HOW TO TRADE in STOCKS

สรุปหนังสือ : กลยุทธ์เก็งกำไรอย่างเซียนหุ้น

HOW TO TRADE in STOCKS

เจสซี่ ริเวอร์มอร์ ได้รับการยอมรับจากผู้ค้าหุ้นชั้นนำของ Wall Street ว่าเป็นเทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกที่เคยมีมา อีกทั้งเขายังกล้าเปิดเผยความลับด้านเทคนิค และวิธีการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ใครยังไม่เคยกล้าทำมาก่อน เขาได้วางรากฐานใหม่สำหรับการซื้อขายในตลาดหุ้น เทคนิคการจับจังหวะลงทุน และระบบการบริหารจัดการเงิน รวมถึงแนวทางการซื้อขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีโมเมนตัมสูง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ปฏิวัติวงการ และมันยังคงถูกใช้มาถึงทุกวันนี้

เจสซี่ ริเวอร์มอร์ คือนักค้าหุ้นระดับตำนาน เขาเป็นนักลงทุนแบบเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ชีวิตการลงทุนของเขาค่อนข้างจะผาดโผน มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เคยรวยระดับเงินล้านจากตลาดหุ้น และเคยผิดพลาดล้มเหลวจนขาดทุนหมดตัวล้มละลายมาแล้วเช่นกัน แต่โลกในการลงทุนก็ยอมรับวิธีคิดในการลงทุนของเขา เพราะความเป็นอัจฉริยะเขาสร้างระบบในการเทรดหุ้น ที่นำเอาเทคนิคการจดบันทึกราคาหุ้น เพื่อนำมาคำนวณทางสถิติและความน่าจะเป็น ศึกษารูปแบบราคาเพื่อหาสัญญาณซื้อขายหุ้น และทำกำไรได้อย่างงดงามทั้ง ๆ ที่สมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ในแบบปัจจุบัน หนังสือกลยุทธ์เก็งกำไรอย่างเซียนหุ้น (How to trade in stocks) เล่มนี้มีการเปิดเผยเคล็ดลับมากมายที่ริเวอร์มอล์นำไปใช้การเก็งกำไร

โดยหลักการของลิเวอร์มอร์ที่สำคัญคือ เป็นคนที่ไม่ลงทุนในหุ้นหลายตัว จะเน้นที่หุ้นบางตัวเท่านั้น จะใช้เวลาในการศึกษา ติดตามพฤติกรรมราคาหุ้นจนเข้าใจ จึงทำการทยอยซื้อลงทุน และยอมปล่อยให้กำไรเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามแนวโน้มราคาหุ้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือ แนวคิดการรักษากำไรไว้ในรูปของเงินสด เพื่อเป็นทุนสำรองไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่นำเงินกำไรไปเล่นในหุ้นต่อเนื่องจนหมด เจสซี่เป็นคนที่ตัดขาดทุนเร็ว เขาคำนวณราคาตัดขาดทุนล่วงหน้าเสมอ ยอมเสี่ยงที่จะซื้อหุ้นทีละน้อย ๆ เพื่อดูความแข็งแกร่งของราคาหุ้น ถ้าผิดทางก็ไม่เสียดายที่ขาดทุนเล็กน้อย

คำพูดที่สำคัญของริเวอร์มอร์เคยกล่าวเอาไว้จนน่าจดจำคือ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน คนที่ยังมีพฤติกรรมและการตอบสนองแบบเดิมในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นผลของความโลภ ความกลัวความไม่รู้ และความคาดหวัง นั่นคือสาเหตุว่าทำไมการก่อตัวของรูปแบบต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นซ้ำรอยอยู่เสมอ ๆ

หนังสือเล่มนี้จึงควรค่าแก่การศึกษาสำหรับเทรดเดอร์ผู้เริ่มต้น หรือเทรนเดอร์มืออาชีพก็ตาม เพื่อศึกษาชีวิตและหลักการในการเก็งกำไรของเซียนหุ้นบันลือโลกคนนี้

บทที่ 1

ความท้าทายของการเก็งกำไร

ความท้าทายของการเก็งกำไรคือ เกมที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลมากที่สุดเกมหนึ่งในโลก มีคนจำนวนมากที่สนใจในเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นและการเก็งกำไร คนที่พร้อมจะศึกษาและเรียนรู้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การลงทุนที่ดี หากเพียงเขาเหล่านี้ได้รับการชี้แนะไปในทางที่ถูกต้อง และนั่นคือเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้ได้ถูกเขียนขึ้นมา ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จนั้น จะสอดคล้องโดยตรงระหว่างความซื่อสัตย์และจริงใจ กับความพยายามที่จะจดบันทึกการซื้อหุ้น ใช้ความครุ่นคิดและค้นหาข้อสรุปด้วยตัวเอง

ใครก็ตามที่ต้องการจะเก็งกำไร ควรจะมองการเก็งกำไรในแบบของการลงทุนทำธุรกิจ และทำกับมันเหมือนการทำธุรกิจ ไม่ใช่แบบการพนันเหมือนเช่นที่หลาย ๆ คนทำ มีคำกล่าวที่เป็นจริงอย่างยิ่งอยู่ว่า คุณสามารถชนะการเดิมพันแข่งม้า แต่คุณไม่สามารถชนะเดิมพันทุกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด มันมีช่วงเวลาหลายครั้งที่สามารถทำเงินจากการลงทุนและการเก็งกำไรในหุ้น แต่มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้เสมอ ๆ ทุก ๆ วัน ทุกสัปดาห์ หรือตลอดปี

เพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรให้ประสบความสำเร็จ นักลงทุนจะต้องสามารถสรุปความเห็นออกมาได้ว่า สิ่งสำคัญใดจะเกิดขึ้นต่อไปกับหุ้นที่ติดตามอยู่ การเก็งกำไรไม่มีอะไรมากไปกว่าการ คาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อที่จะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง นักลงทุนจะต้องมีหลักการที่ชัดเจนในการคาดการณ์ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะหลายครั้งสิ่งต่าง ๆ ก็ใช่ว่าจะสามารถคาดการณ์ได้ หลายครั้งการคาดการณ์เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และตลาดก็มักจะทำให้คนคิดไปเช่นนั้น นักเก็งกำไรที่ดีจะรอและอาศัยความอดทน รอจนกระทั่งตลาดยืนยันในสิ่งที่คิด  ประสบการณ์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า กำไรที่เป็นเรื่องเป็นราวนั้น มักเกิดขึ้นจากการลงทุนหุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นกำไรตั้งแต่เริ่มเข้าซื้อ

ทุกคนต่างมีจุดอ่อนคืออยากจะชนะ ได้เงินให้มากที่สุด ความอ่อนแอของมนุษย์ทุกคนมีมากน้อยต่างกัน และเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักลงทุน และนักเก็งกำไร ซึ่งหากไม่ระมัดระวังมันอาจจะทำให้ประสบกับหายนะได้ มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่จะมีความหวัง แต่หากปล่อยให้ความหวังและความกลัวเข้าครอบงำในธุรกิจเก็งกำไร ก็จะเผชิญกับอันตรายที่น่ากลัว เพราะจะเผชิญกับความสับสนของอารมณ์ทั้งสองอย่างนี้

ตัวอย่างซื้อหุ้นไว้ที่ราคา 30.00 ดอลล่า วันต่อมาราคาก็ขึ้นไปอย่างรวดเร็วที่ 32 หรือ 32.50 ทันใดนั้นจะเกิดความกลัวหากไม่ได้ขายทำกำไร แล้วกำไรนั้นจะหายไป ก็เลยขายออกไปโดยมีกำไรนิดหน่อย ในเวลาที่ควรจะคาดหวังว่ากำไรจะขึ้นไปมากกว่านี้ ทำไมจึงมากังวลกับการสูญเสียกำไรเพียงแค่ 2 เหรียญ กำไรซึ่งในวันก่อนหน้ามันก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ หากสามารถทำกำไร 2 เหรียญได้ในเวลา 1 วัน ก็จะทำมันได้ 2-3 เหรียญในวันต่อไป บางทีอาจจะมากถึง 5 เหรียญในสัปดาห์ถัดไป ตราบใดที่หุ้นแสดงการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม และตลาดรวมเองก็ยังดูดี ก็ไม่ควรรีบร้อนที่จะขายทำกำไร นักลงทุนและนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีในการตัดสินใจที่จะซื้อหรือขายบนการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะในทางขึ้นหรือลงของตลาด ใครก็ตามที่ยอมทุ่มเท ใช้เวลาเพื่อศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งจะสามารถพัฒนาหลักการซื้อขายขึ้นมาได้ ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจซื้อขายหรือลงทุนในอนาคต การจดบันทึกนั้นช่วยให้เห็นภาพชัดเจนถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

บทที่ 2

เมื่อไหร่ที่หุ้นมีการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม

หุ้นก็เป็นเช่นเดียวกันกับคน มีบุคลิกและลักษณะนิสัยส่วนตัว บ้างก็ขี้หงุดหงิด ขี้กังวล บ้างก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ในขณะที่หุ้นบางตัวก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา หรือเคลื่อนไหวเป็นเหตุเป็นผล นักเก็งกำไรที่มีทักษะต้องรับรู้ และยอมรับพฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัว ตลาดนั้นไม่เคยที่จะอยู่นิ่งเฉย บางเวลาก็จะดูซึมเซา แต่มันก็ไม่ได้นิ่งอยู่ที่ราคาเดียว มันมีการเคลื่อนไหวตลอดไม่ว่าขยับขึ้นหรือลง เมื่อหุ้นมีแนวโน้มชัดเจนขึ้น มันจะเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ และอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับทิศทางขึ้นหรือลง ตามความคืบหน้าของการเคลื่อนไหวของมัน

ในช่วงแรกของการเคลื่อนไหว จะสังเกตเห็นปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ราคานั้นขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ในช่วงไม่กี่วันหลังจากนั้น สิ่งที่เรียกว่าการปรับตัวปกติ (Normal reaction) จะเกิดขึ้น ซึ่งในกระบวนการปรับตัวนี้ ปริมาณการซื้อขายจะลดลงอย่างมาก จากช่วงก่อนหน้าที่หุ้นปรับตัวขึ้น หลังจากปรับตัวปกติหนึ่งหรือสองวัน ความคึกคักต่าง ๆ ก็จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง และปริมาณซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้น หากนี่คือการเคลื่อนไหวแท้จริงของหุ้นแล้ว ภายในเวลาไม่นานราคาหุ้นควรที่จะฟื้นตัวได้มากกว่าหลังจากที่เกิดการปรับตัว และราคาหุ้นควรขึ้นไปซื้อขายที่จุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม การเคลื่อนไหวของมันควรแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายวัน โดยหากมีการปรับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างวันเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วหุ้นจะขึ้นอีกจุดที่จะเกิดการปรับตัวตามปกติอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้น มันก็ควรจะเกิดเหตุการณ์เหมือนการปรับตัวปกติครั้งแรก และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น นี่คือเรื่องปกติธรรมชาติของหุ้นใด ๆ ก็ตามที่มีแนวโน้มชัดเจน

เกิดสัญญาณผิดปกติขึ้นหมายถึง การปรับตัวลดลงในวันเดียวถึง 6 เหรียญหรือมากกว่า จากราคาที่วิ่งขึ้นสูงสุดที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน บางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อมันได้เกิดขึ้น ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ นักเก็งกำไรที่ชาญฉลาดทุกคน ระมัดระวังต่อสัญญาณอันตราย แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ปัญหาของนักเก็งกำไรส่วนใหญ่คือ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในใจของพวกเขา ซึ่งจะมีนักเก็งกำไรผู้ที่รู้สึกว่าต้องคอยทำการซื้อขายเข้า ๆ ออก ๆ ตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นรากฐานสำหรับธุรกิจ เพราะจะได้ประโยชน์จากความผิดพลาดของนักลงทุนเหล่านี้ พวกเขาส่วนใหญ่ซื้อขายผิดพลาด เนื่องจากเมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวแกว่งตัวไปตามแนวโน้ม ทำให้สนใจทำกำไรจากการเคลื่อนไหวรายวันเล็ก ๆ มักจะพลาดและไม่ได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวใหญ่เมื่อมันเกิดขึ้น จุดอ่อนดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ โดยการจดบันทึกราคาหุ้น และศึกษารูปแบบการเคลื่อนไหวของหุ้น รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น และองค์ประกอบด้านจังหวะเวลาอย่างละเอียด

บทที่ 3

ตามหุ้นนำตลาด

มันมีสิ่งล่อลวงใจมากมายในตลาด โดยเฉพาะหลังจากช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จ จนทำให้หย่อนความระมัดระวัง หรือความคาดหวังกับผลลัพธ์มากเกินไป ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือสามัญสำนึกที่ถูกต้อง และความคิดที่ชัดเจนในการรักษาสิ่งที่มีอยู่ หากว่ามีหลักการที่ถูกต้อง จำไว้ว่ามันเป็นเรื่องอันตราย ที่จะกระจายความสนใจไปทั่วตลาด การที่สนใจในหุ้นจำนวนมากเกินไปในเวลาหนึ่ง มันง่ายกว่ามากที่จะเพ่งความสนใจไปยังหุ้นไม่กี่ตัว จำกัดการติดตามเฉพาะการเคลื่อนไหวของหุ้นที่โดดเด่นของวันนั้น หากไม่สามารถทำเงินจากหุ้นนำตลาด ก็ไม่น่าที่จะสามารถทำเงินจากหุ้นอื่น ๆ มันไม่ค่อยปลอดภัยที่จะสนใจหุ้นหลายตัวมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน จะรู้สึกวุ่นวายและสับสน ลองวิเคราะห์เปรียบเทียบในหุ้นแค่ไม่กี่กลุ่ม จะพบว่ามันง่ายกว่ามากที่จะมองเห็นภาพที่แท้จริงของมัน เปรียบกับการที่ต้องพยายามจำแนกหุ้นทั้งตลาด กลับไปสู่เรื่องเก่านั่นคือเล่นหุ้นนำตลาด ฝึกจัดการความคิดให้ยืดหยุ่น จำไว้ว่าผู้นำตลาดในวันนี้ อาจจะไม่ใช่หุ้นนำตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้าก็เป็นได้

ในครั้งแรกที่เจสซี่สนใจการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น นั่นคือตอนที่เขาอายุ 15 ปี ได้ทำการซื้อขายหุ้นในตลาด และจดบันทึกไว้ในสมุดบันทึกเล่มเล็กที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา จนสักระยะเวลาหนึ่งได้ทำการซื้อขายหุ้นครั้งแรก โดยมีส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของการซื้อหุ้น 5 หุ้นของหุ้น Chicago, Burlington & Quincy Railway ที่ร่วมลงทุนกับเพื่อน โดยเขาได้กำไรเป็นส่วนแบ่งมา 3.12 ดอลล่า หลังจากครั้งนั้นก็ได้กลายมาเป็นนักเก็งกำไรด้วยตัวเอง สำหรับตลาดยุคใหม่ จะเป็นยุคที่ให้โอกาสการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า สำหรับนักลงทุนและนักเก็งกำไรที่มีเหตุผล รอบคอบ และมีความสามารถรอบรู้

บทที่ 4

เงินในกำมือ

ความผิดพลาดจากนักเก็งกำไรที่ไร้ความสามารถนั้นพบเห็นได้ทั่วไป คนจำนวนมากมักเข้าซื้อหุ้นในลักษณะนี้ สมมติเริ่มซื้อหุ้นอยู่ที่ 50 เหรียญและ 2-3 วันถัดมา หุ้นซื้อขายกันที่ 74 เหรียญ พวกเขาจะกระตือรือร้นที่จะลดต้นทุนลง โดยการซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 100 หุ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นทั้งหมดลงมาเหลือ 48 เหรียญ จากการเข้าซื้อที่ 50 เหรียญไปแล้ว และต้องกังวลกับการขาดทุน 3 เหรียญบนหุ้น 100 หุ้น ความรู้สึกหรือเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาซื้อ 100 หุ้น และเพิ่มความกังวลขึ้นไปอีกเท่าตัวหากราคาลดลง

เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นสิ่งนี้ซ้ำ ๆ และเพื่อให้แนวทางแนะนำไม่ให้ซื้อหุ้นเฉลี่ยขาลง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จะขยายการค้าไปยังลูกค้าที่มีความหลากหลาย โดยจะไม่ทำการขายทั้งหมดกับลูกค้าแต่เพียงรายเดียว จำนวนลูกค้าที่มากขึ้นจะมีฐานที่กว้างคือ การกระจายความเสี่ยง นักเก็งกำไรควรตั้งกฎเกณฑ์ในทุกครั้งที่เขาลงทุนแล้วประสบความสำเร็จ ด้วยการดึงกำไรที่ทำได้ครึ่งหนึ่งออกมาและนำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย เงินที่นักเก็งกำไรได้ดึงออกมาจากตลาดหุ้นจริง ๆ ก็คือเงินที่พวกเขานำออกมาจากบัญชี หลังจากเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จนั่นเอง ควรดึงเอาเงินออกมานับเสียบ้าง มันทำให้รู้สึกถึงเงินที่อยู่ในมือ รู้สึกถึงมันได้ว่ามันเป็นเงินจริง ๆ เงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์หรือในธนาคาร ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเงินที่อยู่ในมือ ที่ได้สัมผัสมันผ่านปลายนิ้ว ซึ่งสิ่งนี้มันมีความหมายคือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ ซึ่งอย่างน้อยที่สุดมันทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากสูญเสียมันไป ดังนั้นควรใช้เวลากับเงินจริง ๆ บ้าง โดยเฉพาะหลังจากได้ทำการขายหุ้นไป แล้วยังไม่ได้ลงเงินซื้อหุ้นอะไรเข้ามา

บทที่ 5 จุดเปลี่ยน

เริ่มต้นการลงทุนในจังหวะเวลาที่สำคัญเหมาะสม ในจุดที่เป็นการเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว ไม่ต้องกังวลกับผลขาดทุนด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายคือ ได้เข้าซื้อและสะสมหุ้นทันทีที่บันทึกบอกให้ทำเช่นนั้น ทันทีที่ต้องทำหลังจากนั้นคือนั่งอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้ตลาดวิ่งไปตามปฏิกิริยาของตลาด จะเป็นตัวบอกเองว่าเมื่อใดจึงควรเป็นจังหวะเวลา ที่จะทำการขายเพื่อผลกำไร   เจสซี่ไม่ใช้คำว่า กระทิงหรือหมี ในการระบุแนวโน้มของตลาด เขามักจะใช้คำว่า แนวโน้มทางขึ้น (upward trend) และแนวโน้มทางลง (downward trend) เนื่องจากพวกมันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นได้ดีกว่า

วิธีการของเจสซี่ (The Livermore Method) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ในการบันทึกราคาหุ้น ที่สอดคล้องกับองค์ประกอบทางด้านจังหวะเวลา การบริหารเงินทุนและกฎในการควบคุมอารมณ์ สิ่งนี้คือผลลัพธ์ของการศึกษา ในหลักการเก็งกำไรมากว่า 30 ปี ซึ่งใช้ในการวางแนวทางเบื้องต้น เพื่อที่จะคาดคะเนถึงการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ๆ ของตลาดหุ้นต่อไป เริ่มต้นการจดบันทึกพบว่ามันไม่ได้ช่วยมากนัก จากการที่เริ่มทำไปทีละเล็กทีละน้อย และมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มที่จะพัฒนาแนวความคิดที่ทำให้เขาไม่เคยได้คิดถึงมาก่อน และบันทึกแต่ละอันที่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ทำให้มันเริ่มอยู่ในรูปแบบที่ดีขึ้นกว่าเดิม การบันทึกต่อจากนั้นจึงเริ่มบันทึกมันในหลายรูปแบบที่แตกต่างกัน ในที่สุดมันทำให้ได้ค้นพบจุดเปลี่ยน (Pivotal point) และนำไปใช้เพื่อการทำกำไรในตลาด บันทึกในปัจจุบันถูกวางไว้ในรูปแบบที่มันจะสามารถบ่งบอกข้อมูลที่มีประโยชน์ หากยอมที่จะรับฟังมัน

เมื่อนักเก็งกำไรสามารถหาจุดเปลี่ยนของหุ้น และแปลความหมายของปฏิกิริยาที่เกิดในจุดนั้นได้ เขาจะสามารถเข้าซื้อโดยมีข้อได้เปรียบของการเข้าซื้อ ในทิศทางที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม  โดยการจดบันทึกอย่างต่อเนื่อง และพิจารณาองค์ประกอบด้านจังหวะเวลา ก็สามารถค้นพบจุดเปลี่ยนจำนวนมาก ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดเข้าซื้อตลาดหุ้น ที่สามารถคาดหวังกับการเคลื่อนไหวในทางที่ดีได้ รูปแบบราคาเตือนว่าทุกการเคลื่อนไหวที่สำคัญคือ การช้ำรอยการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นของรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน มันเคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อคุ้นเคยกับรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตแล้ว จะสามารถคาดการณ์และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง และทำกำไรจากเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้น บันทึกเหล่านี้มิใช่สิ่งที่สมบูรณ์ แต่มันเป็นประโยชน์ได้ เพียงรู้หลักการเบื้องต้นในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต

บทที่ 6

ความผิดพลาดราคาหนึ่งล้านเหรียญ

หลักการพื้นฐานบางประการในการซื้อขาย วิธีการนำไปใช้ร่วมกับองค์ประกอบด้านจังหวะเวลา การบริหารจัดการเงินลงทุน และการควบคุมอารมณ์ หากพิจารณาหลักการเก็งกำไรโดยทั่วไปสามารถกล่าวได้ว่า มีนักเก็งกำไรเป็นจำนวนมากที่รีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดในทีเดียว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดและอันตราย ลองสมมติว่าต้องการซื้อหุ้น 500 หุ้น หากเริ่มซื้อหุ้น 100 หุ้น และเมื่อราคาปรับขึ้นต่อก็ทยอยซื้อหุ้นอีก 100 หุ้นนั้น เป็นเหมือนวิธีการตรวจสอบ เพื่อดูว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้อง และวิธีการซื้อที่ถือได้ว่าถูกต้องอย่างที่แท้จริง ทุกครั้งที่เข้าซื้อราคาหุ้นสมควรสูงขึ้นกว่าครั้งก่อน

กฎข้อเดียวกันควรถูกนำไปใช้กับการขายชอร์ตเช่นกัน อย่าได้ทำการขายชอร์ตเพิ่ม จนกว่ามันจะเป็นราคาที่ต่ำลงกว่าครั้งก่อน โดยการทำตามกฎนี้จะได้เป็นคนที่เข้าใจฝั่งของการซื้อขายอย่างถูกต้องมากกว่า เหตุผลสำหรับสิ่งนี้คือ ทุกครั้งที่เข้าไปทำการซื้อขายจะมีกำไรทุกครั้ง ความจริงที่ว่าการซื้อขายนั้นแสดงให้เห็นถึงกำไร คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าวิธีที่ทำนั้นถูกต้อง ศึกษาสมุดบันทึกราคาหุ้น ศึกษามันอย่างรอบคอบถึงการเคลื่อนไหวของราคา ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อค้นหาจุดเปลี่ยน และดูว่าจุดไหนควรจะเป็นจุดที่หุ้นสามารถขึ้นไปถึง หากการเคลื่อนไหวได้เริ่มต้นขึ้น นั่นคือเวลาที่ควรจะเริ่มต้นการเข้าซื้อ และในการเข้าซื้อควรตัดสินใจถึงจำนวนเงินที่แน่นอนที่ต้องการจะเสี่ยง หากว่าสิ่งที่คิดไม่เป็นไปตามนั้น อาจจะทำการเข้าซื้อวิธีการนี้หนึ่งหรือสองครั้ง จงระมัดระวังจังหวะเวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญ และความอดทนนั้นมันก็ให้บทเรียนที่มีราคาแพง

ตัวอย่างความผิดพลาดของเจสซี่ หลายปีมาแล้วเขามองว่าตลาดฝ้ายนั้นเป็นกระทิง และได้สรุปความเห็นว่าราคาฝ้ายนั้นจะขึ้นครั้งใหญ่ แต่เช่นที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ แต่ราคามันยังไม่ได้เริ่มขึ้น ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เขาจึงเริ่มต้นซื้อ 20,000 กระสอบ ที่ราคาตลาด ทำให้ราคาปรับขึ้นไปถึง 15 เหรียญฯ เมื่อซื้อ 100 กระสอบสุดท้าย ตลาดก็ซึมเซากลับลงมายังราคาตลาดเดิมที่ได้เริ่มเข้าซื้อ และเป็นอยู่อย่างนั้นไปหลายวัน ท้ายที่สุดด้วยความรำคาญ เจสซี่จึงได้ขายสัญญาทั้งหมดทิ้ง ทำให้เขาขาดทุนไป 30,000 เหรียญฯ รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขายแล้ว ไม่กี่วันต่อมา ราคาฝ้ายก็เริ่มกลับเข้าสู่ความสนใจอีกครั้ง และไม่สามารถละทิ้งความคิดนี้ออกไปได้ จึงกลับเข้าไปซื้ออีก 20,000 กระสอบ เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นอีก ราคากระโดดขึ้นเพราะคำสั่งซื้อของเขา หลังจากนั้นราคาก็ร่วงกลับลงมา การรอคอยทำให้เขาเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็เลยตัดสินใจขายสัญญาทิ้งไปอีกครั้ง มันเป็นการซื้อขายที่มีต้นทุนราคาแพง

เจสซี่ทำการซื้อขายซ้ำ ๆ แบบนี้ถึง 5 ครั้ง ในเวลา 6 สัปดาห์ ผลขาดทุนรวม 200,000 เหรียญฯ โดยที่ไม่ได้อะไรที่น่าพอใจ จึงสั่งให้ผู้จัดการสำนักงานให้เอาราคาออกจากกระดาน อีกสองวันต่อมาราคาของมันก็เริ่มวิ่งขึ้น และคราวนี้มันไม่หยุด จนกระทั่งขึ้นไปกว่า 500 จุด ทำให้พลาดหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจและดีที่สุดไป มันเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุผล 2 ประการคือ หนึ่งขาดความอดทนที่จะรอคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะสมที่มีนัยสำคัญมาถึง มีสัญญาณการเคลื่อนไหวในราคาก่อนที่จะเริ่มเข้าซื้อ สองการยอมให้ตัวเองนั้นมีอารมณ์โกรธและสะอิดสะเอียนกับตลาดฝ้าย เพราะเพราะการตัดสินใจที่แย่และไม่สอดคล้องกับขั้นตอนการเก็งกำไร เพื่อดำเนินการตามสิ่งที่คิด และแผนการที่ได้วางไว้แล้ว

ซึ่งทำให้ไม่เพียงแต่จะต้องเสียเงินไป 200,000 เหรียญฯ แต่ยังรวมถึงกำไรที่หายไปอีก 1,000,000 เหรียญฯ จากแผนการตั้งต้นที่อยู่ในหัว ที่จะทยอยสะสมฝ้ายให้ถึง 100,000 กระสอบ หลังจากราคาของมันสามารถผ่านราคาที่เป็นจุดเปลี่ยนไปได้ ไม่ควรพลาดการทำกำไร 200 จุด หรือมากกว่าจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้

ขอให้พกสมุดบันทึกเล็ก ๆ ติดตัวอยู่เสมอ และทำการบันทึกข้อมูลที่น่าสนใจที่น่าจะเป็นประโยชน์ในอนาคต ความคิดเกี่ยวกับการลงทุนอาจจะถูกนำกลับมาอ่านซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ข้อสังเกตส่วนบุคคลที่พบในการเคลื่อนไหวของราคา ในการเก็งกำไรและการลงทุนนั้น ความสำเร็จจะมาหาก็เฉพาะคนที่ทำงานหนักเพื่อมัน ไม่มีใครที่จะให้เงินคุณอย่างง่าย ๆ

บทที่ 7

กำไรสามล้านเหรียญ

นี่จะเป็นตัวอย่างเมื่อเจสซี่รอคอยเวลา และผลของการรอคอยจนถึงเวลาที่เป็นจุดเหมาะสมในการซื้อขาย ในฤดูร้อนของปี 1924 ราคาข้าวสาลีได้ปรับตัวขึ้นไปถึงจุดที่เรียกว่าจุดเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงเข้ามาเก็งกำไร โดยเริ่มเข้าซื้อที่ 5 ล้านบุชเชล การจับคู่ของคำสั่งซื้อขายของปริมาณการซื้อขนาดนี้ จึงไม่มีผลให้ราคาเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปสักเท่าไร เมื่อนำมาเปรียบเทียบการซื้อขายหุ้น คำสั่งซื้อนี้เทียบเท่ากับราคาซื้อขายหุ้นราวกับ 50,000 หุ้น ทันทีที่การจับคู่ซื้อขายเสร็จสิ้น ตลาดก็ซึมเซาไปสองสามวัน แต่ราคาไม่ลดลงต่ำกว่าจุดเปลี่ยน จากนั้นตลาดก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง และขึ้นไปเกินกว่าจุดสูงสุดเดิมไม่กี่เซนต์ และเงียบเหงาไปอีกสองสามวัน

ทันทีที่ราคาทะลุจุดเปลี่ยนถัดไป เขาส่งคำสั่งซื้ออีก 5 ล้านบุชเชล มันถูกจับคู่ด้วยราคาเฉลี่ยเหนือจุดเปลี่ยน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ตลาดได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง เมื่อได้กำไรอยู่ 25 เซนต์ต่อบุชเชลก็ได้ขายออกไป และนั่งมองมันวิ่งขึ้นไปอีก 20 เซนต์ในเวลาแค่ไม่กี่วัน ทำให้รู้สึกว่าผิดพลาด คิดว่าทำไมต้องกลัวกับการสูญเสียกำไรที่ตอนแรกไม่ได้เป็นเจ้าของมันเลย เพราะกังวลมากเกินไปในเรื่องการเปลี่ยนกำไรทางบัญชีให้กลายเป็นเงินจริง ๆ ในเวลาที่ควรอดทนและมีความกล้าที่จะถือมันไปจนจบการเคลื่อนไหว เมื่อแนวโน้มทางขึ้นไปถึงจุดเปลี่ยน เมื่อมองเห็นสัญญาณอันตราย โดยมีเวลาเหลือเฟือในการจัดการมัน จึงตัดสินใจกลับเข้าไปซื้ออีกครั้ง ที่ราคาเฉลี่ยสูงขึ้น 25 เซนต์จากราคาที่ขายไป ในตอนแรกกล้าที่จะซื้อเพียง 5 ล้านบุชเชล และทำการซื้อขายแบบนี้ไปอีกหลายครั้ง ผลลัพธ์สุทธิของการซื้อขายทุกรายการ ทำให้เขาได้กำไรมากกว่า 3 ล้านเหรียญ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการขายชอร์ต เปิดตลาดกินกำไรนอกจากผู้ที่ทำการขายชอร์ต ไปก็จำเป็นจะต้องซื้อคืน ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ตลาดมีเสถียรภาพในเวลาที่ตื่นตระหนก

วันเวลาของนักเก็งกำไรแบบเดิมได้ผ่านไปแล้ว มันจะถูกแทนที่ในอนาคตโดยนักเก็งกำไรแบบกึ่งลงทุน ซึ่งอาจจะไม่ใช่คนที่สามารถสร้างเงินก้อนใหญ่จากตลาดอย่างรวดเร็ว แต่จะสามารถสร้างเงินได้มากกว่าในระยะยาว รวมถึงสามารถรักษามันไว้ได้ นักลงทุนกึ่งเก็งกำไรในอนาคตที่ประสบความสำเร็จ จะซื้อขายเฉพาะช่วงจังหวะที่เหมาะสมกับจุดเปลี่ยน และในที่สุดจะสามารถทำเงินจากตลาดได้มากกว่านักเก็งกำไรแบบเดิม ๆ โดยทำให้อนาคตนั้นสดใสอย่างมาก สำหรับนักเก็งกำไรที่ชาญฉลาดผู้เสาะแสวงหาความรู้ และเต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทน

บทที่ 8

ความลับของจังหวะ

จังหวะ (Timing) : จังหวะคือทุกสิ่ง

การวิเคราะห์แบบบนลงล่าง (TDT : Top Down Trading) หลักของการพิจารณาแบบบนลงล่างนั้นเรียบง่ายตรงตัว นั่นคือก่อนที่จะเข้าเก็งกำไรหุ้นใด ๆ ให้ตรวจสอบประเด็นต่อไปนี้

ภาพตลาดรวม (TM : The Market) ตรวจสอบการเคลื่อนไหวที่เป็นเส้นทางสะดวก เพื่อกำหนดภาพรวมทิศทางตลาด ลิเวอร์มอร์ใช้คำว่า ทางสะดวก  (line of least resistance) โดยเขาจะตรวจสอบให้มั่นใจว่า เส้นทางนั้นเป็นบวก ลบ หรือกลาง ซึ่งหมายถึงการเคลื่อนไหวออกข้าง  ตรวจสอบภาวะตลาดที่หุ้นซื้อขายในขณะนั้น ว่าอยู่ในทิศทางเดียวกับการซื้อขาย ก่อนที่จะเริ่มการซื้อขาย

กลุ่มอุตสาหกรรม (TIG : The Industry Group) ตรวจสอบกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมเคลื่อนไหวในทิศทางที่ถูกต้อง และทางสะดวกของหุ้นน่าจะทำเงินให้ในการซื้อขายที่เลือก

กลุ่มที่เคลื่อนไหวตามกัน (TT : Tandem Trading) ตรวจสอบหุ้นและหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกัน เก็งกำไรหุ้นที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกัน จำเป็นที่เทรดเดอร์จะต้องเปรียบเทียบหุ้น 2 ตัวที่คล้ายหรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน

การวิเคราะห์แบบบนลงล่างขั้นตอนสุดท้ายคือ การพิจารณาปัจจัยทั้ง 4 ในเวลาเดียวกันได้แก่ ภาพตลาด กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มที่เคลื่อนไหวคล้ายกัน และกลุ่มเกี่ยวข้องกัน และหุ้นที่จะซื้อ

การวิเคราะห์ ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้ายในหุ้นที่ตัดสินใจจะเข้าซื้อขาย นี่เป็นความรับผิดชอบของคุณเอง ที่จะต้องทำการวิเคราะห์ลึกซึ้ง ขั้นตอนสุดท้ายนี้จะต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้น เพราะมันเป็นเงินของคุณ

การเคลื่อนไหวแบบกลุ่ม (Industry Group Movements)

ในปี 1920 ริเวอร์มอลล์สร้างการค้นพบที่สำคัญ ที่ประยุกต์เข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายการเคลื่อนไหวแบบกลุ่ม (Industry Group Movements) เขาสรุปสิ่งนี้จากการสังเกตว่าหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวเพียงลำพัง พวกมันไปเป็นกลุ่ม หาก U.S. Steel ขึ้น หุ้น Bethlehem, Republic และ Crucible จะเคลื่อนที่ตามไปด้วยกัน เขาสังเกตสิ่งเหล่านี้อีกหลายครั้ง จนกลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญของเขา เบาะแสที่สำคัญเมื่อหุ้นรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจไม่ได้เคลื่อนไหวขึ้น และไม่สอดคล้องกับหุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่ม มันอาจหมายถึงหุ้นตัวนี้อ่อนแอหรือป่วย ซึ่งมันอาจจะเป็นโอกาสขายชอร์ตที่ดี หรืออย่างน้อยที่สุดเทรดเดอร์ก็ควรระวังการเข้าซื้อหุ้นใด ๆ ที่เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องตามกันกับกลุ่ม ยกเว้นข้อเดียวของการเคลื่อนไหวแบบกลุ่มคือ เมื่อหุ้นตัวเดียวกันมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของดัชนีกลุ่ม ไม่ช้าก็เร็วที่เหลือจะเคลื่อนไหวตามหุ้นนั้น

ติดตามหุ้นนำตลาด (FCL : Following the Current Leaders) ริเวอร์มอร์พัฒนาระบบที่ซับซ้อนของการติดตามผู้นำตลาด ความสนใจของเขามี 2 ประเด็นคือ

จำกัดความสนใจของหุ้นเฉพาะกับหุ้นเด่น ซึ่งก็คือหุ้นนำตลาด ซื้อขายเฉพาะหุ้นในกลุ่มนี้ หากไม่สามารถนำเงินจากหุ้นที่เก่งกว่าตลาด ก็ไม่น่าจะสามารถทำงินจากตลาดหุ้นได้

ประการต่อมา ด้วยการติดตามเฉพาะหุ้นนำ จะทำให้กลุ่มหุ้นที่จะลงทุนมีขนาดเล็ก และ สามารถดูแลได้ทั่วถึง สิ่งนี้ทำให้โฟกัสและซื้อขายหุ้นที่มีศักยภาพสูง อย่าให้ความโลภเข้าครอบงำโดยการพยายามหาจังหวะซื้อขายที่มีจุดสูงสุดหรือต่ำสุด เขายังเชื่อว่าจังหวะการซื้อขาย ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยราคาที่สูง ซื้อหุ้นที่กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ และขายชอร์ตหากหุ้นนั้นทำจุดต่ำสุดใหม่ เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปในยุคของเขา หุ้นบางตัวสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ หรือจุดต่ำสุดใหม่ไปได้เรื่อย ๆ ทำให้สามารถถือได้เป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน

หาจุดสูงสุดจากกลุ่มอุตสาหกรรม

พฤติกรรมกลุ่มของหุ้นเป็นสิ่งสำคัญต่อทิศทางภาพรวมของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่มักถูกมองข้ามโดยเทรดเดอร์ไม่ว่าจะรายใหญ่หรือเล็ก เมื่อกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจเริ่มมีโมเมนตัมอ่อนลง และปรับลดลงแรง สิ่งนี้มักจะแสดงถึงการปรับฐานของตลาด เขาได้ใช้สิ่งนี้เตือนในการกลับทิศทางของตลาดในปี 1907 และ 1,929 จากการที่หุ้นนำตลาดจะเปลี่ยนทิศทางไปเป็นกลุ่มแรก ๆ

การเทรดหุ้นที่คล้ายกัน (TT : Tandem Trading) ขายหุ้นที่คล้ายกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน คือหลักการสำคัญของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องไม่มองแค่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง มองสองตัวติดตาม 2 ตัว เพราะหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน การติดตามหุ้น 2 ตัวช่วยเพิ่มการยืนยันในมิติด้านจิตวิทยาการซื้อขาย สังเกตเห็นว่ามันไปด้วยกัน และการเคลื่อนที่ของมันจะยืนยันซึ่งกันและกัน

จุดเปลี่ยนแบบกลับตัว (RPP : Reversal Pivotal Points) ทฤษดีดังกล่าวบัญญัติโดยริเวอร์มอร์ ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมทางจิตวิทยา ที่เหมาะสมต่อการเข้าทำการซื้อขาย เขาไม่เคยอยากซื้อที่จุดต่ำสุดหรือขายที่จุดสูงสุด เขาต้องการซื้อถูกเวลาและขายถูกเวลา สิ่งนี้ทำให้เขาต้องอดทนรอคอยการเกิดขึ้นของจุดเปลี่ยนที่สมบูรณ์ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะเขารู้ว่ารูปแบบที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นในที่สุด เขาเฝ้ารอและรอนั่นคือความลับในความสำเร็จของจังหวะซื้อขาย เขามักจะพูดบ่อย ๆ ว่าไม่ใช่การใช้ความคิดที่ทำให้ได้เงิน แต่คือการนั่งและรอที่ทำให้ได้เงิน

การประเมินจุดเปลี่ยนแบบไปต่อ (CPP : Evaluating Continuation Pivotal Points) มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจถึงจุดเปลี่ยน ที่เป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของหุ้น และจุดเปลี่ยนแบบไปต่อจะยืนยันว่าการเคลื่อนไหวนั้น ดำเนินเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นหากจุดเปลี่ยนแบบไปต่อนั้น ต้องเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มที่ดำเนินมาก่อนหน้าที่จะเกิดการพักตัว นิยามจุดเปลี่ยนแบบไปต่อว่าคือการพักตัวในช่วงที่หุ้นเป็นขาขึ้น

ราคาหุ้นเป็นแบบแท่งยาว (S : Spikes) และการปรับตัวในวันเดียว (ODR : One Day Reversals) ต้องคอยระมัดระวังมาก ๆ ในกรณีที่ราคาหุ้นพุ่งแรงจนเป็นแท่งยาว พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ของการซื้อขายเฉลี่ยปกติ สิ่งนี้มักจะนำไปสู่การปรับตัวในวันเดียว การที่ราคาสูงสุดของหุ้นปรับสูงขึ้นมากกว่าวันก่อนหน้า แต่ราคาปิดลดลงต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้า โดยที่ปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากกว่าวันก่อนหน้า

การทะลุขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (BONH : Breakouts On a New High) หมายถึงการที่หุ้นสามารถทะลุแรงต้านทานที่กดทับ และมันมักจะเดินหน้าไปต่อ

การทะลุจากการสร้างฐาน (BOCB : Breakout from a Consolidating Base) บางครั้งหุ้นต้องใช้เวลาในการปรับฐาน และสร้างฐานก่อนที่จะเดินหน้าต่อ ฐานราคาทำให้หุ้นมีโอกาสพักหายใจ ทั้งยังทำให้ยอดขาย และกำไรวิ่งทันกับมูลค่าของหุ้น คนจะไม่ยอมรับว่าขาดทุน นักลงทุนจะถือหุ้นนั้นแม้ว่ามันจะลง แล้วรอและหวังว่าราคาที่ตกมันจะกลับมายังจุดที่เขาได้ซื้อ เพื่อที่จะได้ขายมัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมหุ้นหลาย ๆ ตัวมักปรับลดลงหลังวิ่งกลับไปถึงจุดสูงสุดเดิม นั่นก็เพราะคนที่ติดหุ้นอยู่อยากจะขายเพื่อเอาเงินคืน นี่คือเหตุผลที่ทำไมลิเวอร์มอร์จึงซื้อหุ้นเมื่อมันราคาทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ เหตุผลก็ง่ายอีกเช่นกัน คือเมื่อหุ้นทะลุขึ้นไปได้ จะไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรอที่จะคอยขายเข้าใส่ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วทางจะเปิดโล่ง การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขายเป็น สัญญาณเตือน มันมักจะหมายถึงอะไรบ้างอย่างกำลังเคลื่อนไหว ความเปลี่ยนแปลง ความแตกต่าง กระทั่งความผิดปกติ ปริมาณซื้อขายมักจะนำมาสู่สัญญาณของการระเบิด ซึ่งจะบอกว่าหุ้นน่าจะลง หรือบอกว่าจริง ๆ แล้วมันน่าสนใจ และพร้อมที่จะขึ้นต่อไปอีก ในทางกลับกัน หากมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น แต่ราคาไม่ไปไหน ไม่ปรับตัวขึ้น ไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ และดูไม่มีแรงที่จะไปต่อ ให้ระวังเพราะนี่คือเงื่อนงำสำคัญ ซึ่งเตือนว่าหุ้นน่าจะทำจุดสูงสุดไปแล้ว

ลิเวอร์มอร์มักจะเตือนให้มองไปที่ปริมาณการซื้อขาย เป็นสัญญาที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดการเคลื่อนที่ของแนวโน้มใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดในภาพรวมหรือหุ้นรายตัว มันไม่ใช่เรื่องปกติที่หุ้นอยู่ดี ๆ จะปรับตัว ไม่มีทางที่จะนำจุดสูงสุดใหม่ หากไม่ได้เกิดการปรับตัวลงอย่างหนักก่อน การเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายด้วยปริมาณซื้อขายมหาศาล มักจะสร้างโอกาสที่จะขายหุ้น ซึ่งปกติมักจะไม่ได้มีปริมาณซื้อขายรองรับมากนัก ซึ่งจริง ๆ แล้วมันดีกว่ามาก ที่ขายหุ้นจำนวนมาก ๆ ในจังหวะที่ตลาดเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง และมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น

เส้นทางสะดวก (Line of least resistance) สิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของลิเวอร์มอร์ สำหรับการที่จะเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จคือ การหาเส้นทางสะดวกในตลาดหุ้นของกลุ่มอุตสาหกรรม ในตลาดหุ้นหลีกเลี่ยงที่จะเข้าปะทะ เมื่อค่อนข้างสงบหรือไม่ค่อยไปไหน มีการแกว่งตัวออกข้าง ก็แค่ออกจากตลาด หยุดพัก หาอะไรสนุก ๆ ทำ หรือไปพักผ่อนหย่อนใจ และค่อยกลับมาเมื่อลมเริ่มพัดอีกครั้ง มันเป็นเวลาที่สำคัญที่จะออกจากตลาด นั่งกอดเงินอยู่เฉย ๆ

นิสัยของหุ้น

ลิเวอร์มอร์มองว่าหุ้นแต่ละตัวก็เหมือนคน มีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว นิสัยที่โดดเด่นออกมาเช่น ก้าวร้าว เก็บเนื้อเก็บตัว แสดงออก ดูจริงจัง ผันผวน น่าเบื่อ ตรงไปตรงมา มีตรรกะ คาดเดาได้ หรือคาดเดาไม่ได้ เมื่อศึกษาไปสักระยะหนึ่งจะพบว่า ปฏิกิริยาของหุ้นต่อสถานการณ์บางอย่างนั้นสามารถคาดเดาได้ ตราบใดที่หุ้นยังแสดงออกอย่างเหมาะสม มีการเคลื่อนไหวดูเป็นปกติ ไม่ว่าจะการพักฐาน การปรับฐาน ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามทิศทาง ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว และการที่หุ้นถูกขายหลังจากจุดสูงสุดใหม่ ควรจะทำให้นักเก็งกำไรยิ่งมั่นใจ ในทางกลับกัน นักเก็งกำไร นักลงทุนก็ไม่ควรนิ่งเฉยหรือวางใจ โดยเฉพาะเมื่อพลาดสัญญาณบางอย่าง ขณะที่หุ้น อาจจะกำลังทำจุดสูงสุด และกำลังสร้างจุดเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลไปยังการเปลี่ยนทิศทาง หรือการกลับตัวของแนวโน้ม

ความรู้และความอดทน

ปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นคือ ความรู้และความอดทน มีน้อยคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความอดทน พวกเขาเหล่านั้นอยากรวยเร็ว คนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเข้าซื้อเมื่อหุ้นกำลังขึ้นไปใกล้จุดสูงสุด พวกเขาไม่อยากซื้อตอนหุ้นลงอยู่ในที่ต่ำ ๆ และรอจนกระทั่งหุ้นเริ่มสร้างจุดเปลี่ยนและเริ่มฟื้นตัว ในระยะยาว ความอดทนเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อปัจจัยอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้นก็แต่ความรู้ ทั้งสองปัจจัยนี้เป็นสิ่งสำคัญควบคู่กัน คนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน ควรที่จะเรียนรู้ความจริงอันเรียบง่ายนี้

บทที่ 9

การบริหารเงิน

การบริหารเงิน (MM : Money Management) การบริหารเงินเป็นตัวต่อชิ้นสำคัญ 1 ใน 3 ชิ้นที่ริเวอร์มอร์ให้ความสนใจ ได้แก่จังหวะเวลา การบริหารเงิน และการควบคุมอารมณ์ เขามีกฎสำคัญ 5 ข้อในการบริหารเงินดังนี้

กฎการบริหารเงินของริเวอร์มอร์ข้อที่ 1

การตรวจสอบ อย่าขาดทุน อย่ายอมให้ส่วนแบ่งเล็กลง และอย่าเสียจุดยืน นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินทุนก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าในร้าน เงินทุนเปรียบเสมือนสินค้า เป็นเส้นเลือดเป็นเพื่อนแท้ หากไม่มีเงินก็ไม่สามารถทำธุรกิจ อย่าสูญเสียมันไป สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่ควรจะระลึกคือ ทุกครั้งที่ซื้อเพิ่มมันจะต้องเป็นราคาที่สูงขึ้น และกฎเกณฑ์เดียวกันนี้ใช้กับการขายชอร์ตด้วยเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่ซอร์ตเพิ่ม ราคาต้องต่ำลงกว่าครั้งก่อนหน้า

ส่วนที่ยากสำหรับนักเก็งกำไรที่ไม่มีประสบการณ์ คือการซื้อแพงขึ้นในแต่ละครั้ง ทุกคนก็อยากได้ของถูก มันตรงข้ามกับสัญชาตญาณของมนุษย์ทั่วไปที่จะจ่ายแพงขึ้นทุกครั้งที่ซื้อ คนเราอยากซื้อที่จุดต่ำสุดและขายที่จุดสูงสุด หลักการที่สำคัญประกอบขึ้นจาก 3 ปัจจัย ประการแรกอย่าซื้อทั้งหมดในไม้เดียว ประการที่ 2 คือรอสัญญาณยืนยันว่าคิดถูก จึงยอมจ่ายแพงขึ้น และประการที่ 3 คือให้วางแผนจำนวนที่จะซื้อทั้งหมดในใจ หรือกำหนดเป็นจำนวนเงินที่ต้องการซื้อทั้งหมด ก่อนหน้าที่จะเริ่มการเก็งกำไร

กฎการบริหารเงินของริเวอร์มอลล์ข้อที่ 2

ควรตั้งเป้าหมายของจำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อ และสัดส่วนสูงสุดในพอร์ตโฟลิโอ ที่จะใช้สำหรับการเข้าลงทุนในหุ้นตัวเดียว นักเก็งกำไรควรจะตั้งเป้าหมายคร่าว ๆ ไว้ด้วย การตัดขาดทุนที่ระดับ 10% กลายมาเป็นกฎที่สำคัญ ในการบริหารเงินหน้าตัก จำไว้ว่านักเก็งกำไรต้องตั้งจุดตัดขาดทุนที่แน่นอนก่อนที่จะเริ่มการซื้อขาย และต้องไม่ยอมขาดทุนเกิน 10% ของเงินทุนโดยเด็ดขาด หากขาดทุนถึงมากถึง 50% ต้องทำ 100% เพื่อให้ได้กลับมาเท่าทุน

กฎการบริหารเงินของลิเวอร์มอร์ ข้อที่ 3

มีเงินสดสำรองอยู่ตลอดเวลา นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จมักจะมีเงินสดในมือเสมอ เหมือนแม่ทัพที่มีกำลังพลสำรองพร้อมเพื่อเวลาเดินทัพที่เหมาะสม เมื่อถึงเวลาที่เดินทัพด้วยความเชื่อมั่น เพื่อทำศึกพิชิตชัยชนะสุดท้าย สิ่งนี้เกิดได้เพราะเขารอให้ปัจจัยต่าง ๆ สุกงอม และโซนกระทั่งความน่าจะเป็นของการศึกอยู่ข้างเขา ในตลาดหุ้นโอกาสที่จะมาเสมอ ๆ ถ้าถึงแม้จะทำพลาด โอกาสที่ดีก็จงรอสักครู่ อดทนสักนิด แล้วโอกาสใหม่ก็จะปรากฏขึ้นอีก รอจนกระทั่งเงื่อนไขต่าง ๆ เข้าข้าง และระลึกไว้เสมอว่าไม่จำเป็นต้องอยู่กับตลาดตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เงินที่อยู่นิ่ง ๆ เมื่อถูกใช้อย่างถูกที่ถูกเวลา ก็จะกลายเป็นผลตอบแทนมหาศาล อดทน อดทน อดทน เพราะความอดทนคือกุญแจของความสำเร็จ ไม่ใช่ความรวดเร็ว จังหวะเวลาคือเพื่อนที่ดีของนักเก็งกำไร

กฎการบริหารเงินของริเวอร์มอลล์ข้อที่ 4

อยู่กับผู้ชนะ ตราบใดที่หุ้นยังไปถูกทิศทางก็ไม่ควรรีบร้อนที่จะขาย ปล่อยให้มันวิ่งไปเรื่อย ๆ มันอาจจะกลายเป็นกำไรก้อนใหญ่ ตราบใดที่ภาพรวมของตลาด และหุ้นไม่ได้น่าเป็นกังวล  ประเด็นสำคัญในการเข้าซื้อหุ้นคือ พยายามซื้อให้ใกล้เคียงกับจุดเปลี่ยนแบบปรับตัว หรือจุดเปลี่ยนแบบไปต่อ ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ตัดสินใจ หากหุ้นเดินหน้าจากจุดเปลี่ยน จงถือมันและทำใจให้สบาย อยู่กับหุ้นที่ชนะ ถือมันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเจอเหตุผลที่จะขายมันเท่านั้น

กฎการบริหารเงินของริเวอร์มอร์ ข้อที่ 5

ให้ชักเงินกำไรขึ้นครึ่งหนึ่งจากการเทรดที่ประสบความสำเร็จ เก็บเงินบางส่วนขึ้นมาฝากไว้ในธนาคาร เก็บไว้เป็นเงินฉุกเฉิน หรือจะเก็บเงินไว้ในตู้นิรภัยก็ได้

หลีกเลี่ยงหุ้นถูก

ความผิดพลาดข้อใหญ่ที่นักลงทุนเคยทำ น่าจะเป็นการลงทุนที่ดูราคาถูก หุ้นราคาต่ำแบบนี้หลายตัว ในที่สุดก็ตกกลับลงมายิ่งกว่าที่ขึ้นไป บ้างก็ย่ำแย่และแช่อยู่เป็นเวลาหลายปี โดยมีความหวังเพียงน้อยนิดที่จะฟื้นขึ้นมา จนนักลงทุนสามารถกลับมากำไรได้ ในการเลือกหุ้น มันเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนจะหาว่าอุตสาหกรรมไหน หรือหุ้นกลุ่มไหน เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด กลุ่มไหนแข็งน้อยกว่า และกลุ่มไหนที่ดูค่อนข้างอ่อนแอ ไปจนถึงกลุ่มไหนที่อ่อนแอมาก นักเก็งกำไรไม่ควรตกหลุมไปกับหุ้นถูกที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ดูไม่ดี

อย่าสนใจความเคลื่อนไหวของคนวงใน

พวกกรรมการ หรือผู้บริหาร คนวงในโดยปกติแล้ว มักจะไม่ใช่ผู้ตัดสินที่ดีในหุ้นของพวกเขาเอง พวกเขารู้มากเกินไปเกี่ยวกับหุ้นของพวกเขา ส่วนใหญ่ไม่ต่างอะไรจากเชียร์ลีดเดอร์ พวกเขาต้องรับประกัน และสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือหุ้น เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ดี

วางเป้าหมายกำไร เพื่อคำนวณอัตราผลตอบแทนกับความเสี่ยง

เพ่งความสนใจไปยังอัตราส่วนกำไรที่คาดหวัง และขนาดของการลงทุน หากหุ้นซื้อขายที่ 200 เหรียญ แล้วคาดหวังกำไร 10 เหรียญหรือ 10% ดังนั้นต้องวางเงิน 200,000 เหรียญเพื่อสร้างกำไร 20,000 เหรียญ ไม่ว่าการลงทุนครั้งนั้นจะดูดีขนาดไหน การขาดทุนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องคำนึงว่า การขาดทุนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่าย ในการซื้อขายที่เกิดขึ้นได้ ควบคู่ไปกับอัตราดอกเบี้ยมาร์จิ้น ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย และภาษีที่คิดจากกำไรจากการลงทุน

กำหนดจุดตัดขาดทุนก่อนเริ่มการเข้าซื้อเสมอ

เมื่อเข้าซื้อหุ้นควรมีราคาเป้าหมายในการขายที่ชัดเจน ในกรณีที่หุ้นวิ่งไปคนละทางที่คาด ต้องทำตามกฎที่ตั้งอย่างเคร่งครัด อย่ายอมให้ขาดทุนเกิน 10% ของเงินทุน เพราะภาระขาดทุนเป็นสิ่งที่หนักหนาในการทำคืนเสมอ จงใช้เวลาเพื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้คือ การตัดสินใจถึงผลตอบแทนที่เป็นไปได้ เทียบกับขนาดของการลงทุน หากมันเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ให้ผลตอบแทนที่คาดหวังได้ไม่มาก ก็ไม่ควรไปยุ่งกับมัน ความตรวจสอบให้มั่นใจว่า ได้เข้าซื้อในจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญ และการใช้จุดดังกล่าวของจุดถอย หากการซื้อขายผิดทิศทาง เขียนแผนการลงทุนเอาไว้และทำตามนั้น ตรวจสอบว่าปัจจัยต่าง ๆ อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสภาวะตลาด การเคลื่อนไหวของกลุ่มอุตสาหกรรม การเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกัน ทุกสิ่งต้องเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน ทำตามนั้นโดยอัตโนมัติ ทำตัวให้เป็นหุ่นยนต์ ตามกฎและแผนการที่ตั้งไว้ ไม่มีนักเก็งกำไรคนไหนที่ไม่ผิดพลาด หากมีคนที่คิดถูกเสมอ เขาต้องการเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกไปแล้ว อย่างไรก็ตามเรายังสามารถหาผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล เพียงแต่รู้จักตัดขาดทุนให้เร็ว และปล่อยให้กำไรเติบโต อย่าขายหุ้นจนกว่าจะมีเหตุผลที่ดี

 เวลาในมิติของการเก็งกำไร

ความคาดหวังคือตัวการร้ายที่ทำลายนักเก็งกำไรจำนวนมาก ควรปล่อยผ่านระยะเวลา ยอมรับผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น มีจุดขายในใจ 2 จุดคือ เมื่อเข้าเก็งกำไรจะมีราคาตัดขาดทุน และเวลาตัดขาดทุนจะไม่ทนกับหุ้นที่มันไปคนละทางกับที่คาด และจะไม่ถือหุ้นนานหลายวัน หากมันไม่ได้กำลังไปอย่างที่คาดหวัง สิ่งนี้คือหลักการที่สำคัญของการเก็งกำไร

ประเด็นสำคัญในการบริหารจัดการเงิน

ต้องการโอกาสที่จะได้อย่างน้อยที่สุด 10 เหรียญ กฎของเจสซี่ในการลงทุนคือ เลือกอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งที่สุด และลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนั้น ความท้าทายที่สำคัญคือการหาว่าหุ้นไหนคือหุ้นที่กำลังนำตลาดอยู่ และการมองหาหุ้นนำตลาดตัวใหม่ที่จะเป็นผู้นำต่อจากหุ้นที่กำลังโดดเด่นอยู่ ในช่วงของการเปลี่ยนทิศทางของตลาด ความสำคัญคือการมองให้ออกว่าหุ้นนำไหนกำลังจะหมดแรง และอะไรคือหุ้นที่จะกลายเป็นหุ้นนำตัวใหม่ในอนาคต อย่าพยายามไปมองหุ้นราคาถูก หรือหุ้นที่ยังขึ้นน้อยกว่าที่ไม่เคลื่อนไหวตามกลุ่ม

การซื้อแบบพีระมิดของลิเวอร์มอร์

อย่าซื้อเฉลี่ยขาลง หากหุ้นซื้อราคาปรับลงอย่าซื้อเพิ่ม เพื่อพยายามที่จะดึงทุนลง ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะไม่ค่อยได้ผล สิ่งที่มักจะเข้าทางกว่าคือ ซื้อเฉลี่ยขาขึ้น ซื้อเพิ่มเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น การลงทุนส่วนใหญ่ในช่วงแรก หรือเมื่อเริ่มต้นของจุดเปลี่ยน และซื้อเพิ่มในจุดที่เรียกว่าจุดเปลี่ยนเพื่อไปต่อ ซึ่งมักเป็นจุดที่หุ้นเริ่มออกจากการพักตัวด้วยความแข็งแกร่ง โอกาสซื้อครั้งสุดท้ายสำหรับนักเก็งกำไรคือ เมื่อหุ้นทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ ด้วยปริมาณการซื้อขายหนาแน่น ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่ดี เพราะส่วนใหญ่มันจะหมายถึงไม่มีหุ้นค้างรอที่จะขายขายใส่ นั่นหมายถึงไม่มีอะไรมาขวางทางของหุ้นที่จะเดินหน้าต่อไปอีกระยะ

กำไรสิ่งสำคัญที่สุดของหุ้นทุก ๆ ตัว

ผลการดำเนินงาน กำไร และศักยภาพของกำไร เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนบริษัท ไม่ใช่อารมณ์ ความคาดหวัง หรือความโลภ ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย สิ่งที่ผลักดันราคาหุ้นคือกำไรของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจริง หรือไม่ก็คาดว่าจะเกิดขึ้น และความเป็นจริงจะเป็นกำไรที่กำหนดบทสรุปของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหรือหุ้นใด ๆ ก็ตาม

บทที่ 10

การควบคุมอารมณ์

มันอาจมีความคิดไปล้าน ๆ แบบในตลาด แต่โดยพื้นฐานแล้วมีรูปแบบทางจิตวิทยาเพียงไม่กี่รูปแบบที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงกัน นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จคือ คนที่เป็นเพื่อนกับความคาดหวัง และความคาดหวังนั้นก็อยู่บนเส้นทางชีวิต โดยดำเนินไปกับความโลภและความกลัว เมื่อเข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มเก็งกำไร ความคาดหวังคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการเอาตัวรอดของมนุษยชาติ แต่ความคาดหวังที่เกิดจากตลาดหุ้น ประกอบไปกับความไม่รู้ ความโลภ ความกลัวทั้งมวลเหล่านี้จะบิดเบือนเหตุผล ตลาดหุ้นนั้นพูดถึงแต่เรื่องของข้อเท็จจริง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงด้วยเหตุด้วยผล และตลาดก็ไม่เคยคิดผิด

การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดของชีวิตนักเก็งกำไรแต่ละคน การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักบางครั้งหมายถึงหายนะ ข้อแรกอย่าอยู่ในตลาดตลอดเวลา เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่มั่นใจชัด ๆ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือไม่แน่ใจขนาดของการเปลี่ยนแปลง ก็ขายเพื่อถือเงินและรอ ข้อสองการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่ สามารถทำร้ายนักเก็งกำไรได้ เพื่อตรวจสอบว่าต้องอยู่ถูกทาง โดยการส่งคำสั่งซื้อหยั่งเชิงด้วยเงินจริง ก็จะพบสัญญาณว่าแนวโน้มกำลังเปลี่ยนไป หากทุกครั้งที่เข้าซื้อแล้วได้หุ้นในราคาที่ถูกลง นั่นเป็นสัญญาณว่าหุ้นกำลังลง

ลิเวอร์มอร์เตรียมตัวในแต่ละวันอย่างไร

เจสซี่ ริเวอร์มอร์ เป็นคนที่มีวินัยสูงมาก ในช่วงวันธรรมดาเขาเข้านอนตอน 22:00 น และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้าทุกวัน เขาไม่ต้องการพูดคุยกับใครในชั่วโมงแรกของวัน คนครัวได้รับการอบรมให้เตรียมกาแฟและน้ำผลไม้บนโต๊ะนอกบ้าน ถ้าเขาพักที่แมนชั่นที่เกรตเนค ลองไอซ์แลนด์ หนังสือพิมพ์จะถูกเตรียมไว้ ทั้งข่าวจากยุโรปและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชิคาโก ซึ่งเขาจะอ่านมันอย่างรวดเร็ว และเขาทำเช่นนี้ตลอดชีวิต โดยเขาจะใช้เวลาช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกในการวางแผนสำหรับวันนั้น คนควรตระหนักตั้งแต่เริ่มต้นว่าการทำงานในตลาดหุ้นต้องการการศึกษา และเตรียมพร้อมเช่นเดียวกับการเรียนกฎหมายหรือการแพทย์ โดยต้องศึกษากฎเกณฑ์ที่เจาะจงของตลาดให้ใกล้ชิดที่สุด

การจัดแจงสำนักงาน

วัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อกันออกจากสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามหลีกเลี่ยงจากใครก็ตาม ที่มีแนวโน้มว่าจะเสนอความช่วยเหลือ ด้วยการให้ข้อมูล อาจจะเป็นในรูปแบบของหุ้นเด็ด เชื่อว่าคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จคือสุขุม (poise) หมายถึงการที่มีความมั่นคง คนที่สุขุมจะสามารถรับมือกับความคาดหวังและความกลัวด้วยอาการสงบ อดทน (patience) เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ปัจจัยต่าง ๆ บ่งชี้ไปในทิศทางที่สนับสนุนและการตัดสินใจของนักลงทุน ความสุขุมและความอดทนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญคู่กัน คุณสมบัติข้อสุดท้ายคือสงบ (silence) ตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างสงบ เก็บความยินดีที่ทำถูกต้องและความเสียใจที่ทำผิดพลาดไว้เงียบ ๆ พร้อมทั้งเรียนรู้จากมัน

ตลาดจะเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางสะดวก จนกว่าจะเจอกับแรงซึ่งตอนแรกแทบจะไม่รู้สึก แต่จะค่อย ๆ ฉุดให้การเคลื่อนที่ช้าลง ทว่าก็จะไม่หยุดเคลื่อนไหว มันจะอยู่ ณ จุดเชื่อมต่อสำคัญ จุดเปลี่ยนซึ่งเป็นจุดที่ทำเงินที่แท้จริง จุดเปลี่ยนเหล่านี้เป็นการยาก สำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่ได้รับการฝึกฝน และสังเกตเห็นเมื่อมันกำลังเกิดขึ้น พวกมันจะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อเวลาผ่านไป กระทั่งมันก่อเป็นรูปแบบแล้วเสร็จ และตลาดก็เปลี่ยนแปลงทิศทางไปอย่างชัดเจน มันเป็นงานของนักเก็งกำไร ที่ต้องมีทักษะในการจำแนก และตอบสนองเมื่อจุดเปลี่ยนเกิดขึ้น นักเก็งกำไรที่เข้าใจในตลาดหุ้นจะควบคุมอารมณ์ของเขา และตอบสนองต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ใช่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นข้อมูลของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต

คนที่สามารถอ่านการซื้อขายก็เหมือนคนที่มีลูกแก้วพยากรณ์ เนื่องจากเขาจะสามารถชี้ได้ว่า กลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะกลายเป็นกลุ่มหุ้นที่จะวิ่งขึ้นอย่างเข้มแข็งในรอบต่อไป พลังหลักของตลาดกระทิงมาจากเงิน เม็ดเงินที่มาพร้อมเข้าซื้อ และทัศนคติที่แท้จริง รวมทั้งอารมณ์ของชาย หญิง และผู้คนประกอบขึ้นเป็นแรงซื้อและขาย หลุมพรางที่สำคัญคือการซื้อขายในตลาดที่ดูดี และอะไรก็ดูง่ายไปหมด สิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียวในเวลานั้นคือ การคาดการณ์ถึงแนวโน้ม และเหตุผลที่มันยากก็เพราะธรรมชาติของความเป็นคน

ความมุ่งมั่น (The Will)

การอยู่กับตลาดคุณต้องมีส่วนผสมของความเป็นศิลป์ ไม่ใช่แค่มีเหตุและผล หากมันสามารถใช้เหตุผลได้ล้วน ๆ อย่างนั้นใครบางคนก็คงจะค้นพบวิธีการมานานแล้ว นั่นคือเหตุผลที่นักเก็งกำไรทุกคนต้องวิเคราะห์สภาพจิตใจตัวเอง เพื่อหาว่าระดับความเครียดขนาดไหนที่เขาสามารถแบกรับได้ นักเก็งกำไรแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ความคิดของมนุษย์แต่ละคนก็เป็นปัจเจก บุคลิกภาพแต่ละแบบก็มีความเฉพาะตัว จนเรียนรู้ขอบเขตของสภาพจิตใจก่อนที่จะพยายามเก็งกำไร การพยายามที่จะหาเหตุผลว่าทำไมหุ้นถึงวิ่ง หลายครั้งจะสร้างความขัดแย้งต่อความรู้สึก เพราะความจริงที่เรียบง่ายคือ ตลาดมักเคลื่อนไหวไปก่อนข่าวที่จะเกิดขึ้น มันไม่ได้ตอบสนองต่อข่าวสารทางเศรษฐกิจ ตลาดนั้นมีชีวิตและดำเนินไปโดยอิงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

การไม่สามารถควบคุมอารมณ์เป็นศัตรูที่แท้จริง และเป็นปัจจัยที่ร้ายแรงถึงตายสำหรับนักเก็งกำไร ความคาดหวัง ความกลัว และความโลภล้วนรายล้อมอยู่ รออยู่ข้าง ๆ รอที่จะกระโดดเข้ามาในการตัดสินใจ เมื่อหุ้นปรับลดลงอย่างรวดเร็วและฉับพลัน มันถูกผลักดันเพราะความกลัว เมื่อหุ้นขึ้น นั่นก็เพราะมันถูกผลักดันด้วยความคาดหวัง หากคนกำลังคาดว่าหุ้นจะขึ้น พวกเขาจะชะลอการขาย หากพวกเขากลัวว่าหุ้นจะลง พวกเขามักจะรีบโยนหุ้นทิ้ง นี่คือเหตุผลว่าทำไมการปรับตัวลดลงจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นหากเล่นทางลง จะต้องตอบสนองให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตลาด มันไม่มีทิศทางที่เหมาะสำหรับการซื้อขาย ไม่ว่าจะขายหรือซื้อ มันแต่ทิศทางการซื้อขายที่ทำเงิน แต่หุ้นนั้นปรับตัวขึ้น 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด แกว่งตัวหนึ่งในสาม และทางลง 1 ใน 3 ของเวลา หากเล่นแต่ในช่วงเวลาตลาดปรับขึ้น จะมีเวลามากมายที่ไม่ได้ทำอะไร และเสียเวลาทำเงินไปถึง 2 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด โดยไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี ในบรรดาคนจำนวนมากที่เก่งกำไรอยู่ในตลาดหุ้น มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น ที่ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อศึกษาถึงศิลปะของการเก็งกำไร

ระวังคำแนะนำเรื่องหุ้น

การต่อสู้ด้านจิตใจที่ยากที่สุดที่นักเก็งกำไรต้องเผชิญคือคำแนะนำ จงระวังข้อมูลวงในและหุ้นแนะนำ พวกผู้บริหารมีแนวโน้มที่จะชักชวนให้คนซื้อหุ้น พวกเขามักจะมองโลกในแง่บวก และมักจะให้แต่ข่าวดี พวกเขาไม่เคยบอกผู้ถือหุ้นหรือคู่แข่งว่าธุรกิจนั้นอาจจะไม่ได้มีแนวโน้มที่ดีเหมือนที่กำลังเห็น งบการเงินที่ไม่ถูกต้อง การโกหก เป็นแค่การปกป้องตัวเอง และเป็นบางส่วนของงานของ CEO มันมีทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จในการเก็งกำไร นั่นคือผ่านการทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวิธีหาเงินแบบง่าย ๆ หรือถ้ามีมันก็ไม่เคยมีใครลองแล้วเอาวิธีนั้นมาบอก

ความพอใจมาจากการที่สามารถชนะตลาด สามารถไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ได้ เงินเป็นผลตอบแทน ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นปริศนาที่ซับซ้อนอย่างที่สุด และมันให้ผลตอบแทนชิ้นใหญ่ที่สุด จำไว้ว่าหากไม่มีวินัย ไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ไม่มีแผนการที่เป็นรูปประธรรม นักเก็งกำไรจะตกลงสู่หลุมพรางทางอารมณ์ของตลาดหุ้น และออกจากตัวนั้นไปเข้าตัวนี้ ถือหุ้นที่ขาดทุนนานเกินไป ขายหุ้นที่มีกำไรเร็วเกินไป ความโลภ ความกลัว ขาดความอดทน ความไม่รู้ มีแต่ความหวัง ทั้งหมดจะยึดกุม และมีอิทธิพลต่อความคิดของนักเก็งกำไร

ดังนั้นหลังจากล้มเหลวและเผชิญหายนะทางการเงิน นักเก็งกำไรอาจจะสูญเสียกำลังใจ ตกต่ำ สิ้นหวัง และหันหลังให้กับตลาดหุ้น  โดยทิ้งโอกาสที่จะสร้างอนาคตจากสิ่งที่ตลาดจะมอบให้ การพัฒนากลยุทธ์ของตัวเองการมีวินัย และวิธีการที่ถูกต้องเป็นเพียงคำแนะนำ แนวทางช่วยจากการตกหลุมพรางได้ แต่ในท้ายที่สุดการตัดสินใจทั้งหมดก็เป็นของตัวเอง

บทที่ 11

แนวทางเก็งกำไรอย่างลิเวอร์มอร์เก็งกำไรในยุคใหม่

เจสซี่ ริเวอร์มอร์ ไม่เคยใช้ชาร์ตหุ้น เขาใช้การวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อวางข้อสรุปที่เป็นแนวทางของลิเวอร์มอร์ดังนี้

การวิเคราะห์จากบนลงล่าง คอนเซ็ปของการวิเคราะห์บนลงล่าง (หรือจากใหญ่ไปเล็ก) นั้นตรงไปตรงมา นั่นคือก่อนที่จะทำการซื้อขาย ต้องทำการตรวจสอบรายการต่อไปนี้ เหมือนนักบินตรวจสอบความพร้อมก่อนจะทำการขึ้นบิน

วิเคราะห์ภาพตลาดรวม ประเมินสภาวะทั่วไปของตลาด โดยตรวจสอบทางสะดวก (เส้นทางที่มีแรงต้านน้อยที่สุด) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเส้นทางนี้มีแรงต้านน้อยที่สุด เป็นบวก เป็นลบ หรือเป็นกลาง (แกว่งตัวออกข้าง) สำคัญมากที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าทางสะดวกอยู่ในทิศทางเดียวกันกับการซื้อขาย ก่อนจะเริ่มทำการซื้อขาย

วิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรม เช็คกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน วิเคราะห์กลุ่มที่เคลื่อนไหวตามกัน ตรวจสอบหุ้นและหุ้นพี่น้อง และทำการเปรียบเทียบกัน การวิเคราะห์หุ้นที่เคลื่อนไหวตามกัน นักเก็งกำไรควรต้องพิจารณาหุ้น 2 ตัวที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันไปพร้อม ๆ กัน ทำการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายในหุ้นรายตัวที่ตัดสินใจจะเข้าเก็งกำไร สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระ จะต้องนำการตรวจสอบสถานะเชิงลึก (Due diligence) ขั้นตอนสุดท้ายเหมือนกับการวิเคราะห์ไปตามแนวทาง เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น

จุดเปลี่ยนแบบไปต่อ หมายถึงจุดที่ยืนยันว่าการเคลื่อนที่นั้นถูกต้อง และยืนยันการเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เกิดขึ้นนับจากเกิดจุดเปลี่ยน ในช่วงเวลาของการปรับฐาน มี 2 อย่างที่จะเกิดขึ้น หนึ่งมันยืนยันว่าแนวโน้มพื้นฐานไม่เปลี่ยน สองมันให้จุดซื้อ หรือจุดที่จะทำการเพิ่มสถานะการลงทุน หลังจากหุ้นสามารถทะลุผ่านการพักตัวไปได้แล้ว

ราคาหุ้นเป็นแท่งยาว การพุ่งขึ้นตัวเร็วแรงจนเป็นแท่งยาวคือ ชุดของการปรับขึ้นต่อเนื่องที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงท้าย มักจะประกอบด้วยการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 วันหรือมากกว่า

การกลับตัวในวันเดียว มันเกิดขึ้นเมื่อจุดสูงสุดของวันทำการล่าสุดนั้นสูงกว่าวันก่อนหน้า แต่ราคาปิดต่ำกว่าราคาปิดก่อนวันก่อนหน้า และปริมาณการซื้อขายของวันล่าสุดสูงกว่าปริมาณการซื้อขายของวันก่อนหน้า นี่คือสัญญาณที่ต้องระวัง

การทะลุขึ้นจากการสร้างฐาน การทะลุขึ้นจากรูปแบบการสร้างฐาน ด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น มักจะเป็นสัญญาของการเริ่มเคลื่อนที่ของหุ้น ทั้งนี้รูปแบบของการสร้างฐานสามารถเกิดได้ในหลายรูปแบบ

การทะลุขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ระวังเมื่อหุ้นทะลุด้วยปริมานการซื้อขายสูง และทำจุดสูงสุดใหม่ เมื่อหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่มันหมายถึง มีพลังจะผ่านปริมาณหุ้นจำนวนมากที่ขวางอยู่ หุ้นสามารถทะลุและไต่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งไม่มีหุ้นค้างรออยู่อีก รูปแบบนี้เป็นการพิสูจน์ว่าหุ้นมีความน่าสนใจเพียงพอ และมีความต้องการซื้อมากพอ ที่จะจัดการกับผู้ถือหุ้นเก่า และไต่ระดับสูงขึ้นต่อ

ปริมาณการซื้อขายที่มาก ปริมาณการซื้อขาย เป็นตัวชี้วัดสำคัญของลิเวอร์มอร์ เช่นเดียวกับนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ปริมาณการซื้อขายเป็นตัวแทนของปริมาณหุ้นที่ถูกซื้อขาย

บทที่ 12

การลงทุนในหุ้น

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ยังคงต้องหาความรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องต่อไปนี้

จังหวะเวลา เมื่อไหร่ที่จะเข้า เมื่อไหร่ที่จะออกจากการซื้อขาย เมื่อไหร่ควรถือ เมื่อไหร่ควรสู้เก็บมือไว้นิ่ง ๆ

การบริหารเงิน อย่าเสียเงิน อย่าเสียอำนาจในการซื้อ นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินในมือ ก็เหมือนกับเจ้าของร้านค้าที่ไม่มีสินค้าในร้าน ซึ่งทำให้ธุรกิจดำเนินไปไม่ได้ สำหรับนักเก็งกำไรเงินคือสินค้า คือสิ่งที่ช่วยชีวิต คือเพื่อนแท้ หากไม่มีมันก็ทำธุรกิจไม่ได้

การควบคุมอารมณ์ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จกับการลงทุนในตลาด ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน และมีวินัยอย่างเคร่งครัด การดำเนินการซื้อขายตามนั้น นักเก็งกำไรทุกคนต้องคิดสร้างแผนการรบที่ชาญฉลาด และปรับให้เหมาะกับจริต ก่อนที่จะเริ่มเข้าเก็งกำไร

กฎของตลาด

ตลาดหุ้นนั้นไม่เคยชัดเจน มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคนส่วนใหญ่เกือบจะตลอดเวลา กฎของลิเวอร์มอร์มักจะอิงอยู่บนความคิดที่ขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ ขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ โดยตัดขาดทุนให้เร็ว หาสิ่งที่ยืนยันการตัดสินใจหรือความคิด ก่อนที่จะมีสถานะการลงทุนเต็มที่ ปล่อยให้หุ้นที่มีกำไรวิ่งต่อ หากไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะขาย ลงทุนแต่กลับหุ้นนำตลาด ซึ่งหุ้นนำสามารถเปลี่ยนไปเมื่อเป็นตลาดรอบใหม่ ติดตามหุ้นเพียงไม่กี่ตัว เพื่อให้สามารถจดจ่อกับมัน การทำจุดสูงสุดใหม่ เป็นไปได้ที่จะหมายถึงสัญญาณทะลุขึ้น หุ้นราคาถูกดูน่าสนใจมากหลังจากที่มันลงมามาก แต่ส่วนใหญ่มันมักจะลงต่อ หรือมีความเป็นไปได้น้อยที่จะขึ้น อย่าไปยุ่งกับมัน ใช้จุดเปลี่ยนในการระบุการเปลี่ยนแนวโน้ม และการยืนยันของแนวโน้ม อย่าสู้กับบันทึกการซื้อขาย (อย่าฝืนแนวโน้ม)

ตลาดหุ้นคือการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวัฏจักร เมื่อมันเปลี่ยนแปลงทิศทาง มันจะอยู่ในแนวโน้มใหม่จนกระทั่งโมเมนตัมอ่อนลง สิ่งที่เคลื่อนไหวจะพยายามรักษาการเคลื่อนไหว จำไว้ว่าอย่าฝืนแนวโน้ม และอย่าสู้กับบันทึกการซื้อขาย

กฎเกี่ยวกับจังหวะเวลา

การทำเงินก้อนใหญ่มาจากการนั่งและรอคอย ไม่ใช่การคิด รอคอยให้ปัจจัยต่าง ๆ เข้าทาง หรือส่งผลดี ก่อนที่จะทำการเก็งกำไร ทำตามกฎการวิเคราะห์เพื่อเก็งกำไร ลงทุนเมื่อปัจจัยต่าง ๆ โน้มเอียงมา ไม่มีใครสามารถลงทุนได้ตลอดเวลา มีหลายเวลาที่ควรออกจากตลาดโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่ต้องทำเมื่อทำผิดคือทำให้ถูก โดยการหยุดทำผิด ตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และโดยไม่ต้องลังเล

หุ้นมีพฤติกรรมที่คล้ายกับคน ทั้งก้าวร้าว เอาแน่เอานอนไม่ได้ ขี้หงุดหงิด ตรงไปตรงมา ดูเป็นคนมีเหตุมีผล คาดเดาได้และคาดเดาไม่ได้ ศึกษาหุ้นเหมือนกับศึกษาคน เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ปฏิกิริยาของมันในสถานการณ์ปกติจะสามารถคาดการณ์ได้ และมีประโยชน์ในการที่จะคาดการณ์เคลื่อนไหวของหุ้น

หุ้นไม่เคยสูงเกินที่จะซื้อและต่ำเกินไปที่จะขาย การพลาดโอกาสที่จะขายหุ้นก้อนใหญ่ที่จะขาดสภาพคล่อง เมื่อโอกาสนั้นมาถึงจะสร้างต้นทุนอย่างมาก การพลาดที่จะคว้าโอกาสเมื่อมีโชคในการลงทุน บ่อยครั้งมันคือความผิดพลาด

ในการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบแคบ เมื่อราคาหุ้นเริ่มไม่ไปไหน มันเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง ในการพยายามที่จะคาดการณ์ หรือบอกว่าเมื่อไหร่และทิศทางไหน ที่จะตลาดจะวิ่งไป อย่าพยายามใช้เวลามากเกินไป เพื่อที่จะหาสาเหตุของการเคลื่อนไหว ศึกษาปริมาณของการซื้อขาย คำตอบที่ควรหาคือมันบอกอะไร ไม่ใช่ทำไมมันถึงบอกอย่างนั้น ตลาดหุ้นขึ้น ลง แล้วก็ออกข้าง สามารถทำเงินได้ หนึ่งในสัญญาณอันตรายคือ การกลับตัวในวันเดียว หากหุ้นเข้าเก็งกำไรเคลื่อนไหวไปตรงข้ามกับทิศทางที่คาดการณ์ควรขายออกไปให้ไว

รอและมีความอดทน จนกว่าปัจจัยต่าง ๆ จะเริ่มเข้าทาง ศึกษาความเคลื่อนไหวของหุ้นที่ราคาหุ้นทะลุลงอย่างรุนแรง ตลาดหุ้นคือการซื้อขายบนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมันมักจะถูกรวมเข้าไปในราคาหุ้นปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวเริ่มที่จุดเปลี่ยน จุดเปลี่ยนมีอยู่ 2 ประเภทประเภทแรกคือจุดเปลี่ยนแบบกลับตัวหรือจุดเปลี่ยนแบบกลับทิศทาง ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวรอบใหม่ จุดเปลี่ยนแบบที่ 2 เรียกว่าจุดเปลี่ยนแบบไปต่อ เป็นการยืนยันว่าการเคลื่อนที่ในทิศทางนั้นยังดำเนินต่อไป

ณ จุดสิ้นสุดของตลาดกระทิง จะเห็นหุ้นดีที่ซื้อขาย ระวังหุ้นเก็งกำไรที่ขึ้นโดยไม่มีเหตุผล จุดสูงสุดใหม่คือเรื่องสำคัญของจังหวะเวลา

ซื้อขายตามแนวโน้ม ตรวจสอบที่ทางหลักของตลาด

นักเก็งกำไรต้องรู้เกี่ยวกับสภาวะทั่วไปของแนวโน้มก่อนเริ่มการซื้อขาย หรือมองหาทางสะดวก (เส้นทางที่มีแรงต้านน้อย)

การเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม คือหนึ่งในตัวชี้วัดเป็นเรื่องจังหวะที่ดี หุ้นไม่ได้วิ่งโดยลำพังในยามที่มันเคลื่อนที่ เก็งกำไรในกลุ่มหุ้นนำตลาด โดยซื้อหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นผู้นำของกลุ่ม ติดตามผู้นำตลาด หุ้นที่วิ่งนำตลาดขึ้นเป็นกระทิง

กำหนดขอบเขตของหุ้นที่จะติดตาม หุ้นที่โดดเด่น หุ้นนำตลาด หากไม่สามารถนำเงินจากผู้นำตลาด ก็ไม่น่าจะสามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้

ก่อนที่จะซื้อหุ้น ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจุดไหนคือจุดตัดขาดทุนที่จะขาย หากหุ้นเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คิด นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จะเข้าเก็งกำไรเมื่อปัจจัยต่าง ๆ บ่งชี้ว่าการลงทุนนั้นเป็นไปได้สูง นักเก็งกำไรต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้

ระวังว่าในช่วงเวลาหลังจากขาขึ้นที่ยาวนาน เมื่อปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นมาก และหุ้นมีการเปลี่ยนมือสูง สิ่งนี้เป็นเบาะแสและสัญญาณเตือนถึงการสิ้นสุดของการเคลื่อนตัว และอาจจะมาถึงเร็ว ๆ นี้

กฎในการบริหารจัดการเงิน

กำหนดจุดตัดขาดทุน นักเก็งกำไรควรมีราคาเป้าหมายชัดเจนที่จะขายหุ้น หากการเคลื่อนไหวมันตรงข้ามกับสิ่งที่คิด อย่าปล่อยให้ถูกบังคับขาย และอย่าซื้อเฉลี่ยขาลง เปลี่ยนกำไรในกระดาษเป็นเงินจริงเป็นระยะ ๆ เก็บบางส่วนของกำไรที่ทำได้จากการลงทุนเอาไว้

ตรวจสอบและทำความเข้าใจมิติของเวลา เวลาไม่ใช่เงิน เพราะมีหลายครั้งที่เงินควรอยู่เฉย ๆ อย่าเร่งรีบที่จะลงทุน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ลงทุนในตลาดตลอดเวลา ใช้การลองซื้อเพื่อการเพิ่มสถานะการลงทุน

การควบคุมอารมณ์

การควบคุมอารมณ์คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการอยู่กับตลาด อย่าคาดเดา รอจนกระทั่งตลาดให้เบาะแส สัญญาณ คำแนะนำ ก่อนที่จะตัดสินใจ และตัดสินใจซื้อหรือขาย เมื่อมีสัญญาณยืนยัน

หุ้นต่าง ๆ ก็เหมือนกับคนมีนิสัยแตกต่างกันออกไป นักเก็งกำไรอาจจะถูกชักจูงให้ไขว้เขว่ออกไปจากความคิดเดิม ด้วยการฟังคำแนะนำของนักเก็งกำไรคนอื่น คำแนะนำมาจากแหล่งต่าง ๆ ทุกคำแนะนำเป็นอันตราย อย่ารับคำแนะนำจากใคร

เอาความคาดหวังออกไปจากสารานุกรมการเทรด ความคาดหวังว่าหุ้นควรเป็นแบบนั้นแบบนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของการพนัน หากไม่มีเหตุผลที่ดีจะถือหุ้น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรเปลี่ยนไปยังหุ้นอื่นที่น่าสนใจกว่า

ระมัดระวังความรู้สึกของตนเอง อย่ามั่นใจมากเกินไปเมื่อลงทุน ตลาดนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงคือผู้เล่น มีแผนในการเก็งกำไรเสมอ และมีวินัยกับแผนการนั้น

นักเก็งกำไรไม่ใช่นักลงทุน วัตถุประสงค์ไม่ใช่การหาการลงทุนที่มั่นคง และผลตอบแทนสม่ำเสมอ ผ่านการลงทุนระยะเวลานาน ลงทุนด้วยตัวเอง นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้อยู่กับตลาดตลอดเวลา อย่าสูญเสียการควบคุมอารมณ์ เมื่อตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คิด และอย่าเริงร่ากับความสำเร็จ

ต้องมีคุณลักษณะนิสัยที่สำคัญยิ่ง 4 ประการเพื่อที่จะเป็นนักเก็งกำไรชั้นยอด เป็นคนช่างสังเกต ความสามารถในการสังเกตหาข้อเท็จจริงโดยไม่มีอคติ เป็นคนช่างจดจำ ความสามารถในการจดจำเหตุการณ์สำคัญได้อย่างถูกต้อง ในสาระสำคัญ มีความสามารถด้านการคำนวณ เรียนรู้จากประสบการณ์ เพื่อที่จะจดจำและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อความที่ได้รับซ้ำ ๆ จะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งเกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับ

อารมณ์คือสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและควบคุม ความโลภคืออารมณ์ของมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวของทุก ๆ คน ความกลัวเป็นสิ่งที่พร้อมจะปรากฏตัวอยู่ในหัวใจ ความหวังเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความกลัว ระมัดระวังความไม่รู้ ตลาดคือการศึกษาและการเรียนรู้

ตลาดหุ้นนั้นไม่เคยชัดเจน มันถูกออกแบบมาไว้สำหรับการหล่อคนส่วนใหญ่เกือบตลอดเวลา ไม่ควรอยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลา แนวโน้มปริมาณการซื้อขายขัดแย้งกับการตัดสินใจที่จะซื้อหรือขาย ควรรอจนกว่ามันจะมีความสอดคล้องกัน

อย่าให้หรือรับหุ้นเด็ดขาดจากใคร นักเก็งกำไรในหุ้นบางครั้งก็รู้ตัวว่ากำลังจะทำสิ่งที่ผิดพลาด อย่ากลายเป็นนักลงทุนที่ไม่สมัครใจ อย่าซื้อหุ้นเมื่อมันลดลง และอย่าขายชอร์ตหุ้นเมื่อหุ้นวิ่งขึ้น

อย่าใช้คำว่ากระทิงหรือหมี เพราะคำนี้ทำให้เกิดการยึดติดในเรื่องทิศทางของตลาดในใจ ให้ใช้คำว่าแนวโน้มขึ้นและแนวโน้มลง กางเก็งกำไรคือธุรกิจ และเช่นเดียวกับการทำธุรกิจอื่น ๆ

บทสรุป

ไม่มีอะไรใหม่ในตลาดหุ้น หรือในการเก็งกำไรหุ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตจะเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะธรรมชาติของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน และอารมณ์ของมนุษย์นั้นฝังลึกอยู่ในธรรมชาติของคน การผ่านอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น จะนำมนุษย์เข้าไปสู่เส้นทางแห่งปัญญา.