7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา

สรุปหนังสือ MANIFEST

7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา

จิตดลบันดาล (Manifesting) คือความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปรารถนา เป็นความสามารถในการดึงดูดสิ่งใดก็ตาม ที่ปรารถนาให้เข้ามาในชีวิต ให้ความรู้สึกเหมือนเวทมนต์ และทุกคนคือนักมายากล จิตดลบันดาลเป็นยิ่งกว่ากระแสนิยมมากนัก จิตดลบันดาลคือการหลอมรวมของวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญา มันคือปรัชญาการใช้ชีวิตและแนวปฏิบัติ ในการพัฒนาตนเองที่ช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด

จิตดลบันดาลไม่ใช่แนวคิดใหม่ วิลเลียม วอล์กเกอร์ แอตคินสัน นำเสนอแนวคิดนี้ไว้ในการสั่นสะเทือนความคิด หรือกฎแห่งแรงดึงดูดในโลกของความคิด (Thought Vibration or The Law of Attraction in the Thought World) ตั้งแต่เมื่อปี 1906 และนิยามหนึ่งของจิตดลบันดาลคือสิ่งที่นักข่าว นโปเลียน ฮิลล์ เขียนไว้เมื่อปี 1937 ในคิดให้รวย (Think & Grow Rich) ว่าคนเราคือผู้กุมชะตาชีวิตของตนเอง สามารถส่งอิทธิพล ชี้นำ และควบคุมบริบทแวดล้อมของตัวเองได้ สามารถทำให้ชีวิตเป็นดั่งที่ปรารถนาให้เป็นได้

นับตั้งแต่นั้นนักปรัชญาและนักคิดผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ก็ได้เขียนถึงพลังแห่งจิตดลบันดาลโดยกูรูที่มีทั้ง หลุยส์ เฮย์, เอ็บราฮัม ฮิกส์, เวยน์ ไดเยอร์, เอ็กฮาร์ต ทอลล์, โอปราห์ วินฟรีย์ และ ดร.โจ ดิสเปนซา คนเหล่านี้รู้จิตดลบันดาลว่าได้ผลจริง

ศาสตร์แห่งจิตดลบันดาล ควอนตั้มฟิสิกส์สอนว่า ทุกอย่างในจักรวาลประกอบด้วยพลังงาน ตัวเราเกิดจากพลังงาน เก้าอี้ที่นั่งคือพลังงาน ท้องฟ้าเบื้องบนก็คือพลังงานเช่นกัน พูดอีกนัยหนึ่ง สสารทางกายภาพทั้งหมดคือพลังงาน ตัวแบ่งแยกความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ คือคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน และความหนาแน่นของอะตอมที่เป็นส่วนประกอบ ความถี่ในการสั่นสะเทือน อาจสูงต่ำหรืออยู่ระหว่างนั้น กฎแห่งแรงดึงดูดระบุว่า สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดกัน นั่นหมายความว่า คลื่นความถี่สูงจะดึงดูดคลื่นความถี่สูงเข้าหาตัว ขณะที่คลื่นความถี่ต่ำจะดึงดูดคลื่นความถี่ต่ำเข้าหาตัวเช่นกัน

ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกล้วนประกอบด้วยพลังงาน และความรู้สึกที่แตกต่างกัน มีคลื่นความถี่ต่างกัน เวลาเปลี่ยนความคิดก็จะเปลี่ยนความรู้สึกและอารมณ์ไปด้วย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนคลื่นความถี่ทั้งหมด จากนั้นก็จะดึงดูดคลื่นความถี่ที่ส่งออกไปกลับมา ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนความคิดซึ่งส่งผลให้อารมณ์ความรู้สึกเปลี่ยนตามย่อมสามารถเปลี่ยนคลื่นความถี่ และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนความเป็นจริงได้ คำว่าไฮไวบ์และโลว์ไวบ์หมายถึง คลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนที่สูงหรือต่ำ หรือหมายถึงความรู้สึกในแง่ดีและในแง่ลบด้วย

ศาสตร์แห่งจิตดลบันดาลได้ผลในด้านอื่นด้วยนั่นคือ ในแง่ประสาทวิทยามากกว่าในแง่ควอนตัมฟิสิกส์ โดยมีแนวคิดว่าสามารถใช้ความยืดหยุ่นของสมอง ความสามารถของสมองในการเปลี่ยนแปลง และสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ผ่านการเติบโต เรียนรู้ และประสบการณ์ เพิ่มการเห็นคุณค่าในตนเอง และขจัดความเชื่อที่บั่นทอนจากจิตใต้สำนึก

จักรวาลคือเจ้าของพลังและเวทมนต์เบื้องหลังจิตดลบันดาล จักรวาลมีอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าการตระหนักรู้อย่างมีสัมปชัญญะของมนุษย์ มันคือแรงอันทรงพลังที่จะเก็บอยู่ภายในความอุดมสมบูรณ์อันไร้ขีดจำกัดของโลก

ขั้นตอนที่ 1

มองภาพให้ชัดเจน

ขั้นตอนแรกของเส้นทางจิตดลบันดาลใด ๆ ก็คือ การมองภาพให้ชัดเจน คนเราไม่อาจไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปไหน ดังนั้น ก่อนทำอะไรทั้งหมด จำเป็นต้องมีความกระจ่างชัดว่าประสงค์ให้จักรวาลมอบสิ่งใดให้ การรู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ จากนั้นก็นึกภาพมันออกมาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อจิตดลบันดาล เวลาสร้างประสบการณ์หนึ่งขึ้นในใจ สมองจะตอบสนองราวกับสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ระบบประสาทเตรียมที่จะสู้หรือหนี และจะหลั่งฮอร์โมนเครียดออกมา ซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ลมหายใจถี่กระชั้น และแรงดันโลหิตสูงขึ้น

การจินตนาการสถานการณ์ตึงเครียดในใจ ส่งผลให้เกิดความเครียดทางสรีรวิทยาขึ้นจริง ๆ ในทางตรงข้าม ถ้าจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่สงบและสันติ สมองจะสั่งการให้ระบบประสาทอยู่ในความสงบ และบอกให้ร่างกายผ่อนคลาย ดังนั้น เวลานึกภาพตัวเองได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่ปรารถนาที่สุด จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ที่เปลี่ยนคลื่นความถี่ทางพลังงานได้ อันเป็นตัวกำหนดว่าจะดึงดูดอะไรเข้าสู่ชีวิตตามกฎแห่งแรงดึงดูดต่อไป เมื่อเริ่มนึกภาพสิ่งที่ต้องการเป็นประจำ สมองจะตอบสนองด้วยการปรับรูปแบบพฤติกรรม และการตีความบริบทแวดล้อมให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่จินตนาการไว้ ยิ่งการนึกภาพละเอียดถี่ถ้วนมากเท่าไหร่ จะยิ่งรู้สึกว่ามันจริงและทรงพลังมากเท่านั้น

จงออกแบบความฝันให้เฉพาะเจาะจงเท่าที่จะทำได้ การนึกภาพกว้าง ๆ อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ยิ่งใส่รายละเอียดและยิ่งเฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ ภาพที่นึกออกมาจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ความลับที่แท้จริงของการนึกภาพให้มีประสิทธิภาพคือ การทำความเข้าใจว่า ลำพังแค่เห็นสิ่งที่ต้องการในสมองยังไม่พอ การนึกภาพให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างจิตดลบันดาล จะเป็นไปได้ต่อเมื่อดำดิ่งในความรู้สึกที่ได้ถือครองสิ่งนั้น จำไว้ว่าคนเราดึงดูดสิ่งที่รู้สึกต่อเมื่อเห็นภาพสิ่งที่ต้องการ และสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ในการถือครองสิ่งนั้นเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนคลื่นความถี่ของตัวเองได้ ดังนั้น เวลานึกภาพบ้านในฝัน ต้องนึกว่าจะรู้สึกอย่างไร ที่ได้อยู่ในบ้านหลังนั้นจริง ๆ ด้วย

บางคนอาจคิดว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากใช้จิตดลบันดาลอะไร และรู้สึกว่าการนึกภาพสิ่งที่ต้องการอย่างเฉพาะเจาะจงมันยากมาก อาจไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร อยากใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน หรืออยากให้ชีวิตเป็นอย่างไรในอีก 1 ปีจากนี้ อาจอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ที่กำลังมองหาการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่รู้จักก้าวไปในทิศทางใด อาจรู้สึกหลงไร้ทิศทางหรือหาทางออกในชีวิตไม่เจอ ขอให้จดจ่อแค่กับการนึกภาพความรู้สึกที่ปรารถนาเท่านั้น ตัวอย่างเช่น อาจจะอยากให้จิตดลบันดาลความรู้สึกของการเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น พอใจในตัวเองมากขึ้น มีใจรักมากขึ้น มีพลังขับเคลื่อนมากขึ้น อยู่ในห้วงรักมากขึ้น สุขสงบขึ้น สามารถใช้จิตดลบันดาลความรู้สึกเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน

ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะได้จากจิตดลบันดาล ไม่ใช่การช่วยให้ดึงดูดสิ่งต่าง ๆ มาครอบครอง แต่คือการช่วยให้ปลดปล่อยตัวตนที่จริงแท้ที่สุด เปี่ยมพลังที่สุด รักตัวเองที่สุด และยอดเยี่ยมอย่างที่สุดที่มีอยู่ออกมา เมื่อพอรู้แล้วว่าอยากไปสู่จุดหมายใด อยากเป็นคนแบบไหน และอยากใช้จิตดลบันดาลอะไรให้เป็นจริง ก็สร้างวิชั่นบอร์ด (Vision Board) วิชั่นบอร์ดคือตัวแทนที่เป็นรูปธรรมของชีวิตที่อยากเห็น อยากเป็น หรืออยากมี การทำวิชั่นบอร์ดที่สร้างสรรค์ จะเอื้อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ของสิ่งต่าง ๆ ที่อยากใช้จิตดลบันดาลเข้ามาในชีวิต ขณะเดียวกันก็เสริมมิติอื่น ๆ ในการนึกภาพได้อีกด้วย

การสร้างวิชั่นบอร์ด ในการออกแบบวิชั่นบอร์ดตามสไตล์ของตัวเองมีดังนี้

  1. สร้างบรรยากาศ อาจจะจุดเทียนสัก 2-3 เล่ม เปิดเพลงฟังสบาย ๆ และสร้างบริบทแวดล้อมที่เงียบสงบสำหรับการทำสมาธิ ให้การทำวิชั่นบอร์ดเป็นกิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่เพลิดเพลินและดื่มด่ำได้
  2. เลือกสื่อ โดยใช้กระดาษหรือการ์ดแผ่นใหญ่ ปากกาหลากสี หรือจะใช้ภาพแทนก็ได้ เลือกอะไรก็ตามที่รู้สึกว่าดีที่สุด จำไว้แค่ว่าให้สนุกกับมันก็พอ
  3. กำหนดกรอบเวลา ด้านบนสุดของแผ่นกระดาษเขียนวันเวลาที่อยากใช้จิตดลบันดาลให้ สิ่งที่อยู่ในวิชั่นบอร์ดกลายเป็นจริง อาจทำวิชั่นบอร์ดที่มีกรอบเวลา 6 เดือน 1 ปีหรือกระทั่ง 5 ปีก็ได้
  4. ลงมือทำ ก่อนเริ่มใส่อะไรลงในวิชั่นบอร์ด อย่าลืมดูว่าใส่ความรู้สึกของตัวตนในอนาคตลงไปหรือยัง ลองหยุดสักครู่ สูตรหายใจลึก ๆ สัก 2-3 ครั้ง และวาดภาพตัวเองในอีก 6 เดือน 1 ปีหรือ 5 ปีจากนี้ออกมา สร้างภาพที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในสมอง ขณะถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้

รู้สึกอย่างไรภายในตัวเอง ?

ความสัมพันธ์รอบตัวเป็นอย่างไร ?

อยู่ในบ้านแบบไหน ?

ทำอาชีพอะไร ?

ภูมิใจกับอะไรที่สุด ?

อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต ?

อยากเก็บอะไรไว้เหมือนเดิม ?

ขณะตอบคำถามเหล่านี้ ปล่อยให้ตัวเองมีอิสระอย่างเต็มที่ในความฝัน ความปรารถนา และความต้องการต่าง ๆ ปล่อยให้ตัวตนในอนาคตได้มีชีวิตอย่างแท้จริง ขณะที่ดำดิ่งลงในภาพฝันนั้น

  1. แยกชีวิตออกเป็นส่วน ๆ แบ่งวิชั่นบอร์ดออกเป็น 6 ส่วนดังนี้

1.การพัฒนาส่วนตัว เช่น การเติบโตของตัวเอง สิ่งที่ปรารถนาจะรู้สึกกับตนเอง

2.ความรักและความสัมพันธ์

3.หน้าที่การงาน

4.เพื่อนและครอบครัว

5.บ้าน/ที่อยู่

6.งานอดิเรก/สิ่งบันเทิง

  1. ออกแบบชีวิตสำหรับแต่ละส่วน ให้เขียนทุกสิ่งที่อยากใช้จิตดลบันดาลลงไป ใช้ภาพตัดแปะ เช่น ภาพบ้านในฝันให้นำไปติดในวิชั่นบอร์ด ใส่อย่างน้อย 3 อย่างไว้ในแต่ละส่วน แต่ไม่มีข้อจำกัดว่าจะใส่อะไรมากน้อยเท่าใด
  2. เก็บไว้ให้ดี หลังจากทำวิชั่นบอร์ดเสร็จแล้ว ให้นำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย และตั้งเวลาให้กลับมาดูมันอีกครั้ง ณ วันที่เขียนไว้บนหัวกระดาษ

ขณะที่เริ่มใช้จิตดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ในวิชั่นบอร์ดให้เป็นจริง และเริ่มโอบรับตัวตนที่ปรารถนาจะเป็นมาโดยตลอด ความปรารถนาหรือเป้าหมายอาจเปลี่ยนแปลงหรือขยายตัวออกไป เพราะเมื่อเติบโตขึ้นความฝันจะเติบโตตามไปด้วย ปล่อยตัวตามสบายและยืดหยุ่นกับการนึกภาพอย่างเต็มที่ สามารถกลับไปเพิ่มเติมอะไรบางอย่างในวิชั่นบอร์ด หรือลบอะไรทิ้งได้ตามสบาย จำไว้ว่าเราคือนักออกแบบ ภัณฑารักษ์ และสถาปนิกประจำชีวิต ชึ่งมีพลังที่จะปรับเปลี่ยนและสั่งการว่าอยากให้มันเป็นอย่างไรได้เสมอ

ทุกเช้าวันใหม่ เคารพตัวตนที่เป็น และตัวตนที่ปรารถนาจะเป็น โดยไม่ถูกจำกัดจากอดีต เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกไม่เหมือนเดิม เป็นธรรมดาที่จะอยากได้อะไรต่างไปจากเดิม และเป็นธรรมดาที่จะกลายเป็นคนใหม่ โอบรับมันและยอมให้เวทมนต์แห่งจิตดลบันดาลขับเคลื่อน สู่การกลายเป็นตัวตนที่สูงส่งที่สุดของตัวเอง ทุกวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ลุกขึ้นมาเป็นคนใหม่

เมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางจิตดลบันดาล ให้ใช้เวลาพิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงสิ่งที่ปรารถนา ให้จักรวาลมอบให้ ครุ่นคิดว่าทำไมจึงต้องการสิ่งนั้น และจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้สิ่งนั้นมาครอง ระบุภาพฝันต่าง ๆ เฉพาะเจาะจงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากยังนึกภาพสิ่งที่ต้องการไม่ออก ให้สร้างความรู้สึกขึ้นแทน ฝึกตนเองให้ดำดิ่งในการนึกภาพตัวตนในอนาคตเป็นประจำ จากนั้นก็สนุกกับความฝัน สร้างวิชั่นบอร์ดที่เป็นตัวแทนชีวิตที่ดีที่สุด และยอมให้มันกลายเป็นความจริงในชีวิต ก้าวต่อไปตามขั้นตอนสู่จิตดลบันดาลทั้ง 7 ข้อ

ขั้นตอนที่ 2

ขจัดความกลัวและความกังขา

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตดลบันดาลก็คือ จิตดลบันดาลไม่ได้เกิดจากความคิดที่มีสติสำนึกเท่านั้น จิตดลบันดาลเกิดจากความเชื่อใต้จิตสำนึกถึงสิ่งที่สมควรได้รับ นั่นหมายความว่าใช้จิตดลบันดาลได้เฉพาะสิ่งที่เชื่ออย่างแท้จริงว่า มีค่าควรที่จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้าสู่ชีวิต

จากงานวิจัยมีเพียงร้อยละ 5 ของกิจกรรมที่ต้องใช้การรู้คิดเท่านั้น ที่มาจากสติสำนึก ที่เหลืออีกร้อยละ 95 เกิดจากจิตใต้สำนึก นั่นหมายความว่า ความคิด ปฏิกิริยาการตัดสินใจ การรับรู้ และรูปแบบพฤติกรรมร้อยละ 95 ขับเคลื่อนโดยสมอง ที่ทำงานใต้จิตสำนึก จิตใต้สำนึกมีพลังไม่จำกัด ที่จะผลักดันไปสู่ความฝัน จิตใต้สำนึกมีสิ่งปิดกั้น จิตดลบันดาล 2 ประการนั่นคือความกลัวและความกังขา

ความกลัวและความกังขานั้นมาในรูปของความรู้สึกไม่มั่นใจ ความเชื่อที่บั่นทอน ความรู้สึกไร้ค่า และความไม่ไว้วางใจว่าจักรวาลจะสามารถจัดหาสิ่งต่าง ๆ ให้ได้จริง ๆ ความกลัวและความกังขาบ่อนทำลายความสามารถแห่งจิตดลบันดาล ด้วยการส่งข้อความโดยที่ไม่รู้ตัวไปบอกจักรวาลว่า ไม่มีค่าพอ หรือไม่พร้อมที่จะรับสิ่งต่าง ๆ ที่ปรารถนา ความกลัวและความกังขาทรงพลังมากเสียจน สามารถกันไม่ให้จินตนาการสิ่งที่ต้องการได้ด้วยซ้ำ เมื่ออนุญาตให้ตัวเองฝันเฟื่องได้อย่างเต็มที่ ความกลัวและความกังขาก็ไม่มีที่ให้หลบซ่อนอีกต่อไป การใช้จิตดลบันดาลสิ่งใดก็ตามในชีวิตโดยง่ายดายและมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเชื่อก่อนว่าตัวเรามีค่าควรที่จะได้รับสิ่งนั้น เพื่อที่จะก้าวต่อไปบนเส้นทางจิตดลบันดาล ต้องระบุความกลัวและความกังขาให้ได้ก่อน จากนั้นก็หาวิธีขจัดสิ่งกีดขวางดังกล่าวออกไป เรียกสิ่งนี้ว่าการทำงานภายใน ซึ่งก็คือการพัฒนาตัวเองภาคปฏิบัติ

ระบุความกลัวและความกังขา เวลามองไปยังสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่อยากดึงดูดเข้ามาในชีวิต ต้องยอมเปิดเผยและซื่อสัตย์กับตัวเองก่อน เพื่อที่จะรับรู้ว่าในขณะนี้มีความกลัวและความกังขาใดบ้าง ต่อความสามารถที่จะใช้จิตดลบันดาล เริ่มต้นจากคำถามต่อไปนี้

เชื่ออย่างแท้จริงว่ามีค่าควรกับสิ่งนี้หรือไม่

ไว้วางใจอย่างแท้จริงว่าจะสามารถรับมือสิ่งนี้ได้หรือไม่

เชื่ออย่างแท้จริงว่าสิ่งนี้เป็นไปได้หรือไม่

ตอนนี้มีความไม่มั่นใจใดบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

ความเชื่อที่บั่นทอนใดบ้างกำลังฉุดรั้งอยู่

ลองระบุออกมาให้มากที่สุดและเขียนลงไป

ลองพิจารณาความกลัวและความกังขาที่เพิ่งเขียนลงไป ทำความเข้าใจว่านี่คือความเชื่อที่บั่นทอน และความไม่มั่นใจต่าง ๆ ที่กำลังยื้อยุดไว้จากการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ยิ่งตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้มากเท่าไหร่ มันจะยิ่งมีอำนาจสั่งการน้อยลงเท่านั้น การตระหนักรู้เท่ากับว่าได้เริ่มกระบวนการบำบัดเยียวยาแล้ว

การขจัดความกลัวและความกังขา มีสารพัดวิธีที่จะเริ่มเยียวยาความกลัวและความกังขา นี่คือวิธีการ 4 วิธีที่ทรงพลังเป็นพิเศษ

  1. จัดการความคิด จิตดลบันดาลไม่ได้เกิดจากความคิดในจิตสำนึกเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความเชื่อในจิตใต้สำนึกที่มีต่อสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับด้วย คนส่วนใหญ่มีเสียงในใจที่พูดกับตัวเองด้วยท่าทีค่อนข้างไร้เมตตาตัวเอง โดยจะบอกว่าไม่มีค่า ไม่สมควรมีคนรัก งี่เง่า น่ารังเกียจ น่าเบื่อ และคุณลักษณะอื่น ๆ ที่บั่นทอนจิตใจสารพัดที่จะคิดขึ้นมาได้ เสียงนี้คือการแสดงออกของความกลัวและความกังขาจะรู้สึกง่ายสุด ๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการพูดจาบั่นทอนกับตัวเองนั้นทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติมากเพียงใด ในขณะที่การพูดกับตัวเองด้วยความรักและความเคารพ กลับเป็นเรื่องยากและไม่เป็นธรรมชาติ หากรู้ว่าจิตใต้สำนึกคือตัวขับเคลื่อนไปสู่จิตดลบันดาล ต้องทำให้จิตสำนึกส่งอิทธิพลไปยังความเชื่อใต้จิตสำนึก ต้องป้อนความคิดที่เสริมพลังให้จิตใต้สำนึก เพื่อให้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น และกระตุ้นพลังแห่งจิตดลบันดาล

หากอยากขจัดวิธีคิดต่าง ๆ ที่บั่นทอน วนซ้ำ และเป็นเชิงลบ ต้องมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และเลือกที่จะหล่อเลี้ยงสมองด้วยความคิดที่เสริมพลังแทนความคิดเชิงลบ มุ่งมั่นทำเช่นนั้นซ้ำ ๆ ให้เหมือนเวลาที่ตั้งใจสร้างนิสัยใหม่อื่น ๆ ให้ตัวเองเลือกความคิดที่ผลักดันไปข้างหน้า แทนความคิดที่ถ่วงรั้งไว้ข้างหลัง

  1. ระวังภาษาที่ใช้ ภาษาที่ใช้ทั้งในใจและที่เอ่ยออกมาส่งตรงไปสู่จิตใต้สำนึก ก็เหมือนความคิดถ้าไม่ได้รับการควบคุมภาษาที่ใช้จะส่งผลเสีย ด้วยการหล่อเลี้ยงความกลัวและความกังขา มีวิธีใช้ภาษาที่เพื่อให้จิตดลบันดาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นอยู่ 2-3 วิธีดังนี้ แทนที่คำว่าถ้าด้วยคำว่าเมื่อ พูดถึงสิ่งที่ต้องการไม่ใช่สิ่งที่ไม่ต้องการ ปรับเปลี่ยนคำพูดอย่างมีสติ จำไว้ว่าจิตใต้สำนึกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจิตดลบันดาล จะเชื่อฟังจิตสำนึกและคอยเงียหูฟังภาษาที่ใช้ ยอมรับคำชม
  2. ท่องมนต์สะกด มนต์สะกดคือคำ ประโยค หรือเสียงที่สามารถพูดซ้ำ ๆ ออกมาดัง ๆ หรือพูดในใจเมื่อใดก็ได้ เพื่อช่วยให้เกิดความตระหนักรู้ ปลดปล่อยความเครียด และยกระดับคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน เวลาพูดถึงการท่องมนต์สะกดในบริบทของจิตดลบันดาลหมายถึง การใช้ประโยคยืนยันเชิงบวก ท่องมนต์สะกดต่าง ๆ เพื่อส่งสารเชิงบวกไปถึงจิตใต้สำนึก และแทนที่ความคิดเชิงลบ การท่องมนต์สะกดจนเป็นกิจวัตร การท่องมนต์สะกดเป็นหนึ่งในเครื่องมือการพัฒนาตัวเอง

วิธีหนึ่งในการใช้มนต์สะกดเขียนโปรแกรมใหม่ ให้ความเชื่อในจิตใต้สำนึกคือ การฟังเสียงยืนยันเชิงบวก (Positive Affirmations) เสียงยืนยันเชิงบวกคือออดิโอคลิปเสียงท่องมนต์สะกดที่ซ้ำวนไปเรื่อย ๆ มักเป็นเสียงคนพูดคลอดนตรีบรรเลงที่ช่วยทำสมาธิ

  1. ฝึกการนึกภาพ เทคนิคนี้มีประโยชน์เป็นพิเศษสำหรับคนที่เสียงในใจดังเกรี้ยวกราดผิดปกติ จนรู้สึกว่ายากที่จะใช้วิธีจัดการความคิดหรือท่องมนต์สะกดได้ การนึกภาพคือเครื่องมือตอกยึดที่อยู่ในกล่องเครื่องมือแห่งจิตดลบันดาล ใช้เทคนิคนี้เพื่อให้ภาพในใจชัดเจน ช่วยขจัดปัดเป่าความกลัวและความกังขา วาดภาพตัวเองในสถานการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้

บ่มเพาะและฝึกฝนการรักตนเอง การรักตนเองคือพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังจิตดลบันดาล ความสามารถที่ใช้จิตดลบันดาลจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด การรักตนเองเสริมพลังให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ไปสู่ความยิ่งใหญ่ และเปิดพื้นที่เพื่อรับความอุดมสมบูรณ์เข้าสู่ชีวิต การรักตนเองบอกจักรวาลว่ามีค่าควรรัก สมควรได้รับความสำเร็จ พร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตในฝัน และนั่นก็คือสิ่งที่พึงได้รับ หากปราศจากการรักตนเองจิตดลบันดาลก็ไม่อาจเกิดขึ้น ไม่มีประโยชน์ที่จะทำวิชั่นบอร์ดและพูดถึงชีวิตที่ใฝ่ฝัน ถ้าหากในแต่ละวันที่ผ่านไปยังคงปฏิบัติต่อตนเองอย่างไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ

เริ่มต้นบ่มเพาะความรักตนเองต้องทำ 3 สิ่งด้วยกัน คือ

  1. มีสติตระหนักรู้ ไม่อาจเลือกอย่างมีสติได้ถ้าหากไม่ตระหนักรู้ถึงทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่เสียก่อน มีทางเลือกอื่นที่ดีต่อตัวเองมากกว่านี้อีกไหม สามารถเลือกเริ่มต้นวันด้วยการฟังเพลง เขียนบันทึก หรือทำโยคะ 10 นาทีแทนได้หรือไม่
  2. เคารพความรู้สึกของตัวเอง สิ่งที่ต้องการในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาเปลี่ยนไปเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดขอเพียงทำให้ดีที่สุด แล้วจะหลีกเลี่ยงการตัดสินตัวเอง การทำร้ายตัวเอง และความเสียใจได้ รักตัวเองหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ตัวเองเป็นมนุษย์ ตระหนักรู้ว่าทุกคนรู้สึกแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และมอบสิ่งที่ต้องการให้ตัวเอง โดยคำนึงถึงสิ่งนั้นเป็นพื้นฐาน
  3. เคารพจุดหมายในวันพรุ่ง ชีวิตแท้จริงเป็นเพียงผลรวมของทางเลือกต่าง ๆ ที่ตัดสินใจลงไป การกระทำที่รักตนเองไม่เพียงใส่ใจสิ่งที่ต้องการในขณะเวลานั้น แต่ยังใส่ใจสิ่งที่ต้องการในอนาคตด้วย การฝึกรักตนเองที่ดีที่สุดคือ การสร้างสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างสิ่งที่ต้องการในวันนี้ กับสิ่งที่ตัวเราในอนาคตจะต้องการในวันพรุ่งด้วย

การให้อภัยและการไม่ตัดสิน กี่ครั้งกี่หนที่ทำความผิด หรือทำเรื่องที่ไม่ภูมิใจนัก และตำหนิตัวเองอยู่หลายวัน หลายสัปดาห์ หรืออาจจะหลายปี นั่นคือการปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในกับดักแห่งอดีต ทำให้คลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนลดต่ำ และเหนี่ยวรั้งไม่ให้ใช้จิตดลบันดาล สิ่งที่ต้องการได้สำเร็จเพื่อเปิดเส้นทางที่ทอดสู่อนาคตที่งดงามที่สุด จะต้องปล่อยวางบางส่วนของอดีตที่ทำให้รู้สึกถึงภาวะอารมณ์โลว์ไวบ์จากความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือความโกรธเหล่านั้น และมอบการให้อภัยและการไม่ตัดสินโดยสมบูรณ์ให้ตัวเองแทน การกระทำเช่นนั้นได้จะต้องยอมรับสัจธรรม 3 ประการนี้ก่อนคือ

  1. ทำดีที่สุด ณ เวลานั้นแล้ว
  2. ได้รับบทเรียนอันมีค่าเสมอจากประสบการณ์ทุกประสบการณ์
  3. ไม่ใช่คนเดิมคนเดียวกับตัวเองในเวลานั้น ได้เติบโต วิวัฒน์ และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนับจากนั้น

ความจริงก็คือด้วยการเรียนรู้จากความผิดพลาด และประสบการณ์ของตนเอง การวิวัฒนาจากสิ่งเหล่านั้นได้ฝึกรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการรักตนเอง นั่นคือการเติบโต ไม่มีการแสดงความรักตนเองแบบใดยิ่งใหญ่เกินไป หรือเล็กน้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำ 1 แก้ว ไปจนถึงการเดินออกจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ทุกสิ่งที่ทำย่อมกำหนดตัวตนในปัจจุบัน และตัวตนในอนาคต

ขั้นตอนที่ 3

ปรับพฤติกรรม

การปรับพฤติกรรมหมายถึง การแสดงให้จักรวาลได้เห็นสิ่งที่เชื่อว่า สมควรได้รับด้วยการลงมือปฏิบัติ เนื่องจากการประพฤติปฏิบัติคือการสะท้อนคุณค่าในตัวเองออกมาโดยตรง การทำตัวเชิงรุกในเส้นทางแห่งจิตดลบันดาล การเป็นพลังงานที่ปรารถนาจะดึงดูดเข้าหาตัว การเดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง การปรับตัวให้เข้ากับตัวตนที่แท้จริงที่สุด เพราะตัวตนนั้นคือตัวตนที่มีแรงดึงดูดที่สุด นี่คือขั้นตอนที่แยกแยะระหว่างกฎแห่งแรงดึงดูดและจิตดลบันดาล

กฎแห่งแรงดึงดูดบอกว่า หากคิดถึงสิ่งใดมากที่สุดก็จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิต แต่นี่อาจสื่อไปถึงการอยู่เฉย ๆ โดยไม่ลงมือทำอะไรในกระบวนการด้วย จิตดลบันดาลไม่ใช่การอยู่เฉย ๆ ไม่อาจแค่มองภาพให้ชัดเจน แล้วก็นั่งรอให้ทุกอย่างปรากฏขึ้นมาได้

จิตดลบันดาลด้วยการลงมือเชิงรุก เพื่อให้จิตดลบันดาลใช้ได้ผล จำเป็นต้องมองภาพให้ชัดเจน รู้ว่าตัวเองมีค่าควรได้รับสิ่งนั้น จากนั้นก็ต้องลงมือเชิงรุกเพื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง การลงมือเชิงรุกต้องอาศัยความไม่หวั่นไหวหวาดกลัว ที่จะทำให้จักรวาลเห็นว่ามีค่าสมควรได้รับและพร้อมแล้ว กี่ครั้งกี่หนที่เจตนาหลบเลี่ยงการลงมือเชิงรุก เพราะกลัวว่าจะล้มเหลว บ่อยครั้งที่การผลัดวันประกันพรุ่งและความหวั่นวิตก ที่จะลงมือทำเกิดจากความกลัวว่าจะล้มเหลว หลีกเลี่ยงไม่ยอมทุ่มเทเพราะการไม่ทำอะไรเลย มันง่ายกว่าการทำแล้วล้มเหลว การลงมือเชิงรุกช่วยให้ก้าวข้ามความกลัวว่าจะล้มเหลวได้

เมื่อใดที่ต้องการใช้จิตดลบันดาลอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นในชีวิต ต้องปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องด้วยการลงมือปฏิบัติและกระทำการเชิงรุก การปรับพฤติกรรมแสดงให้จักรวาลเห็นว่าพร้อมแล้ว ไม่หวาดหวั่น มีค่าควร และจักรวาลจะตอบแทนความไม่หวาดหวั่น และความพร้อมนั้นด้วยความอุดมสมบูรณ์

บางครั้งแค่ต้องพุ่งออกไปอย่างมีศรัทธา และไว้วางใจด้วยเชื่อว่า การลงมือทำในลักษณะสอดคล้องกับแนวทางที่ปรารถนา จะช่วยให้เข้าใกล้การเป็นเช่นนั้นมากขึ้นได้ บางครั้งก็แค่ต้องแกล้งทำมันไปจนกลายเป็นสิ่งนั้น

อยู่กับความอึดอัดขัดข้องอย่างสบายใจ ขณะที่เริ่มปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจิตดลบันดาลและตัวตนในอนาคต สิ่งสำคัญคือการรับรู้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนว่าไม่ทำให้รู้สึกสบายใจเสมอไป อันที่จริงการปรับพฤติกรรม จะเรียกร้องให้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งความอึดอัด จิตใต้สำนึกรู้สึกสบายใจกับสิ่งคุ้นเคย ถึงแม้สิ่งที่คุ้นเคยจะไม่จำเป็นต้องดีเสมอไป นี่เป็นเพราะความคุ้นเคยให้ความรู้สึกปลอดภัย เวลาทำอะไรใหม่ ๆ จะรู้สึกไม่คุ้นเคยไปเสียหมด จะรู้สึกอึดอัดขัดข้อง จนถึงขั้นที่จิตใต้สำนึกจะพยายามสุดความสามารถ เพื่อดึงกลับไปสู่สิ่งที่มันคุ้นเคย เพื่อให้มันรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง และนั่นก็คือเหตุผลว่า ทำไมจึงขัดขวางความสำเร็จของตัวเอง

เมื่อใดก็ตามที่เดินเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง และเริ่มปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสิ่งที่ปรารถนา และดึงดูดเข้าสู่ชีวิต ต้องคาดหวังด้วยว่า จะเผชิญช่วงเวลาแห่งความอึดอัดขัดข้องไปพร้อม ๆ กัน ให้แสดงความมุ่งมั่นอย่างมีสติ ที่จะยอมรับและอดทนให้ได้ ต้องปฏิเสธแรงกระตุ้นที่จะขัดขวางความสำเร็จของตัวเอง และต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในพื้นที่ใหม่ ที่เปลี่ยนพลังนี้ไปจนกว่าจะรู้สึกสบายใจเต็มที่ เพราะเมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยความกลัวและความกังขา จึงจะปลดปล่อยความอุดมสมบูรณ์ทั้งหมดของจักรวาลได้

เดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเองเพื่อใช้จิตดลบันดาล การเปลี่ยนแปลงต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อน ต้องทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม ต้องท้าทายความกลัวและความกังขา ต้องทำตัวแบบที่ตัวตนในอนาคตจะทำ และต้องแสดงให้จักรวาลเห็นว่าพร้อม และเต็มใจที่จะโอบรับพลังมากเพียงใด ในเส้นทางจิตดลบันดาลแต่ละเส้นทาง จะถูกสั่งให้เดินออกจากพื้นที่ปลอดภัย นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้ ทุกครั้งที่เดินออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง จะดึงดูดความอุดมสมบูรณ์เข้าหาตัว เพราะเวทมนต์จะปรากฏนอกพื้นที่ปลอดภัย

สร้างชีวิตที่พรั่งพร้อม น่าตื่นเต้น และแสนอัศจรรย์ให้ตัวเอง เส้นทางแห่งจิตดลบันดาลล้วนมาพร้อมแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการหลั่งไหลของความคิดใหม่ ๆ ที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นในสมอง ต่อไปนี้คือวิธีการบางส่วนที่ช่วยให้ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย และเข้าสู่พลังแห่งจิตดลบันดาลได้

  1. ชัดเจนถึงเหตุผล สิ่งที่จะผลักดันให้ก้าวข้ามความอึดอัดขัดข้องได้คือ สิ่งที่จะทำให้มุ่งมั่น จดจ่อ และยึดมั่นในภาพที่มองเห็น ทำให้มีแรงกระตุ้นเมื่อเผชิญสิ่งท้าทายหรืออุปสรรคใด ๆ การมุ่งมั่นจดจ่อกับเหตุผลของตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดขัดข้องหรือหวาดหวั่นอยู่บ้างก็ตาม เพราะเห็นภาพรวมและเป้าหมายสุดท้ายได้อย่างชัดเจน
  2. ขจัดคำแก้ตัว คำแก้ตัวคือการขัดขวางความสำเร็จของตัวเองรูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้หลุดออกจากเส้นทาง คำแก้ตัวมีหลายรูปแบบ แต่ที่พบบ่อยที่สุดคือคำพูดทำนอง ยุ่งเกินไป เหนื่อยเกินไป ยากเกินไป แต่ต้องมองให้ลึกลงไปว่า คำแก้ตัวคืออะไรกันแน่ มันคือการแสดงออกของความกลัวและความกังขา ใช้คำแก้ตัวเพื่อดึงตัวเองไม่ให้เดินต่อไปข้างหน้า และโอบรับพลังที่เป็น เมื่อจิตใต้สำนึกรู้สึกว่ายังไม่พร้อมรับความยิ่งใหญ่ วิธีขจัดคำแก้ตัวคือการตั้งคำถามในทุกแง่มุม การตั้งคำถามคือการทำลายพลังของคำแก้ตัวเหล่านั้น
  3. อย่ายอมแพ้เมื่อเผชิญสิ่งท้าทาย เวลาก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัยทุกอย่างจะเริ่มใหม่ซึ่งหมายความว่า จะเผชิญอุปสรรคบางอย่างให้ต้องเอาชนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในคุณลักษณะร่วมที่พบบ่อยที่สุดของปัจเจกบุคคลที่ประสบความสำเร็จคือ ความสามารถและความเต็มใจที่จะยืนหยัดต่อสู้สิ่งท้าทายอย่างไม่ลดละ ทุกคนจดจำช่วงเวลาที่ถูกบดขยี้และยอมแพ้อุปสรรคแรกสุดได้ ทำไมทำแบบนั้นเพราะสิ่งท้าทายต่าง ๆ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจและทดสอบการเห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อเผชิญสิ่งที่รู้สึกว่ายาก สิ่งท้าทายคือส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของชีวิต แทนที่จะมองว่ามันคือข้อจำกัด ขอให้มองว่ามันคือของขวัญและโอกาส สิ่งท้าทายมอบโอกาสให้ยืนหยัดฝ่าฟันเพื่อตัวเอง เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ สร้างความแข็งแกร่ง ความรู้ และความยืดหยุ่น สิ่งท้าทายผลักดันไปในทิศทางใหม่ และให้มุมมองใหม่ ๆ ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ ที่จะให้สิ่งท้าทายที่อาจเผชิญหน้าช่วยชี้นำแทนที่จะผลักไส
  4. กฎ 5 วินาที ในชั่วขณะที่สัญชาตญาณทำงาน แต่กลับรู้สึกลังเลนั่นคือ จุดที่จะใช้กฎ 5 วินาที มีเวลา 5 วินาทีเริ่มนับถอยหลังในใจจาก 5 ไปถึง 1 จากนั้นให้ลงมือก่อนนับ 0 ถ้ามีแรงกระตุ้นที่จะลงมือทำตามเป้าหมาย ต้องลงมือภายใน 5 วินาที ไม่เช่นนั้นสมองจะทำลายความคิดนั้นไป

สร้างนิสัยที่ดี วิธีหนึ่งในการปรับพฤติกรรม เพื่อยกระดับการเห็นคุณค่าในตนเอง และกระตุ้นพลังแห่งจิตดลบันดาลคือ การตั้งใจผนวกแนวปฏิบัติที่มีภาวะไฮไวบ์ ในกิจวัตรประจำวันสามารถฝึกการรักตนเอง และเปลี่ยนให้เป็นนิสัยที่ดีได้ การสร้างนิสัยที่ดีเป็นวิธีที่ได้ผลในการปรับพฤติกรรม ให้สามารถใช้จิตดลบันดาลได้ง่ายขึ้น สำหรับนิสัยที่ดีคือรากฐานสำคัญบนเส้นทางแห่งการพัฒนาตนเอง เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและอย่างยั่งยืน เกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ทำในแต่ละวัน ดังนั้น เพื่อให้นิสัยต่าง ๆ ผลักดันไปสู่สิ่งที่ต้องการใช้จิตดลบันดาล ต้องเริ่มสร้างนิสัยที่สอดคล้องกับตัวตนในอนาคต

ความจริงแท้คือส่วนผสมสำคัญ ของจิตดลบันดาลที่ประสบความสำเร็จ เพราะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ดีที่สุด เมื่อใช้ชีวิตและแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง ลองคิดถึงคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุด ส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้ก็แค่เป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ โดยแท้จริงและอย่างไม่สนใจใคร พวกเขาภูมิใจในตัวเอง สบายใจที่ได้เป็นตัวของตัวเอง และไม่เคยเกรงกลัวที่จะแตกต่าง หรือโดดเด่นเป็นจุดสนใจ

ท้ายที่สุดแล้ว สมควรจะได้เป็นบุคคลที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง คนที่พึงพอใจในตัวตนที่เป็นอย่างเปี่ยมพลังและงดงาม ไม่ว่าคนอื่นจะมีความคิดหรือความเห็นอย่างไรก็ตาม การเดินทางเพื่อค้นพบและแสดงตัวตนที่แท้จริงที่สุด คือการเดินทางที่ใช้เวลา ทว่ามีค่าควรในทุกก้าวย่าง ซึ่งเข้าถึงตัวตนที่เป็นอย่างแท้จริง และตัวตนที่ปรารถนาจะเป็นอย่างแท้จริงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังดึงดูดและมีพลังแห่งจิตดลบันดาลมากขึ้นเท่านั้น

ทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรก็ตามให้ถามตัวเองว่า นี่สอดคล้องกับสิ่งที่คิด สิ่งที่เชื่อ และสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นหรือไม่ การปรับพฤติกรรมเรียบร้อยให้กระทำการเชิงรุก ลงมือปฏิบัติโอบรับตัวตนที่ปรารถนาจะเป็น ไปให้พ้นจากความเชื่อที่บั่นทอนหรือความกลัว ก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง และบ่มเพาะความรักตนเองผ่านแนวปฏิบัติประจำวัน สร้างนิสัยที่ดีและมุ่งมั่นทำเพื่อสุขภาวะของตนเอง

ขั้นตอนที่ 4

เอาชนะบททดสอบของจักรวาล

ในทุกเส้นทางจิตดลบันดาล จะเผชิญบททดสอบของจักรวาล ที่ต้องผ่านไปให้ได้ก่อนจะก้าวหน้าต่อไป บททดสอบนี้เข้ามาในชีวิต เพื่อทดสอบการเห็นคุณค่าในตนเอง และความไว้วางใจในกระบวนการจิตดลบันดาล โดยอาจมาในรูปของอุปสรรค บุคคล หรือสิ่งท้าทายต่าง ๆ หรือการขอให้ยอมรับอะไรบางอย่างที่ด้อยกว่าสิ่งที่คู่ควร เพื่อพิชิตบททดสอบของจักรวาล ต้องปรับพฤติกรรมด้วยการเห็นคุณค่าในตนเองให้สูงเข้าไว้ และเรียนรู้ที่จะไว้วางใจพลังแห่งจิตดลบันดาล สมมติอยากใช้จิตดลบันดาลคู่แท้ที่สมบูรณ์แบบ ก่อนพบคนที่ใช่มีแนวโน้มจะพบบททดสอบจากจักรวาลที่ต้องผ่านให้ได้ก่อน

ในสถานการณ์นี้บททดสอบอาจมาในรูปของแฟนเก่า การปรากฏตัวที่มักมาพร้อมความรู้สึกคุ้นเคย ที่ล่อลวงใจเปิดโอกาสให้หวนกลับไปหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกสบายใจได้ง่าย ๆ ถึงแม้สิ่งนั้นจะไม่เหมาะกับตัวเรา ตัวเลือกในที่นี้คือการถามตัวเองว่า จะลงทุนเวลาและพลังงานไปกับสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ผล หรือจะมุ่งมั่นกับอนาคต และเลือกเดินออกจากอดีตทั้งทางกาย และที่สำคัญยิ่งกว่าทางพลังงานและปิดประตูให้สนิทไว้เบื้องหลัง บททดสอบในรูปแบบแฟนเก่านั้นพบบ่อยจนมักมองใครต่อใครว่า ถ้าอยู่ดี ๆ แฟนเก่ามาปรากฏตัวในชีวิตอีกครั้ง ก็แน่ใจได้เลยว่าคู่แท้กำลังไล่หลังมาแล้ว แน่นอนว่าถ้าพวกเขาผ่านบททดสอบ

การบอกตัวเองได้ว่าปิดประตูสู่อดีตอย่างเป็นทางการแล้ว ช่วยปลดปล่อยและเสริมพลังได้อย่างเหลือเชื่อ การปิดฉากความรู้สึกภายในให้สนิทในระดับพลังงานคือ วิธีที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพที่สุด ในการเปิดพื้นที่รับสิ่งที่คู่ควรเข้ามาสู่ชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เห็นโอกาสไปจากใครบางคน หรือของบางอย่างที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป ให้คว้าโอกาสนั้นไว้ จึงต้องแผ้วถางเส้นทางรอไว้ เพื่อจะได้พบตัวตนในอนาคตอย่างสะดวกง่ายดาย

จำไว้ว่าจิตดลบันดาลจะสำเร็จได้ต้องเชื่อว่า มีค่าควรได้รับสิ่งนั้น และแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความเชื่อนั้น ถ้าตัดสินใจเดินหนีไปจากคนคนนั้น นั่นคือการบอกจักรวาลด้วยการกระทำว่า รู้ว่ามีค่าควรได้รับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้ จักรวาลจะตอบสนองด้วยการนำคู่แท้มาให้ ทุกครั้งที่ปลงใจรับตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง ไม่ว่าในแง่มุมใดของชีวิต จะปิดกั้นจากการใช้จิตดลบันดาลสิ่งที่ปรารถนาที่สุด เพราะการยอมรับสิ่งที่ด้อยกว่าสิ่งที่ควรได้รับ เกิดจากภาวะอารมณ์โลว์ไวบ์ของความกลัวและความกังขา ความกลัวว่าไม่มีค่าควรได้รับสิ่งที่ปรารถนาอย่างแท้จริง และความกังขาวว่าจะบันดาลให้ฝันเป็นจริงได้จริง ๆ หรือ

ถ้าอยากใช้จิตดลบันดาลให้สำเร็จได้ง่ายดายดั่งใจคิด การลงมือคือกุญแจสำคัญ เริ่มจากสำรวจทุกแง่มุมของชีวิต และถามตัวเองว่าปลงใจรับอะไรที่ด้อยกว่าสิ่งที่ดีที่สุดตรงไหนหรือไม่ รอมชอมหรือลดการเห็นคุณค่าในตัวเองตรงไหนหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ตอนนี้มีความสัมพันธ์ที่เป็นพิษอยู่ในชีวิต ที่เหมือนจะปล่อยวางไม่ได้อยู่หรือเปล่า คนที่คอยทำให้หมดแรง ส่งผลกระทบทางลบต่อความเชื่อมั่น และทำให้ไวบ์ลดต่ำลง เหตุผลที่ยอมรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวว่าจะแตกหัก หรือทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจด้วยการเดินหนี ก็เพราะกังวลว่าหากปราศจากบุคคลนี้ จะรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิม มิตรภาพและความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ คืออีกตัวอย่างหนึ่งของบททดสอบ เมื่อมีความกล้าหาญและความเข้มแข็งภายใน ที่จะเดินหนีไปจากคนเหล่านี้เท่านั้น จึงเปิดพื้นที่ให้ความสัมพันธ์ที่ดีกว่าเข้ามาในชีวิตได้ จำไว้ว่าเวลาและพลังงานเป็นสินทรัพย์ล้ำค่าที่สุด ดังนั้นจงใช้อย่างชาญฉลาด

เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปอย่างใจคิด บททดสอบอื่น ๆ ที่ต้องเจอคือสิ่งท้าทายที่เกิดขึ้น เมื่ออะไรต่ออะไรไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ หรือเมื่อเผชิญการปฏิเสธ อาจเป็นการท่องเที่ยวที่ตั้งตารอถูกยกเลิก ข้อเสนอซื้ออพาร์ทเม้นท์หรือบ้านไม่ผ่าน สถานการณ์ทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เสียหลัก สั่นคลอนความเชื่อมั่น และความไว้วางใจที่มีต่อกระบวนการใช้จิตดลบันดาลอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ก็คือ เวลาที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่วาดหวัง อันที่จริงแล้วนั่นคือโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุด ให้ยืนหยัดฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างความเข้มแข็ง ความยืดหยุ่น และความกล้าหาญภายในให้เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน

เมื่อเอาชนะบททดสอบของจักรวาลได้ จะได้รับโอกาสใหม่เป็นรางวัล เวลาเอาชนะบททดสอบได้ ได้สร้างอะไรบางอย่างขึ้นในตัวนั่นคือ ความเข้มแข็งภายในที่เปลี่ยนไปด้วยแรงดึงดูด บางครั้งจักรวาลรู้ว่ามีค่าควรได้รับสิ่งดียิ่งกว่าที่ปรารถนา และไม่ได้มอบสิ่งที่ปรารถนาเพราะอยากมอบสิ่งที่ดีกว่าให้ ไว้วางใจเถอะว่าจักรวาลจะทำเพื่อประโยชน์สูงสุดเสมอ บางครั้งจิตดลบันดาลก็คือการลุกขึ้นมาใหม่ ยืดหลังให้ตรง และเก็บสิ่งที่มีค่าทุกอย่างที่หาได้จากประสบการณ์นั้น โดยรู้ว่าจะมีบทเรียนให้ศึกษา และมีสิ่งที่ดียิ่งกว่ารออยู่อีกฝากฝั่ง

ขั้นตอนที่ 5

โอบรับความสำนึกรู้คุณ (โดยปราศจากเงื่อนไข)

อารมณ์ความรู้สึกต่างกัน มีคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนต่างกัน อารมณ์ความรู้สึกต่างกัน มีคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนต่างกัน อารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง เช่น ความละอายใจ ความโกรธ ความริษยา และความรู้สึกผิด ทั้งหมดนี้มีคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนต่ำ ในทางตรงกันข้าม อารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง เช่น ความสุขสดชื่น ความสุข ความรัก สันติภาพ ความปิติยินดี และความซาบซึ้งใจ ทั้งหมดนี้มีคลื่นความถี่ในการสั่งสะเทือนสูง จักรวาลไม่ได้ยินความคิด แต่จักรวาลจะตอบสนองต่อคลื่นความถี่ ในการสั่นสะเทือนที่ความคิดเหล่านั้นสร้างขึ้น จึงดึงดูดสิ่งที่รู้สึกเข้ามา

ไม่เพียงดึงดูดความอุดมสมบูรณ์เข้าหาตัวได้เท่านั้น แต่ยังดึงดูดสิ่งลบเข้าหาตัวได้ด้วย จะให้อยู่ในภาวะไฮไวบ์ตลอดเวลาไม่ได้หรือ แน่นอนว่าไม่มีทาง และสิ่งสำคัญก็คือ ต้องเปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้รู้สึก ได้เห็นคุณค่า ได้ยอมรับ และได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายอย่างเต็มที่ ดังนั้น จะทำอย่างไรเมื่อประสบภาวะอารมณ์โลว์ไวบ์อย่างท่วมท้น ก็ให้ใช้ความสำนึกรู้คุณนั่นเอง

นิยามของความสำนึกรู้คุณคือ ความรู้สึกซาบซึ้งใจ และความรู้สึกนี้มีคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนสูงอย่างยิ่ง ความสำนึกรู้คุณเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางอารมณ์อันทรงพลังที่สุดที่มีติดตัว และเมื่อเข้าใจวิธีใช้แล้ว สามารถใช้สิ่งนี้ดึงตัวเองออกจากประสบการณ์โลว์ไวบ์ทั้งมวลได้ทันที เพื่อเปลี่ยนภาวะอารมณ์ ปรับคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน และปลดปล่อยความอุดมสมบูรณ์ของจักรวาลออกมาอย่างสมบูรณ์ เวลารู้สึกซาบซึ้งใจในสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะรู้สึกปีติยินดี รู้สึกมีตัวตน และสงบสุข ภาวะอารมณ์หรือไวบ์จะเพิ่มสูงทันที

การแทนที่ความกลัวและความกังขาด้วยความสำนึกรู้คุณ สามารถเปลี่ยนแปลงสรีระวิทยา เปลี่ยนพฤติกรรมของเซลล์ และเปลี่ยนคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน กระทั่งช่วยป้องกันจากโรคภัยไข้เจ็บได้ การผนวกรวมของวิทยาศาสตร์ และภูมิปัญญาความเข้าใจว่า สามารถใช้สมองเปลี่ยนพลังงาน เพิ่มคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือนให้ตัวเอง จากนั้นก็เปลี่ยนความเป็นจริงไป และความสำนึกรู้คุณก็คือแก่นหลักของมัน

ถ้าอยากใช้จิตดลบันดาลอะไรบางอย่างให้เข้ามาในชีวิต ต้องมองภาพให้ชัดเจน ขจัดความกลัวและความกังขา ปรับพฤติกรรม เอาชนะบททดสอบของจักรวาล จากนั้นก็โอบรับความสำนึกรู้คุณโดยปราศจากเงื่อนไข สำหรับทุกสิ่งที่มีในปัจจุบัน ยอมให้ความรู้สึกซาบซึ้งใจนั้น เปลี่ยนภาวการณ์ดำรงอยู่ รับรู้ความรู้สึกอย่างที่ความสำนึกรู้คุณ ยกระดับไวบ์ให้สูงขึ้น และยึดมั่นในหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์เอาไว้ในใจ การจะใช้ชีวิตด้วยทัศนคติแห่งความสำนึกรู้คุณได้นั้น จำต้องบ่มเพาะให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อแท้ในตัวก่อน ต้องฝึกครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อจัดระบบกระแสประสาทเสียใหม่ ให้มุ่งมั่นจดจ่อกับสิ่งดีงามทั้งหมดในชีวิตโดยอัตโนมัติ ต่อไปนี้คือสิ่งที่สามารถทำ เพื่อบ่มเพาะและโอบรับความสำนึกรู้คุณ คือ

การเขียนบันทึก การบันทึกความสำนึกรู้คุณอย่างสม่ำเสมอ จัดระบบสมองในระดับกระแสประสาท เพื่อให้มุ่งมั่นจดจ่อกับสิ่งดีงามในชีวิต สิ่งนี้จึงกลายเป็นการฝึกจิตดลบันดาลที่ทรงพลัง การฝึกบันทึกความสำนึกรู้คุณมี 2 วิธีด้วยกัน คือ

เทคนิคที่ 1 จดรายการสิ่งที่สำนึกรู้คุณทุกคืนหรือทุกเช้า ให้เขียนสิ่งที่ซาบซึ้งใจ 15 ข้อ

เทคนิคที่ 2 บันทึกความประทับใจเชิงบวก เมื่อแต่ละวันสิ้นสุดลง ให้เขียนสิ่งดีทุกอย่างที่ประสบพบเจอในวันนั้น ตั้งแต่ตอนตื่นนอนไปถึงตอนเข้านอน พอจดบันทึกประจำวันเชิงบวกจนติดเป็นนิสัย สมองจะเริ่มมองหาโอกาส และช่วงเวลางดงามทั้งหมดในแต่ละวันโดยอัตโนมัติ จะเริ่มสังเกตเห็นสิ่งดีงามรอบตัวมากขึ้น และเช่นนั้น จะยกระดับไวบ์ให้สูงขึ้นตลอดทั้งวันไปทุกวัน

ไล่เรียงสิ่งดีงาม เมื่อใดก็ตามที่ถูกความหดหู่ซึมเศร้า ซึ่งเป็นภาวะโลว์ไวบ์ครอบงำ จงยอมให้ความสำนึกรู้คุณดึงภาวะอารมณ์ขึ้น โดยใช้เทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลานี้ แค่หาเวลาหยุดอยู่นิ่ง ๆ สักพัก จากนั้นไล่เรียงสิ่งดีงามทั้งหมดที่รู้สึกซาบซึ้งใจออกมาโดยไม่หยุดคิด กระทั่งรู้สึกว่าอะไรบางอย่างในตัวเริ่มเปลี่ยนไป อาจใช้วิธีเขียนสิ่งต่าง ๆ ลงในแอปพลิเคชั่นจดบันทึกในโทรศัพท์ หรือพูดดัง ๆ ให้ตัวเองหรือเพื่อนฟัง หรือเขียนลงสมุดบันทึกก็ได้

ฝึกสติ การตื่นเต้นกับเรื่องอะไรบางอย่าง ให้ความรู้สึกดีและการฝันกลางวันถึงสิ่งที่อยากใช้จิตดลบันดาลก็สนุก และแน่นอนว่าการรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร หรืออยากไปยืนที่จุดใดในอนาคตก็คือก้าวแรกของจิตดลบันดาล แต่ปัญหาจะเกิดเมื่อเริ่มจดจ่อกับอนาคตโดยไม่สนใจการใช้ชีวิตอย่างมีสติ การฝันถึงอนาคตบ่อยเกินไป ทำให้ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ และเวลาที่ใจลอยย่อมโอบรับความสำนึกรู้คุณได้ไม่เต็มที่ การบ่มเพาะความสำนึกรู้คุณต้องอาศัยการฝึกตนให้มีสติมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรพยายามอย่างมีสติที่จะจดจ่อกับสิ่งนั้นให้เต็มร้อย อีกทางหนึ่งในการฝึกใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้นก็คือ เพิ่มการฝึกสมาธิเข้ามาในกิจวัตรประจำวัน การศึกษาสมาธิคือการฝึกอยู่นิ่ง ๆ กับปัจจุบัน จุดมุ่งหมายไม่ใช่การทำให้จิตว่างโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะจับสังเกตความคิด โดยไม่ไปผูกติดกับมัน

สังเกตสิ่งเล็ก ๆ เมื่อเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้สังเกตสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกซาบซึ้งใจ ซึ่งเป็นภาวะอารมณ์ไฮไวบ์ให้มากขึ้นด้วย สำนึกรู้คุณอยู่เนือง ๆ ช่วยเสริมพลังแห่งจิตดลบันดาลให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างสม่ำเสมอ บนเส้นทางจิตดลบันดาลที่จะทำให้ฝันเป็นจริง อย่าลืมสนุกเพลิดเพลินกับการเดินทางที่พาไปที่นั่น ใส่ใจกับความสุขสดชื่นเล็ก ๆ เรียบง่ายของชีวิต และอยู่กับปัจจุบันขณะในทุก ๆ วัน จำไว้ว่าหัวใจที่สำนึกรู้คุณคือ แม่เหล็กดึงดูดสิ่งอัศจรรย์ต่าง ๆ

ขั้นตอนที่ 6

เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ

ความริษยาคือ ภาวะอารมณ์โลว์ไวบ์ ที่เกิดจากหลักคิดเรื่องความขาดแคลน ความริษยา บอกจักรวาลว่าเวลาเห็นคนอื่นมีสิ่งที่ต้องการรู้สึกชิงชัง เพราะไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถมีสิ่งนั้นได้

แรงบันดาลใจคือ ภาวะอารมณ์ไฮไวบ์ที่เกิดจากหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ การเห็นบางอย่างที่ปรารถนาแล้วรู้สึกว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งนั้น คือการบอกจักรวาลว่า เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีมากพอสำหรับทุกคน และเชื่อว่าสามารถมีสิ่งนั้นได้เช่นกัน

โซเชียลมีเดียคือธุรกิจพันล้านดอลลาร์ที่ขับเคลื่อนด้วยความริษยา โซเชียลมีเดียเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับการเปรียบเทียบ และเป็นที่บ่มเพาะความอิจฉาริษยาให้งอกงาม ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบ บ้านในฝัน ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ วันหยุดพักผ่อนในสถานที่สวยงาม หรือครอบครัวเปี่ยมสุข ชีวิตในฝันมักเสนอขายให้ โดยใช้ความซาบซึ้งใจในชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเสมอ ภาพชีวิตสมบูรณ์แบบที่ไม่รู้จบนี้ กระตุ้นความริษยาได้ทั้งวัน เนื้อหาไม่น้อยที่เห็นในสื่อออนไลน์ เป็นการจัดฉาก วางแผนล่วงหน้า ผ่านการตัดแต่ง ปรับแปลง และขัดเกลาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวก็คือ ทำให้มันดึงดูดใจและน่าอิจฉา

ถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควร โซเชียลมีเดียอาจเป็นแรงบันดาลใจ แรงกระตุ้น เชื่อมสัมพันธ์ และให้ความบันเทิงได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด แต่เพื่อที่จะได้ประโยชน์ทั้งหมดนี้ โดยไม่ไปกระตุ้นผลกระทบเชิงลบอยู่ตลอด ขอแนะนำให้ทำ 2 ประการดังนี้

  1. ดูแลฟีด ปิดการแจ้งเตือนหรือเลิกติดตามเจ้าของโพสต์ ที่ทำให้รู้สึกไม่ดีหรือคนที่รู้ว่ากระตุ้นอารมณ์ จะกลับไปเปิดรับได้เสมอเมื่อรู้สึกว่าสามารถติดตามพวกเขาได้ และสามารถชมเนื้อหาของพวกเขาจากในมุมมองที่ดีขึ้นได้แล้ว
  2. เลื่อนฟีดอย่างมีสติ เวลาใช้แอปให้มีสติและอยู่กับปัจจุบันขณะ จะได้ไม่เลื่อนฟีดไปอย่างไร้จุดหมาย และปล่อยให้ตัวเองเสพข้อมูล หรือสิ่งกระตุ้นที่ไม่พึงประสงค์ โดยไม่ตระหนักรู้ตัวเต็มที่

แต่การปฏิเสธความริษยาไม่ส่งผลดี เวลาที่กลบฝังความริษยา ก็จะเก็บกักภาวะอารมณ์โลว์ไวว์เอาไว้ในตัว มันจะหล่อเลี้ยงความไม่มั่นใจ และการเห็นคุณค่าในตัวเองที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซึ่งมีแต่จะยิ่งทำให้อยู่ไกลออกไปจากจิตดลบันดาลขึ้นเรื่อย ๆ การคิดทบทวนกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ช่วยให้เห็นความริษยาของตัวเอง รับรู้มัน และยอมให้มันเผยตัวออกมาว่า ต้องการอะไร และรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีอะไรมากขึ้นในชีวิต ทันทีที่เริ่มรับรู้และโอบรับความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะปฏิเสธและตัดสินจะเปิดพื้นที่เพื่อรับฟังความรู้สึกเหล่านั้น

ความริษยาไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายในตัวเอง มันเป็นแค่ภาวะอารมณ์หนึ่งที่เกิด เมื่อเผชิญสิ่งที่ทำให้ตั้งคำถามกับการเห็นคุณค่าในตัวเอง ฉะนั้น วิธีปล่อยวางความริษยาที่ได้ผลที่สุดคือ การขจัดความกลัวและความกังขาอย่างต่อเนื่อง สามารถเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจได้ แรงบันดาลใจคือขั้วตรงข้ามของความริษยา ขณะที่ความริษยาเกิดจากหลักคิดเรื่องความขาดแคลน ที่จะเป็นอารมณ์โลว์ไวว์ แรงบันดาลใจเกิดจากหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ที่มีภาวะอารมณ์ไฮไวบ์

เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความรู้สึกริษยา มีโอกาสกำหนดกรอบคิดใหม่ให้ตัวเอง และเลือกมุมมองที่สร้างแรงบันดาลใจ ที่จะผลักดันให้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นได้ การเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ ไม่เพียงดึงออกจากภาวะโลว์ไวบ์เข้าสู่ภาวะไฮไวบ์เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เห็นสิ่งที่อยากนำไปใส่ในวิชั่นบอร์ดได้กระจ่างชัดเจนขึ้น และช่วยให้การนึกภาพสมจริงขึ้น ด้วยการเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ คือเครื่องมือสำคัญอย่างเรื่องฟีดในโซเชียลมีเดียด้วย เปิดรับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เห็น และบอกตัวเองอย่างกระตือรือร้นว่า นี่คือสิ่งที่อยากได้ นี่คือสิ่งที่รู้ว่าสมควรได้รับ นี่คือสิ่งที่จะใช้จิตดลบันดาลให้เป็นจริง เวลาที่ได้แรงบันดาลใจจากความสำเร็จ และประสบการณ์ของคนอื่น ๆ แสดงให้จักรวาลเห็นว่า เชื่อว่าโลกมีความรัก ความสุข และความสำเร็จสำหรับทุกคนมากล้น และนั่นก็คือสิ่งที่จะดึงดูดเข้าหาตัว ความรักมากล้น ความสุขมากล้น และความสำเร็จที่มากล้น นี่คือ 4 ขั้นตอนที่ต้องทำ เพื่อเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ คือ

  1. ตระหนักรู้มัน การตระหนักรู้ความริษยาจำเป็นต้องอาศัยการคิดอย่างมีสติ เพื่อให้จับได้ทันทีที่ความริษยาเกิดขึ้น
  2. ขจัดความละอายใจ และการตัดสินที่มาพร้อมกับความริษยา ฝึกรักตนเองโดยมอบความเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา และการไม่ตัดสินให้กับตัวเอง
  3. เรียนรู้จากมัน ถ้าจับได้ว่ากำลังตัดสินผู้อื่น ให้ถามตัวเองว่าการตัดสินผู้อื่นนี้ขับเคลื่อนจากสิ่งใด ความกลัวหรือความกังขาใดขับเคลื่อนสิ่งนี้ พวกเขามีสิ่งใดที่ปรารถนาหรือ
  4. เปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจ ในทุกโอกาสที่จะรู้สึกริษยาใครหรืออะไร มีโอกาสมากพอ ๆ กันที่จะกำหนดกรอบมุมมองใหม่ให้ตัวเอง และเปลี่ยนให้มันเป็นโอกาสที่จะได้รับแรงบันดาลใจแทน

การรักตนเองคือพื้นฐานในทุกขั้นตอนของจิตดลบันดาล นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด ยิ่งมอบความเห็นอกเห็นใจ การไม่ตัดสิน ความรัก และความเมตตาให้ตัวเองมากเท่าไหร่ จะพบว่าเปลี่ยนความริษยาเป็นแรงบันดาลใจได้ง่ายเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 7

ไว้วางใจในจักรวาล

เมื่อรู้ว่าชีวิตแบบไหนที่ปรารถนาจะใช้จิตดลบันดาลให้เป็นจริง ส่วนที่เหลือก็คือการไว้วางใจ ไว้วางใจว่าจักรวาลจะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีให้ และไว้วางใจในเวทมนต์อันอัศจรรย์แห่งจิตดลบันดาล ความไว้วางใจนี้อาจบรรยายได้ว่า เป็นความรู้สึกล่วงรู้หรือการล่วงรู้ว่า แม้ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่แค่รู้ว่ามันจะเกิด มันคือการล่วงรู้โดยปราศจากความกังขาว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ปรารถนาที่สุดกำลังมาหา นี่คือความเชื่อและความศรัทธาอันไม่แคลนคลอน ที่จะเอื้อให้ใช้จิตดลบันดาลสิ่งใดก็ตาม ที่ปรารถนาให้เป็นจริงได้ในที่สุด

หนึ่งในความเข้าใจผิดมหันต์เกี่ยวกับจิตดลบันดาลก็คือ จิตดลบันดาลเป็นการควบคุมอนาคต แท้จริงแล้วจิตดลบันดาลไม่ใช่การควบคุม แต่เป็นเรื่องของการยอมตาม มันคือการรู้ว่าต้องการอะไร และการนึกภาพสิ่งที่ต้องการ การลงมือเชิงรุกเพื่อเอื้อมคว้าสิ่งนั้น แต่จากนั้นคือการยอมตามต่อการเดินทาง ที่จะนำพาไปถึงจุดนั้นในท้ายที่สุด การนึกภาพสิ่งที่ต้องการก็เหมือนการใส่จุดหมายปลายทางที่แน่ชัดว่า จิตดลบันดาลคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังว่า ควรเลี้ยวไปทางไหน ควรเลี่ยงถนนเส้นไหน ควรใช้ทางหลวงใด เพื่อกลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ถ้าเลี้ยวผิดไม่ได้พยายามควบคุมกระบวนการนั้น แต่ยอมให้มันทำงานของมัน ในขณะที่เราก็ทำงานของเรา ดังนั้นการยอมตามเวทมนต์แห่งจิตดลบันดาลก็คือ การมอบความไว้วางใจในลักษณะเดียวกัน

ขั้นตอนที่ 7 ไม่เพียงสำคัญยิ่งต่อจิตดลบันดาล และยังช่วยเสริมพลังให้ทุกขั้นตอนที่ผ่านมาก่อนหน้า แต่ยังจัดเป็นขั้นตอนที่ทำได้ยากที่สุดด้วย ความไม่อดทนรอคือศัตรูของจิตดลบันดาล เพราะความไม่อดทนรอจะเข้าขัดขวางสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าจังหวะเวลาอันเหมาะสม (Divine Timing) จังหวะเวลาอันเหมาะสมคือการจัดแจงเวลาของจักรวาล ของแรงแห่งพลังที่ยิ่งใหญ่ เมื่อไว้วางใจในจังหวะเวลาอันเหมาะสม ย่อมสละความจำเป็นที่จะควบคุม สละกำหนดเวลาที่ตายตัว และสละความเร่งร้อนในการใช้ชีวิตได้

คนส่วนใหญ่แทบไม่เปิดพื้นที่ให้จังหวะเวลาอันเหมาะสมเลย สิ่งที่มักเกิดขึ้นก็คือพวกเขาจะอดทนไม่ไหว และเริ่มเข้าขัดขวางกระบวนการ ท้ายที่สุดก็พาตัวออกไปจากเส้นทางสู่ความฝัน ด้วยความหวังว่าจะพบหนทางที่เร็วกว่า กระบวนการรอคอยอะไรบางอย่างเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ ทั้งต่อความเชื่อในตนเอง และการเห็นคุณค่าในตนเอง เวลาที่อะไรบางอย่างไม่เข้ามาหาโดยทันที จะเกิดพื้นที่ให้ความคิดเชิงลบ ความเชื่อที่บั่นทอน และความไม่มั่นใจได้เติบโต สัญชาตญาณอาจเอนเอียงไปสู่ความคิดลบ ร้าย และลดคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน

เคล็ดลับที่แท้จริงคือการปล่อยวางการรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรอแบบร้อนรน เพื่อให้บางอย่างเกิดขึ้น จะลดคลื่นความถี่ในการสั่นสะเทือน และทำลายพลังใจกับความสามารถแห่งจิตดลบันดาล ควรเลือกที่จะไม่รอแต่อยู่กับปัจจุบันขณะแทน

ความไว้วางใจคือกาวที่ยึดขั้นตอนแห่งจิตดลบันดาลทั้งหมดไว้ด้วยกัน ขณะที่เริ่มทำความรู้จักจิตดลบันดาลให้มองหาเรื่องบังเอิญ หรือช่วงเวลาประจวบเหมาะต่าง ๆ ช่วงเวลาที่คิดอะไรบางอย่าง และมันปรากฏต่อหน้า ตัวอย่างเช่น กำลังนึกอยากฟังเพลงสักเพลง และอยู่ ๆ เพลงนั้นก็ดังขึ้นมาจากวิทยุ จดจำช่วงเวลาทั้งหมดนี้ และยอมให้มันเสริมความไว้วางใจในจักรวาล ให้มันสำแดงแรงอันทรงพลังที่มีอยู่ในจักรวาล และความสามารถอันทรงพลังในตัวที่จะสร้าง และเปลี่ยนความเป็นจริงของตนเอง

จากนั้นเมื่อสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการใช้จิตดลบันดาลเริ่มปรากฏขึ้น ในชีวิตให้สังเกตความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้น 10 เท่า และยอมให้มันนำไปให้ไกลยิ่งขึ้น บนเส้นทางจิตดลบันดาล

บทส่งท้าย

จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่พลังแห่งเวทมนต์ แต่เป็นแนวปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนเองที่ใช้ดำเนินชีวิตได้ จิตดลบันดาลไม่ใช่แค่การนำความอุดมสมบูรณ์เข้ามาสู่ชีวิต แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้โอบรับพลังของตนเอง และปลดปล่อยศักยภาพที่เหลือเชื่อทั้งหมดในตัวออกมา แก่นหลักของจิตดลบันดาลคือการเห็นคุณค่าในตนเอง ความเชื่อในจิตใต้สำนึกว่าสมควรได้รับสิ่งใด และความสามารถในการรักตนเอง จิตดลบันดาลหนุนส่งให้บรรลุตัวตนที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ ผลักดันให้ก้าวไปสู่ตัวตนที่จริงแท้และเปลี่ยมพลังที่สุด ค้นพบความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัว เพื่อเอาชนะความเชื่อที่บั่นทอนความกังขา ความกลัว และความไม่มั่นใจต่าง ๆ จิตดลบันดาลขอให้ปล่อยวางสิ่งที่ไม่เอื้ออีกต่อไป และจดจำไว้ว่า สามารถเป็นอะไรก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นได้

ทุกสิ่งที่ทำในแต่ละวันคือโอกาส ได้สร้างเสริมความแข็งแกร่ง และให้พลังแห่งจิตดลบันดาล ความคิดต่าง ๆ ที่เลือกยึดถือ วิธีการที่ดูแลและหล่อเลี้ยงร่างกาย แนวปฏิบัติประจำวันที่เลือกทำ นิสัยที่บ่มเพาะ มิตรภาพที่มี พฤติกรรมที่ยอมรับจากคนอื่น ๆ และความเต็มใจก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย ทุกสิ่งที่ทำมีการแสดงออกถึงการรักตนเอง และทุกการตัดสินใจสามารถยกระดับการเห็นคุณค่าในตนเอง และขับเคลื่อนให้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นได้

คนเรามีเพียงชีวิตเดียว หน้าที่ก็คือการทำให้ชีวิตนี้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความชื่นมื่น ความสุข จุดหมาย และการเติมเต็ม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะหยุดปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามยถากรรม และเริ่มตระหนักรู้ในพลังอันไม่สิ้นสุดภายในตัวเอง เพื่อเลือกและสร้างสรรค์ชีวิตที่ปรารถนาจะมี และใช้จิตดลบันดาลให้ชีวิตที่ดีที่สุดเป็นจริง.