Debt Ratio คือ

Debt Ratio คือ

“Debt Ratio” หรือ “อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์” คือ ตัวชี้วัดที่ใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างทางการเงินของบริษัทเพื่อเข้าใจถึงระดับของหนี้สินที่บริษัทมีเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด ค่าของอัตราส่วนนี้ได้มาจากการนำหนี้สินรวมของบริษัทมาหารด้วยสินทรัพย์รวม ซึ่งหนี้สินรวมนี้รวมทั้งหนี้สินระยะสั้นและหนี้สินระยะยาวที่บริษัทต้องรับผิดชอบ ส่วนสินทรัพย์รวมก็คือทรัพย์สินทั้งหมดที่บริษัทครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ทันทีหรือสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานระยะยาว

“การที่มี Debt Ratio สูงสามารถบ่งบอกถึงการพึ่งพาการกู้ยืมเงินมากขึ้นซึ่งอาจหมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการจ่ายดอกเบี้ยและความจำเป็นในการสร้างรายได้เพื่อปิดหนี้สินเหล่านั้น ในขณะที่ Debt Ratio ที่ต่ำอาจสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินที่ดีและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากอัตราส่วนนี้ต่ำเกินไปก็อาจบ่งชี้ถึงการไม่ใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเติบโตที่มากับการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุน”

Debt Ratio จึงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนประเมินความสามารถของบริษัทในการจัดการหนี้สินและระดับความเสี่ยงทางการเงินที่บริษัทต้องรับมือ นอกจากนี้ยังช่วยให้เข้าใจถึงการกระจายความเสี่ยงและโอกาสในการขยายกิจการผ่านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม

การคำนวณ Debt Ratio

สูตรที่ใช้ในการคำนวณ

การคำนวณ Debt Ratio

การคำนวณเป็นขั้นตอนดังนี้

หาค่าหนี้สินรวม (Total Debt)

  • หนี้สินรวมรวมทั้งหนี้สินระยะสั้นและหนี้สินระยะยาว
  • หนี้สินระยะสั้นอาจประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น, เครดิตทางการค้า, ภาระหนี้จากเช่าซื้อ
  • หนี้สินระยะยาวอาจรวมถึงเงินกู้ยืมระยะยาว, ตั๋วเงิน, หนี้สินจากเช่าซื้อระยะยาว

หาค่าสินทรัพย์รวม (Total Assets)

  • สินทรัพย์รวมประกอบด้วยทรัพย์สินหมุนเวียนและทรัพย์สินถาวร
  • ทรัพย์สินหมุนเวียนอาจรวมถึงเงินสด, ลูกหนี้การค้า, สินค้าคงคลัง
  • ทรัพย์สินถาวรอาจรวมถึงอาคาร, เครื่องจักร, ที่ดิน, สิทธิบัตร

คำนวณ Debt Ratio

  • นำค่าหนี้สินรวมหารด้วยค่าสินทรัพย์รวม
  • คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์

การดูผลของการคำนวณ Debt Ratio

การดูผลของการคำนวณ “Debt Ratio”

  • ตรวจสอบหนี้สินรวมและสินทรัพย์รวมจากงบดุล: เริ่มต้นด้วยการอ่านงบดุลของบริษัท ค่าของหนี้สินรวมและสินทรัพย์รวมจะถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในงบดุล
  • คำนวณอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์: ใช้สูตรที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อคำนวณหาค่า Debt Ratio
  • แปลงผลลัพธ์เป็นเปอร์เซ็นต์: เพื่อความเข้าใจง่าย คูณผลลัพธ์ที่ได้ด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์
  • การวิเคราะห์ผลลัพธ์:
    • ค่า Debt Ratio ที่ต่ำกว่า 1 (หรือ 100%) หมายความว่าบริษัทมีหนี้สินน้อยกว่าสินทรัพย์ ซึ่งมักถือว่าเป็นสัญญาณของความมั่นคงทางการเงิน
    • ค่า Debt Ratio ที่เท่ากับหรือมากกว่า 1 (หรือ 100%) แสดงว่าหนี้สินรวมเท่ากับหรือมากกว่าสินทรัพย์รวม ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงระดับความเสี่ยงทางการเงินที่สูง
  • เปรียบเทียบกับมาตรฐานของอุตสาหกรรม: อัตราส่วนที่ได้ควรเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อดูว่าบริษัทมีความมั่นคงทางการเงินมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
  • ตรวจสอบปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อ Debt Ratio: พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น แผนการลงทุนในอนาคต, สภาพคล่อง และภาระหนี้สินที่อาจไม่ปรากฏในงบดุล
  • ใช้ผลลัพธ์เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ: ใช้ค่า Debt Ratio เป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงินและการตัดสินใจทางธุรกิจหรือการลงทุน

ตัวอย่างการคำนวณ Debt Ratio

  • สมมติว่าบริษัท A มีหนี้สินรวม 500,000 บาท และสินทรัพย์รวม 1,000,000 บาท อัตราส่วนหนี้สินของบริษัท A จะเป็น
  • สูตร

ตัวอย่างการคำนวณ Debt Ratio

  • หรือ Debt Ratio=50%Debt Ratio=50%
  • ค่า 50% นี้บ่งบอกว่าบริษัท A มีหนี้สินคิดเป็น 50% ของสินทรัพย์รวม หมายความว่าครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินของบริษัทนั้นมาจากการกู้ยืม
  • Debt Ratio ให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท อัตราส่วนนี้ยิ่งสูง ความเสี่ยงที่บริษัทอาจมีปัญหาในการชำระหนี้ยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงทุนหรือต้นทุนทางการเงินในอนาคต

ข้อดี Debt Ratio

  • ช่วยให้เห็นสัดส่วนของการใช้หนี้ในการจัดหาทรัพยากรเพื่อการดำเนินงานของบริษัท
  • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้
  • สามารถเปรียบเทียบได้ระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้ในการประเมินว่าบริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงหรือไม่
  • ช่วยให้นักวิเคราะห์เข้าใจถึงการใช้ทุนเลเวอเรจในการเพิ่มผลตอบแทน
  • แสดงถึงความสามารถของบริษัทในการจัดการทรัพยากรเพื่อสร้างมูลค่า
  • สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจากับผู้ให้กู้เงินหรือนักลงทุน
  • ใช้ในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุน
  • มีประโยชน์ในการตัดสินใจด้านการจัดสรรทรัพยากรภายในบริษัท
  • เป็นตัวชี้วัดที่เรียบง่ายและได้รับการยอมรับในวงกว้าง

ข้อเสีย Debt Ratio

  • ไม่สามารถบอกได้ว่าหนี้ที่มีอยู่เป็นหนี้ที่มีคุณภาพดีหรือไม่
  • ไม่แสดงถึงสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น
  • อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีและการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน
  • ไม่สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างเงินสดหรือกำไรจริง
  • อาจไม่เหมาะกับการเปรียบเทียบข้ามอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างทางการเงินแตกต่างกัน
  • ค่า Debt Ratio ที่สูงอาจทำให้บริษัทยากที่จะขอเงินกู้เพิ่มเติม
  • อัตราส่วนที่สูงอาจบ่งบอกถึงภาระหนี้ที่หนักหน่วงและความเสี่ยงต่อการล้มละลาย
  • ไม่สามารถบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าทรัพย์สินเนื่องจากตลาดหุ้นหรือการลงทุน
  • อาจเกิดการเข้าใจผิดในกรณีที่ Debt Ratio ต่ำเนื่องจากการขายทรัพย์สิน
  • ต้องพิจารณาควบคู่กับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วนและมีความเที่ยงตรง

สรุป

Debt Ratio หรืออัตราส่วนหนี้สินคือการบอกว่าบริษัทมีหนี้ห้อยอยู่เท่าไรเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด คิดง่ายๆ เหมือนเรามีหนี้บัตรเครดิตและเงินกู้นอกระบบรวมกันเป็นเงินแสนหนึ่ง แต่เรามีบ้าน รถ และเงินในธนาคารรวมกันเป็นสองแสน อัตราส่วนหนี้สินของเราก็คือ 50% นั่นเอง เพราะหนี้เราครึ่งนึงของทรัพย์สินที่เรามี

ถ้าอัตราส่วนหนี้สินน้อย ก็คือเรามีหนี้น้อย ซึ่งดูแล้วเรามั่นคงดี แต่ถ้ามากเกินไป ก็หมายความว่าเรากู้เยอะแยะไปหน่อย อาจจะทำให้เราลำบากในการจ่ายหนี้สินกลับหรืออาจเจอปัญหาถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินไม่ได้เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจ เพราะมันไม่บอกว่าหนี้ที่มีนั้นดีหรือไม่ดี หนี้บางทีก็เป็นเรื่องดีถ้าเรากู้มาลงทุนแล้วได้กำไร แต่ถ้าหนี้มากเกินไป ไม่สามารถหาเงินมาชำระได้ ก็อาจเป็นสัญญาณไม่ดี นั่นคือทำไมนักลงทุนและผู้จัดการบริษัทต้องดูอัตราส่วนนี้อย่างละเอียด และคิดถึงสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อที่จะเข้าใจสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างถ่องแท้