอำนาจตลาดมากขึ้นไปอีก แบบจำลองนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบของการเป็นผู้นำตลาดและความยากลำบากในการแข่งขันของผู้ตาม
การร่วมมือกันทางธุรกิจและการฮั้ว (Collusion)
ในตลาดผู้ขายน้อยราย ธุรกิจอาจร่วมมือกันเพื่อเพิ่มกำไรรวม เช่น การตกลงกำหนดราคาหรือปริมาณการผลิต อย่างไรก็ตาม การร่วมมือลักษณะนี้มักผิดกฎหมายในหลายประเทศเพราะลดการแข่งขันและส่งผลเสียต่อผู้บริโภค ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกลุ่ม OPEC ที่สมาชิกตกลงจำกัดการผลิตน้ำมันเพื่อรักษาระดับราคา แม้บางครั้งสมาชิกอาจ “โกง” โดยผลิตเกินโควตาที่ตกลงกัน
การร่วมมือกันจะประสบความสำเร็จมากขึ้นภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้:
- มีจำนวนธุรกิจน้อยราย
- สินค้ามีความคล้ายคลึงกัน
- โครงสร้างต้นทุนใกล้เคียงกัน
- การซื้อขายมีมูลค่าไม่สูงและเกิดขึ้นบ่อย
- มีการตอบโต้ที่รุนแรงและแน่นอนหากมีการโกง
- มีการแข่งขันจากภายนอกกลุ่มน้อย
แบบจำลองธุรกิจผู้นำตลาด (Dominant Firm Model)
ในบางตลาด อาจมีธุรกิจหนึ่งที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากเนื่องจากมีขนาดใหญ่และต้นทุนต่ำกว่า ธุรกิจนี้จะเป็นผู้กำหนดราคาตลาด โดยธุรกิจอื่นๆ จะยอมรับราคานี้เป็นผู้ตาม หากผู้ตามลดราคาในระยะสั้น ผู้นำตลาดจะตอบโต้ด้วยการลดราคา ส่งผลให้ผู้ตามต้องลดการผลิตหรือออกจากตลาดในระยะยาว
สรุป
ตลาดผู้ขายน้อยรายมีลักษณะเฉพาะคือการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างธุรกิจ ทำให้การตัดสินใจด้านราคาและปริมาณการผลิตต้องคำนึงถึงการตอบสนองของคู่แข่ง ราคาในตลาดจะอยู่ระหว่างระดับที่เกิดจากการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์ (ซึ่งให้กำไรรวมสูงสุด) และระดับราคาในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (ซึ่งทำให้กำไรทางเศรษฐศาสตร์เป็นศูนย์ในระยะยาว) ความซับซ้อนของตลาดนี้ทำให้ต้องใช้แบบจำลองหลายรูปแบบในการวิเคราะห์พฤติกรรมของธุรกิจ