การเข้าใจเรื่องการเงินและการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจในการบริหารการเงินของธุรกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่นักลงทุนและผู้บริหารต้องเข้าใจคือ Cost of Equity หรือ “ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการคำนวณต้นทุนการลงทุนรวมของบริษัทและในการประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ในการลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้น ๆ

ในบทความนี้เราจะอธิบายว่า Cost of Equity คืออะไร, วิธีการคำนวณ, และความสำคัญในการตัดสินใจทางการเงินในมุมมองของทั้งบริษัทและนักลงทุน

Cost of Equity คืออะไร?

Cost of Equity หรือ ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น คือ อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากการลงทุนในหุ้นของบริษัท การคำนวณนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับเมื่อเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้น ๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล

ต้นทุนของส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับการประเมินค่าของบริษัท ซึ่งใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในโครงการต่าง ๆ และการประเมินมูลค่าของธุรกิจ ความรู้เกี่ยวกับ Cost of Equity ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจถึงความคาดหวังของนักลงทุนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในธุรกิจของตน

วิธีคำนวณ Cost of Equity

การคำนวณ Cost of Equity สามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ Capital Asset Pricing Model (CAPM) ซึ่งคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากตลาด, อัตราผลตอบแทนปลอดความเสี่ยง, และความเสี่ยงเฉพาะของหุ้น (Beta)

สูตร CAPM:

  • Rf คือ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง เช่น อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล
  • β คือ การวัดความเสี่ยงเฉพาะของหุ้นหรือบริษัท เมื่อเทียบกับตลาด
  • Rm คือ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด
  • (Rm – Rf) คือ ความเสี่ยงของตลาด (Market Risk Premium)

การคำนวณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด (Market Return, Rm​) คือการคำนวณผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นโดยรวมในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งสามารถคำนวณได้โดยใช้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีและเป้าหมายของการวิเคราะห์ ตามสูตรนี้:

โดยที่:

  • Rm​ = อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด
  • Pend= ดัชนีราคาตลาดในตอนจบ (สิ้นสุดช่วงเวลา)
  • Pstart ​ = ดัชนีราคาตลาดในตอนเริ่มต้น (เริ่มต้นช่วงเวลา)

การคำนวณค่า Beta สามารถทำได้โดยการใช้การถดถอยเชิงเส้น (Linear Regression) ระหว่างผลตอบแทนของหุ้นและผลตอบแทนของตลาด ซึ่งจะคำนวณได้จากสูตร:

การหาค่าสัมประสิทธิ์ของหลักทรัพย์ หาได้จากค่าความแปรปรวนร่วมของผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนหลักทรัพย์ และอัตราผลตอบแทนของตลาด หารด้วยค่าความแปรปรวนของอัตราผลตอบแทนตลาด สามารถใช้โปรแกรม Excel ช่วยในการคำนวณ

ความหมายของ Beta และการประเมินความเสี่ยง

ในสูตร CAPM, Beta (β) เป็นตัวแปรที่สำคัญในการคำนวณ Cost of Equity เพราะมันบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของหุ้นบริษัทนั้น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของตลาดหุ้นทั้งหมด

  • หาก Beta = 1 หมายความว่าหุ้นของบริษัทนั้น ๆ จะมีความเสี่ยงเท่ากับตลาดโดยรวม
  • หาก Beta > 1 หมายความว่าหุ้นนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าตลาด
  • หาก Beta < 1 หมายความว่าหุ้นนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าตลาด

ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมี Beta 1.2 หมายความว่าหุ้นของบริษัทมีความผันผวนสูงกว่าตลาด 20% ซึ่งหมายถึงนักลงทุนจะต้องได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อทดแทนความเสี่ยงที่สูงขึ้นนี้

การใช้ Cost of Equity ในการตัดสินใจทางการเงิน

การทราบ Cost of Equity ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ว่าโครงการลงทุนใดควรได้รับการอนุมัติหรือไม่ โดยการเปรียบเทียบกับ Cost of Capital (ต้นทุนของเงินทุนรวม) ซึ่งจะรวมถึงทั้งต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น (Cost of Equity) และ  ต้นทุนเงินลงทุนของเจ้าหนี้ (Cost of Debt) 

นอกจากนี้ Cost of Equity ยังสามารถใช้ในการคำนวณ WACC (Weighted Average Cost of Capital) ซึ่งเป็นการคำนวณต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยของบริษัท 

ความสำคัญของ Cost of Equity ในการประเมินมูลค่าของบริษัท

ในกระบวนการประเมินมูลค่าของบริษัท (Valuation) Cost of Equity มีบทบาทสำคัญในการคำนวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของกระแสเงินสดในอนาคต การคำนวณนี้ช่วยให้ผู้ลงทุนหรือผู้บริหารทราบถึงมูลค่าของบริษัทในปัจจุบันเมื่อพิจารณาจากการเติบโตของกระแสเงินสดในอนาคตและอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน

Discounted Cash Flow (DCF) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในการประเมินมูลค่าของบริษัท จะใช้ Cost of Equity ในการคาดการณ์กระแสเงินสดอิสระในอนาคตของบริษัท แล้วจึงคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน หากอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่าต้นทุนของทุน (Cost of Capital) มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดจะลดลง

ความสำคัญของ Cost of Equity ในการตัดสินใจลงทุน

สำหรับนักลงทุน Cost of Equity เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินการลงทุนในหุ้นของบริษัท หากนักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนจากหุ้นสูงกว่าต้นทุนของส่วนของผู้ถือหุ้นที่บริษัทจ่ายออกไป พวกเขาจะมองว่าการลงทุนในหุ้นนั้นเป็นทางเลือกที่ดี แต่หาก Cost of Equity สูงเกินไป อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทมีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนต่ำกว่าที่คาดหวัง

นอกจากนี้ Cost of Equity ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนจากหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ได้ โดยการพิจารณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในแต่ละบริษัท

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Cost of Equity

ข้อดี:

  • ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้ลงทุนประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทได้ชัดเจน
  • สามารถใช้ในการตัดสินใจเลือกโครงการลงทุนและการประเมินมูลค่าของบริษัทได้
  • ช่วยให้สามารถคำนวณผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากการลงทุนในหุ้นได้อย่างถูกต้อง

ข้อเสีย:

  • การคำนวณ Cost of Equity ด้วยวิธี CAPM อาจมีข้อจำกัด เช่น การเลือกอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนของตลาดอาจไม่ได้สะท้อนถึงสถานการณ์จริงเสมอไป
  • Beta (β) ของบริษัทอาจไม่คงที่และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยภายนอกต่าง ๆ

Cost of Equity หรือ ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทและนักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยการคำนวณ Cost of Equity ช่วยให้เข้าใจถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทนั้นๆ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจในโครงการลงทุนและการประเมินมูลค่าของบริษัท

การใช้ Capital Asset Pricing Model (CAPM) เป็นวิธีที่นิยมในการคำนวณ Cost of Equity แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณาในการใช้งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำมากที่สุด