ในยุคที่เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลาย ๆ ด้าน หนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ทำให้บล็อกเชนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ “โหนด” (Node) โหนดคือคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายบล็อกเชน และมันทำหน้าที่ในการตรวจสอบ การยืนยันธุรกรรม และช่วยรักษาความปลอดภัยของระบบบล็อกเชน

สิ่งที่ทำให้โหนดมีความสำคัญในระบบบล็อกเชนก็คือการที่ระบบบล็อกเชนเป็นระบบ กระจายอำนาจ (Decentralized) ซึ่งหมายความว่าไม่มีตัวกลางในการควบคุมหรือจัดการเครือข่าย ทุก ๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้นจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยโหนดต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันในเครือข่าย ดังนั้นโหนดจึงเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนการทำงานของบล็อกเชนไปข้างหน้า

การเชื่อมโยงและการกระจายข้อมูล

โหนดทำงานในรูปแบบของ ระบบ Peer-to-Peer (P2P) ซึ่งช่วยให้แต่ละโหนดสามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง หรือผู้ดูแลเครือข่าย เช่นเดียวกับการทำธุรกรรมในบล็อกเชนที่เป็นแบบ “เพียร์ทูเพียร์” หรือการส่งข้อมูลจากผู้ใช้หนึ่งไปยังผู้ใช้อีกคนหนึ่งโดยตรง ซึ่งทำให้ระบบบล็อกเชนมีความโปร่งใส ปลอดภัย และไร้การควบคุมจากบุคคลที่สาม

การทำงานของโหนดในบล็อกเชนสามารถแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน เช่น

  1. การตรวจสอบธุรกรรม – โหนดทำหน้าที่ตรวจสอบว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องตามข้อกำหนดของบล็อกเชนหรือไม่ เช่น การตรวจสอบว่าเจ้าของบัญชีมีจำนวนเงินเพียงพอในการทำธุรกรรม
  2. การบันทึกข้อมูล – โหนดทำหน้าที่ในการบันทึกธุรกรรมเหล่านั้นในบล็อกเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ในอนาคต
  3. การแพร่กระจายข้อมูล – เมื่อมีการเพิ่มบล็อกใหม่ลงในระบบ บล็อกเชนจะถูกกระจายไปยังโหนดทั้งหมดในเครือข่ายเพื่อให้ข้อมูลในเครือข่ายทุกโหนดได้รับการอัพเดต
  4. การรักษาความปลอดภัย – โหนดช่วยในการป้องกันการโจมตีหรือการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น การใช้จ่ายเงินซ้ำซ้อน (Double Spending)

ประเภทของโหนดในระบบบล็อกเชน (Types of Blockchain Nodes)

โหนดในระบบบล็อกเชนสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับบทบาทและการทำงานในเครือข่าย โดยหลัก ๆ จะมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ Full Node และ Light Node

1. Full Node

โหนดประเภทนี้จะเก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดของบล็อกเชนตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า Full Node จำเป็นต้องมีพื้นที่เก็บข้อมูลที่สูงมากเพื่อเก็บข้อมูลของทุก ๆ บล็อกที่ถูกเพิ่มเข้าไปในระบบ

Full Node ยังสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทย่อย ๆ เช่น

  • Archival Full Node
    โหนดนี้จะเก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดและรักษาข้อมูลทั้งเครือข่ายไว้ โดยจะมีสิทธิในการตรวจสอบธุรกรรมและสามารถลงคะแนนในการตัดสินใจที่สำคัญในเครือข่าย
  • Mining Node
    โหนดประเภทนี้มีบทบาทในการขุด (Mining) โดยใช้ระบบ Proof of Work (PoW) เพื่อยืนยันธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ โดยนักขุดจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญดิจิทัลที่เป็นผลตอบแทน
  • Authority Node
    ใช้ในระบบบล็อกเชนที่เป็นการควบคุมแบบรวมศูนย์ (Centralized) เช่น Delegated Proof of Stake (DPoS) ซึ่งในระบบนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าใครจะได้รับสิทธิในการตรวจสอบความถูกต้องของบล็อก ส่วนมากมักเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ
  • Master Node
    คล้ายกับ Full Node แต่จะไม่สามารถเพิ่มบล็อกใหม่ในระบบได้ โดยมันจะทำหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมและเก็บบันทึกข้อมูลภายในเครือข่าย และสามารถได้รับรางวัลจากการให้บริการในระบบ
  • Staking Node
    ใช้ระบบ Proof of Stake (PoS) ในการตรวจสอบธุรกรรม โดยผู้ถือเหรียญสามารถฝากเหรียญในระบบเพื่อรับผลตอบแทนจากการร่วมในกระบวนการสร้างบล็อกใหม่

2. Light Node

Light Node หรือ SPV Node (Simple Payment Verification) เป็นโหนดที่เก็บข้อมูลธุรกรรมเพียงบางส่วนเท่านั้น และจะดึงข้อมูลจาก Full Node อื่น ๆ ผ่านกระบวนการตรวจสอบธุรกรรมที่จำเป็น เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม โดยไม่ต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดของบล็อกเชน ทำให้มีข้อได้เปรียบในเรื่องของการใช้พื้นที่เก็บข้อมูล

Light Node มักจะเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของบล็อกเชน แต่ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ทำไมโหนดถึงสำคัญในระบบบล็อกเชน?

เนื่องจากบล็อกเชนเป็นระบบที่ไม่มีตัวกลางหรือหน่วยงานกลางในการควบคุม โหนดจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของข้อมูลในระบบ ด้วยการตรวจสอบการทำธุรกรรมและการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลในระบบบล็อกเชน การกระจายโหนดที่มากขึ้นในเครือข่ายจะช่วยเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยให้กับระบบ

รายได้จากการรัน Mining Node

สำหรับหลายคนที่สนใจจะเข้าร่วมการขุดเหรียญในระบบบล็อกเชน การรัน Mining Node ยังสามารถทำให้ได้รับผลตอบแทนในรูปของเหรียญดิจิทัลได้ อย่างไรก็ตาม การขุดเหรียญในปัจจุบันต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและการใช้พลังงานมาก จึงทำให้การขุดในบางบล็อกเชน เช่น Bitcoin อาจจะไม่คุ้มค่าในด้านผลตอบแทนสำหรับผู้ที่ขุดเพียงลำพัง แต่ในเครือข่ายอื่น ๆ ที่ใช้ระบบ Proof of Stake หรือการขุดร่วม (Mining Pool) ก็ยังมีโอกาสในการได้รับรางวัลจากการขุดเหรียญ

สรุป

โหนดเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบบล็อกเชนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โหนดทุกตัวทำหน้าที่ในการตรวจสอบธุรกรรม บันทึกข้อมูล และรักษาความปลอดภัยของระบบ เครือข่ายบล็อกเชนมีโหนดหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทมีบทบาทแตกต่างกัน เช่น Full Node, Light Node และ Mining Node ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการสร้างรายได้และการบำรุงรักษาเครือข่ายในรูปแบบต่าง ๆ

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโหนดในระบบบล็อกเชนไม่เพียงแต่ช่วยให้เรารู้จักวิธีการทำงานของเทคโนโลยีนี้ได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุนและการใช้งานบล็อกเชนในทางปฏิบัติ