วัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) และอัตราการว่างงานเป็นตัวแปรสำคัญในการบ่งชี้สถานะปัจจุบันของวัฏจักร วัฏจักรธุรกิจประกอบด้วย 4 ระยะที่สำคัญ ได้แก่ ช่วงขยายตัว (Expansion) จุดสูงสุด (Peak) ช่วงถดถอย (Contraction/Recession) และจุดต่ำสุด (Trough) โดยแต่ละช่วงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
Source: https://www.fe.training/free-resources/asset-management/stages-of-the-economic-cycle/
วงจรสินเชื่อและความสัมพันธ์กับวัฏจักรธุรกิจ
วงจรสินเชื่อ (Credit Cycles) เป็นการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและความพร้อมในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ผู้ให้กู้มักจะผ่อนคลายเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อและเสนออัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว การปล่อยสินเชื่อจะเข้มงวดขึ้นและมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้น วงจรสินเชื่อสามารถเป็นตัวขยายผลกระทบของวัฏจักรธุรกิจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการปล่อยสินเชื่อแบบหละหลวมในช่วงขยายตัวจนเกิด “ฟองสบู่” ในตลาดสินทรัพย์บางประเภท เช่น กรณีวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในช่วงปี 2007-2009
การเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางธุรกิจและการใช้ทรัพยากร
การบริหารสินค้าคงคลัง
สินค้าคงคลังเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญของวัฏจักรธุรกิจ ธุรกิจต่างๆ พยายามรักษาระดับสินค้าคงคลังให้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ไม่มากเกินไปจนเงินทุนถูกผูกติดมากเกินไป อัตราส่วนสินค้าคงคลังต่อยอดขายมักจะมีแนวโน้มเข้าสู่ระดับปกติในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม เมื่อการขยายตัวใกล้ถึงจุดสูงสุด การเติบโตของยอดขายจะเริ่มชะลอตัว ทำให้สินค้าคงคลังที่ขายไม่ได้สะสมมากขึ้น
การปรับตัวด้านแรงงานและทุน
ธุรกิจมักตอบสนองต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจด้วยการปรับการใช้แรงงานและทุน แทนที่จะจ้างหรือเลิกจ้างพนักงานทันที ซึ่งมีต้นทุนสูงทั้งในด้านค่าใช้จ่ายโดยตรงและผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของพนักงาน ธุรกิจจะเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้แรงงานที่มีอยู่ เช่น การเพิ่มหรือลดผลผลิตต่อชั่วโมง หรือการปรับชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา การจ้างหรือเลิกจ้างพนักงานจะเกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มการขยายตัวหรือหดตัวทางเศรษฐกิจมีความชัดเจน
กิจกรรมภาคครัวเรือนและการบริโภค
การใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยขึ้นอยู่กับระดับรายได้ปัจจุบันและความคาดหวังเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต การใช้จ่ายในสินค้าคงทน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และรถยนต์ มีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรธุรกิจมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคมักเลื่อนการซื้อสินค้าเหล่านี้ออกไปในช่วงเศรษฐกิจถดถอย การใช้จ่ายด้านบริการมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับวัฏจักรธุรกิจเช่นกัน แต่ไม่รุนแรงเท่าสินค้าคงทน ในขณะที่การใช้จ่ายสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่คงทน เช่น อาหารและของใช้ในครัวเรือน มีความคงที่มากกว่า
ภาคอสังหาริมทรัพย์และการค้าระหว่างประเทศ
กิจกรรมภาคอสังหาริมทรัพย์
แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวม แต่ความผันผวนในตลาดที่อยู่อาศัยสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยสำคัญที่กำหนดระดับกิจกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่:
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัย
- ต้นทุนที่อยู่อาศัยเทียบกับรายได้
- กิจกรรมเก็งกำไร
- ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์
การค้าระหว่างประเทศ
ระดับการนำเข้าและส่งออกของประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสามประการ ได้แก่ การเติบโตของ GDP ภายในประเทศ การเติบโตของ GDP ของประเทศคู่ค้า และอัตราแลกเปลี่ยน การเพิ่มขึ้นของ GDP ภายในประเทศนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการนำเข้า ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของรายได้ต่างประเทศจะช่วยเพิ่มการส่งออก การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินมีผลต่อปริมาณการนำเข้าและส่งออกในระยะยาวมากกว่าการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นที่มักมีความผันผวน
สรุป
วัฏจักรธุรกิจเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับจุลภาคอย่างการตัดสินใจของธุรกิจและครัวเรือน ไปจนถึงระดับมหภาคอย่างการค้าระหว่างประเทศ การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสภาวะธุรกิจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันที่เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในประเทศหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ความเข้าใจในกลไกของวัฏจักรธุรกิจจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต