สรุปหนังสือ GET SMART! คิดแบบนำหน้าคนอื่น 1 ก้าวเสมอ
โลกนี้มีคนอยู่แค่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่ไม่ว่าหยิบจับอะไรก็ดูจะประสบความสำเร็จไปหมด อีกกลุ่มคือคนที่มักจะประสบความสำเร็จแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน พวกเขาก็ดูเหมือนจะตามหลังคนกลุ่มแรกอยู่ 1 ก้าวเสมอ อะไรทำให้คนสองกลุ่มนี้ต่างกัน คำตอบคือ วิธีคิด ไบรอัน เทรซี่ นักเขียนและนักพูดระดับโลก ศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จและมีรายได้สูงสุดในหลายสาขาอาชีพ และค้นพบ 10 วิธีคิดที่แบ่งแยกผู้นำออกจากผู้ตาม แล้วเรียบเรียงด้วยสไตล์การเขียนที่สั้นกระชับและตรงประเด็น เพื่อช่วยให้สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตและธุรกิจได้ทันที
ปลดปล่อยความยอดเยี่ยมที่ถูกกักขังไว้ วิลเลียม เจมส์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเขียนไว้ว่า การปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคคือ การค้นพบว่า เมื่อผู้คนเปลี่ยนทัศนคติชีวิตของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไป สมองคือสิ่งพิเศษสมองประกอบด้วยเซลล์กว่า 100,000 ล้านเซลล์ และแต่ละเซลล์ก็เชื่อมต่อกับเซลล์อื่น ๆ มากถึง 20,000 เซลล์ โดยมีปมประสาทและเซลล์ประสาทเป็นตัวเชื่อม
โทนี่ บูซาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นด้วยการอธิบายว่า หากเขียนจำนวนเรื่องที่สามารถคิดได้ออกมาเป็นตัวเลข ก็จะได้เลข 1 ตามด้วยเลข 0 อีก 8 หน้ากระดาษ เรียกได้ว่ามากกว่าจำนวนโมเลกุลทั้งหมดในจักรวาลเสียอีก ทุกคนมีพลังสมองสำหรับการตั้งเป้าหมาย และทำทุกอย่างที่ต้องการ หรือคาดหวังให้สำเร็จ เพียงแค่ใช้สมองซึ่งเป็นแหล่งรวมความสามารถ ในการคิด วางแผน และสร้างสรรค์ให้ได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำมากขึ้น ก็จะสามารถแก้ปัญหาเอาชนะอุปสรรค และบรรลุเป้าหมายทุกอย่างที่ตั้งไว้ได้
สมองเป็นสุดยอดคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังมากเสียจน ต่อให้เกิดมาอีกสักร้อยชาติก็ยังไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างเต็มศักยภาพ จริง ๆ แล้วคนเราใช้ศักยภาพของสมองกันประมาณ 2% และนั่นก็คือสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่เผชิญอยู่ พวกเขามีศักยภาพมหาศาล แต่กลับไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ ชีวิตก็เหมือนกับตัวล็อคแบบใส่รหัส เพียงแค่มีตัวเลขมากกว่าตัวล็อกแบบใส่รหัสทุกตัว ล้วนมีวิธีปลดล็อคเหมือนกัน แต่ถ้ารู้รหัสตัวสุดท้าย และตำแหน่งที่ถูกต้องของมัน ขุมทรัพย์ก็จะเปิดออก และก็จะสามารถทำเรื่องน่าอัศจรรย์ได้สำเร็จ
รูปแบบในการอธิบาย (explanatory style) ก็สามารถแบ่งรูปแบบในการอธิบายได้ง่าย ๆ เป็น 2 รูปแบบคือ การอธิบายแบบมองโลกในแง่ดี และการอธิบายแบบมองโลกในแง่ร้าย หากจะพูดให้เห็นภาพก็คือ เมื่อเห็นแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วอาจมองว่า มีน้ำอยู่ตั้งครึ่งแก้ว หรือมองว่ามีน้ำอยู่แค่ครึ่งแก้วก็ได้ คนที่มองโลกในแง่ดีจะมองหาสิ่งดี ๆ และประโยชน์ที่ได้จากทุกสถานการณ์ ส่วนคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะมองหาปัญหาหรือข้อเสียในทุกสถานการณ์ วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีคิดให้เหมือนกับผู้คนที่มองโลกในแง่ดี และประสบความสำเร็จสูงสุดก็คือ คิดถึงปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังเผชิญอยู่ แล้วจินตนาการว่ามันคือของขวัญ ที่ใครบางคนส่งมาเพื่อสอนอะไรบางอย่างให้ จากนั้นก็ถามตัวเองว่า มีบทเรียนใดบ้างที่สามารถเรียนรู้ แล้วนำไปปรับใช้เพื่อจะได้มีความสุข และประสบความสำเร็จมากขึ้นในอนาคต
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อาจเป็นการค้นพบที่ว่า คิดอย่างไรก็มักจะได้อย่างนั้น ไม่ว่าความเชื่อจะเป็นไปในแง่บวกหรือแง่ลบ น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือผลเสีย มันจะเป็นตัวกำหนดแทบทุกสิ่งที่ทำ รวมถึงวิธีที่ใช้ทำสิ่งเหล่านั้น กฎแห่งความสอดคล้องกันกล่าวไว้ว่า ภายในเป็นอย่างไรภายนอกก็เป็นอย่างนั้น นั่นหมายความว่าชีวิตภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปตามชีวิตภายใน เมื่อใช้วิธีคิดใหม่ที่ส่งผลให้ชีวิตภายในเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น มาเริ่มเรียนรู้และคิดอย่างคนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขกันดีกว่า แล้วจะได้ผลลัพธ์และมีความสุขกับรางวัลชีวิตเหมือนพวกเขา
บทที่ 1
การคิดระยะยาว
กับการคิดระยะสั้น
เมื่อคิดได้อย่างมีคุณภาพมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ดีขึ้น และประสบความสำเร็จในทุกด้านมากขึ้นเท่านั้น มาตรวัดที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียว ในการวัดคุณภาพของความคิดคือ ผลลัพธ์ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง ดังนั้น คำถามเพียงข้อเดียวที่ต้องตอบให้ได้คือแนวคิดได้ผลหรือไม่ ความแม่นยำในการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจ และการกระทำคือมาตรวัดความฉลาดที่แท้จริง
ความฉลาดไม่เกี่ยวกับ IQ ผลการเรียนหรือการศึกษาเล่าเรียนนานหลายปี อันที่จริงความฉลาดคือวิธีปฏิบัติตัว ซึ่งหมายความว่า ถ้าทำในสิ่งที่ฉลาดก็จะฉลาด แต่ถ้าทำเรื่องโง่ ๆ ก็จะโง่ ไม่ว่าผลการเรียนหรือผลทดสอบไอคิวจะเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนคนหนึ่งต้องการคิด รู้สึก เชื่อ และมุ่งมั่นที่จะทำให้ได้อย่างแท้จริง แค่ดูการกระทำก็พอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้คน พูด ปรารถนา หวัง หรือตั้งใจในเรื่องอะไร แต่อยู่ที่ว่าพวกเขาทำอะไร โดยเฉพาะตอนที่เผชิญกับสิ่งล่อใจหรือความกดดัน
มาตรวัดแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ที่จะวัดการตัดสินใจและการกระทำได้ การกระทำที่เป็นผลจากความคิด นำพาไปสู่สิ่งที่ต้องการหรือสิ่งที่สำคัญ อย่างไรก็ตามกฎ 2 ข้อที่เป็นอุปสรรคต่อผู้คนเสมอทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็คือ กฎแห่งผลที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ (Law of Unintended Consequences) และกฎแห่งผลที่ตรงข้ามกับความตั้งใจ (Law of Perverse Consequences) อย่างไรก็ตาม คนเรามักหาเส้นทางที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุด เพื่อคว้าสิ่งที่ต้องการมาให้ได้
การเล่นหมากรุกซึ่งมีตัวหมากจำนวนมาก และมีเส้นทางมากมายให้เลือกเดิน ชัยชนะขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการคาดการณ์ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเดินหมากอย่างไร ส่วนในการใช้ชีวิตสิ่งที่กำหนดความสำเร็จก็คือ ความสามารถในการวางแผนแต่ละก้าว และเดินตามแผนนั้น เพื่อไปสู่เส้นชัย หรือความสำเร็จขั้นสุดยอด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม
กำหนดจุดมุ่งหมายในอนาคต ยิ่งมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งตัดสินใจเรื่องในปัจจุบันได้ถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีจุดมุ่งหมายในอนาคตที่ชัดเจน และให้ความสำคัญกับมัน จะสามารถคิดได้อย่างทะลุปรุโปรมากขึ้น และตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า ต้องทำอะไรในวันนี้ เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายระยะยาว คำสำคัญของการคิดในระยะยาวคือคำว่า เสียสละ คนที่ประสบความสำเร็จต่างเต็มใจที่จะเสียสละ โดยยอมตัดใจสละความพึงพอใจระยะสั้นที่อยู่ตรงหน้า เพื่อรางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต
เศรษฐีเงินล้านข้างบ้าน เศรษฐีและมหาเศรษฐีหลายคนเคยเป็นชนชั้นกลางธรรมดา ๆ ที่อาศัยอยู่ในบ้านธรรมดา ๆ ในย่านที่ไม่ได้หรูหราอะไร แต่พวกเขาออมเงิน 10-15% ของรายได้มาตลอดช่วงชีวิตการทำงาน จนในที่สุดก็สามารถสร้างความมั่งคั่ง และใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ การบ่มเพาะให้ตัวเองมองในระยะยาว และคิดถึงอนาคตในอีก 5 ปี 10 ปีหรือยาวนานกว่านั้น จะทำให้วิธีที่คิดและทำสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป
ก้าวแรกของการพัฒนาทักษะการคิดในระยะยาวคือ การฝึกคิดแบบย้อนกลับจากอนาคต ลองจินตนาการโดยไม่ต้องสนใจเงื่อนไขใด ๆ ว่า สักวันหนึ่งจะสามารถประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ได้โดยไร้ขีดจำกัด แล้ววิเคราะห์ด้านที่สำคัญที่สุดในชีวิตทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.ธุรกิจและอาชีพการงาน 2.ครอบครัวและความสัมพันธ์ 3.สุขภาพและความแข็งแรงทางกาย 4.อิสรภาพทางการเงิน เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อาชีพการงานและรายได้ที่สมบูรณ์แบบจะเป็นอย่างไร ก็ให้มองกลับมายังจุดที่อยู่ในปัจจุบัน แล้วตัดสินใจว่าต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ
จากนั้นก็ลงมือทำขั้นตอนแรก ข่าวดีคือจะมองเห็นอย่างแน่นอนว่า ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคืออะไร ตอนที่เริ่มลงมือนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ลำดับขั้นตอนทั้งหมด แค่ลงมือทำขั้นตอนแรกแล้วจะรู้เองว่าสิ่งที่ต้องทำในขั้นที่สองคืออะไร และเมื่อลงมือทำขั้นที่สองก็จะรู้ว่าสิ่งที่ต้องทำในขั้นที่สามคืออะไร พูดง่าย ๆ ก็คือจะรู้เสมอว่าสิ่งที่ต้องทำในขั้นต่อไปคืออะไรซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำขั้นตอนแรก
ถึงเวลาเริ่มก้าวแรกแล้ว เปิดบัญชีเงินฝากเพื่ออิสรภาพทางการเงินยามเกษียณ บัญชีนี้มีไว้สำหรับฝากเงินเข้าเพียงอย่างเดียว โดยห้ามถอนออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หาที่ปรึกษาทางการเงิน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยเงิน 85-90% ของรายได้ และนำเงินที่เหลือไปเก็บออมหรือลงทุน พร้อมทั้งกำหนดให้การมีอิสรภาพทางการเงิน และการออมเงินได้ครบตามตัวเลขที่แน่นอน ภายในเวลาที่กำหนดไว้เป็น 1 ในเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของชีวิต
ตั้งใจอย่างแน่วแน่ตั้งแต่วันนี้ว่า จะพัฒนาทักษะการคิดในระยะยาว ต้องจดจ่ออยู่กับอนาคตอย่างแน่วแน่ โดยพยายามคิดถึงอนาคตอยู่เสมอ ฝึกความมีวินัยและการควบคุมตัวเอง จงยินดีที่จะสละอะไรบางอย่างในวันนี้ เพื่อรอรับรางวัลที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็เริ่มก้าวแรก อย่าลืมว่าสิ่งที่กำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวไม่ใช่การมีความตั้งใจที่ดี ความหวัง ความปรารถนา หรือความฝัน แต่เป็นการตัดสินใจว่าต้องการอะไร ในแต่ละด้านที่สำคัญของชีวิต แล้วเริ่มก้าวแรก
บทที่ 2
การคิดอย่างช้าๆ
กับการคิดอย่างรวดเร็ว
สมองเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก สามารถคิดเรื่องต่าง ๆ ได้มากกว่าจำนวนโมเลกุลทั้งหมดในจักรวาล และสามารถทำให้เป้าหมาย หรือสิ่งใดก็ตามที่ปรารถนาเป็นจริงได้ หากทุ่มเทพลังความคิดให้กับมันอย่างเต็มที่ แถมบ่อยครั้งยังทำให้ได้เร็วกว่าที่คิดไว้เสียอีก สิ่งที่ทำซ้ำ ๆ จะกลายเป็นนิสัย และคนส่วนใหญ่ก็ติดนิสัยใช้ชีวิต ด้วยการตอบโต้และตอบสนอง เพราะที่ผ่านมาพวกเขาพัฒนานิสัย ในการตอบโต้และตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ และภายในตัวเสมอ โดยแทบไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน หรือหาเหตุผลก่อนเลย สำหรับคนที่มีกระบวนการในการคิดชั้นยอด แม้พวกเขาจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้นเหมือนกัน แต่คนกลุ่มนี้จะใช้เวลาเล็กน้อยในการคิด ก่อนจะตอบสนองต่อสิ่งเร้า
การคิดอย่างช้า ๆ หนึ่งในนิสัยที่ดีที่สุดที่สามารถสร้างได้ก็คือ การค่อย ๆ คิดในเรื่องที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการคิด การคิดมีสองรูปแบบด้วยกัน การคิดที่เป็นขั้วตรงข้ามกันคือ การคิดอย่างรวดเร็ว และการคิดอย่างช้า ๆ สำหรับการคิดอย่างรวดเร็ว การประมวลผลข้อมูลจะเป็นไปอย่างว่องไว เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ รวมถึงอาศัยความรู้สึกและสัญชาตญาณด้วย การคิดอย่างรวดเร็วเป็นรูปแบบการคิดที่จำเป็น และเหมาะสมกับกิจกรรมส่วนใหญ่ เช่น การพูดคุย การประชุม การใช้ชีวิตประจำวัน หรือการซื้อของกินของใช้เข้าบ้าน ผลที่ตามมาของกิจกรรมเหล่านี้แทบไม่สำคัญอะไรกับชีวิตเลย
แต่สำหรับด้านอื่น ๆ อีกหลายด้านในชีวิต หากต้องการการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องในระยะยาวให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากจนอาจถึงขั้นขาดไม่ได้ ทั้งการตัดสินใจเลือกวิชาที่จะเรียนในมหาวิทยาลัย เส้นทางอาชีพในอนาคต คนที่จะแต่งงานด้วย รวมถึงวิธีหารายได้ เก็บออม และลงทุนล้วนเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการคิดอย่างช้า ๆ ยิ่งเรื่องที่ต้องตัดสินใจมีความสำคัญในระยะยาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องคิดให้ช้าลง ให้เวลาตัวเองสักครู่ แล้วค่อย ๆ พิจารณาทั้งข้อเท็จจริง และทางเลือกที่มีอยู่อย่างถี่ถ้วน
วิเคราะห์วิธีคิด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้หมั่นถามตัวเองว่า ในสถานะการนี้ควรคิดอย่างรวดเร็วหรือค่อย ๆ คิดอย่างช้า ๆ จงใช้เวลาคิดให้มาก ๆ ใช้เวลาคิดให้มากที่สุด ก่อนจะตอบตกลงต่อสิ่งเร้าหรือตัดสินใจ ลองทำตามกฎ 72 ชั่วโมง โดยให้เวลาตัวเอง 72 ชั่วโมงหรือ 3 วัน เพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญแล้วค่อยตัดสินใจ ส่วนใหญ่แล้วยิ่งใช้เวลาคิดก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จงพูดให้ติดปากว่า “ขอเวลาคิดสักหน่อยแล้วเดี๋ยวจะให้คำตอบ” ถ้ามีคนพยายามกดดันให้ตัดสินใจเรื่องสำคัญในทันทีก็ให้บอกไปว่า “ถ้ายังยืนยันว่าจะเอาคำตอบให้ได้เดี๋ยวนี้ คำตอบก็คือไม่ แต่ถ้าให้เวลาคิดสักหน่อยคำตอบอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
เขียนรายละเอียดลงในกระดาษ การคิดบนกระดาษ หนึ่งในเครื่องมือช่วยคิดที่ทรงพลังที่สุด เขียนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับปัญหาหรือการตัดสินใจ สิ่งที่น่าทึ่งจะเกิดขึ้นขณะที่ถ่ายทอดความคิดในหัว ด้วยการขยับมือเขียนสิ่งต่าง ๆ การเขียนรายละเอียดทุกอย่างออกมา จะบังคับให้ต้องคิดอย่างช้า ๆ และถี่ถ้วน โดยเฉพาะกรณีที่เขียนด้วยมือแทนที่จะพิมพ์ บ่อยครั้งที่เมื่อเขียนข้อเท็จจริงแต่ละอย่างออกมา ก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้นว่าควรทำอะไร
ฝึกปลีกวิเวก หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการฝึกคิดอย่างช้า ๆ ก็คือ การฝึกปลีกวิเวกเป็นประจำ การฝึกปลีกวิเวกนั้นง่ายมาก สิ่งที่ต้องทำคือใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างน้อย 30-60 นาที นั่งเงียบ ๆ ในที่ที่ไม่มีเสียงหรือกิจกรรมใด ๆ มารบกวน เช่น นั่งท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบอย่างในสวนสาธารณะ และสิ่งที่ควรทำมากที่สุดระหว่างที่ปลีกวิเวกก็คือ การคิดเกี่ยวกับน้ำ การนั่งมองแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หรือแม้แต่สระว่ายน้ำจะช่วยให้สมองผ่อนคลาย ทั้งยังช่วยปลดปล่อยความสามารถที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกและจิตเหนือสำนึกด้วย
ทุกครั้งที่พบเจอปัญหา ความยากลำบาก อุปสรรค ความไม่พอใจ หรือความท้าทายในชีวิต จงหาที่สงบ ๆ แล้วนั่งเงียบ ๆ คำตอบที่ปรากฏขึ้นมานั้นจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน และแก้ปัญหาได้ครบทุกแง่มุม ทั้งยังเป็นสิ่งที่เรียบง่าย ชัดเจน และสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ใช้แม่แบบการคิด GOSPA ใช้แม่แบบเป็นประจำจะช่วยให้คิดอย่างช้า ๆ และคิดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น GOSPA โดยย่อมาจากคำว่า เป้าหมาย (Goals) จุดมุ่งหมาย (Objectives) กลยุทธ์ (Strategies) ลำดับความสำคัญ (Priorities) และการกระทำ (Actions)
เป้าหมาย ผลลัพธ์ที่เจาะจงวัดผลได้ และมีกำหนดเวลาแน่นอน ซึ่งต้องการบรรลุในระยะยาว
จุดมุ่งหมาย เป้าหมายย่อยที่ต้องทำให้ได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายหลัก
กลยุทธ์ วิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
ลำดับความสำคัญ กิจกรรมที่สำคัญกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ในการบรรลุจุดมุ่งหมายและเป้าหมาย จงใช้กฎ 80/20 กับทุกสิ่ง
การกระทำ อะไรคือกิจกรรมที่เจาะจงวัดผลได้ และมีกำหนดเวลาแน่นอน
การใช้แม่แบบการคิดนี้ และพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำอย่างถี่ถ้วน จะช่วยลับคมความสามารถในการตัดสินใจให้ดีขึ้นแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะมันจะบีบให้ต้องคิดในระยะยาว และคิดอย่างช้า ๆ
กฎแห่งความน่าจะเป็น หลายคนมองว่าความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของตัวเอง เกิดจากความโชคดีหรือโชคร้าย แต่หากมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเห็นว่า ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของความน่าจะเป็นต่างหา กกฎแห่งความน่าจะเป็นกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ และวิธีการทางคณิตศาสตร์ก็สามารถช่วยให้คำนวณ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างค่อนข้างแม่นยำเลยทีเดียว
แนวคิดพื้นฐานที่สุดของกฎนี้คือ ถ้าทำสิ่งที่คนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จทำให้บ่อยครั้งขึ้น ก็เท่ากับกำลังเพิ่มความน่าจะเป็น ในการทำสิ่งที่ถูกต้องได้ถูกจังหวะ และประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับพวกเขา ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความล้มเหลวก็เช่นกัน ยิ่งคิดและวางแผนอย่างรอบคอบก่อนลงมือทำมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งควบคุมความสำเร็จในอนาคตได้เร็วขึ้นเท่านั้น
บทที่ 3
การคิดโดยอาศัยข้อมูล
กับการคิดโดยปราศจากข้อมูล
คำที่เป็นที่นิยมที่สุดในกลุ่มนักธุรกิจมากประสบการณ์คือคำว่า การตรวจสอบสถานะของธุรกิจ (due diligence) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง การตัดสินใจที่ดีที่สุดย่อมต้องอาศัยการมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างครบถ้วน พูดง่าย ๆ ก็คือต้องคิดให้ดีก่อนลงมือทำ หนึ่งในคำที่สำคัญที่สุดของแวดวงธุรกิจในปัจจุบันคือ การพิสูจน์ความจริง จงอย่าคิดเอาเองเมื่อมีแนวคิดดี ๆ ผุดขึ้นมาในหัว ให้รีบทำอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์แนวคิดดังกล่าว และรวบรวมหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า มันดีอย่างที่คิดจริง ๆ คิดบนกระดาษ แจกแจงข้อมูลทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ และข้อมูลทั้งหมดที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง
ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตั้งสมมติฐานซึ่งเป็นทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ขึ้นมา จากนั้นก็หาทางพิสูจน์ว่าสมมติฐานนั้นไม่เป็นจริง ต้องพิสูจน์ว่าแนวคิดของตัวเองไม่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำ แต่คนส่วนใหญ่กลับทำตรงข้ามกับนักวิทยาศาสตร์ เมื่อนึกแนวคิดอะไรสักอย่างได้ พวกเขาจะพยายามหาสิ่งยืนยัน และหลักฐานมาสนับสนุนว่ามันเป็นแนวคิดที่ดี นั่นหมายความว่าพวกเขาติดกับอคติจากการเลือกรับข้อมูล จงตั้งสมมติฐานด้านตรงข้ามขึ้นมา ถ้าผลการพิสูจน์คือสมมติฐานด้านตรงข้ามนั้นไม่ถูกต้อง ก็สามารถสรุปได้ว่าแนวคิดตั้งต้นถูกต้อง
เต็มใจที่จะล้มเหลว ต้องพร้อมที่จะพยายามแล้วล้มเหลว หรือเสนอแล้วถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความล้มเหลว การลองผิดลองถูก และความผิดพลาดคือ สิ่งที่สำคัญมากต่อความสำเร็จขั้นสูงสุด ถ้าสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็น และบรรเทาหรือกำจัดข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่ได้ ก็จะตัดสินใจได้ดีกว่าคนอื่นชนิดเทียบกันไม่ติดเลยทีเดียว ไม่ว่าในแวดวงธุรกิจหรือสาขาอาชีพใด ๆ ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญเสมอ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานและยากลำบาก ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแนะนำทางออกได้ทันที โดยคนที่ด้อยประสบการณ์กว่าแทบมองไม่เห็นทางออกนั้นเลย
กฎที่สำคัญที่สุด คำแนะนำจากบรรดาเศรษฐีที่ได้ยินกันบ่อยที่สุดอาจเป็น อย่าให้เงินสูญเปล่า ดังนั้นต้องตั้งเป้าหมายว่าจะไม่ให้เงินสูญเปล่า ทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตส่วนตัว ในการทำสงคราม นายพลที่ทำพลาดน้อยที่สุดมักเป็นฝ่ายชนะ ส่วนในชีวิตของคนทั่วไป คนที่ทำพลาดน้อยที่สุดในเรื่องการเงิน มักจะพาบริษัทหรือหน่วยงานของตัวเอง ไปสู่จุดที่ทำกำไรได้ในระดับสูง
บทที่ 4
การคิดแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย
กับการเขียนแบบมุ่งเน้นการตอบโต้
เศรษฐีกลุ่มหนึ่งซึ่งล้วนสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากศูนย์ ได้มาร่วมตัวกันเพื่อกินมื้อเย็นที่บ้านของเศรษฐีคนหนึ่งในกลุ่ม โดยระหว่างที่กินมื้อเย็นนั้น พวกเขาก็พูดคุยกันถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้คนประสบความสำเร็จ และทำไมทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ถึงประสบความสำเร็จอย่างสูง ในขณะที่คนทั่วไปกลับประสบความสำเร็จกันเพียงน้อยนิด ในที่สุดคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในกลุ่มก็ถามขึ้นว่า ความสำเร็จคืออะไร เมื่อทุกคนหันไปมองเพื่อรอคำตอบ เขาก็พูดต่อว่าความสำเร็จคือ เป้าหมาย ส่วนสิ่งอื่นที่เหลือเป็นแค่องค์ประกอบปลีกย่อย
ต้องพบเจอจุดเปลี่ยนหลายต่อหลายครั้งตลอดชีวิต จุดเปลี่ยนอาจเป็นเหตุการณ์สำคัญ ความเข้าใจอันถ่องแท้ หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่เดือน และหลังจากพบเจอกับจุดเปลี่ยน ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็คือ การค้นพบเป้าหมาย ความจริงก็คือเมื่อมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจน รวมถึงมีแผนการที่แน่ชัดในการบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น แล้วลงมือทำตามแผนที่วางไว้ทุกวัน จะประหยัดเวลาได้มหาศาล สิ่งที่ทำสำเร็จภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี จะมากยิ่งกว่าสิ่งที่คนอื่นทำได้ในเวลาชั่วชีวิต ทันทีที่ตั้งเป้าหมายก็เท่ากับว่า ได้ระบุพิกัดตรงไปในเครื่อง GPS ทางความคิด ซึ่งจะทำงานเหมือนจรวดนำวิถี โดยพาพุ่งตรงไปยังพิกัดที่ต้องการ ด้วยการสำรวจเส้นทาง และปรับเปลี่ยนเส้นทางจนกว่าจะถึงเป้าหมายในที่สุด
สามปัจจัยสำคัญของการคิดที่ยอดเยี่ยมคือ ความชัดเจน การจดจ่อ และความมีสมาธิ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาปัจจัยเหล่านี้ก็คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนให้กับทุกด้านของชีวิต 95% ของความสำเร็จเป็นผลจากการสร้างความชัดเจนให้ตัวเองตั้งแต่แรก พูดง่าย ๆ ก็คือต้องเข้าใจตัวเองอย่างกระจ่างชัด ซึ่งหมายความว่า ต้องรู้จุดแข็ง จุดอ่อน พรสวรรค์ และความสามารถของตัวเอง รวมทั้งรู้ว่าอยากจะทำอย่างไรให้กับชีวิตตัวเองด้วย และสุดท้ายก็ต้องฝึกตัวเองให้มีสมาธิอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ทีละอย่าง และทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ จนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
เป้าหมายช่วยให้ยกระดับความชัดเจน การจดจ่อ และความมีสมาธิได้รวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใด เป้าหมายเป็นยาที่ดีที่สุดในการรักษาอาการความคิดคลุมเครือ ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่นำไปสู่ความท้อใจและความล้มเหลว คนที่ไม่มีเป้าหมายถูกสาปให้ต้องทำงานรับใช้คนที่มีเป้าหมายไปตลอดกาล ในแง่ของการใช้ชีวิต ถ้าไม่ทำงานเพื่อทำให้เป้าหมายของตัวเองให้เป็นจริง ก็ต้องทำงานเพื่อช่วยให้เป้าหมายของคนอื่นเป็นจริง ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ก็คือ การช่วยให้บริษัทของตัวเองบรรลุเป้าหมาย ด้วยการทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้เป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เป้าหมายช่วยให้ควบคุมทิศทางการเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงกำหนดชีวิตและหน้าที่การงานด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้สถานการณ์แวดล้อมเป็นตัวกำหนด เป้าหมายจะทำให้ชีวิตมีพลัง มีจุดมุ่งหมาย และมีทิศทาง มันจะดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวออกมา และทำให้ใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เวลาตั้งเป้าหมายต้องคิดในระยะยาว คิดอย่างช้า ๆ และคิดโดยอาศัยข้อมูล หลักการสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จคือ ต้องคิดบนกระดาษ การเขียนสิ่งที่ต้องการลงในกระดาษ ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะทำสิ่งนั้นสำเร็จได้อย่างมหาศาล
กระบวนการตั้งเป้าหมาย คราวนี้ลองมาดูกระบวนการง่าย ๆ แต่ทรงพลังในการตั้งและบรรลุเป้าหมาย ที่สามารถใช้ได้ทันที เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือพริกโฉมชีวิต
1.ตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง
2.เขียนเป้าหมายลงในกระดาษ เป้าหมายที่ไม่ได้เขียนลงในกระดาษเป็นได้เพียงความปรารถนาหรือความฝัน
3.กำหนดเส้นตาย เส้นตายเป็นระบบบังคับสำหรับจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกและจิตเหนือสำนึกมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่แน่นอน
4.เขียนรายการสิ่งที่จำเป็นสำหรับการไปให้ถึงเป้าหมาย
5.เปลี่ยนรายการนั้นเป็นแผนการ วิธีแรกคือการเรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนหลัง วิธีที่สองคือการจัดลำดับความสำคัญ
6.ลงมือทำตามแผนการทันที
7.ในแต่ละวัน ต้องทำสิ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญที่สุดได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม การที่ลงมือทำอะไรบางอย่างทุกวัน จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงที่จะส่งไปสู่ความสำเร็จ การเริ่มก้าวแรกอาจทำได้ยาก แต่หลังจากนั้นมันจะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ
อย่าลืมความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ว่า คิดอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น ดังนั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาต้องคิดเกี่ยวกับเป้าหมายของตัวเอง และคิดถึงมันไปตลอดทั้งวัน จากนั้นก็ตรวจดูว่าเข้าใกล้เป้าหมายหลักมากแค่ไหนแล้วในตอนเย็น ยิ่งคิดเกี่ยวกับเป้าหมายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งคิดวิธีที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จได้มากเท่านั้น การจดจ่ออยู่กับเป้าหมายอย่างแน่วแน่ จะกระตุ้นจิตใต้สำนึกและจิตเหนือสำนึก ให้พยายามทำเป้าหมายให้สำเร็จ ยิ่งคิด วางแผน และพยายามที่จะทำเป้าหมายหลักให้สำเร็จมากเท่าไหร่ เป้าหมายที่จะยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้นเท่านั้น จงเริ่มจดจ่อกับเป้าหมายตั้งแต่วันนี้ การทำเช่นนี้จะช่วยปลดปล่อยพลังความคิด กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ดึงพลังในตัวออกมา และผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าได้มากกว่า
บทที่ 5
การคิดแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์
กับการคิดแบบมุ่งเน้นสิ่งที่ทำ
ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น ๆ ในแง่การเงิน คำตอบของคำถามนี้เรียบง่ายเข้าใจได้ และเห็นได้ชัดเจนมาก คนที่ได้เงินเดือนสูงคือคนที่มีประสิทธิภาพสูง คนกลุ่มนี้ใช้เวลาได้ดีกว่าคนทั่วไป รวมถึงทำผลงานได้ดีกว่าและมากกว่า ผู้ว่าจ้างจึงยินดีจ่ายเงินจำนวนนั้นให้ สิ่งที่พวกเขาทำอยู่เสมอก็คือ ทุ่มเทเวลามากขึ้นให้กับการทำสิ่งต่าง ๆ ที่มีคุณค่ามากกว่าเดิม
สินทรัพย์ทางการเงินที่มีค่าที่สุดก็คือ ความสามารถในการหาเงิน บางครั้งโชคร้ายอาจตกงาน ต้องเสียบ้าน รถยนต์ รวมถึงเงินเก็บ และเงินก้อนที่ลงทุนไปทั้งหมด แล้วได้แต่ยืนอยู่ริมถนน โดยเหลือเพียงเสื้อผ้าที่สวมติดตัวอยู่ แต่ตราบใดที่ยังมีความสามารถในการหาเงิน ก็สามารถหาเงินทั้งหมดที่เสียไปกลับมาได้ แถมยังหาได้มากกว่าเดิมด้วย ความสามารถในการหาเงินคือความสามารถในการสร้างผลลัพธ์ที่คนอื่นยินดีจ่ายค่าตอบแทนให้
ความสามารถในการหาเงินไม่ใช่ความสามารถในการเดินทางไปทำงาน ตอกบัตรเข้างาน และทำตัวให้เข้ากับคนอื่น ๆ แต่เป็นความสามารถในการทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ไว้ใจได้ ตรงเวลา และไม่เกินงบประมาณ ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวที่นำไปสู่ความสำเร็จทุกอย่างในโลกแห่งการทำงานก็คือ การทำงานสำเร็จ สุดท้ายแล้วความสามารถในการทำงานให้เสร็จได้อย่างสม่ำเสมอ และไว้ใจได้คือสิ่งที่ทำให้ตัวเองเป็นทรัพยากรที่มีค่า และขาดไม่ได้ขององค์กร
คนส่วนใหญ่คิดว่าการอยู่ในที่ทำงานหมายความว่า พวกเขากำลังทำงาน แต่การทำงานที่แท้จริงหมายถึง การเริ่มและทำงานสำคัญจนเสร็จสมบูรณ์ รวมถึงสร้างผลลัพธ์ที่บริษัทต้องการ หรือจำเป็นต้องมีเพื่อสร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท บุคคลแนวหน้าใช้เวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปกับการทำสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าเดิม ส่วนคนทั่วไปใช้เวลาจำนวนมาก หรือเวลาส่วนใหญ่ไปกับกิจกรรมที่มีคุณค่าน้อยมากหรือไม่มีเลย
จุดประสงค์ของการอบรม หนังสือ และหลักสูตรที่เกี่ยวกับการบริหารเวลาทั้งหมดก็คือ ช่วยให้ถามและตอบตัวเองได้ว่า ตอนนี้ควรทำอะไรถึงจะเป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าที่สุด การถามและตอบคำถามนี้ได้อย่างถูกต้อง แล้วลงมือทำสิ่งที่เป็นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่าที่สุด สามารถกำหนดความสำเร็จในอาชีพการงานได้มากพอ ๆ กับปัจจัยอื่น ๆ หรืออาจมากกว่าด้วยซ้ำ
กุญแจสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานคือ การทำงานให้เสร็จ และเทคนิคการบริหารเวลาที่ทรงพลังที่สุดเพียงหนึ่งเดียว ที่จะช่วยให้ทำเช่นนั้นได้ก็คือ การจดจ่อกับสิ่งเดียวนั้นหมายความว่า ทันทีที่เริ่มทำงานที่สำคัญที่สุด ต้องพยายามบังคับตัวเองให้จดจ่อ และมีสมาธิเต็มร้อยกับงานนั้น จนกว่ามันจะเสร็จสิ้น การเริ่มต้นวันด้วยการทำงานชิ้นสำคัญที่สุดให้เสร็จ เป็นนิสัยที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป การทำงานเสร็จจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา สารนี้เป็นยากระตุ้นความสุขตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยยกระดับความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาบุคลิกภาพ สร้างแรงจูงใจ และทำให้มีพลังมากขึ้นด้วย
พูดง่าย ๆ ก็คือมันทำให้รู้สึกมีพลัง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเริ่มเข้าวันใหม่ด้วยการลงมือทำงานสำคัญให้เสร็จ ก็เท่ากับพาตัวเองเข้าไปอยู่ในภาวะดื่มด่ำ จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแท้จริง โดยทำงานสำคัญ ๆ เสร็จมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง และมีคุณภาพมากขึ้นตลอดทั้งวัน หมั่นถามตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันถูกคาดหวังให้สร้างผลลัพธ์อะไร ในบรรดาผลลัพธ์ทั้งหมดที่สามารถทำได้ อะไรคือสิ่งที่ต้องทำให้ออกมาดีที่สุดและรวดเร็ว เพื่อสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในด้านอาชีพการงาน ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร จงเริ่มทำงานนั้นทันที และทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเสร็จ การสร้างนิสัยนี้จะผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในคนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในธุรกิจ และแวดวงของตัวเองอย่างรวดเร็ว
บทที่ 6
การคิดในแง่บวก
กับการคิดในแง่ลบ
อริสโตเติล นับเป็นนักปรัชญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ทั้งยังเป็นคนที่ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อย่างกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาสรุปว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และความพยายามของมนุษย์คือความสุข โดยกล่าวว่าทุกการกระทำของคนเรา ล้วนพุ่งเป้าไปที่การมีความสุขมากขึ้น ซึ่งความสุขนั้นจะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับนิยามของแต่ละคน มาตรวัดที่แท้จริงว่าประสบความสำเร็จในชีวิตเพียงใดคือ การดูว่าส่วนใหญ่แล้วมีความสุขมากแค่ไหน ถ้ามั่งคั่ง มีชื่อเสียง หรือมีอิทธิพลแต่ไม่มีความสุข ก็เท่ากับล้มเหลวในการรับผิดชอบหน้าที่หลัก ที่มีต่อตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกการกระทำจะนำไปสู่ความสุข คนจำนวนมากพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อไขว่คว้าความสุข จนทำให้ชีวิตสับสนวุ่นวาย และสุดท้ายก็มักจะลงเอยด้วยการพึงพอใจ และมีความสุขน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการไม่ทำอะไรเลย พวกเขาล้วนเป็นตัวอย่างของกฎแห่งผลที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ และกฎแห่งผลที่ตรงข้ามกับความตั้งใจ อารมณ์เชิงบวกอย่างความรัก ความเบิกบานใจ ความสงบ ความตื่นเต้น ความสำเร็จ และความรู้สึกที่ว่าได้เติมเต็มศักยภาพทั้งหมดของตัวเอง คือเป้าหมายที่อยู่ในใจของทุกคนแทบตลอดเวลา
คนที่ประสบความสำเร็จจะคิดในแง่บวกเกือบตลอดเวลา ผลก็คือพวกเขามีความสุขมากกว่า อ่อนโยนมากกว่า เป็นที่ชื่นชอบมากกว่า และพึงพอใจกับชีวิตมากกว่าคนทั่วไป ด้านตรงข้ามของการคิดในแง่บวกคือการคิดในแง่ลบ คนที่คิดในแง่ลบมักจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนอื่น และหวาดระแวงอยู่เสมอ พวกเขาไม่เชื่อใจคนอื่น และเอาแต่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้าย ๆ กับตัวเองเกือบตลอดเวลา ทั้งยังมีบุคลิกภาพในแง่ลบ และชอบวิจารณ์ตัวเองและคนรอบข้าง พวกเขาแทบไม่เคยพึงพอใจเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังมองว่าชีวิตคือการพบเจอกับปัญหา และความยากลำบากสารพัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเอง แทบไม่สามารถควบคุมหรือทำอะไรได้เลย
ทุกคนอยากมีความสุข ไม่ว่าแต่ละคนจะนิยามความสุขไว้อย่างไรก็ตาม และอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางพวกเขาจากความสุขที่ใฝ่ฝันก็คืออารมณ์เชิงลบ อารมณ์เชิงลบเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมดในชีวิตมนุษย์ ถ้ามีวิธีกำจัดอารมณ์เชิงลบ ก็จะสามารถกำจัดปัญหาในชีวิตมนุษย์ได้แทบทั้งหมด ธรรมชาติเกลียดความว่างเปล่า ดังนั้น ถ้ากำจัดอารมณ์เชิงลบออกไป อารมณ์เชิงบวกก็จะเข้ามาแทนที่โดยอัตโนมัติ และเมื่อกำจัดอารมณ์เชิงลบได้แล้ว ก็จะสามารถเติมเต็มศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และสามารถกำจัดปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วย ดังนั้น หน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต จึงเป็นการกำจัดอารมณ์เชิงลบ
การคิดในเชิงบวกต้องอาศัยความพยายาม และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนกว่าจะถึงจุดที่ตอบสนองต่อชีวิต และเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการคิดเชิงบวกจนเป็นนิสัย และโชคดีที่สามารถเป็นคนคิดในแง่บวกอย่างแท้จริงได้ด้วยการเรียนรู้และฝึกฝน จุดเริ่มต้นในการกำจัดอารมณ์เชิงลบคือ การทำความเข้าใจว่ามันมาจากไหน ข่าวดีก็คือไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาพร้อมความกลัว หรืออารมณ์เชิงลบ ความกลัวและอารมณ์เชิงลบเป็นสิ่งที่คนเราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ระหว่างที่เจริญเติบโต และเนื่องจากอารมณ์เชิงลบเป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ จึงเรียนรู้ที่จะกำจัดมันได้ อารมณ์เชิงลบเป็นวิธีตอบโต้ และตอบสนองต่อผู้คน และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ใช้จนติดเป็นนิสัย สามารถสร้างนิสัยในการตอบโต้และตอบสนองอย่างสร้างสรรค์มาแทนที่มันได้ วิธีตอบสนองเป็นสิ่งที่เลือกได้
การรับผิดชอบต่อสถานการณ์ด้วยตัวเอง ไม่มีทางกล่าวโทษว่าคนอื่นทำให้เกิดอารมณ์เชิงลบ พร้อมกับรับผิดชอบต่อสถานการณ์นั้นด้วยตัวเองได้ การรับผิดชอบจะกำจัดอารมณ์เชิงลบที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ คน ปัญหา หรือความยากลำบากที่พบเจอ แล้วกระตุ้นให้ตัวเองรับผิดชอบ แค่พูดคำวิเศษณ์ที่ว่า “ฉันรับผิดชอบเอง” อย่าลืมว่าสมองรองรับความคิดได้ทีละอย่างเท่านั้น ไม่เชิงบวกก็เชิงลบ ดังนั้น สามารถกำจัดความคิดเชิงลบได้ทุกเวลา เพียงแค่ย้ำกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “ฉันรับผิดชอบเอง”
กุญแจสู่ความภูมิใจในตัวเอง และความมั่นใจในตัวเอง การพึ่งพาตัวเองและการเคารพตัวเองคือ ต้องรับผิดชอบ 100% ต่อทุกสิ่งที่เป็น และจะเป็นในอนาคต ทันทีที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อแม้ จะสงบปราศจากความสับสนและรู้สึกดี ดวงอาทิตย์จะเริ่มฉายแสงในชีวิต เงามืดทั้งหมดจะหายวัวไป หนึ่งในสิ่งสำคัญของการกำจัดอารมณ์เชิงลบคือ การให้อภัย ทุกคนล้วนเคยถูกใครบางคนทำไม่ดีด้วย การมีวัยเด็กที่ยากลำบาก เติบโตมาพร้อมกับประสบการณ์เชิงลบ มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี หน้าที่การงานไม่เป็นไปอย่างที่หวัง และไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน
ทุกคนล้วนเคยถูกโกหก โกง ทำให้บาดเจ็บ เอาเปรียบ และทำร้าย โชคร้ายที่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งมนุษย์ต้องพบเจออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อให้อภัยทุกคน ที่เคยทำให้เจ็บปวดในทางใดทางหนึ่ง ต้องปล่อยวางความคิดในแง่ลบทั้งหมด ที่ยังคงคิด รู้สึก หรือมีต่อทุกคนในชีวิตโดยปราศจากเงื่อนไข หรือข้อจำกัดอย่างสิ้นเชิง ต้องให้อภัยทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
การรับผิดชอบมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความรู้สึกที่ว่า สามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ยิ่งรับผิดชอบมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกว่าควบคุมชีวิตของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากความเครียดและอารมณ์เชิงลบแทบทั้งหมด เกิดจากการรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอะไรบางอย่างไม่ได้ ทันทีที่ยืดอกรับผิดชอบ ก็เท่ากับก้าวเข้ามาควบคุมตัวเอง และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต การต่อว่าและวิจารณ์คนอื่น คือการทำให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อ ส่วนการกล่าวโทษคนอื่นจะทำให้รู้สึกต่ำต้อย อ่อนแอ โกรธ และด้อยค่า แทนที่จะมองว่าตัวเองเป็นคนที่รับผิดชอบ และพึ่งพาตัวเองได้อย่างเต็มที่ กลับปล่อยให้คนอื่นเข้ามาควบคุม ทั้งยังไม่ยอมรับผิดชอบชีวิตและอารมณ์ของตัวเอง เมื่อกล่าวโทษคนอื่นจะเกิดความรู้สึกเชิงลบ โกรธ ระแวง ตั้งตัวเป็นศัตรู และอ่อนแอ นี่คือสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า จงตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่วันนี้ว่า จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ มีวุฒิภาวะสมบูรณ์ และทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มความสามารถ เพียงพูดคำว่า “ฉันรับผิดชอบเอง” ซ้ำ ๆ และหมายความตามนั้นจริง ๆ นี่คือกุญแจที่จะนำไปสู่การคิดในแง่บวกได้อย่างแท้จริง
บทที่ 7
การคิดแบบยืดหยุ่น
กับการคิดแบบตายตัว
ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ส่งผลต่อธุรกิจ และอาชีพการงานได้อย่างมหาศาลคือ ความสามารถในการคิดแบบยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึงการพิจารณาสถานการณ์หนึ่ง ๆ ในทุกแง่มุม และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่นคือความสามารถในการตอบโต้ และตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลง ในด้านต่าง ๆ ที่ไวขึ้นเรื่อย ๆ บุคคลหรือองค์กรที่ยึดถือความยืดหยุ่น จะมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่ง ที่ยึดติดอยู่กับความตายตัวและไม่ยืดหยุ่นอย่างมหาศาล ธุรกิจจะเกิดปัญหาเมื่อรสนิยมและความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนผู้คนจะมีปัญหาด้านอาชีพการงาน เมื่อนายจ้างต้องการความสามารถหรือทักษะเฉพาะด้านที่ต่างจากเดิม การจะเอาตัวรอดและเจริญก้าวหน้า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะในฐานะบุคคลหรือองค์กร ต้องก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเสมอ
อุปสรรคของการเปลี่ยนแปลง และความยืดหยุ่นที่ต้องเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา มีด้วยกัน 3 อย่าง
อุปสรรคแรกซึ่งเลวร้ายที่สุดคือ เขตแดนแห่งความสบายใจ เมื่อผู้คนเริ่มลงมือหรือลองทำอะไรบางอย่างจนสบายใจกับมันแล้ว พวกเขาก็จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ แม้แต่การเปลี่ยนแปลงดี ๆ ถ้ามันทำให้พวกเขาต้องทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ต่างจากเดิม
อุปสรรคอย่างที่ 2 ที่ขัดขวางผู้คนจากความยืดหยุ่น การท้าทาย และการตั้งคำถามกับสภาพปัจจุบันคือ ความกลัวทุกชนิด โดยเฉพาะความกลัวว่าจะล้มเหลว
อุปสรรคอย่างที่ 3 ซึ่งทำให้ผู้คนกลัว และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมีชื่อเรียกในทางจิตวิทยาว่า ความสิ้นหวังอันเกิดจากการเรียนรู้ (learned helplessness) อันที่จริงคนเรารู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงคือสิ่งจำเป็น แต่หลายคนรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ โดยติดอยู่ในวังวนของสถานการณ์ปัจจุบันที่ซับซ้อน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
บางครั้งแนวคิดที่เรียบง่ายที่สุด ก็สามารถสั่นสะเทือนความคิดของตัวเอง และทำให้มองสถานการณ์ในมุมมองที่ต่างจากเดิมแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กุญแจสำคัญอยู่ที่การเปิดใจรับความเป็นไปได้ที่ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่สุดท้ายแล้วมันอาจผิดอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ เพราะการทำสิ่งต่าง ๆ แทบทุกอย่าง มักมีวิธีที่ดีกว่าและแตกต่างจากวิธีของตัวเอง เครื่องมือ 7 อย่างนี้ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการยืดหยุ่น และความคล่องตัวทางความคิดได้
1.การคิดทบทวน ต้องวางมือจากทุกอย่าง หาเวลาปลีกตัวและถอยออกมามองสถานะการณ์ของตัวเองอย่างเป็นกลาง
2.การประเมินใหม่ ลองคิดแบบย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น และพิจารณาความเป็นไปได้ในการทำสิ่งที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
3.การจัดระบบการทำงานใหม่ หาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มผลงานด้วยการโยกย้ายบุคลากรและทรัพยากร รวมถึงใช้งานด้วยวิธีที่ต่างจากเดิม
4.การปรับโครงสร้าง โยกย้ายบุคลากรและทรัพยากรไปใช้กับงาน 20% ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ 80%
5.การรื้อกระบวนการทำงาน หมั่นเสาะหาวิธีที่จะทำให้การทำงานและชีวิตเรียบง่ายขึ้น
6.การคิดค้นใหม่ หมั่นจินตนาการว่า จะทำอะไรต่างจากเดิม ถ้ามีโอกาสเริ่มต้นใหม่ในวันนี้
7.การทวงคืนอำนาจในการควบคุม ถึงเวลาทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับงานและธุรกิจ
หน้าที่หลักคือการเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดที่ต้องทำ แล้วมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นอย่างสุดหัวใจ
บทที่ 8
การคิดอย่างสร้างสรรค์
กับการคิดโดยยึดติดกับแบบแผน
นักคิดสร้างสรรค์เป็นผู้ครองโลก คนกลุ่มนี้จะหมั่นเสาะหาวิธีที่รวดเร็วขึ้น ดีขึ้น และง่ายขึ้น ในการบรรลุเป้าหมายที่สำคัญต่อคนอื่น โดยทำตามหลักการ CANEL (Continuous and Never-End Improvement หรือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด) นักคิดสร้างสรรค์เป็นผู้ค้นพบสิ่งต่าง ๆ ที่พลิกโฉมโลกไปอย่างสิ้นเชิง สร้างนวัตกรรมและสร้างความก้าวหน้าทุกอย่างในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พวกเขารู้ว่าบางครั้งแนวคิดดี ๆ เพียงแนวคิดเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวได้แล้ว
การคิดโดยยึดติดกับแบบแผนมักตายตัวและไม่ยืดหยุ่น โดยต้องเลือกว่าจะทำตามแนวทางของฉันหรือไม่ทำเลย การคิดโดยยึดติดกับแบบแผนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกลัวว่าจะล้มเหลว หรือทำพลาด และต้องเสียเวลา เงินทอง หรือทั้ง 2 อย่าง คนที่คิดไม่เก่งมักคิดแบบขาวดำ แทนที่จะคิดแบบเทา ๆ พูดง่าย ๆ คือความคิดของพวกเขาเป็นแบบสุดโต่ง คนกลุ่มนี้เป็นเหยื่อของการรักษาสมดุล หรือการพยายามทำให้ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาติดอยู่ในเขตแดนแห่งความสบายใจ ทั้งยังไม่พอใจ และกลัวสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ต่างจากเดิม แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นก็ตาม
ทุกคนมีศักยภาพในการคิดสร้างสรรค์ ที่มากเกินกว่าจะใช้หมดในร้อยชาติ ยิ่งใช้ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงความคิดสร้างสรรค์ในตัวออกมาได้มากเท่านั้น และทุกครั้งที่คิดอะไรใหม่ ๆ ได้ ก็จะยิ่งมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ว่ากันว่าเด็กทุกคนเกิดมาเป็นอัจฉริยะ และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ดูเหมือนว่าความคิดสร้างสรรค์จะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถชี้วัด หรือทำนายความสำเร็จในอาชีพการงานและชีวิต ยิ่งใช้ความคิดสร้างสรรค์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้แนวคิดที่ดีกว่าเดิม ในการพัฒนาชีวิตการงาน และทุกอย่างรอบตัว
สรุปก็คือแนวคิดดี ๆ เพียงแนวคิดเดียวก็เพียงพอแล้ว ที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตทั้งหมด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนที่คิดเชิงสร้างสรรค์ คนที่คิดเชิงสร้างสรรค์จะเป็นคนช่างสงสัย พวกเขาจะตั้งคำถามมากมาย และไม่เคยพอใจกับคำตอบ สามารถมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นได้เพียงแค่ตั้งคำถาม เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวให้มากกว่าเดิม และอย่าพอใจกับคำตอบที่ผิวเผิน
การศึกษาจำนวนมาก พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับคุณลักษณะของอัจฉริยะในทุกยุคทุกสมัย ข้อเท็จจริงแรกที่พวกเขาค้นพบคือ ความเป็นอัจฉริยะไม่เกี่ยวข้องกับ IQ หรือความฉลาดทางวิชาการ หลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ ฉลาดพอ ๆ กับคนทั่วไป หรือฉลาดกว่าเพียงเล็กน้อย อันที่จริงความเป็นอัจฉริยะหรือการคิดได้อย่างล้ำเลิศ มีความเกี่ยวข้องกับทัศนคติ และวิธีรับมือกับความท้าทายในชีวิต ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้มากกว่า ดูเหมือนว่าอัจฉริยะจะใช้เวลาไปกับการพัฒนาคุณลักษณะ 3 อย่างต่อไปนี้
คุณลักษณะแรกคือ การรับมือกับทุกปัญหา และสถานการณ์ด้วยใจที่เปิดกว้าง ราวกับเด็ก ๆ ที่ต้องการสำรวจ และค้นพบสิ่งต่าง ๆ
คุณลักษณะที่ 2 คือ การพิจารณาทุกแง่มุมของปัญหาอย่างรอบคอบโดยไม่ด่วนสรุป และพยายามรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด
คุณลักษณะที่ 3 คือ อัจฉริยะในทุกแวดวงจะใช้วิธีที่เป็นระบบ ในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ คนที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพต่าง ๆ ทั้งนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ แพทย์ ช่างเครื่อง และอื่น ๆ ไม่ได้กระโจนเข้าหาปัญหาเหมือนสุนัขพุ่งกวดรถที่ขับผ่านมา แต่ทำตามรายการสำหรับตรวจสอบที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี และพยายามแก้ปัญหาทีละขั้นจนสำเร็จ
กระบวนการคิดค้นนวัตกรรม ปรัชญาของธุรกิจทุกอย่าง และผู้บริหารทุกคนที่ประสบความสำเร็จคือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด จงตั้งใจแน่วแน่ที่จะก้าวออกจากเขตแดนแห่งความสบายใจอย่างกล้าหาญ หมั่นเสาะหาวิธีที่ใหม่กว่า ดีกว่า และประหยัดกว่าในการบรรลุเป้าหมาย และก้าวไปข้างหน้า เตรียมพร้อมที่จะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อพัฒนาหรือนำเสนอสินค้า บริการ วิธีการ หรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ สิ่งต่าง ๆ จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด จะพบกับความหงุดหงิดใจ ความยากลำบาก ความพ่ายแพ้ และความล้มเหลวชั่วครั้งชั่วคราวตลอดเส้นทางสู่ความสำเร็จ อันที่จริงความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงผลตอบกลับรูปแบบหนึ่ง ความยากลำบากไม่ได้เข้ามาเพื่อขัดขวาง แต่เข้ามาเพื่อมอบบทเรียนให้ สูตรสำเร็จที่ได้ผลในทุกยุคทุกสมัยคือ จงลอง ลองอีกครั้ง จากนั้นก็ลองสิ่งอื่นต่อไป ความสามารถในการแก้ปัญหา ตัดสินใจ รวมถึงหาวิธีที่สร้างสรรค์ และไม่เคยมีมาก่อน เพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ เพิ่มยอดขาย และกระตุ้นผลกำไรคือ กุญแจสำคัญที่สุดที่นำไปสู่ความสำเร็จ
บทที่ 9
การคิดแบบผู้ประกอบการ
กับการคิดแบบพนักงาน
ทุกคนล้วนอย่าประสบความสำเร็จทางการเงิน ในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในช่วงชีวิตการทำงาน การคิดแบบผู้ประกอบการหมายถึง การจดจ่ออยู่กับลูกค้าตลอดเวลา โดยคิดเกี่ยวกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ การคิดแบบพนักงานแตกต่างจากการคิดแบบผู้ประกอบการ พนักงานทุกตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างทั่วไป ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือเจ้าหน้าที่เฉพาะด้าน ต่างก็ไม่ใส่ใจลูกค้า หรือมองว่าลูกค้าเป็นตัวปัญหา ที่เอาแต่ร้องเรียนและเรียกร้องสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ต่างจากเดิม พวกเขามักมองว่าลูกค้าคือแมลงวันที่ต้องไล่ตีหรือปัดให้พ้น ๆ ไป
คนที่คิดแบบพนักงานจะสนใจแต่การทำงานของตัวเอง เอาอกเอาใจคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า ทำตามกฎ และทำแต่สิ่งที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ออกหรือถูกปลด คนที่คิดแบบพนักงานมักใช้สรรพนามว่า พวกเขาและของพวกเขา เวลาพูดถึงบริษัทและคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัท ก็แทบไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลย พวกเขามักพูดว่างานก็คืองาน นักวิจัยหลายคนสรุปว่า พนักงานมากกว่า 60% ทั้งในบริษัทขนาดใหญ่และเล็กไม่มีความทุ่มเท พวกเขาไม่รู้สึกว่าต้องมุ่งมั่น หรือจงรักภักดีอย่างลึกซึ้งต่อบริษัท โดยทำงานไปวัน ๆ และคิดถึงการทำอย่างอื่น
คนที่คิดแบบผู้ประกอบการจะต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบต่อความสำเร็จของบริษัท ทั้งยังมองว่าพวกเขาเป็นเจ้านายตัวเอง และทำตัวราวกับเป็นเจ้าของบริษัท คนที่คิดแบบผู้ประกอบการมักอาสาขอรับผิดชอบงานมากกว่าเดิมเสมอ พวกเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำผลงานให้มากขึ้นได้อย่างไร ทั้งยังหมั่นพัฒนาทักษะ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และหาวิธีสร้างคุณค่าให้กับบริษัทมากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด คนที่คิดแบบผู้ประกอบการจะหาวิธีเพิ่มยอดขาย และผลกำไรของบริษัท คนที่คิดแบบผู้ประกอบการจะยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และคิดเกี่ยวกับลูกค้าตลอดเวลา
การคิดแบบผู้ประกอบการ ต้องอาศัยการคิดเกี่ยวกับลูกค้าตลอดเวลา ต้องหมั่นเสาะหาวิธีที่ใหม่ แตกต่าง ดีขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดขึ้น ในการให้บริการลูกค้า รวมทั้งมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการ และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ให้ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถในการคิดแบบผู้ประกอบการแทนที่จะคิดแบบพนักงาน จะช่วยให้ปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดในด้านอาชีพการงานได้ดีกว่า ปัจจัยอื่น ๆ และอาจถึงขั้นทำให้ร่ำรวยได้เลยทีเดียว
บทที่ 10
การคิดแบบคนรวย
กับการคิดแบบคนจน
ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จะมีโอกาส และหนทางในการสร้างความมั่งคั่งได้มากเท่ากับปัจจุบัน มีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่สร้างธุรกิจที่หลากหลายขึ้น ในแวดวงธุรกิจต่าง ๆ ความรู้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่มากขึ้น ก่อให้เกิดสินค้าและบริการจำนวนมากขึ้น ที่ผู้คนต้องการ จำเป็นต้องใช้ และเต็มใจจะจ่ายเงินซื้อ แค่มีแนวคิดใหม่เพียงแนวคิดเดียว ก็สามารถทำเงินก้อนโตได้
กฎแห่งความสอดคล้องกันใช้ได้ผลกับทุกคนในทุกเวลาและทุกสถานการณ์ กฎข้อนี้กล่าวไว้ว่าโลกภายนอกจะสะท้อนโลกภายใน ทุกสิ่งเริ่มจากภายในสู่ภายนอก ไม่สามารถทำสิ่งที่อยู่ในโลกภายนอกสำเร็จได้ จนกว่าใจจะเชื่อว่าทำสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว การจะเป็นคนมั่งคั่งในโลกภายนอก ต้องคิดแบบคนรวยในโลกภายใน ไม่มีวิธีอื่นนอกจากนี้แล้ว คนจนคิดแบบคนจน ความเชื่อที่พวกเขายึดถือก่อให้เกิดข้อจำกัด ถ่วงความเจริญ และขัดขวางไม่ให้พวกเขาลองพยายาม สาเหตุ 7 ข้อที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถมีฐานะมั่งคั่งได้
1.ไม่เคยคิดว่ามันเป็นไปได้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองสามารถมีฐานะมั่งคั่งได้ การเลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา ทั้งยังคบหาแต่กับคนจน จึงทำให้คิดว่าเป็นไปไม่ได้
2.ไม่เคยตัดสินใจที่จะสร้างฐานะ หลายคนปรารถนา หวัง ฝัน และวาดภาพว่า ชีวิตของตัวเองจะต่างจากเดิม แต่พวกเขาไม่เคยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า จะต้องมีฐานะมั่งคั่งให้ได้ พวกเขาจึงไม่เคยแม้แต่จะเริ่มก้าวแรก
3.ผัดวันประกันพรุ่ง ต่อให้คนกลุ่มนี้จะเคยคิดว่า พวกเขาสามารถสร้างฐานะให้ตัวเองมั่งคั่งขึ้นมาได้ และตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ไม่เคยเริ่มลงมือทำเลย พวกเขาผัดวันประกันพรุ่ง และพาตัวเองไปอยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝันที่ชื่อว่า สักวันฉันจะ
4.กลัวว่าจะล้มเหลว ความกลัวว่าจะล้มเหลว ทำให้พวกเขาสรรหาสารพัดเหตุผล มาสนับสนุนการไม่ลงมือทำ
5.กลัวว่าจะถูกวิจารณ์และไม่ได้รับการยอมรับ ทางออกก็คือเมื่อตัดสินใจที่จะสร้างฐานะให้มั่งคั่ง จงอย่าบอกใคร เก็บมันไว้เป็นความลับ จากนั้นก็พยายามทำเป้าหมายให้เป็นจริงอย่างเงียบ ๆ
6.หยุดเรียนรู้และเติบโต การจะบรรลุสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ต้องเรียนรู้ และฝึกฝน สิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ความรู้และทักษะคือบันไดที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทางการเงิน
7.ขาดความบากบั่น คนส่วนใหญ่บากบั่นไม่นานพอที่จะประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จบอกว่า สาเหตุหลักของความสำเร็จคือ การปฏิเสธที่จะล้มเลิก
โชคดีที่สามารถเอาชนะข้อจำกัด สู่ความสำเร็จทางการเงินแต่ละข้อได้ ด้วยการเรียนรู้และฝึกฝน การเรียนรู้วิธีคิดแบบคนรวย จะช่วยให้เปลี่ยนอุปสรรคเหล่านี้ เป็นบันไดสู่ความสำเร็จได้ กฎแห่งความสอดคล้องกัน เป็นกฎด้านความคิดที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช้ได้ผลกับทุกคนในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นสิ่งที่แน่นอน และแทบจะคาดการณ์ได้โดยสมบูรณ์ ในแง่ของการสร้างฐานะ กฎข้อนี้กล่าวไว้ว่า พฤติกรรมในโลกภายนอกจะสอดคล้องกับความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ แนวคิด และค่านิยมในโลกภายใน การกระทำจะสอดคล้องกับความเชื่อที่ยึดมั่นอยู่ในใจเสมอ ถ้าเชื่ออย่างไร ในไม่ช้าก็จะได้ผลลัพธ์ แบบเดียวกับที่เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน
กุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง หนทางเดียวที่จะช่วยให้มีฐานะมั่งคั่งได้อย่างแท้จริงคือ การเติมเต็มสิ่งที่คนอื่นต้องการ จำเป็นต้องใช้และเต็มใจที่จะจ่ายเงินซื้อ ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ผู้คนจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น ในการหาเงินให้ได้มากขึ้น และบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นเท่ากับช่วงเวลาปัจจุบันอีกแล้ว กฎแห่งความพยายามโดยอ้อมแสดงให้เห็นว่า เมื่อจดจ่ออย่างแน่วแน่อยู่กับการพัฒนาวิธีคิดแบบคนที่มีฐานะมั่งคั่ง และทำตามพฤติกรรมที่พวกเขาทำอยู่ทุกวัน ในไม่ช้าจะกลายเป็นคนที่มีฐานะมั่งคั่งทั้งภายในและภายนอก ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน อยู่ในจุดที่อยู่และเป็นอย่างที่เป็นเพราะตัวเอง พูดง่าย ๆ คือเพราะการคิดและพฤติกรรมของตัวเอง ถ้าอยากให้อนาคตของตัวเองในด้านใดก็ตามดีขึ้น ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาวิธีคิดของตัวเอง ต้องเลือกทางเลือกใหม่ ๆ และตัดสินใจให้ดีขึ้น.