เงินเฟ้อ (Inflation) เป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยนิยามแล้ว เงินเฟ้อคือการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าเพียงครั้งเดียวหรือการปรับขึ้นของราคาสินค้าเพียงบางรายการ การที่จะถือว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อนั้น ราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในระบบเศรษฐกิจจะต้องมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบของเงินเฟ้อ

ผลกระทบของเงินเฟ้อที่สำคัญคือการลดลงของอำนาจซื้อของเงิน กล่าวคือ เมื่อเกิดเงินเฟ้อ เงินจำนวนเท่าเดิมจะสามารถซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ภาวะเงินเฟ้อส่งผลดีต่อผู้กู้ยืมและส่งผลเสียต่อผู้ให้กู้ เนื่องจากเมื่อผู้กู้ชำระคืนเงินต้นให้แก่ผู้ให้กู้ มูลค่าที่แท้จริงของเงินที่ชำระคืนจะมีค่าน้อยกว่าตอนที่กู้ยืม หากเงินเฟ้อเร่งตัวรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ จะเรียกว่าภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation) ซึ่งสามารถทำลายระบบการเงินของประเทศและนำไปสู่ความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองได้

วิธีการวัดภาวะเงินเฟ้อ

การวัดอัตราเงินเฟ้อนั้นโดยทั่วไปจะคำนวณเป็นร้อยละของการเพิ่มขึ้นของระดับราคาเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นักวิเคราะห์ใช้อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวชี้วัดวัฏจักรธุรกิจและเพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลาง โดยธนาคารกลางมักมีเป้าหมายในการรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ในทางตรงกันข้าม ภาวะเงินเฟ้อลดลง (Disinflation) หมายถึงอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงแต่ยังคงเป็นบวก ส่วนภาวะเงินฝืด (Deflation) คือการที่ระดับราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เมื่อราคาส่วนใหญ่ลดลง ผู้บริโภคมักจะชะลอการซื้อเพราะคาดว่าจะสามารถซื้อสินค้าได้ถูกลงในอนาคต ส่งผลให้ธุรกิจมีรายได้ลดลงในขณะที่ต้นทุนคงที่ยังคงอยู่เท่าเดิม

การวัดเงินเฟ้อที่นิยมใช้กันทั่วไปคือดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคทั่วไปใช้จ่าย โดย CPI จะสะท้อนรูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนในเขตเมือง องค์ประกอบของ CPI มีการถ่วงน้ำหนักตามความสำคัญของสินค้าและบริการแต่ละประเภท เช่น ที่อยู่อาศัย (33.3%) อาหาร (13.9%) พลังงาน (6.6%) การบริการทางการแพทย์ (6.6%) และการขนส่ง (5.9%)

วิธีคำนวณ CPI

การคำนวณ CPI ทำได้โดยเปรียบเทียบต้นทุนของตะกร้าสินค้าในปัจจุบันกับต้นทุนในช่วงฐาน โดยใช้สูตร: CPI = (ต้นทุนตะกร้าสินค้าราคาปัจจุบัน / ต้นทุนตะกร้าสินค้าราคาช่วงฐาน) x 100

นอกจาก CPI แล้ว ยังมีดัชนีราคาอื่นๆ ที่ใช้วัดเงินเฟ้อ เช่น ดัชนีราคาการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่สำรวจจากธุรกิจแทนผู้บริโภค และตัวหักลดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP Deflator) สำหรับภาคธุรกิจ มีดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) หรือดัชนีราคาขายส่ง (WPI) ที่ใช้ติดตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าสำเร็จรูป

นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายมักแยกระหว่างเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) และเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) โดยเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมราคาอาหารและพลังงานซึ่งมักผันผวนมากกว่าสินค้าอื่น ทำให้สามารถวัดแนวโน้มราคาที่แท้จริงได้ดีกว่า

ดัชนีราคาที่ใช้กันทั่วไปคือดัชนีแบบ Laspeyres ซึ่งใช้ตะกร้าสินค้าคงที่ อย่างไรก็ตาม ดัชนีนี้มักมีอคติสูงเกินจริงด้วยเหตุผลสามอย่าง: 1) การเพิ่มสินค้าใหม่ที่มักมีราคาแพงกว่าในช่วงแรก 2) การเปลี่ยนแปลงคุณภาพสินค้าที่ทำให้ราคาสูงขึ้นแม้ไม่ใช่เงินเฟ้อ และ 3) การทดแทนระหว่างสินค้าเมื่อราคาสัมพัทธ์เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงมีการพัฒนาดัชนีแบบอื่นๆ เช่น ดัชนี Fisher และดัชนี Paasche ที่ใช้น้ำหนักการบริโภคปัจจุบัน ราคาช่วงฐาน และราคาปัจจุบัน เพื่อให้สะท้อนพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีขึ้น

สรุป

ในการเปรียบเทียบดัชนีราคาระหว่างประเทศ ต้องคำนึงถึงความแตกต่างในองค์ประกอบและน้ำหนักของสินค้าและบริการที่สะท้อนรูปแบบการบริโภคที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการเก็บข้อมูลที่อาจแตกต่างกัน การทำความเข้าใจข้อจำกัดของดัชนีราคาแต่ละประเภทจะช่วยให้การวิเคราะห์และการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น