BCG Matrix หรือที่รู้จักในชื่อ Boston Consulting Group Growth-Share Matrix เป็นเครื่องมือวิเคราะห์กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดย Bruce Henderson ผู้ก่อตั้งบริษัท Boston Consulting Group ในปี 1970 เครื่องมือนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและถูกนำไปใช้โดยบริษัทชั้นนำทั่วโลก โดยในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีบริษัทใน Fortune 500 ประมาณครึ่งหนึ่งที่นำ BCG Matrix ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนกลยุทธ์

สำหรับนักลงทุน BCG Matrix เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประเมินศักยภาพการลงทุนในบริษัทต่างๆ โดยช่วยให้เห็นภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในอนาคต การวิเคราะห์ผ่าน BCG Matrix ช่วยให้นักลงทุนสามารถ:

  • ประเมินความสมดุลของพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยดูสัดส่วนระหว่างผลิตภัณฑ์ที่สร้างกระแสเงินสด (Cash Cows) กับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเงินลงทุน (Stars และ Question Marks)
  • คาดการณ์ความต้องการเงินทุนในอนาคตของบริษัท จากสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ในแต่ละกลุ่ม
  • ประเมินความเสี่ยงจากการมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Dogs มากเกินไป หรือการพึ่งพา Cash Cows เพียงไม่กี่ตัว
  • วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของบริษัท ผ่านการดูอัตราความสำเร็จในการพัฒนา Question Marks ให้กลายเป็น Stars

หลักการและองค์ประกอบของ BCG Matrix

BCG Matrix เป็นตารางวิเคราะห์ที่แบ่งออกเป็น 4 ช่อง โดยใช้แกนสองแกนในการวิเคราะห์:

  • แกนตั้งแสดงอัตราการเติบโตของตลาด (Market Growth Rate)
  • แกนนอนแสดงส่วนแบ่งตลาดเชิงเปรียบเทียบ (Relative Market Share)

การแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ใน BCG Matrix

  1. Stars (ดาวรุ่ง)
    • มีส่วนแบ่งตลาดสูงและอัตราการเติบโตสูง
    • เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสูงและควรได้รับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
    • ต้องการเงินลงทุนมากเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด
    • มีโอกาสที่จะกลายเป็น Cash Cows ในอนาคตเมื่อตลาดเติบโตเต็มที่
  2. Cash Cows (วัวนม)
    • มีส่วนแบ่งตลาดสูงแต่อัตราการเติบโตต่ำ
    • สร้างกระแสเงินสดสูงและต้องการการลงทุนน้อย
    • เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ
    • ควรรักษาตำแหน่งทางการตลาดโดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. Question Marks (เครื่องหมายคำถาม)
    • มีส่วนแบ่งตลาดต่ำแต่อัตราการเติบโตสูง
    • ต้องการเงินลงทุนสูงเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
    • มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็น Stars หรือตกไปเป็น Dogs
    • ต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่ม
  4. Dogs (สุนัข)
    • มีส่วนแบ่งตลาดต่ำและอัตราการเติบโตต่ำ
    • สร้างผลกำไรต่ำหรือขาดทุน
    • ควรพิจารณายกเลิกหรือขายธุรกิจ
    • อาจรักษาไว้หากมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์หรือเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อื่น

การประยุกต์ใช้ BCG Matrix

กรณีศึกษา: Apple Inc.

เพื่อให้เข้าใจการใช้งาน BCG Matrix ได้ชัดเจนขึ้น เราสามารถพิจารณาตัวอย่างของ Apple Inc.:

  1. Stars: iPhone
    • ครองส่วนแบ่งตลาดสูงในตลาดสมาร์ทโฟนที่เติบโตต่อเนื่อง
    • สร้างรายได้กว่า 200 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
    • ต้องการการลงทุนสูงในการวิจัยและพัฒนาเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ
  2. Cash Cows: MacBook
    • มีส่วนแบ่งตลาดสูงในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
    • สร้างรายได้ที่มั่นคงประมาณ 29.36 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
    • ต้องการการลงทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ iPhone
  3. Question Marks: Apple TV+
    • อยู่ในตลาดสตรีมมิ่งที่เติบโตสูง
    • มีส่วนแบ่งตลาดต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Netflix และ Disney+
    • ต้องการการลงทุนสูงในคอนเทนต์เพื่อดึงดูดผู้ชม
  4. Dogs: iPad
    • ยอดขายลดลงต่อเนื่อง จาก 29.29 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 เหลือ 28.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
    • ตลาดแท็บเล็ตมีการเติบโตต่ำ
    • มีการแข่งขันสูงจากแท็บเล็ต Android

ข้อจำกัดและข้อควรพิจารณาในการใช้ BCG Matrix

  1. ไม่ได้คำนึงถึงมิติด้านกำไร
    • บางผลิตภัณฑ์อาจมีกำไรสูงแม้จะอยู่ในกลุ่ม Dogs
    • ควรพิจารณาปัจจัยด้านความสามารถในการทำกำไรร่วมด้วย
  2. การวิเคราะห์แบบง่ายเกินไป
    • ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    • อาจละเลยโอกาสทางธุรกิจในตลาดเฉพาะกลุ่ม
  3. ไม่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์
    • ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Dogs อาจมีความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์อื่น
    • ควรพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่างผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอ
  4. ขาดมุมมองด้านการแข่งขันในระยะยาว
    • ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภค
    • อาจไม่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมที่มีนวัตกรรมสูง

สรุป

นักลงทุนควรใช้ BCG Matrix ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เช่น การวิเคราะห์งบการเงิน การวิเคราะห์อุตสาหกรรม และการประเมินคุณภาพของผู้บริหาร เพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะแม้ BCG Matrix จะให้ภาพกว้างที่ดี แต่อาจไม่ได้สะท้อนปัจจัยสำคัญบางอย่าง เช่น อัตรากำไรของแต่ละผลิตภัณฑ์ หรือโอกาสจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงตลาดอย่างรวดเร็ว

Previous articleFive Forces Analysis คืออะไร?
Apiwat Tav
ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ทางเทคนิค อยู่ในวงการตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี มี CMT และ CFTe กลยุทธ์ที่ชอบสุด คือ Swing trade เขียน Amibroker ได้ ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา