ในการวัดขนาดและความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เรามักได้ยินคำว่า GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และ GNP (Gross National Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าทั้งสองตัวนี้แตกต่างกันอย่างไร และบอกอะไรเราได้บ้าง
ความแตกต่างที่สำคัญ: มองที่ “พื้นที่” vs “สัญชาติ”
GDP วัดมูลค่าสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตขึ้นภายในอาณาเขตของประเทศ ไม่ว่าจะผลิตโดยคนสัญชาติใดก็ตาม เช่น หากบริษัทญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในไทย มูลค่าการผลิตรถยนต์ของโรงงานนี้จะนับรวมเป็น GDP ของไทย
ในขณะที่ GNP จะมองที่สัญชาติของผู้ผลิต โดยวัดมูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตโดยพลเมืองของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะผลิตที่ไหนในโลกก็ตาม เช่น หากบริษัทไทยไปตั้งโรงงานผลิตในเวียดนาม มูลค่าการผลิตจะนับเป็น GNP ของไทย แต่ไม่นับเป็น GDP ของไทย
การคำนวณที่แตกต่าง
GDP คำนวณจากองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่:
- การบริโภคของภาคเอกชน เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชน
- การลงทุนของภาคเอกชน เช่น การซื้อเครื่องจักรหรือก่อสร้างโรงงาน
- การใช้จ่ายของภาครัฐ ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน
- การส่งออกสุทธิ (มูลค่าการส่งออกลบด้วยมูลค่าการนำเข้า)
ส่วน GNP คำนวณโดยนำ GDP มาปรับด้วยรายได้สุทธิจากต่างประเทศ นั่นคือ: GNP = GDP + รายได้ที่คนสัญชาติของประเทศได้รับจากต่างประเทศ – รายได้ที่ต้องจ่ายให้ชาวต่างชาติ
ตัวชี้วัดที่บอกอะไรเราได้บ้าง?
GDP บอกให้เรารู้ถึง:
- ขนาดของเศรษฐกิจภายในประเทศ
- อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
- ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
GNP บอกให้เรารู้ถึง:
- ความมั่งคั่งที่แท้จริงของพลเมืองในประเทศ
- ความสามารถในการสร้างรายได้ของคนในประเทศ
- การขยายตัวของธุรกิจของประเทศในต่างแดน
- การพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ
ความแตกต่างในแต่ละประเทศ
ประเทศต่างๆ มีความสัมพันธ์ระหว่าง GDP และ GNP ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น:
สหรัฐอเมริกา: มี GNP สูงกว่า GDP เนื่องจากมีบริษัทและการลงทุนในต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้มีรายได้จากต่างประเทศสูง
ซาอุดีอาระเบีย: มี GNP สูงกว่า GDP เช่นกัน เพราะมีการส่งออกน้ำมันและการลงทุนในต่างประเทศมาก
ไทย จีน และสหราชอาณาจักร: มี GDP สูงกว่า GNP เพราะมีการลงทุนจากต่างชาติในประเทศมาก ทำให้มีเงินไหลออกในรูปของกำไรที่ส่งกลับประเทศต้นทาง
การนำไปใช้ในปัจจุบัน
ปัจจุบันหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1991 ได้เปลี่ยนมาใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักของเศรษฐกิจ เนื่องจาก:
- ทำให้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะหลายประเทศใช้ GDP เป็นมาตรฐาน
- สอดคล้องกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การจ้างงานและการผลิตภาคอุตสาหกรรม
- เหมาะสมกับยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
ข้อจำกัดของทั้ง GDP และ GNP
อย่างไรก็ตาม ทั้ง GDP และ GNP ต่างมีข้อจำกัด เช่น:
- ไม่ได้สะท้อนการกระจายรายได้
- ไม่ได้วัดคุณภาพชีวิตหรือความเป็นอยู่ที่ดี
- ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
- ไม่ได้นับรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกระบบ
สรุป
การทำความเข้าใจทั้ง GDP และ GNP จึงช่วยให้เราเห็นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น โดยควรพิจารณาควบคู่กับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อการวิเคราะห์ที่รอบด้านและสมบูรณ์มากขึ้น การเข้าใจความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่าง GDP และ GNP จะช่วยให้เราสามารถประเมินสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น