จิตวิทยาแค่ 1 ทำให้คุณเหนือคน

สั่งซื้อหนังสือ “จิตวิทยาแค่ 1% ทำให้คุณเหนือคน (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ จิตวิทยาแค่ 1% ทำให้คุณเหนือคน

Part 1 จิตวิทยา 1% สร้างเพื่อนและความประทับใจให้ทุกคนที่เจอคุณ

First Impression การแต่งตัวและบุคลิกภาพ

คนส่วนใหญ่ตัดสินคนที่พบเจอกันจากภาพลักษณ์ที่เห็นก่อน ให้คะแนนความชอบความนับถือ และความเชื่อถือกับคนที่เจออย่างน้อย 50% ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ส่วนจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือไม่อย่างไร ก็ค่อยว่ากันทีหลังต่อไป  ถ้าคิดจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องไม่พลาดคือ การแต่งตัวที่ดูดี แต่งตัวภูมิฐาน สะอาดสะอ้าน เหมาะสมกับบุคลิกน่ามอง และเข้ากับกาลเทศะ ถ้าขาดข้อหนึ่งข้อใดไปถือว่าคุณยังแต่งตัวไม่ดูดี

แต่การแต่งตัวก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด การแต่งตัวที่ดูดีมันดึงดูดสายตาคนได้แว็บนึง ต่อไปคือบุคลิกภาพ คนที่มีบุคลิกภาพที่ดี คือคนที่พูดจาดี วางตัวดี นั่ง ยืน เดินสง่างาม คือต้องมองทุกอย่างรวม ๆ กัน ถ้าคนอื่นมองแล้วรู้สึกสะดุดตา ชอบ และยิ่งสนใจในตัวคุณมากขึ้น ถือว่าคุณมีบุคลิกภาพที่ดีใช้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าคุณอยากจะสร้างความประทับใจครั้งแรก ให้ทุกคนที่เจอคุณ คุณต้องทำบุคลิกภาพดี และโดดเด่น

5 เคล็ดลับทำให้คุณดูเป็นคนสำคัญ

ทำไมต้องดูเป็นคนสำคัญ เพราะคนสำคัญจะได้รับความสำคัญคือ จะมีคนมาชอบมาให้ความสนใจ มาพูดจาและแสดงออกอย่างให้เกียรติ และเอาโอกาสดี ๆ มาให้ การทำตัวให้ดูเป็นคนสำคัญ มันมีเคล็ดลับที่คนมากมายไม่รู้ เป็นเคล็ดลับที่ทำง่าย ๆ มี 5 ข้อ ดังนี้

  1. ยิ้มเก่งแต่ไม่ใช่ยิ้มให้ทุกคนอย่างง่าย ๆ

คนยิ้มเก่งย่อมมีเสน่ห์ แต่รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ไม่ใช่รอยยิ้มที่ให้ทุกคนอย่างง่าย ๆ มันต้องเป็นรอยยิ้มที่พิเศษ และทำให้คนที่ได้รับมันรู้สึกพิเศษ คนสำเร็จจะไม่ค่อยยิ้มให้ใครกลาดเกลื่อน แต่นั่นไม่ใช่การแสดงบุคลิกภาพที่เย่อหยิ่ง หรือถือตัว มันคือการแสดงบุคลิกภาพที่บอกว่า ฉันคือคนสำคัญ เพื่อให้ดูเป็นคนสำคัญ จงวางตัวสุขุมลุ่มลึก และระมัดระวัง ไม่ต้องเดินยิ้มให้ทุกคนไปทั่ว ยิ้มให้กับคนที่อยากให้เขารู้สึกว่าเขาพิเศษ แล้วคุณจะไม่ใช่แค่ดูเป็นคนสำคัญ แต่จะดูน่าค้นหามีเสน่ห์และดึงดูด

  1. อย่าคุยกับใครนานเกินไปเหมือนคุณไม่มีอะไรทำ

คนสำคัญย่อมมีเรื่องสำคัญต้องทำ และเวลาของเขาย่อมมีค่า ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเวลาของเรามีค่า จงคุยแค่พอเหมาะพอสมแล้วขอตัว

  1. พูดคุยเรื่องสำคัญอยากคุยเรื่องไร้สาระ

คนสำคัญเมื่อเวลาคุย เขาคุยแต่เรื่องสำคัญ พูดเรื่องที่มีสาระ ฟังเรื่องที่น่าสนใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมอง และถกเถียง แต่เรื่องที่มีประเด็นที่น่าสนใจ เพราะเวลาของเขามีค่า

  1. อย่าเปิดเผยตัวเองหรือคุยเรื่องส่วนตัวมาก

คนสำคัญจะวางตัวให้ดูดีและเหมาะสม เขาไม่เอาเรื่องส่วนตัวไปบอกใครง่าย ๆ เขารักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง และวางตัวให้ทุกคนให้เกียรติ

  1. ในการสนทนาให้เป็นฝ่ายบอกลาก่อน

คนสำคัญจะไม่ยืนคุยกับใครจนอีกฝ่ายขอตัว เขาจะเป็นฝ่ายขอตัวก่อน ต้องทำให้เขาอยากคุยกับคุณอีก ไม่ใช่คุยกับจนเบื่อ เมื่อเป็นฝ่ายจบบทสนทนา และเป็นฝ่ายบอกลาอย่างสุภาพ ความรู้สึกที่ทิ้งไว้ให้เขาก็คือ ความเป็นคนสำคัญ

กฎ 3 ข้อ ถาม ชม และถ่อมตัว

ถ้าอยากให้ใครบางคนรู้สึกประทับใจ จงจำกฎ 3 ข้อนี้ไว้นั่นคือ ถาม ชม และถ่อมตัว คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าการคุยโม้โอ้อวดเรื่องตัวเอง จะทำให้ทุกคนชอบเรา แต่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม นั่นคือเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นไม่ชอบเราต่างหาก ทุกครั้งที่คุยกับคนที่เพิ่งเจอ หรืออยากทำความรู้จักกัน ให้จำกฎ 3 ข้อนี้ไว้

  1. ถาม

ถ้าอยากให้ผู้อื่นรู้สึกดี ต้องถามเรื่องของเขามากกว่าพูดเรื่องตัวเอง การถามคือการแสดงความสนใจ จะทำให้เขารู้สึกดีรู้สึกสำคัญ และรู้สึกขอบคุณอย่างไม่มีเหตุผล ถามเรื่องของเขาด้วยท่าทีสนอกสนใจ ถามเรื่องทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องถึงกับละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวจนเขาอึดอัด ยิ่งถ้าเป็นคนที่คุณสนใจอย่างเพศตรงข้าม การคุยเรื่องตัวเองก็ไม่ได้ทำให้เขาชอบ เท่ากับการที่คุณให้ความสนใจในตัวเขา

  1. ชม

คำชมคืออาวุธที่ดีที่สุด ในการสร้างความประทับใจอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครเรื่องอะไร ให้พูดในแง่ดีเกี่ยวกับตัวเขา ชมเขา ยกย่องเขา การชมทำได้ไม่ยาก แต่ชมอย่างจริงใจนี่สิยากถ้าจะชมก็ไม่ใช่ชมแค่ครั้งแรกที่รู้จักกัน ทุกครั้งที่เจอกันก็ชมได้อีกเรื่อย ๆ อะไรก็ได้ ถ้าคุณชมแล้วเขายิ้มให้ ก็ทำให้ได้คะแนนเพิ่มทั้งนั้น

  1. ถ่อมตัว

ไม่ทำตัวเหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าคุณจะคุยกับใคร แต่แค่อย่าแสดงออก เหมือนคิดว่าเหนือกว่าเขา

อยู่กับคนที่เหนือกว่า เขาอาจชม หรือเป็นฝ่ายพูดเองว่า คุณดีกว่าเขาอย่างนั้น อย่างนี้ ให้ถ่อมตัวเข้าไว้ ถ้าเพลอโอ้อวดตัวเองเมื่อไร เขาจะไม่ชอบคุณ

อยู่กับคนที่ด้อยกว่า สิ่งที่อย่าไปแตะต้องเลย คือเรื่องที่เขาด้อยกว่าคุณ อย่าพูดเรื่องที่คุณดีกว่า เหนือกว่าเขา ให้เน้นพูดเรื่องที่เขาดีกว่าคุณ เหนือกว่าคุณ เพราะคนพวกนี้มีปมด้อย เขาอาจเคยโดนดูถูกมาก่อน

ฟังมากกว่าพูด

พวกไอดอลจะฟังมากกว่าพูด เพราะคนพวกนี้ฉลาด เขารู้ว่าอะไรที่ทำแล้วคนจะชอบ และไม่ชอบ การพูดมากคนจะไม่ชอบ แต่การฟังมากคนจะชอบ เขาเลยฟังมากกว่าพูด เรื่องแบบนี้ต้องใช้ความอดทน เพราะปกติคนเราชอบพูดมากกว่าฟังอยู่แล้ว แต่ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ดี คือฝึกความอดทนอดกลั้นที่อยากพูด และฟังสิ่งที่ไม่เข้าหูได้ เราจะดูเป็นผู้นำน่ายกย่อง และมีคนชอบมากกว่าไม่ชอบ

การให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนามันดีมาก เพราะคุณจะรู้ว่าเขาอยากคุยเรื่องอะไร สนใจเรื่องอะไร ไม่ใช่ไปคุยเรื่องที่เขาไม่สนใจ แล้วทำให้เขาเบื่อ การเป็นคู่สนทนาที่ดี ต้องรู้จักตอบโต้บ้าง ฝึกตอบโต้ในเชิงรับฟัง เช่น พูด ครับ ค่ะ ใช่ ถูก หรือจะแค่พยักหน้า เพื่อแสดงการรับรู้ รับฟัง หรือเข้าใจก็ได้

สร้างเพื่อนต้องเริ่มที่การสนทนาที่ราบรื่น

คนที่อยากสำเร็จต้องรู้จักสร้างเพื่อน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนตาย หรืออะไรถึงขั้นนั้น แต่อย่างน้อยเราต้องมีเพื่อน หรือมิตรสหายที่คบหาสมาคมกันบ้าง เพื่อจะไว้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยเหลือสนับสนุนกัน สร้างเครือข่าย และสร้างโอกาสให้ตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์อะไรที่เราคาดหวังก็ตาม

ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มฝึกสร้างเพื่อน ทำให้คนที่เจออยากเป็นมิตร ถ้าคุยกับใครครั้งแรกแล้วเขาไม่ชอบ เขาคงไม่เป็นเพื่อนกับคุณหรอก แต่ถ้าเขาคุยกับคุณครั้งแรกแล้วเขาชอบคุณ โอกาสได้เป็นเพื่อนกันมีเยอะมาก ดังนั้น การสนทนากับคนที่รู้จักกันครั้งแรกแล้วทำให้เขาชอบ คือสิ่งสำคัญที่สุด

เคล็ดลับนั้นไม่ยากเลย ข้อแรก การสนทนาที่ราบรื่นต้องเริ่มจากการคุยถูกคอกัน ให้คุยเรื่องทั่ว ๆ ไปดีกว่า อย่างเรื่องงานอดิเรก เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ปาร์ตี้ แบบไม่ซีเรียส จุดอ่อนของคนคือเราชอบคนที่เห็นด้วยกับเรา เป็นพวกเดียวกับเรา เราไม่ชอบคนที่ขัดแย้งเราตั้งแต่แรก จงเอาจุดอ่อนนี้มาใช้เอาชนะใจคน มาใช้สร้างเพื่อนได้มากมายเท่าที่ต้องการ

จำชื่อจำรายละเอียดของคนสำคัญให้ได้มากที่สุด

วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างความประทับใจ ในทุกครั้งที่เจอกัน หากเขาเป็นคนสำคัญของคุณ และคุณก็มีโอกาสเป็นคนสำคัญของเขาด้วย ไม่มีใครลืมคนที่จำเราได้เป็นอย่างดี จำชื่อและจำรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเราได้ ยิ่งถ้าคุณทำแบบนั้นซ้ำ ๆ ก็จะกลายเป็นคนที่เขาจำได้ ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นคนสำคัญกว่าคุณ เพราะทุกคนมีความทรงจำ และจะจำคนที่ทำให้เราประทับใจหลาย ๆ ครั้งได้เป็นอย่างดี

ทักทายและบอกลาให้ทุกคนรู้สึกดี

การทักทายและการบอกลา ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ คนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม และเน้นสร้างความประทับใจในช่วงเวลาที่สนทนากันมากกว่า แต่มืออาชีพไม่คิดอย่างนั้น การทักทายและการบอกลา ถือเป็นโอกาสสำคัญยิ่งในการสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย พวกเขาไม่มองข้ามรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ และทำมันได้อย่างสมบูรณ์มาก

จึงต้องทำให้เขารู้สึกดีตั้งแต่ตอนที่คุณทักทายเขา และตอนที่คุณบอกลาเขา แล้วการพบเจอกันก็จะตรึงใจเขาไปตลอด มันก็คือความรู้สึกสำคัญ แค่พยายามทำให้คนสำคัญของเรารู้สึกสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จจะทำให้ทุกคนรู้สึกอย่างนั้น พวกเขาถึงเอาชนะใจคนได้มากมาย การให้ความสำคัญทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องเสียเวลามากมาย

คุณอาจใช้เวลาแค่หนึ่งนาที ทำให้บางคนรู้สึกเป็นคนสำคัญ เช่น แค่ยิ้มและทักทายเขา ถามสักหนึ่งคำถาม เช่น คุณเป็นยังไงบ้าง? หรือคุณกำลังจะไปไหน? ก็พอแล้ว ที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครนานหรือไม่ ต้องทิ้งความรู้สึกสำคัญไว้ให้เขาตอนบอกลา อย่าหยุดยืนคุยกับใครแล้วจู่ ๆ ก็เดินจากไปเฉย ๆ เพราะคุณจะทิ้งความรู้สึกไม่สำคัญไว้ให้เขาโดยไม่รู้ตัว อาจจะถามทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปว่า แล้วคุณจะไปไหนต่อ? หรือแล้วคุณจะไปทำอะไรต่อ? เป็นการให้ความสนใจในตัวเขา อาจจะขอนามบัตรแลกเปลี่ยนกัน หรือจะขอเบอร์โทรก็ได้ นี่คือสิ่งที่มืออาชีพทำการทำความรู้จัก และทิ้งความประทับใจเอาไว้ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่ามองข้าม

Part 2 จิตวิทยา 1% สร้างโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

หาทุกโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ

สมัยนี้ถ้าคิดอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องคิดอย่างเดียวคือการเป็นผู้นำ ต้องทำยังไงก็ได้ให้องค์กรเห็นความเป็นผู้นำในตัวคุณ ไม่ใช่แค่เห็นความสามารถของคุณ แต่เห็นความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณ เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณโดดเด่น มีคุณค่า และมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น อย่ามัวแต่รอโอกาส ต้องสร้างโอกาสด้วยตัวเอง

ในที่ประชุมก็แสดงความเป็นผู้นำออกมาได้ ด้วยการเสนอไอเดียที่น่าสนใจ เวลามีงานที่ท้าทาย ก็ให้เสนอตัวทำงานนั้น หรือเวลาทำงานเป็นทีมก็มีส่วนร่วมในการทำงาน ช่วยแก้ปัญหา และมีส่วนร่วมกับความสำเร็จในงานนั้นให้มากที่สุด

ไม่สามารถก้าวหน้าได้ถ้ามัวแต่เป็นผู้ตาม และคนที่จะเป็นผู้นำได้ต้องกล้าทำตัวให้โดดเด่น มีศักยภาพและเป็นที่จับตามอง ทำให้องค์กรมองเห็น ทั้งความสามารถส่วนตัว และความสามารถในการเป็นผู้นำในทุกโอกาส ไม่จำเป็นต้องเป็นโอกาสที่องค์กรหยิบยื่นให้ เพราะคุณสร้างโอกาสนั้นด้วยตัวเองได้ โดยการกล้านำเสนอตัวเอง ต้องเชื่อว่าคุณเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ และกล้าแสดงความเป็นผู้นำออกมา ไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ว่าจะล้มเหลว ในการเป็นผู้นำก็ยังเหนือกว่าคนที่เป็นผู้ตาม อย่าล้มเหลวเพราะเป็นผู้ตาม จงล้มเหลวเพราะพยายามเป็นผู้นำ แล้ววันหนึ่งคุณจะประสบความสำเร็จ

สนับสนุนเจ้านายอย่างไม่ประจบสอพลอ

ความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ คนที่ได้รับโอกาส และก้าวหน้าในองค์กรมากกว่าคนอื่น คือคนที่เจ้านายรัก ชอบ และเอ็นดู ไม่มีทางก้าวหน้าถ้าเป็นคนที่เจ้านายมองข้าม ไม่ชื่นชมเป็นการส่วนตัว หรือเป็นศัตรูกับเจ้านาย การประจบสอพลอเจ้านาย ไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก แล้วเราจะทำยังไงเพราะอยู่เฉย ๆ เจ้านายคงไม่มาชอบ รัก หรือเอ็นดู บางคนเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มีฝีมือ ทำงานดี แต่ก็ยังไม่ค่อยมีโอกาสในหน้าที่การงาน เหมือนยังถูกเจ้านายมองข้าม แล้วไปเข้าข้างคนที่ไม่เก่งเท่า จึงเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้า ในบางองค์กรการที่เจ้านายลำเอียง และให้โอกาส เพราะความพอใจส่วนตัวมันเกิดขึ้นได้ และถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับอีโก้ของตัวเอง ว่าฉันจะพิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถเท่านั้น ฉันไม่สนใจว่าเจ้านายจะรัก ชอบ หรือเอ็นดู  ฉันจะไม่มีวันทำตัวเหมือนพวกประจบสอพลอเจ้านายเป็นอันขาด ก็ต้องอยู่ตรงนั้นแหละ และอาจอยู่ไปอีกนาน เพราะถ้าไม่พยายามเอาชนะใจเจ้านาย โอกาสก็ยากที่จะเจริญก้าวหน้า

แต่มีวิธีต่างจากการประจบสอพลอ คือ แสดงออกให้เห็นชัดเจน หรือพูดง่าย ๆ คือการสนับสนุนเจ้านาย จะใช้วิธีที่แยบยลกว่าการประจบ เช่น สนับสนุนความคิดความเห็น เป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือการตัดสินใจของเจ้านาย แสดงออกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้านาย แล้วเขาจะรู้สึกว่าคุณเป็นลูกน้องที่มีวิสัยทัศน์ และความคิดเหมือนกันกับเขา ซึ่งมันดีมากที่จะทำงานร่วมกัน ถ้าเขาสนับสนุนและให้โอกาส ก็จะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาทำงานร่วมกันมากขึ้น ก็จะเป็นคู่หูที่ดี เป็นตัวช่วยในการทำงานที่ดีของเขาได้

อย่าลืมว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทุกคนจะพอใจรู้สึกดีและชอบคนที่เห็นด้วย แม้แต่คนที่เป็นผู้นำ ก็ไม่อาจต่อต้านความรู้สึกนี้ได้

เรียนรู้จากคนที่อยู่ในตำแหน่งที่คุณอยากขึ้นไปถึง

คนที่ก้าวหน้ายากมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ

  1. คนที่ทำงานแบบตัวใครตัวมัน ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร
  2. คนที่ไม่ชอบเรียนรู้หรือขี้เกียจเรียนรู้
  3. คนที่มีทิฐิไม่ยอมขอคำแนะนำ หรือขอความช่วยเหลือ และเรียนรู้จากคนอื่น

คนทั้งสามประเภทนี้จะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง จึงไม่มีทางเก่งขึ้นถ้าทำงานแบบตัวคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เรียนรู้จากใคร ก็จะย่ำอยู่กับที่ หรือก้าวหน้าได้ช้ามาก เพราะพัฒนาตัวเองช้านั่นเอง

ถ้าอยากประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้า ก็ต้องทำตรงข้ามกับคน 3 ประเภทดังกล่าว คือ ต้องเป็นผู้รู้จักทำงานร่วมกับคนอื่น ขยันเรียนรู้ และพยายามเรียนรู้จากคนอื่น แล้วจะมีตัวช่วยที่ดีมาก ๆ ที่จะทำให้เก่งขึ้น และก้าวหน้าขึ้น

ทางลัดที่ดีที่สุดก็คือพยายามเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า มีประสบการณ์มากกว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะสอน แต่ถ้าสามารถทำให้เสือทุกตัวยอมสอนให้ล่าเหยื่อได้ จงทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นเสือผู้ยิ่งใหญ่ และถ้าเขาสอนให้คุณเป็นเสือได้เขาจะยิ่งใหญ่กว่านั้น มีวิธีแยบยลในการสร้างแรงจูงใจให้คนเก่งอยากสอน คือการชมเขาให้มากที่สุด ยิ่งคุณทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งอยากสอนคุณมากเท่านั้น จงทำตัวเองให้เล็ก ๆ แล้วถ่อมตัวเข้าไว้ มันขึ้นอยู่ที่ความสามารถที่จะทำให้คนเก่งสักคนยอมสอนได้มากแค่ไหนเท่านั้น จึงต้องหาโอกาสเรียนรู้จากพวกเขาให้มากที่สุด เพราะนี่แหละคือทางลัดที่จะช่วยให้เสียเวลาน้อยลง กับการที่จะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

ทำงานที่อยู่ในมือให้ดีที่สุดก่อน

น้ำที่เต็มหม้อย่อมเริ่มจากน้ำทีละหยด ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องเริ่มจากความสำเร็จเล็ก ๆ ถ้าอยากเก่งในสิ่งยิ่งใหญ่ก็ต้องเก่งในสิ่งเล็ก ๆ ก่อน ถ้าอยากสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องเริ่มสร้างผลงานเล็ก ๆ ก่อน ถ้าอยากให้องค์กรมองเห็นว่ามีความสามารถที่จะทำงานยากได้ดี ก็ต้องเริ่มจากทำให้องค์กรมองเห็น ว่ามีความสามารถที่จะทำงานเล็กได้ดีก่อน

ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดี มันจะทำให้ก้าวหน้าได้เร็วกว่า และประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนอื่น แต่อย่าให้ความทะเยอทะยานทำให้คุณไขว้เขว จากการทำงานที่อยู่ในมือให้ดีที่สุด และอยู่ในจุดตรงนี้ให้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายจะเหลือแต่ความทะเยอทะยาน และไปไม่ถึงจุดที่ฝันไว้ ไม่ว่าเป้าหมายจะสูงแค่ไหน อย่าลืมตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แล้วโฟกัสกับมันทำให้ดีที่สุด เหมือนกับการเดินไปทีละก้าว ถ้าก้าวนี้เดินล้มก็ไม่มีก้าวต่อไป ต้องเอาก้าวนี้ให้ผ่านไปด้วยดีให้ได้ และคิดอย่างนี้ในทุก ๆ ก้าว

คนที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ แล้วไม่เคยสนใจเป้าหมายใหญ่เท่าเป้าหมายเล็ก พวกเขาตั้งเป้าหมายใหญ่แล้วก็เลิกหมกมุ่นกับมัน แต่พยายามหมกมุ่นกับเป้าหมายเล็ก หรือแต่ละก้าวที่จะเดินไปถึงจุดนั้นมากกว่า มันเป็นจิตวิทยาที่ต้องใช้หลอกล่อตัวเอง ดึงตัวเองออกจากความหมกมุ่นกับอนาคต แล้วมาอยู่กับปัจจุบันให้ได้ เพราะหมกมุ่นอยู่กับอนาคตมากไป จะแทบไม่ได้ลงมือทำอะไร หรือแทบทำอะไรไม่สำเร็จนั่นเอง

อย่าก้าวก่ายงานของคนอื่นค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองว่าคุณทำได้ดีกว่า

การทำงานเกินหน้าที่ ก็คือการก้าวก่ายงานของคนอื่น ถ้าอยากพิสูจน์ว่าเก่ง จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปยุ่งกับงานของใคร ถ้าเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือ จำไว้ว่าคนเก่งคือคนที่ทำงานของตัวเองได้ดี จนมีคนอื่นมาขอให้ช่วยทำงานของเขา

ถ้าอยากให้เจ้านายเห็นว่ามีความสามารถพอที่จะทำงานมากกว่านี้ หรือทำงานของคนอื่นได้ ให้เริ่มด้วยการพิสูจน์ผลงานของตัวเอง ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด แสดงความสามารถไปเรื่อย ๆ และเมื่อมีโอกาสได้แนะนำ สอน หรือช่วยเหลือคนอื่น ทุกคนจะมองเห็นเองว่ามีความสามารถ ทำได้ และในไม่ช้าก็จะได้โอกาสเอง

โชว์ให้เห็นดีกว่าพูดให้ฟัง

คนเก่งพูดเยอะมีน้อย คนไม่เก่งพูดมากมีเยอะ ใครที่เก่ง ๆ มีฝีมือ มีความสามารถ และประสบความสำเร็จ คนพวกนี้จะชอบทำ และไม่ค่อยมีเวลาพูด ยิ่งพูดถึงสิ่งที่จะทำจะไม่ค่อยมี ถ้าจะพูดพวกเขาจะพูดถึงสิ่งที่ทำอยู่ หรือทำสำเร็จแล้วเท่านั้น การพูดแบบนี้พูดไปก็ไม่เสียหาย มีคนอยากฟัง เพราะไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มีการลงมือทำจริง ๆ คนที่อวดความสามารถ คือ โชว์ให้เห็นเขาจะไม่พูดให้เสียเวลา

คนที่มีแววจะก้าวหน้าในที่ทำงาน คือ คนที่ทำมากกว่าพูด ลองสังเกตดูได้คนที่ทุ่มเทกับการทำงานจริง ๆ จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการทำมากกว่า แสดงให้เห็นดีกว่าพูดให้ฟัง ถ้าคิดว่ามีไอเดีย มีฝีมือ มีความสามารถ หรือมีดีอะไรหให้แสดงมันออกมา อย่าเข้าใจผิดว่าคุณจะแสดงความสามารถออกมาเห็นได้ก็ต่อเมื่อมีโอกาส ลองคิดกลับกันว่าการแสดงความสามารถออกมาให้เห็น อาจสร้างโอกาสให้ได้

ในยุคนี้คนที่นั่งรอโอกาสไม่เคยก้าวหน้า มีแต่คนที่สร้างโอกาสให้ตัวเองที่ก้าวหน้า พูดง่าย ๆ ใครทำมากกว่าและทำเร็วกว่าคนนั้นก็ได้เปรียบ

โฟกัสที่การช่วยองค์กรแก้ปัญหาไม่ใช่การได้เลื่อนขั้น

คนทำงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ จะโฟกัสอยู่กับการได้เลื่อนขั้น เพราะเมื่อได้เลื่อนขั้นย่อมหมายถึงได้ขึ้นเงินเดือน และเมื่อได้ขึ้นเงินเดือนย่อมหมายถึงจะมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่โฟกัสนี้ทำให้เราเสียโฟกัสในเรื่องความก้าวหน้า นั่นเพราะโฟกัสมันผิด เรามัวแต่โฟกัสว่าเมื่อไหร่จะได้เลื่อนขั้น เมื่อไหร่จะก้าวหน้า และลืมไปว่าสิ่งที่เราจะได้รับจากองค์กร ย่อมขึ้นอยู่ที่คุณค่าของตัวเราต่อองค์กร เรามีคุณค่าอะไรต่อองค์กรนี้ คือคำถามสำคัญ ทำไมองค์กรถึงต้องเลื่อนขั้นเราขึ้นไป จ่ายเงินเดือนเราสูงขึ้น และให้โอกาสความก้าวหน้ากับเรา เพราะไม่อยากเสียเราไป นี่คือคำถามสำคัญ

จงโฟกัสกับการสร้างคุณค่า และเพิ่มคุณค่าของตัวเราต่อองค์กร แต่ถ้าคุณทำอะไรเพื่อองค์กรได้มากขึ้น ทำให้เขาเห็นคุณค่ามากขึ้น เขาก็ต้องยอมจ่ายมากกว่าเดิม เพื่อให้ยังอยู่ที่นี่ เพราะคุณคือคนสำคัญของเขา

จิตวิทยาที่แยบยลในการทำตัวให้มีคุณค่าต่อองค์กร คือ คุณต้องรัก มองเห็นคุณค่า ให้ความสำคัญ และทุ่มเทกับองค์กรจริงๆ

ไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ดีที่สุดในทีม

งานบางอย่างที่ต้องทำร่วมกัน บางคนคิดว่าการทำงานเป็นทีมเป็นแค่หน้าที่ หรืองานที่ได้รับมอบหมาย แต่จริง ๆ แล้วการทำงานเป็นทีม คือ โอกาสของการพิสูจน์ตัวเอง และความก้าวหน้าเช่นกัน เพราะทุกคนจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถในการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งกว่าความสามารถในการทำงานของตัวเอง ในการที่เจ้านายจะพิจารณาว่าใครที่เป็นผู้นำได้

ถ้าคุณอยากก้าวหน้า ก่อนอื่นให้เรียนรู้คุณสมบัติของคนที่จะเป็นผู้นำได้ ซึ่งแน่นอนว่าข้อสำคัญที่สุดก็คือ สามารถทำงานเป็นทีมได้และทำได้ดี ซึ่งจะแยกเป็นคุณสมบัติย่อย ๆ ดังนี้

  1. เป็นที่ยอมรับของคนอื่น
  2. ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น
  3. มีไอเดียที่คนอื่นยอมรับยอมทำตาม
  4. มีหัวแก้ปัญหาได้ดี
  5. ใจกว้างมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น
  6. เป็นผู้นำก็ได้ผู้ตามก็ดี
  7. ทำงานเป็นทีมไม่ใช่ทำงานคนเดียว

ถ้ามีครบทุกข้อจะเป็นคนที่ดีที่สุดในทีม และเจ้านายจะเล็งเห็นแน่ว่าสามารถเป็นผู้นำคนอื่นได้

ตั้งเป้าหมาย 3 ระดับสู่ความก้าวหน้าในที่ทำงาน

การตั้งเป้าหมาย 3 ระดับสู่ความก้าวหน้าในที่ทำงานนั่นคือ

เป้าหมายระดับที่ 1 คุณต้องเป็นที่ยอมรับ

เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้า ถ้าเพื่อนร่วมงานทุกคน หรือเกือบทุกคนไม่สนับสนุน ดังนั้นเป้าหมายแรกคือทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่ถูกเกลียด ถูกต่อต้าน ถูกหมั่นไส้ หรือถูกอิจฉา จริง ๆ แล้วนี่คือเป้าหมายระดับธรรมดา

เป้าหมายระดับที่ 2 คุณต้องเป็นที่ชื่นชอบ

เป้าหมายในระดับนี้มันคือการใช้เสน่ห์ และการบริหารเสน่ห์ของตัวเองให้เป็น อันดับแรกต้องมีบุคลิกภาพดี ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาดีหรือไม่ อย่าเป็นคนที่ทุกคนมองข้าม ไม่สนใจ หรือเฉย ๆ ต้องทำตัวให้เป็นที่ชื่นชอบ

เป้าหมายระดับที่ 3 คุณต้องโดดเด่น

คนที่จะก้าวหน้าได้เร็วกว่าคนอื่น ต้องเป็นคนที่โดดเด่นแทบในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องบุคลิกภาพ ความสามารถการทำงาน และผลงาน ถ้าเป็นคนที่โดดเด่น ก็ย่อมเป็นที่สนใจ เป็นที่จับตามอง และมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าคนอื่น

5 เทคนิคบริหารคนอย่างสุดยอดผู้นำ

ถ้าเป็นผู้นำ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไม่ได้อยู่ที่ตัวเองคนเดียว แต่ยังขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการบริหารคนด้วย สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้นำทุกคนต้องเรียนรู้ คือ การบริหารคน ซึ่งมีเทคนิคหลัก ๆ อยู่ 5 ข้อ ดังนี้

  1. เชื่อมั่นเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น

ผู้นำต้องหนักแน่น เมื่อพูด ตัดสินใจ หรือทำอะไรไปแล้ว ต้องแน่วแน่และยึดมั่นในสิ่งนั้น

  1. ใจกว้างและเปิดกว้าง

ผู้นำสามารถรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้ พร้อมเปิดรับความคิด ไอเดีย แนวทาง และสิ่งใหม่ ๆ ให้อภัย ให้โอกาสคนอื่น และที่สำคัญผู้นำที่ดี ต้องเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา

  1. ให้ความสำคัญกับลูกน้อง

ลูกน้องจะให้ความสำคัญกับงาน และหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ถ้าพวกเขาได้รับความสำคัญ และรู้สึกเป็นคนสำคัญ ผู้นำจงทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อผู้นำ และกับองค์กรอย่างเต็มที่ แล้วผู้นำจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากพวกเขา

  1. เป็นนักปลุกพลังแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจ

สิ่งที่ผู้ตามต้องการจากผู้นำ หรือลูกน้องต้องการจากเจ้านาย คือ แรงกระตุ้น และแรงบันดาลใจ จึงต้องเป็นนักปลุกพลังแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดสิ่งที่มีอยู่ในตัวไปสู่พวกเขา และทำให้พวกเขามีมันมากยิ่งกว่า แล้วผลลัพธ์จะแสดงออกมาในผลงานที่ยอดเยี่ยม ที่พวกเขาทำให้แก่ผู้นำ

  1. สร้างคนไม่ใช่แค่สร้างงาน

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้นำที่แค่สร้างงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังสร้างคนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ทำให้ลูกน้องเห็นว่าเป้าหมายคือการสร้างคนไม่ใช่แค่สร้างงาน จงทุ่มเทสร้างคุณค่าและพัฒนาศักยภาพในตัวลูกน้อง เปรียบดังงานสำคัญที่สุดของผู้นำ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะทำให้ชนะใจลูกน้องได้อย่างแท้จริง

Part 3 จิตวิทยา 1% สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ

มีจุดยืนของตัวเอง อย่ากระโดดเข้าไปทุก Trend

ถ้าจะทำธุรกิจต้องคำนึงถึงโจทย์ 3 ข้อนี้ก่อน คือ

โจทย์ที่ 1 จะทำธุรกิจอะไรดี?

คำตอบคือ มองหาธุรกิจตามกระแส ธุรกิจที่คนอื่นเขาทำกันในยุคนี้ หรือตามความอยากของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ

โจทย์ที่ 2 จะทำธุรกิจอะไรดีถึงจะไม่เจ๊ง?

คำตอบก็ดูว่าคนอื่นเขาทำธุรกิจอะไรแล้วเจ๊งกันเยอะ เราก็ไม่ต้องทำ หรือโฟกัสกับการลดความเสี่ยง ทำยังไงไม่ให้ขาดทุน

โจทย์ที่ 3 จะทำธุรกิจอะไรดีถึงจะประสบความสำเร็จ?

นี่เป็นโจทย์ที่ดีที่สุด เพราะมีอะไรที่ต้องคิดเยอะ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเขาทำอะไร และทำยังไงกัน นั่นคือสิ่งที่คุณต้องศึกษา แต่ไม่ใช่เลียนแบบ ต้องหาไอเดีย แนวทาง และจุดยืนของตัวเอง ธุรกิจที่เป็นผู้นำและเป็นที่หนึ่ง เขามีจุดยืนกันทั้งนั้น

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ พูดง่าย ๆ คือต้องไม่ตามกระแส แต่จะนำกระแส ไม่ตามคนอื่นแต่จะนำคนอื่น

ตามกระแสก็คือ คุณอาจมองว่าทุกวันนี้เทรนอะไรกำลังมา ลูกค้าต้องการอะไร แล้วทำสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว มีธุรกิจมากมายที่ตอบสนองความต้องการนั้นให้เขาแล้ว หมายความว่ามีคู่แข่งเพียบ ก็อยู่รอดและประสบความสำเร็จยากด้วยเช่นกัน

นำกระแสก็คือ ไม่สำคัญว่าทุกวันนี้เทรนอะไรกำลังมา หรือลูกค้าต้องการอะไร แต่คุณมองไปถึงอนาคต ว่าลูกค้าจะต้องการอะไร อะไรที่เขายังไม่มี ธุรกิจอะไรที่ตอบสนองความต้องการสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ และดีกว่าของลูกค้าได้ แต่ยังไม่มีคนทำนั่นแหละจะเป็นผู้นำ ผู้ริเริ่ม ผู้บุกเบิก และเป็นที่หนึ่ง ทำก่อนคนอื่นประสบความสำเร็จแน่นอน

จงหยุดตามและเริ่มนำ ตั้งโจทย์ว่าคุณจะเป็นผู้สร้างเทรนด์ สร้างกระแส หรือสิ่งแปลกใหม่อะไรสักอย่าง สร้างจุดยืนที่ดีที่สุดที่แน่ใจว่า จะไม่เปลี่ยนไม่ว่ากระแสจะไปทางไหนก็ตาม ก็จะยังมีกลุ่มลูกค้าที่ติดตามแบรนด์อย่างเหนียวแน่น และไม่มีใครมาแทนที่ได้ นี่แหละสิ่งที่การันตีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของธุรกิจ

อย่ารู้จักแต่ตัวเองต้องรู้จักคู่แข่งด้วย

หากคิดจะเริ่มทำธุรกิจ หรือทำธุรกิจแล้ว ต้องรู้ว่าจุดยืนของธุรกิจที่ทำคืออะไร ที่สำคัญกว่านั้นต้องรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจด้วย เพราะทุกธุรกิจย่อมมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเหนือกว่าคู่แข่งทุกอย่าง หรือด้อยกว่าคู่แข่งทุกอย่าง

ก่อนที่จะก้าวลงมาในธุรกิจ ลงมาในสนามแข่งขันที่เดือดพล่านสุด ๆ ในยุคนี้ ต้องไม่ใช่แค่หาจุดยืนของตัวเองหรือรู้จักตัวเอง แต่ยังต้องรู้จักคู่แข่ง รู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งคืออะไร เพื่อที่จะได้สร้างจุดแข็งที่เหนือกว่าเขา และใช้จุดอ่อนของเขาเป็นจุดที่ทำให้คุณเหนือกว่า

ตามให้ทัน Marketing ยุคใหม่

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ คือ การตลาด บริษัทที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ยอดเยี่ยม แม้สินค้าจะไม่ดีเท่าไหร่ อาจทำยอดขายเติบโต และประสบความสำเร็จมากกว่าบริษัทที่สินค้าดีมาก

โดยภาพรวมแล้ว การตลาดก็คือการเข้าถึงลูกค้า ดึงดูดลูกค้า และสร้างลูกค้านั่นเอง ซึ่งย่อมต้องใช้การโปรโมท หรือการโฆษณาเป็นกลยุทธ์การตลาด ในยุคนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นการตลาดออนไลน์ หรืออินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้ง ผ่านทางโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะ facebook instagram twitter และอื่น ๆ ใครที่ทำการตลาดออนไลน์ได้ยอดเยี่ยม จึงเหนือกว่าคู่แข่งทุกทาง เพราะเข้าถึงลูกค้าได้เร็วกว่า และเยอะกว่ามาก

พนักงานต้องมีแรงกระตุ้น (Motivation) และการลงมือทำ (Action)

ปัญหาหนึ่งที่ทำให้บางธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ คือ บริษัทไม่มีความแข็งแกร่งพอ และนั่นก็เพราะพนักงานในบริษัทไม่ได้ตั้งใจ และทุ่มเทกับการทำงานจริง ๆ แล้วจุดแข็งหรือจุดอ่อนของบริษัท คือ พนักงานนี่แหละ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนบริษัทให้ก้าวไปข้างหน้า หรือก้าวถอยหลัง สิ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือ การจ้างพนักงานที่มีคุณภาพ มีความสามารถ และมีความตั้งใจจริงในการทำงาน การรับคนเข้าทำงาน โดยดูจากวุฒิการศึกษา ความสามารถ หรือประสบการณ์ของพวกเขา แต่ความตั้งใจจริงในการทำงานของพวกเขา จะมากหรือน้อยจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อจ้างพวกเขามาแล้ว บางคนทำงานเกินค่าตอบแทนซึ่งหาได้น้อยมาก บางคนทำงานไม่คุ้มค่าตอบแทนซึ่งมีเยอะมาก

ผู้บริหารบางคนคิดว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องไล่พนักงานแย่ ๆ ออก ให้เหลือไว้แต่พนักงานดี ๆ แต่ประเด็นก็คือพนักงานดี ๆ ที่ทำงานดี ๆ นั้นหายาก ดังนั้น ตัวผู้บริหารเองนี่แหละที่ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ แทนที่จะคาดหวังว่าจะรับคนที่ตั้งใจทุ่มเทกับงานเข้ามาได้เยอะ ๆ ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีสร้างแรงกระตุ้น ให้พนักงานอยากทำงานให้เต็มที่ที่สุดดีกว่า เพราะไม่ว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไร คุณสามารถทำให้พนักงานทุกคนตั้งใจและทุ่มเทกับงานได้ ถ้าพวกเขาได้รับแรงกระตุ้น โดยการทำให้พวกเขามองเห็นคุณค่าของตัวเอง ของงาน และองค์กร เชื่อในความสำเร็จ เป้าหมาย และความฝัน ที่พวกเขาจะไปถึงถ้าตั้งใจและทุ่มเทกับงาน และมีพลังความกระตือรือร้น ความรับผิดชอบที่จะลงมือทำงานให้ดีที่สุด

ต้องเริ่มจากหลักการยิ่งให้ยิ่งได้

หัวใจสำคัญที่สุดจริง ๆ ของความสำเร็จมันก็ คือ หลักการยิ่งให้ยิ่งได้ ทุกธุรกิจต้องเริ่มจากตรงนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าคุณจะเริ่มทำธุรกิจอย่าตั้งโจทย์ที่ตัวเอง ให้ตั้งโจทย์ที่คนอื่น อย่าตั้งโจทย์ที่เงิน ให้ตั้งโจทย์ที่คุณค่า และอย่าตั้งโจทย์ที่การได้รับอย่างเดียว ให้ตั้งโจทย์ที่การให้ด้วย

เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเข้าใจจุดนี้ดี เขาฉลาดเขายอมที่จะให้ไปก่อน สร้างสินค้าที่มีคุณภาพสูง มอบสิ่งที่มีคุณค่าให้แก่ลูกค้า สร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้า เมื่อเขาสร้างสินค้าที่ดีที่สุด และขายแพง แต่ลูกค้าก็ยิ่งซื้อมากขึ้น มองให้ดี ๆ ลูกค้าจ่ายมากขึ้นเขาได้กำไรมากขึ้นด้วย

ฉันโดดเดี่ยวฉันไม่เคยยิ่งใหญ่

ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จคุณต้องมีทั้ง know-how และ know-who คือ ต้องมีทั้งความรู้และคนคอยสนับสนุน จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าถ้าขาดคนสนับสนุนจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อาจยากกว่าคนที่เขามี เพราะการต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองย่อมยากกว่ามีคนให้โอกาส ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ว่าจะคนที่ให้โอกาสสนับสนุนและช่วยเหลือคุณได้ หรือแม้แต่สร้างสัมพันธ์กับคู่แข่งทางธุรกิจเดียวกัน หรือธุรกิจอื่น ๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ วิสัยทัศน์ และสร้างโอกาสให้ตัวเอง หัวใจของการสร้างสายสัมพันธ์ คือ ทุกฝ่ายต้องได้ผลประโยชน์ร่วมกัน คุณช่วยเขาเขาช่วยคุณ คุณให้เขาเขาให้คุณ สุดท้ายก็กลายเป็น Connection ที่แข็งแกร่งเติบโตและยิ่งใหญ่ไปด้วยกันนั่นเอง

จุดที่ทำให้แบรนด์ใหญ่ ๆ ชนะคือกล้าเสี่ยง

ความเสี่ยงคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ อย่าคิดทำธุรกิจถ้าคุณไม่กล้าเสี่ยง เพราะคุณจะประสบความสำเร็จยาก หัวใจของความสำเร็จก็คือ กล้าเสี่ยงในสิ่งที่คุณได้คำนวณความเสี่ยงไว้แล้ว ถ้าล้มเหลวความเสียหายคือสิ่งที่คุณยอมรับได้ และถ้าสำเร็จผลตอบแทนมันก็คุ้มค่า

ทุกธุรกิจย่อมมีทางของมัน เขาทำของเขา คุณทำของคุณ กลุ่มลูกค้าอาจจะแตกต่างกัน แต่ทั้งธุรกิจใหญ่และธุรกิจเล็กที่กล้าเสี่ยง ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง

Part 4 จิตวิทยา 1% ดึงดูดและเอาชนะใจลูกค้า

ขายคุณไม่ใช่ขายของ

เหตุผลที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้าน้อยที่สุดคือความจำเป็น เดี๋ยวนี้คนไม่ได้ใช้จ่ายเงินเพราะความจำเป็นเท่ากับความต้องการ ความพอใจ หรือความรู้สึกดี ถ้าทุกคนใช้จ่ายเงินเพราะความจำเป็น คงไม่มีใครใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย แต่ลองดูวิถีการใช้ชีวิตของคนสมัยนี้ แทบทุกคนมีแต่ของที่ไม่จำเป็นมากกว่าของที่จำเป็น และของที่ไม่จำเป็นแทบจะกลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มความสุขให้ได้มากกว่าไปแล้วด้วยซ้ำ การเอาชนะใจลูกค้าให้อยู่หมัด กลยุทธ์คือคุณต้องทำให้ลูกค้าชอบ ประทับใจ และรู้สึกดีมาก ๆ กับแบรนด์ ร้าน หรือตัวคุณเอง ถ้าเป็นนักขาย เซลล์แมน พนักงานขายของ หรือขายของในร้านตัวเอง ก็ต้องเน้นที่ตัวเองมากกว่าขายของ ทำยังไงลูกค้าจะชอบคุณ ประทับใจในตัวคุณ และรู้สึกดีกับคุณ จนเขาอยากซื้อสินค้าของคุณ หรืออะไรก็ตามที่คุณขาย นี่คือจุดที่คุณต้องเอาไปคิด

ลูกค้าทุกคนสำคัญและ

ลูกค้าทุกคนสำคัญและเท่ากัน จะไม่มีทางประสบความสำเร็จในการขาย หรือขายของได้เลย ถ้าทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่สำคัญ หรือรู้สึกว่าเขาสำคัญน้อยกว่าลูกค้าคนอื่น ดังนั้น ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครต้องให้ความสำคัญกับเขา และให้เท่ากันทุกคน การแสดงออกจะทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ ไม่ว่าจะยิ้มทักทาย พูดคุย หรือบริการ มันบอกได้ทั้งนั้น ว่าเขาสำคัญหรือไม่สำคัญ และมากหรือน้อย

เพื่อให้รู้สึกดีกับตัวคุณ รู้สึกดีกับสินค้า และรู้สึกดีกับตัวเอง แน่นอนการต้อนรับลูกค้าอย่างมีมนุษยสัมพันธ์ จะทำให้เขารู้สึกดีกับตัวคุณ การพูด การขายสินค้า อย่างตั้งใจจะทำให้เขารู้สึกดีกับสินค้า และการทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนสำคัญ จะทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง ไม่ว่าลูกค้าที่เดินเข้ามาหาคุณ หรือลูกค้าที่คุณเดินเข้าไปหาจะเป็นใคร เขาจะเป็นคนสำคัญหรือไม่สำคัญในสายตาคนอื่น แต่ต้องทำให้เขารู้สึกสำคัญเมื่ออยู่ตรงหน้าคุณ นี่คือเคล็ดลับที่คุณจะเอาชนะใจลูกค้าในทุกระดับได้

เข้าใจกฎ 20/80 เสียใหม่

กฎ 20/80 คืออะไร ก็คือ ร้านส่วนใหญ่จะมีกลุ่มลูกค้าประจำ 20%  ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เราได้เงิน 80% จากพวกเขา และมีกลุ่มลูกค้าไม่ประจำ 80% ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เราได้เงินจากพวกเขา คุณจะสนใจกลุ่มลูกค้าประจำ หรือลูกค้าที่ซื้อของของบ่อย ๆ มากกว่า เพราะคุณได้เงินจากพวกเขาถึง 80% ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ผิดมาก ๆ ของพนักงานขายหรือคนขาย เพราะจริง ๆ แล้วต้องให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกประเภท และทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครสำคัญน้อยกว่าใคร เพราะทุกคนคือลูกค้า

แน่นอนลูกค้าประจำย่อมสำคัญที่สุด เพราะคุณต้องไม่เสียลูกค้ากลุ่มนี้ไป แต่ลูกค้าไม่ประจำก็มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำได้ในวันข้างหน้า อย่ามองข้ามลูกค้าไม่ประจำ หรือคนที่ยังไม่เป็นลูกค้า เพราะบางครั้งวงจรมันก็เปลี่ยน ถ้าลูกค้าประจำหายไปลูกค้าใหม่ก็เข้ามา เป็นหลักสำคัญที่สุดในการต้อนรับและบริการลูกค้า จึงต้องให้กับลูกค้าทุกคนเต็ม 100%

ดูแลและสนใจไม่ใช่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอึดอัด

หัวใจของการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า คือ พนักงานขายต้องดูแลและสนใจลูกค้า ถ้าลูกค้าเดินผ่านหน้าร้านต้องเรียก ถ้าลูกค้าเดินเข้ามาในร้านต้องรีบเข้าไปต้อนรับ ทักทาย พูดคุย ดูแลบริการ และให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างดี ปกติแล้วถ้าเราเป็นลูกค้าเจอพนักงานขายแบบนี้ก็คงรู้สึกประทับใจ เพราะเขาทำให้เรารู้สึกเป็นคนสำคัญ แต่การดูแลและสนใจของพนักงานขายที่มากเกินไป จนทำให้ลูกค้ารู้สึกอึดอัด ก็ไม่มีลูกค้าคนไหนรู้สึกประทับใจ ถ้าต้อนรับเขาอย่างดีแต่หลังจากนั้นก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดตลอดเวลา จนกระทั่งเขาเดินออกไปจากร้าน ไม่ว่าเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อ แต่ความรู้สึกอึดอัดนั้นก็จะอยู่ในความทรงจำของเขา ทำให้เขาไม่อยากกลับมาอีก

กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจเวลาลูกค้าเดินเข้ามา เพียงแค่ยิ้มและทักทายก็พอ แล้วไม่ต้องไปเดินตามประชิดให้เขารู้สึกอึดอัด ถ้าเขาอยากได้อะไรหรืออยากถามอะไรเขาจะเรียกเอง สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือพูดคุยให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย อย่าไปโฟกัสที่สินค้ามาก ให้โฟกัสที่ตัวลูกค้าด้วยซ้ำ และอย่าไปโฟกัสที่เขาจะซื้อหรือไม่ซื้อ ทำตัวตามสบายและทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย แล้วคุณจะมีโอกาสขายได้มากกว่า

คุณเถียงกับลูกค้าไหม

ลูกค้าสำคัญที่สุดและไม่ใช่แต่ตัวลูกค้า แต่ความต้องการ ความคิดเห็น และการตัดสินใจของลูกค้าก็สำคัญที่สุดเช่นกัน บางทีก็อาจเจอลูกค้าที่เข้ามาวิจารณ์สินค้า ร้าน พนักงานขาย หรือบริการแล้วก็บ่น ๆ ให้ฟังจนรำคาญและหงุดหงิด ดังนั้น จงใจเย็นนิ่งได้เงียบไว้อย่าไปเถียงกับลูกค้า ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรวิจารณ์สินค้ายังไงหรือบ่นอะไร หน้าที่ก็คือฟังลูกค้าพูดให้จบ แล้วอธิบายตามความเป็นจริง ให้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ต้องพยายามปกป้องสินค้า หรือปกป้องตัวเอง เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจ เหมือนคุณกำลังดูถูกเขา ทำไมนะหรือเพราะคุณไปเถียงเขาไง แสดงว่าคุณกำลังดูถูกความคิดของเขา ความรู้ของเขา รถนิยมของเขา หรืออะไรก็ตามแต่ ความจริงก็คือคุณจะไม่มีวันเถียงลูกค้าชนะ

หลักการขายที่ดีที่สุดก็คือ จำไว้ว่าบางครั้งลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าของคุณ เขาซื้อความประทับใจ การขายสินค้าที่ตีโจทย์ให้แตก ไม่ต้องพยายามทำให้ลูกค้าชอบและยอมรับสินค้า แต่พยายามทำให้ลูกค้าชอบ และยอมรับตัวตนแล้ว มันจะเปิดโอกาสสู่ความสำเร็จในการขาย และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นในทุกครั้ง

อย่ารำคาญลูกค้าที่เรื่องมากและต่อราคา

หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอลูกค้าที่เรื่องมากและต่อราคา ถ้าเจอลูกค้าที่ยืนอยู่นาน ๆ หมายถึงเขามีความต้องการลึก ๆ ที่จะซื้อ แต่อาจเรื่องมากในการเลือกและการตัดสินใจ หรือต้องการรักษาผลประโยชน์ก็คือเงินของเขาให้มากที่สุด อย่ารำคาญลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะนี่แหละคือลูกค้ากลุ่มที่จะทำยอดขายให้ จงอย่ารำคาญหรือดูถูกลูกค้ากลุ่มนี้ ถ้าแสดงท่าทีอย่างนั้นกับเขาแค่ครั้งเดียว ก็อาจเสียลูกค้าที่จะซื้อมากที่สุดคนหนึ่งไปเลย และกลุ่มลูกค้าที่ดูไม่มีเงินจริง ๆ ก็ต้องเข้าใจเขา เขาไม่รวยไม่ได้หมายถึงเขาจะเป็นลูกค้าที่ดีของคุณไม่ได้

Part 5 จิตวิทยา 1% คุยโทรศัพท์ให้บรรลุผล

เลือกเวลาที่ดีที่สุดที่จะโทรหาเป้าหมาย

ใครก็ตามที่คุณต้องการอะไรบางอย่างจากเขา ไม่ว่าจะทำความรู้จัก สร้างสัมพันธ์ สร้างโอกาสทางการงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจ หรือขอความช่วยเหลือ แน่นอนถ้าไม่เคยเจอกับคนที่เป็นเป้าหมาย ก็ต้องแนะนำตัวและทำความรู้จักกับเขาผ่านทางโทรศัพท์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการโทรหาเขาครั้งแรก เพราะจะต้องไม่ผิดพลาด เช่น โทรหาเขาแล้วเขาไม่รับสาย โทรหาเขาแล้วเขาไม่สะดวกและคุยด้วยไม่ได้ หรือโทรหาเขาแล้วเขายุ่งและลืมโทรกลับ เหตุการณ์แบบนี้จะทำให้คุณรู้สึกเสียหน้าและลำบากใจที่จะโทรหาเขาครั้งต่อไป จะกลายเป็นเสียโอกาสที่จะทำความรู้จัก และสร้างสัมพันธ์หรือได้ในสิ่งที่คาดหวังจากเขา

เพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเลือกเวลาที่ดีที่สุด ที่จะทำการโทรหาเป้าหมาย เช่น ไม่ควรโทรหาเขาในระหว่างวัน หรือในเวลาทำงาน เพราะเขากำลังยุ่ง อาจโทรหาเขาตอนช่วงพักเที่ยงหรือตอนช่วงเย็นหลังเลิกงาน ถ้าคิดว่าเขาอาจกำลังเดินทางกลับบ้านหรือขับรถอยู่ ก็รอให้เขาถึงบ้านก่อน เช่น โทรตอนช่วง 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม โทรหาก่อนที่เขาจะเข้านอน และไม่ดึกเกินไป อีกช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ ตอนเย็นวันศุกร์หรือตลอดทั้งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพราะเขากำลังพักผ่อน เที่ยว หรือสนุกอยู่ที่ไหน บางทีเขาอาจว่างในช่วงวันหยุด และถ้าโทรไปเขาอาจคุยได้ แต่ถ้ามันเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังพักผ่อน เขาอาจรู้สึกถูกรบกวนได้ ดังนั้น เวลาที่ดีที่สุดน่าจะเป็นวันธรรมดา ในช่วงเย็น ๆ หรือค่ำ ๆ มากกว่า

การเลือกเวลาที่ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่แค่ดูที่ความพร้อมของเขา ต้องดูที่ความพร้อมของตัวเองด้วย ว่าบรรยาอากาศรอบ ๆ ตัว เหมาะสมที่จะคุยโทรศัพท์กับคนสำคัญหรือไม่ ถ้าโทรหาเขาครั้งแรกแล้วเขาไม่รับสาย อย่าโทรซ้ำติด ๆ กันหลายครั้ง ให้หยุดโทรหรือทิ้งข้อความไว้ หลังจากเขาไม่รับสายแค่ 1 ครั้ง แล้วรอให้เขาโทรกลับ ถ้าไม่ก็ค่อยโทรหาในวันอื่น

คุณต้องมีเหตุผลที่จะโทรหาคนอื่น

คุณอาจอยากสร้างสัมพันธ์กับใครบางคน อยากเป็นเพื่อน เป็นคนพิเศษ หรือสร้างโอกาสทางการงานหรือธุรกิจ แต่การคุยเล่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสัมพันธ์ ต้องมีจุดประสงค์ในการโทรหาคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่คุณเพิ่งรู้จัก หรือโทรหาเขาในครั้งแรก ๆ อาจหาเรื่องที่ต้องการบอกหรือถามเขา เช่น บอกข้อมูลที่หน้าสนใจกับเขาแล้วค่อยคุยต่อ เพื่อสร้างสัมพันธ์ไป หรือถามเรื่องที่คุณอยากรู้ แล้วคุณจะมีโอกาสคุยต่อไป

การโทรหาคนอื่นเพราะคุณไม่มีอะไรทำ หรือไม่มีจุดประสงค์และประเด็นที่จะพูดคุย จะทำให้ตัวคุณดูไม่น่าสนใจและไม่สำคัญ ดังนั้น หลีกเลี่ยงที่จะโทรหาคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล จงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าการโทรหาเขาสำคัญทุกครั้ง

ประโยคแรกที่ควรพูดและไม่ควรพูดเวลาโทรหาใครบางคน

เวลาจะโทรหาใครบางคน ต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่จะพูด วางแผนอย่างดีว่าจะพูดประเด็นอะไร เข้าประเด็นยังไง จบประเด็นยังไง และอย่ามองข้ามส่วนสำคัญที่สุด ของการพูดโทรศัพท์นั่นก็คือ ประโยคแรกที่คุณทักทายอีกฝ่าย บางครั้งคุณอาจไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า ว่าจะทักทายเขาอย่างไร เพราะมัวแต่โฟกัสอยู่กับประเด็นที่จะพูดคุยกับเขา ประโยคแรกที่คุณทักอีกฝ่ายจึงสำคัญที่สุด นั่นเพราะคุณอาจแสดงความเสียมารยาท แสดงความไม่สำคัญของตัวเองออกมา หรือทำให้เขาไม่ให้ความสำคัญที่จะพูดคุยด้วย

จึงต้องเรียนรู้ว่าอะไร คือประโยคแรกที่ควรพูดและไม่ควรพูด เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี ให้ความสำคัญ และรู้สึกว่ามีความเป็นมืออาชีพ ประโยคแรกที่ควรพูดคือ สวัสดิ์ดีครับ/ค่ะ คุณสะดวกคุยไหม? เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท เพราะเขาอาจไม่สะดวกคุยในเวลานั้นก็ได้ หรือคุณอาจกำลังรบกวนเขา ถ้าไม่ได้สนิทกับอีกฝ่าย ก็อาจจะถามว่า คุณกำรังยุ่งอยู่หรือเปล่า? หรือคุณกำลังทำงานอยู่หรือเปล่า? ก็จะฟังดูดีกว่า เพราะเขาจะสามารถตอบคุณว่าใช่หรือไม่แบบสั้น ๆ และจะไม่ดูเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไปนัก

ถ้าคุณโทรหาคนที่ยุ่งตลอดเวลา หรือไม่ค่อยมีเวลา ประโยคแรกที่คุณควรถามเขาก็คือ คุณมีเวลาสักห้า นาทีไหมครับ? ผมมีเรื่องสำคัญจะพูดนิดหน่อย

จำไว้ว่าประโยชน์แรกที่คุณทักทายคนที่คุณโทรหา แม้จะต่างกันแค่คำเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่างกันได้ ดังนั้น จำประโยคแรกที่ควรพูดเหล่านี้ไปใช้ แล้วจะได้คุยกับคนที่โทรหา และเขาจะรู้สึกดีกับเราด้วย

คุยเรื่องอื่นก่อนเข้าประเด็น

การโทรหาคนที่เป็นเป้าหมาย หรือคนที่ไม่ได้รู้จักกันดี ต้องเน้นที่มารยาทเป็นเรื่องสำคัญ เคารพเวลาของอีกฝ่าย เช่น ถามว่าเขาสะดวกคุยไหม กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะรบกวนเขา ถ้าเป็นฝ่ายโทรหาเขาหรือแม้เขาจะเป็นฝ่ายโทรหา ก็ต้องทักทายเขาด้วยการชวนคุยบ้างตามมารยาท ไม่ใช่จะรีบให้เขาเข้าประเด็นอย่างเดียว หลักการของคนสำเร็จก็คือ ความสัมพันธ์ต้องมาก่อนผลประโยชน์เสมอ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะโทรหาใคร ให้เน้นที่กระชับความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ก่อนที่จะเข้าเรื่องผลประโยชน์ นั่นไม่ใช่แค่เรื่องมารยาท แต่ยังช่วยให้บรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่ต้องการง่ายขึ้นอีกด้วย

กระชับบทสนทนาให้สั้นที่สุด

เคล็ดลับสำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ กระชับบทสนทนาให้สั้นที่สุด เพราะยิ่งพูดสั้น กระชับ และได้ใจความมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายจะยิ่งเข้าใจประเด็นที่สื่อสารได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และยังเป็นการแสดงมารยาทที่ดี ในการเคารพเวลาของอีกฝ่ายด้วย ต้องวางแผนสิ่งที่จะพูดไว้ล่วงหน้า เริ่มตั้งแต่ประโยคแรกที่จะทักทาย เรื่องที่จะชวนคุยก่อนเข้าประเด็น การเริ่มเข้าประเด็น ซึ่งต้องกระชับชัดเจนและได้ใจความ การจบประเด็น ซึ่งทุกอย่างประกอบกันต้องทำให้คุณบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อวางแผนแล้ว อาจจดใส่กระดาษไว้ แล้วถือมันไว้ในขณะที่คุยโทรศัพท์กับอีกฝ่าย จะช่วยให้ง่ายขึ้น ฝึกเป็นคนที่คุยโทรศัพท์สั้น ๆ กระชับ และได้ใจความ พยายามกระชับบทสนทนาให้สั้นที่สุด มันจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกประทับใจ

อย่าพูดอยู่คนเดียว

ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กับใคร อีกฝ่ายต้องมีโอกาสได้พูดบ้าง ถ้าคุณพูดมากเกินไป อีกฝ่ายอาจต้องทนฟังคุณพูด และไม่มีจังหวะจะพูดตอบโต้ หรือเขาอาจอยากพูด แต่มีมารยาทไม่อยากจะพูดแทรก เลยกลายเป็นว่าตลอดทั้งการสนทนาที่ยืดยาว มีคุณพูดอยู่คนเดียวอีกฝ่ายแทบจะไม่ได้พูดเลย โดยคุณก็ไม่รู้ตัวว่าเขาเบื่ออึดอัดและรำคาญคุณแค่ไหน

เขาจะจำประโยคสุดท้ายที่คุณพูดได้

ก่อนที่คุณจะโทรหาคนสำคัญ ให้คิดประโยคสุดท้ายที่จะพูดทิ้งท้ายเอาไว้ เพื่อเป็นการย้ำประเด็นที่คุณต้องการให้เขาจดจำ และช่วยให้บรรลุเป้าหมายง่ายขึ้น ซึ่งประโยคสุดท้ายที่ดีที่สุดจะต้องมีผลลัพธ์ข้อ 1 ข้อใดใน 3 ข้อนี้หรือทั้ง 3 ข้อข้อยิ่งดี

  1. ทำให้เขาคิดอย่างที่คุณต้องการ
  2. ทำให้เขาให้คำตอบที่คุณต้องการ
  3. ทิ้งความประทับใจไว้ให้มากที่สุด

ซึ่งทุกข้อล้วนเป็นเคล็ดลับที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้านของชีวิต จำไว้ว่าจิตวิทยาแค่ 1% ทำให้คุณเหนือคนได้ และมันจะได้ผลที่สุดก็ต่อเมื่อคุณนำไปใช้เท่านั้น

สั่งซื้อหนังสือ “จิตวิทยาแค่ 1% ทำให้คุณเหนือคน (คลิ๊ก)