หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือของกลุ่มวิชาที่ 3: การวิเคราะห์หลักทรัพย์และการบริหารกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนภายใต้หลักสูตร CISA ใหม่ระดับที่ 1 (หลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนขั้นพื้นฐาน)
บทที่ 1 ภาพรวมการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
กลุ่มหลักทรัพย์ หมายถึง การลงทุนในหลักทรัพย์มากกว่า 1 หลักทรัพย์ขึ้นไป เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่สุด และกระจายการลงทุนไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งมากเกินไป
กลุ่มหลักทรัพย์ของแต่ละบุคคลจะประกอบด้วยหลักทรัพย์ประเภทใด และสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละประเภทจะเป็นเช่นใดนั้น ขึ้นอยู่กับ
- อายุ
- สถานภาพทางการเงิน
- ระยะเวลาในการวางแผนใช้จ่ายเงิน
- ระดับในการยอมรับความเสี่ยง และ
- เป้าหมายในการลงทุน
แนวคิดกับผลตอบแทนจากการลงทุน
ผลตอบแทนคือ ผลประโยชน์ที่นักลงทุนปรารถนาที่จะได้รับจากการลงทุน โดยคาดหวังว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นจะทำให้เงินลงทุนเพิ่มพูนขึ้น และคุ้มค่ากับ
- การที่นักลงทุนยอมสูญเสียโอกาสที่จะนำเงินที่ตนเองมีอยู่ไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ (ต้นทุนค่าเสียโอกาส)
- อำนาจซื้อที่สูญเสียไป อันเนื่องจากระดับของราคาสินค้าในอนาคตสูงขึ้น (อัตราเงินเฟ้อ)
- พันธะผูกพันของเงินลงทุนตลอดช่วงระยะเวลาการลงทุน
การคำนวณหาอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของหลักทรัพย์
Harry Markowitz กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ หรือกลุ่มหลักทรัพย์ใด ๆ จะไม่ทราบถึงผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น จึงต้องทำการคาดการณ์ผลตอบแทนที่พึงได้รับภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า
แนวคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์
ความเสี่ยง คือ ความไม่แน่นอนที่ทำให้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ได้คาดหวังไว้ การลงทุนใดที่มีความไม่แน่นอนของผลตอบแทนสูง ย่อมมีความเสี่ยงสูง
Markowitz แบ่งความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนเป็น
- ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ: ความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละหลักทรัพย์ อันเกิดจากปัจจัยภายในของบริษัท โดยอาจรวมถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเฉพาะในแต่ละกลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรม
- ความเสี่ยงที่เป็นระบบ: ความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อทุกหลักทรัพย์ในตลาด เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
การวัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในหลักทรัพย์
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับระดับของความไม่แน่นอนที่ผลตอบแทนพึงได้รับจากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังได้ ดังนั้น จึงมีการนำค่าต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการวัดความเสี่ยง เช่น
- ค่าความแปรปรวน: การหาระดับความไม่แน่นอนของอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนว่าแตกต่างหรือเบี่ยงเบนไปจากที่คาดหวังเพียงใด
- ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน: วัดค่าความเบี่ยงเบนหรือความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน
- Semi-variance: วัดเฉพาะความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางลบ หรือในกรณีที่อัตราผลตอบแทนที่ได้รับการลงทุนต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง
- ค่าสัมประสิทธิ์ความแปรปรวน: เปรียบเทียบความเสี่ยงต่อ 1 หน่วยของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยง
โดยทั่วไป นักลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่หากการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง นักลงทุนจะพิจารณาดูว่า อัตราผลตอบแทนที่พึงได้รับนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งในทางการเงินการลงทุนจะอนุมานว่าตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยภาครัฐว่าเป็น ‘หลักทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง’
หากนักลงทุนต้องเลือกลงทุน อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่พึงได้รับจึงควรเท่ากับอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่นิยมลงทุนในหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการกระจายลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกกระจายการลงทุนใน
- หลักทรัพย์ประเภทเดียวกัน แต่ต่างบริษัทหรือต่างอุตสาหกรรมกัน
- หลักทรัพย์ต่างประเภทกัน
- หลักทรัพย์ต่างประเทศ
การกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
- การกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ตามแนวคิดเดิม: นักลงทุนพยายามกำหนดกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะสม โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าต้องเป็นการสุ่มลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อที่จะลดความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์อยู่ในระดับต่ำที่สุด แม้ยังจะไม่ชัดเจนว่า ความเสี่ยงที่ต้องการลดจะเป็นความเสี่ยงในลักษณะใด
- การกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ตามแนวคิดของ Markowitz: หากนักลงทุนกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังในทิศทางตรงกันข้ามหรือไม่มีความสัมพันธ์กันเลย จะสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์นั้นลงได้
การลดความเสี่ยงโดยการกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
การกระจายการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์จะช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละหลักทรัพย์ (ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ) แต่ไม่ได้ลดความเสี่ยงที่เป็นระบบ
แนวคิดพื้นฐานและความสำคัญของการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์มาแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้รับอัตราผลตอบแทนตรงกับที่ได้คาดหวังไว้ และลดความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
นอกจากนี้ การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ยังช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการลงทุนได้ในระดับหนึ่ง โดยนักลงทุนสามารถติดตามผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ และสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้
กระบวนการในการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
- การกำหนดนโยบายการลงทุน
- การทดลองสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ขึ้นมาก่อนที่จะลงทุนจริง
- การตัดสินใจลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ตามสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม
- การติดตามและวัดผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ว่า เป็นไปตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดหรือไม่
บทที่ 2 การวิเคราะห์ผู้ลงทุน
ประเภทของผู้ลงทุน
- ผู้ลงทุนบุคคล: ผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อการลงทุนสำหรับตนเองหรือในบัญชีของตนเองเท่านั้น
- ผู้ลงทุนสถาบัน: ผู้ลงทุนที่เป็นบริษัท องค์กรหรือนิติบุคคลที่ทำหน้าที่ลงทุนเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท องค์กรหรือนิติบุคคลหรือทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงินระหว่างบุคคลและตลาดการเงิน
ข้อมูลของผู้ลงทุนและการวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ลงทุนบุคคล
ข้อมูลส่วนตัวของผู้ลงทุน
ข้อมูลเบื้องต้นที่จำเป็นต้องทราบ เพราะจะมีผลต่อการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน การสร้างและบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทาง
- การจัดทำข้อมูลส่วนตัวผู้ลงทุนบุคคลตามสถานการณ์: อาจพิจารณาจากแหล่งที่มาของความมั่งคั่ง การวัดความมั่งคั่งและช่วงอายุของผู้ลงทุนบุคคล เนื่องจากผู้ลงทุนแต่ละรายมีลักษณะเฉพาะ และอาจมีลักษณะที่ผสมผสานกันระหว่างลักษณะเฉพาะต่าง ๆ
- การจัดทำข้อมูลส่วนตัวผู้ลงทุนบุคคลเชิงจิตวิทยา: เชื่อมความแตกต่างระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมและการเงินเชิงพฤติกรรม
- การจัดประเภทผู้ลงทุนบุคคลตามบุคลิกภาพ: แนวคิด Ballard, Biehl & Kaiser Five-Way Model จำแนกนักลงทุนออกเป็น 5 ประเภท
- นักผจญภัย: เชื่อมั่นในตัวเองสูง ยอมรับกับความไม่แน่นอนของชีวิต ตัดสินใจหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยคิดให้รอบคอบ
- ผู้มีความเป็นเอกเทศ: คล้ายกับนักผจญภัย แต่จะตัดสินใจอย่างรอบคอบ ระมัดระวังหลังจากมีดุลยพินิจอย่างรอบคอบแล้ว
- ดาราผู้มีชื่อเสียง: มักวิตกกังวล ตามกระแส กลัวตกข่าว จึงมักตัดสินใจเร็วโดยไม่ระมัดระวัง
- ผู้พิทักษ์: ระมัดระวัง รอบคอบ ค่อนข้างจู้จี้และวิตกกังวลมาก รู้ข้อจำกัดของตนเองและกลัวการตัดสินใจ
- ผู้ที่อยู่คาบเส้น: ผู้ลงทุนที่ไม่อยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งข้างต้น แต่จะมีคุณลักษณะอยู่ตรงกลาง
นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อมูลสำคัญของผู้ลงทุนที่จำแนกออกเป็น
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ
- ข้อมูลประวัติส่วนตัวและผู้อยู่ในอุปการะ
- ช่วงอายุของผู้ลงทุน
- ข้อมูลด้านการทำงาน
- ข้อมูลเชิงปริมาณ
- กลุ่มหลักทรัพย์ลงทุนในปัจจุบัน
- ข้อมูลการเงินส่วนบุคคล
วัตถุประสงค์ของการลงทุน
รูปแบบผลตอบแทนที่ต้องการสามารถนำมาสะท้อนถึงระดับความเต็มใจในการรับความเสี่ยงของผู้ลงทุนได้
ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการลงทุน
- มูลค่าเงินลงทุน
- อายุและสุขภาพ
- ภาระผูกพันส่วนบุคคล
- การศึกษาและประสบการณ์
- สภาพคล่องและการมีตลาดรองรับหรือความสะดวกด้านการซื้อขาย
- ระยะเวลาการลงทุน
- ข้อพิจารณาทางด้านภาษี
- กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในการลงทุน
การประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนนั้น จะต้องประเมินทั้งระดับความสามารถรับความเสี่ยงและระดับความเต็มใจรับความเสี่ยง
ความสามารถรับความเสี่ยง: การวิเคราะห์ว่าฐานะการเงินของผู้ลงทุนเหมาะสมที่จะรับความเสี่ยงได้ถึงระดับใด รู้ว่าต้องลงทุนนานแค่ไหนจึงจะเหมาะสม เข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนว่ามากน้อยเพียงใด และหากลงทุนไปแล้วเกิดข้อผิดพลาดจะยอมรับผลลัพธ์การสูญเสียนั้นได้แค่ไหน
ปัจจัยที่ใช้ในการประเมินความสามารถรับความเสี่ยง ได้แก่
- ช่วงอายุของผู้ลงทุน
- สถานะทางการเงิน
ความเต็มใจรับความเสี่ยง: พฤติกรรมของผู้ลงทุนบุคคล โดยสามารถพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
- ทัศนคติต่อความเสี่ยง
- พฤติกรรมการลงทุนที่ผ่านมา
ในทางปฏิบัติ อาจใช้วิธีการประเมินจากแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุน
ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ลงทุนสถาบัน
ยกตัวอย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญและมูลนิธิ
กองทุนบำเหน็จบำนาญ
กองทุนบำเหน็จบำนาญคือ กองทุนที่ลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่งคั่งสำหรับการจ่ายค่าบำเหน็จบำนาญให้แก่พนักงานและลูกจ้างที่ทำงานครบตามเงื่อนไขเวลาที่กำหนดไว้หรือเมื่อเกษียณอายุ โดยผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่ลงทุนจะต้องสามารถรองรับการใช้จ่ายในอนาคตหลังเกษียณอายุ
กองทุนบำเหน็จบำนาญแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- กองทุนแบบกำหนดผลประโยชน์ (DB) และ
- กองทุนแบบกำหนดเงินสมทบ (DC)
วัตถุประสงค์ด้านความเสี่ยง: ผู้บริหารต้องพิจารณาสถานะทางการเงิน ความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยงทั่วไปของบริษัทที่ดำเนินการจัดตั้งกองทุน ค่าสหสัมพันธ์ของผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดำเนินการจัดตั้งกองทุนกับผลตอบแทนของสินทรัพย์บำนาญ คุณลักษณะของแผนและคุณลักษณะของสมาชิก ฯลฯ ที่มีผลต่อการยอมรับความเสี่ยง
เป้าหมายผลตอบแทน:
แผน DB คือ ได้ผลตอบแทนที่เพียงพอสำหรับการจ่ายเงินบำนาญตามที่กำหนดกับสมาชิก
แผน DC ไม่ได้ระบุเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนของสมาชิก
ความต้องการด้านสภาพคล่อง: จำนวนกระแสเงินสดสุทธิจากการจ่ายผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกลบด้วยเงินสมทบจากสมาชิกที่ทำงานในปัจจุบัน ถือเป็นข้อกำหนดด้านสภาพคล่องของแผนบำนาญ
ระยะเวลาในการลงทุน
แผน DB ขึ้นอยู่กับ
- การคาดการณ์เกี่ยวกับกองทุนว่าจะคงอยู่ตลอดไปหรืออาจต้องยุติลง
- อายุของสมาชิกและสัดส่วนของผู้ที่ยังไม่เกษียณ
- เวลาเฉลี่ยของการเข้าสู่วัยเกษียณของแรงงาน
- เวลาเฉลี่ยของอายุขัยของผู้เกษียณอายุ
ประเด็นพิจารณาด้านภาษี: รายได้จากการลงทุนและกำไรที่เกิดขึ้นจริงภายในกองทุนบำเหน็จบำนาญแบบกำหนดผลประโยชน์ทั่วไปจะได้รับการยกเว้นภาษี
ปัจจัยด้านกฎหมายและข้อบังคับ: กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของแผนการลงทุน + หลักการลงทุนอย่างมีจริยธรรม
มูลนิธิ
มูลนิธิ (ตามมาตรา 110 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์) หมายถึง ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษาหรือเพื่อสาธารณประโยชน์อื่น โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งปันกันและจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแล้ว และการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนแล้วมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 120 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์
วัตถุประสงค์ด้านความเสี่ยง: มูลนิธิสามารถรับความเสี่ยงได้สูงกว่า เพราะไม่มีภาระรายจ่ายที่ชัดเจน ดังนั้น นโยบายการลงทุนของมูลนิธิมีความยืดหยุ่น
เป้าหมายผลตอบแทน: มูลนิธิแต่ละแห่งมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป
ข้อกำหนดด้านสภาพคล่อง: ความต้องการด้านสภาพคล่องของมูลนิธิเป็นความต้องการเงินสด โดยทั่วไปจะมีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าซึ่งก็คืออัตราการใช้จ่ายของมูลนิธิที่ระบุไว้
ระยะเวลาการลงทุน: มูลนิธิส่วนบุคคลและมูลนิธิทั่วไปมักมีการดำเนินการแบบถาวร ดังนั้น จึงมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ในการรักษาเงินทุนหลังจากหักค่าใช้จ่าย
ปัจจัยด้านกฎหมายและข้อบังคับ: มูลนิธิอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมายและข้อบังคับทางกฎหมาย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และมูลนิธิจะต้องทราบและเข้าใจกฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเภทมูลนิธิ ซึ่งอาจเป็นประเด็นหนึ่งที่สร้างข้อจำกัดในการลงทุน
บทที่ 3 การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน หมายถึง การแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนของนักลงทุนเพื่อจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ โดยนักลงทุนจะพิจารณาประเภทของสินทรัพย์ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ใดบ้าง และลงทุนเป็นจำนวนเงินเท่าใด มีสัดส่วนการลงทุนอย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนของตนไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน ป้องกันการสูญหายของเงินลงทุนทั้งหมด โดยหากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งขาดทุน นักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากประเภทอื่นมาชดเชย
เหตุผลที่นักลงทุนแต่ละคนควรมีนโยบายการลงทุนเพื่อเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนว่าจะลงทุนอย่างไรและใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
นโยบายการลงทุนจะให้แนวทางในการลงทุนว่า ควรจะลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนประเภทใดบ้าง มีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์การลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทเท่าใด ซึ่งเรียกว่า กระบวนการจัดสรรเงินทุนตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้
โดยทั่วไปแล้ว การสร้างนโยบายการลงทุนเพื่อเป็นกรอบสำหรับการกำหนดกลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 4 ประการ
- สินทรัพย์ลงทุนประเภทใด ที่ควรนำมาพิจารณาสำหรับการลงทุน
- นักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนควรใช้นโยบายใดที่จะจัดสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภท
- จากสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนในข้อก่อนหน้า ควรจะมีขอบเขตการจัดสรรเงินลงทุนในช่วงระหว่างกี่เปอร์เซ็นต์
- หลักทรัพย์พิเศษชนิดใดที่ควรพิจารณาซื้อมาไว้ในกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุน
ประเภทของสินทรัพย์ทางการเงิน
- ตราสารหนี้: สินทรัพย์ทางการเงินที่ผู้ถือมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ โดยรับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนดอายุจะได้รับเงินต้นคืน
- ตราสารทุน: สินทรัพย์ทางการเงินที่ผู้ถือมีฐานะเป็นเจ้าของ โดยรับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ตราสารทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้
- ตราสารอนุพันธ์: สินทรัพย์ทางการเงินที่ใช้สำหรับการลงทุนและการป้องกันความเสี่ยง เป็นตราสารที่ตกลงซื้อขายในวันนี้ และส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงและชำระเงินในเวลาที่กำหนดในอนาคต
- หน่วยลงทุนของกองทุนรวม: สินทรัพย์ทางการเงินที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน เพื่อระดมเงินจากนักลงทุนมารวมกันไว้ในรูปแบบของกองทุนรวม และผู้จัดการกองทุนจะนำเงินนั้นไปลงทุนในตลาดการเงิน แล้วเฉลี่ยคืนผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปของเงินปันผล
- สินทรัพย์ลงทุนทางเลือก
5.1 การลงทุนในต่างประเทศ: ลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินในต่างประเทศ ประเภทผลตอบแทนที่ได้รับจะแตกต่างกันตามสินทรัพย์ทางการเงินต่างประเทศที่เลือกลงทุน
5.2 การลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนทองคำ: ลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ เช่น SPDR Gold Fund
5.3 การลงทุนที่มีความซับซ้อน: การลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด เป็นต้น
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนเชิงกลยุทธ์
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนเชิงกลยุทธ์เป็นแนวทางที่นำมาใช้สำหรับการพิจารณาการลงทุนในระยะยาว โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่าง ๆ
การลงทุนลักษณะนี้จะดูแนวโน้มผลการดำเนินงานของตลาดทุนในระยะยาว ซึ่งนักลงทุนจะพิจารณาเลือกลงทุนผ่านการวิเคราะห์ความเสี่ยง ความแปรปรวนร่วมและแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต
นักลงทุนหรือผู้จัดการกองทุนจะต้องพิจารณาว่า จะมีการปรับสัดส่วนการลงทุนเมื่อระยะเวลาผ่านไปนานเท่าใด เช่น ปรับทุก 1 เดือนหรือทุก 3 เดือน เป็นต้น
การปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนโดยใช้วิธีการปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาด หมายถึง การจัดสรรเงินลงทุนโดยปรับสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ทั้งช่วงภาวะตลาดรุ่งเรือง ภาวะตลาดปกติหรือภาวะตลาดถดถอย ซึ่งนับเป็นการปรับสัดส่วนการลงทุนในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง ไม่ใช่การปรับการลงทุนระยะยาว
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม
การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม หมายถึง การที่นักลงทุนเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดสินทรัพย์ลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป
หากนักลงทุนมีความเห็นว่า เป้าหมายในการลงทุน ความพอใจในแง่ของอัตราผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงมีแนวโน้มคงที่และมีเสถียรภาพ รวมทั้งคาดว่าสภาวะเศรษฐกิจและตลาดทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต นักลงทุนควรเลือกใช้วิธีการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนเชิงกลยุทธ์
หากนักลงทุนเชื่อว่า นักลงทุนสามารถคาดการณ์สภาวะตลาดลงทุนในระยะสั้นและต้องการหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนเชิงกลยุทธ์ ประกอบกับมีเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะสมแลสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้นั้น นักลงทุนควรใช้วิธีการลงทุนโดยการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนตามสภาวะตลาด
บทที่ 4 การกำหนดกลยุทธ์และการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์
แนวคิดพื้นฐานของการกำหนดกลยุทธ์
ประการที่ 1: ผู้ลงทุนไม่เชื่อว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ ราคาหลักทรัพย์ไม่ได้สะท้อนข้อมูลข่าวสารอย่างทันทีทันใด ทำให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วย ‘การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุก’ เพื่อฉวยโอกาสทำกำไรก่อนที่ราคาหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวสะท้อนข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ
ประการที่ 2: ผู้ลงทุนเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ราคาหลักทรัพย์สะท้อนข้อมูลข่าวสารอย่างทันทีทันใด นักลงทุนไม่สามารถฉวยโอกาสทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ใช้กลยุทธ์การลงทุนด้วย ‘การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรับ’
แนวคิดพื้นฐานของการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์
- กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุก
แนวคิด: ผู้ลงทุนเชื่อว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์: ใช้วิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและการจับจังหวะการลงทุนควบคู่กันไป
- กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรับ
แนวคิด: ผู้ลงทุนเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์: ใช้วิธีการสร้างกองทุนดัชนี
ความสำคัญของการกำหนดกลยุทธ์และการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์
การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนเป็นการเลือกวิธีการที่จะนำหลักทรัพย์ต่าง ๆ มารวมในกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุน โดยผู้ลงทุนจะใช้กลยุทธ์อย่างเป็นรูปธรรม มีกระบวนการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นขั้นตอน ช่วยให้ผู้ลงทุนมีความชัดเจนเรื่องการลงทุนมากขึ้น
ขั้นตอนการวางแผนการลงทุนประกอบด้วย 2 ขั้นตอน
- การกำหนดวัตถุประสงค์ และพิจารณาความชอบส่วนบุคคล
- การสร้างนโยบายการลงทุน
การกำหนดกลยุทธ์พื้นฐานของการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุก
การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุกใช้วิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าและการจับจังหวะการลงทุน
กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุกโดยวิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์
การเลือกหลักทรัพย์ที่ดีคือ การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งแนวทางการคัดเลือกหลักทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- การลงทุนในหุ้นคุณค่า (VI) คือแนวทางการลงทุนที่เน้นการลงทุนในบริษัทที่ผู้ลงทุนเชื่อว่าราคาตลาดของหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งสามารถแบ่งตามวิธีการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้ามาในกลุ่มหลักทรัพย์ 3 วิธี คือ
- พิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงิน
- แบบสวนทางกับตลาด
- โดยมีส่วนร่วมในการบริหาร
- การลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตระดับสูง: ผู้ลงทุนจะมองหาการลงทุนในหุ้นของบริษัทซึ่งศักยภาพในการเติบโตของกำไรสุทธิของกิจการสูงกว่าตลาดคาดการณ์ ซึ่งเป็นกิจการที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ว่ากิจการนั้น ๆ จะสามารถสร้างผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ราคาตลาดของหุ้นจึงยังไม่ได้สะท้อนศักยภาพในการเติบโตที่กล่าวข้างต้น
แนวทางการคัดเลือกการลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตประกอบด้วย
- คัดเลือกหุ้นที่มีการคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิอยู่ในระดับสูง
- คัดเลือกหุ้นที่มี P/E สูง
- คัดเลือกหุ้นที่มี P/E ในระดับสูงที่สอดคล้องกับอัตราการเติบโตโดยใช้ PEG Ratio
กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรุกโดยวิธีการจับจังหวะการลงทุน
- การจับจังหวะการลงทุนโดยใช้ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ: ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ผู้ลงทุนมักให้ความสำคัญและใช้เป็นเครื่องมือการจับจังหวะเวลาการลงทุน ได้แก่
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
- อัตราดอกเบี้ยระยะยาว
- อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของตลาด
- วัฏจักรเศรษฐกิจ
- การจับจังหวะการลงทุนตามแนวคิด Mean Reversion: ผู้ลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเข้าสู่ระดับปกติ หลังจากที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงจากระดับปกติเป็นเวลานาน การวัดค่าปกติ นิยมใช้ค่า P/E ของตลาด
- การจับจังหวะการลงทุนโดยใช้ปัจจัยเทคนิค: การวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมหรือรูปแบบของราคา และปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ โดยใช้ข้อมูลในอดีต เพื่อคาดการณ์ในอนาคตว่าแนวโน้มของราคาจะเป็นอย่างไร โดยมีสมมติฐานว่าราคาหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวอย่างมีระบบและเป็นรูปแบบ
- การจับจังหวะด้วยการปรับเปลี่ยนสไตล์การลงทุน: การจับจังหวะการลงทุนตามขนาดกิจการ กล่าวคือ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีอัตราการเติบโตระดับสูง จะให้ผลตอบแทนสูงกว่ากลยุทธ์หุ้นคุณค่าในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
- กลยุทธ์การสับเปลี่ยนกลุ่มการลงทุน: การสับเปลี่ยนการลงทุนในภาคธุรกิจแต่ละประเภท จะใช้การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอนาคตเป็นตัวกำหนด ซึ่งใช้ในกรณีที่ผู้ลงทุนเชื่อว่าตลาดจะปรับตัวลดลง แต่ผู้ลงทุนไม่กล้าขายหุ้นทั้งหมดหรือจำเป็นต้องถือหุ้นตลอดเวลา
การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรับ
การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เชิงรับใช้วิธีการสร้างกองทุนดัชนี ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ
- การสร้างกองทุนดัชนีชนิดเต็มรูปแบบ: การสร้างกลุ่มหลักทรัพย์หรือกองทุนรวมที่มีนโยบายการบริหารให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี โดยไม่มีนโยบายที่จะบริหารกองทุนให้ได้สูงหรือต่ำกว่าดัชนี
- การสร้างกองทุนดัชนีแบบย่อ: เนื่องจากการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์แบบเต็มรูปแบบมีความยุ่งยากในทางปฏิบัติ ทำให้มีการสร้างกองทุนดัชนีแบบย่อ โดยอาจเลือกลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ด้วยวิธีการปันส่วนเงินลงทุน
- การสร้างกองทุนดัชนีโดยใช้แบบจำลองทางสถิติ: การใช้ข้อมูลในอดีตของหลักทรัพย์ที่ประกอบกันเข้าเป็นดัชนีมาตรฐานเปรียบเทียบ เพื่อสร้างแบบจำลองที่ใช้ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ โดยมีวัตถุประสงค์การทำแบบจำลองเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สอดคล้องและใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีมาตรฐานเปรียบเทียบให้มากที่สุด
การออกแบบกลุ่มหลักทรัพย์
แนวทางการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะสม
3 ปัจจัยหลักที่ควรนำมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
- อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน
- ความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
- ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
หลักการคัดเลือกหลักทรัพย์เข้ากลุ่มหลักทรัพย์
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- การวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ: จำเป็นและสำคัญต่อการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทางด้านเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ควรนำมาวิเคราะห์คือ
- ภาวะเศรษฐกิจโลก
- ตัวชี้ด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
- ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
- ผลผลิตอุตสาหกรรม
- ดัชนีราคาผู้บริโภค
- ดัชนีราคาผู้ผลิต
- อัตราการว่างงาน
- อัตราดอกเบี้ยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
- ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน
- นโยบายของรัฐ
- นโยบายการคลัง
- นโยบายการเงิน
- การวิเคราะห์ด้านการเมือง: การวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง และการเปลี่ยนแปลงนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ราคาสูงขึ้นหรือต่ำลงได้
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่อาจกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์
- การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง
- การเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาล ตลอดจนคณะรัฐมนตรี
- ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล
- การเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
- การที่รัฐบาลให้การสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
- การวิเคราะห์อุตสาหกรรม: การวิเคราะห์การแข่งขันในอุตสาหกรรม รวมถึงการวิเคราะห์โอกาสในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ 4 ส่วน ดังนี้
3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างวัฏจักรเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม: การจำแนกประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะของการเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- อุตสาหกรรมที่เติบโตสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ
- อุตสาหกรรมที่เติบโตในระดับเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ
- อุตสาหกรรมที่ไม่ตกต่ำตามภาวะเศรษฐกิจ
3.2 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจและการเลือกอุตสาหกรรม ได้แก่
- ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์: การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรที่กระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ
- ปัจจัยด้านวิถีการดำเนินชีวิต: วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงย่อยมีผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจ
- ปัจจัยด้านเทคโนโลยี: การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีจะส่งผลอย่างมากต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ
- ปัจจัยด้านการเมืองและเศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ กฎหมายหรือข้อบังคับต่าง ๆ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
3.3 การประเมินวัฏจักรของอุตสาหกรรม
ขั้น | ลักษณะ | การแข่งขัน | ยอดขาย | กำไร | ตัวอย่างอุตสาหกรรม |
บุกเบิกหรือแนะนำตลาด | ใช้เวลาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ | คู่แข่งขันมีน้อยราย | เติบโตค่อนข้างช้า | ค่อนข้างต่ำ | พันธุวิศวกรรม นาโนเทคโลยี |
ขยายตัวหรือเติบโต | ผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มเป็นที่ยอมรับ | คู่แข่งขันเริ่มเข้ามาในตลาด | เติบโตอย่างรวดเร็ว | สูงมากขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยลดลง | ไมโครคอมพิวเตอร์ มือถือ |
เติบโตเต็มที่/คงตัว | มีการขยายกิจการไปมาก | การแข่งขันสูง | เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง | มีแนวโน้มลดลง | อาหารและเครื่องดื่ม |
ถดถอย | เริ่มมีผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาทดแทน | การแข่งขันสูง | ต่ำลงเรื่อย ๆ | ลดลง | โทรทัศน์อนาล็อก เครื่องแฟกซ์ |
3.4 การวิเคราะห์การแข่งขันในอุตสาหกรรม
ก่อนการวิเคราะห์แข่งขันในอุตสาหกรรม ผู้วิเคราะห์ต้องทราบโครงสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรม
ประเภทการแข่งขัน | จำนวนผู้ผลิต | ความแแตกต่างของผลิตภัณฑ์ | ตัวอย่างสินค้า |
การแข่งขันสมบูรณ์แบบ | มากราย การแข่งขันสูงมาก | สินค้าเหมือนกัน | สินค้าเกษตร |
การแข่งขันกึ่งสมบูรณ์ | มากราย | สินค้าแตกต่างด้านภาพลักษณ์ ใช้การโฆษณาเน้นตรายี่ห้อ | น้ำอัดลม อาหารกระป๋อง ห้างสรรพสินค้า |
ผู้ผลิตน้อยราย | น้อยราย ใช้เงินลงทุนมาก | สินค้าเหมือนกัน ผู้ผลิตรายใหญ่เป็นผู้นำด้านราคา | ปูนซีเมนต์ เหล็ก |
การผูกขาด | รายเดียว/รัฐเข้ามากำกับ | สินค้าแบบเดียว ไม่มีสินค้าทดแทนได้ | ไฟฟ้า ประปา |
เมื่อเข้าใจประเภทการแข่งขันของอุตสาหกรรมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์กลยุทธ์การแข่งขันตามแนวทางของ Michael E. Porter โดยวิเคราะห์ปัจจัยที่กำหนดสถานการณ์การแข่งขันของกิจการในอุตสาหกรรม 5 ปัจจัย ได้แก่
- การแข่งขันระหว่างคู่แข่งขันที่มีอยู่ในปัจจุบัน
- อุปสรรคต่อการเข้ามาของคู่แข่งขันรายใหม่
- แรงกดดันจากสินค้าทดแทน
- อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ
- อำนาจต่อรองของผู้ขาย
- การวิเคราะห์บริษัท
ก่อนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ ผู้วิเคราะห์ทราบลักษณะของกิจการ
- กิจการและหุ้นที่มีการเติบโตสูง
- กิจการและหุ้นที่ไม่ตกต่ำตามสภาวะเศรษฐกิจ
- กิจการและหุ้นที่มีความผันผวนสูง
- กิจการและหุ้นเพื่อการเก็งกำไร
เมื่อจำแนกประเภทหุ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ
- การวิเคราะห์บริษัทเชิงคุณภาพ หมายถึง การวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นข้อความในลักษณะเชิงบรรยายที่เกี่ยวข้องกับบริษัท แหล่งข้อมูลสำคัญ ได้แก่ รายงานประจำปีของบริษัทหรือข้อมูลที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ ข้อควรระวัง บริษัทอาจให้ข้อมูลเชิงโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์เกินจริง
- การวิเคราะห์บริษัทเชิงปริมาณ หมายถึง การวิเคราะห์ข้อมูลที่วัดได้เป็นตัวเลข ซึ่งโดยทั่วไปจะมาจากงบการเงินของบริษัท รวมถึงส่วนประกอบของงบการเงิน เพื่อประเมินถึงฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทว่ายังมีสถานะที่มั่นคงดีอยู่หรือไม่
การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
- วิธีแบบล่างขึ้นบน: วิเคราะห์บริษัท > อุตสาหกรรม > การเมือง > เศรษฐกิจ
- วิธีแบบบนลงล่าง: เศรษฐกิจ > การเมือง > อุตสาหกรรม > บริษัท
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค
แนวคิดพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการซื้อและปริมาณความต้องการขายหลักทรัพย์นั้น ซึ่งปริมาณความต้องการดังกล่าวถูกกำหนดโดยปัจจัยหลากหลายชนิด ตั้งแต่ข้อมูลทางสถิติ จิตวิทยาการลงทุน ความเชื่อ ฯลฯ ตลาดจะใช้ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ประกอบกันเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์
เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม
- เส้นแนวโน้ม (Trend Line): แนวโน้มจะไม่เปลี่ยนทิศทางจนกว่าจะมีปัจจัยใด ๆ มาส่งผลให้หุ้นเปลี่ยนทิศทาง แนวโน้มมี 3 แบบ คือ
- แนวโน้มขาขึ้น
- แนวโน้มขาลง
- แนวโน้มคงที่
- เส้นแนวทาง (Channel Line): เกิดจากการลากเส้นขนานกับเส้นแนวโน้ม
- แนวรับ (Support Line) และแนวต้าน (Resistance Line)
- แนวรับ หมายถึง ระดับราคาต่ำสุดของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ
- แนวต้าน หมายถึง ระดับราคาสูงสุดของตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ เป็นระดับที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวจนถึงระดับที่จูงใจให้เกิดอุปทานมากขึ้น ราคาหุ้นจะลดลง
- รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา (Price Pattern) หมายถึง การก่อตัวของราคาหุ้นจนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกได้ว่า หุ้นกำลังจะขึ้นหรือลง ได้แก่
- รูปแบบราคาบอกความต่อเนื่องตามแนวโน้มเดิม หมายถึง หากราคาหุ้นมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เมื่อพบรูปแบบลักษณะนี้ ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามแนวโน้มต่อไป
- รูปแบบการเปลี่ยนแนวโน้มใหญ่ หมายถึง การกลับตัวของราคาหุ้น เมื่อพบรูปแบบลักษณะนี้ ราคาจะเปลี่ยนทิศทางจากแนวโน้มปัจจุบัน
- เครื่องชี้วัดการเคลื่อนไหวของราคา (Oscillator) แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
- กลุ่มที่ 1: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง/แยกทาง (MACD)
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA): คำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิตโดยไม่ถ่วงน้ำหนัก
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยกกำลัง (EMA): คำนวณโดยถ่วงน้ำหนัก ให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันที่สุด
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนัก (WMA): คำนวณโดยถ่วงน้ำหนัก โดยให้วันล่าสุดมีน้ำหนักมากกว่าวันก่อนหน้า
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบปรับให้ง่ายขึ้น (MMA): คำนวณโดยปรับสูตรให้คำนวณง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง/แยกทาง (MACD): ใช้วิเคราะห์ตลาดว่าเคลื่อนตัวไปในทิศทางขาขึ้นหรือขาลง
- กลุ่มที่ 2: ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) ใช้วัดความแข็งแกร่งของราคาหุ้น หาจากค่าเฉลี่ยของราคาปิดที่เป็นบวกหรือลบ
- กลุ่มที่ 3 Momentum ใช้วิเคราะห์หุ้นระยะสั้น โดยคำนวณจากค่าความแตกต่างของราคาปิดปัจจุบันเทียบกับราคาปิดที่ผ่านมาจำนวน X วัน แล้วนำค่าส่วนต่างนั้นมาบันทึกบนเส้นกราฟ ซึ่งจะมีเส้นศูนย์กลางที่จะแบ่งส่วนที่เป็นค่าบวกและส่วนที่เป็นค่าลบ
- กลุ่มที่ 4 Stochastic Oscillator: ดัชนีที่แสดงความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายกับราคาปิด เป็นเครื่องมือที่ใช้คาดการณ์แนวโน้มระยะสั้นมาก
- ทฤษฎีคลื่นของอีเลียต (Elliott Wave Theory): การปรับตัวขึ้นลงของราคาหลักทรัพย์เปรียบเสมือนกับการปรับตัวของคลื่น คลื่นของอีเลียตประกอบด้วยคลื่นส่งและคลื่นรับ
การวิเคราะห์การเงินเชิงพฤติกรรม
การวิเคราะห์การเงินเชิงพฤติกรรม หมายถึง การวิเคราะห์โดยนำเอาแนวคิดทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจลงทุน ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า การลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดเกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผลของผู้ลงทุน ได้แก่
- อุปนิสัยส่วนตัว
- ความคุ้นเคย
- ความมั่นใจในตนเองมากเกินไป
- ความเสียใจ
- ความภูมิใจ
- ความกลัว
- ความโลภ
การบริหารความเสี่ยงกลุ่มหลักทรัพย์เบื้องต้น
การบริหารความเสี่ยงเป็นกระบวนการเพื่อระบุเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจจะกระทบต่อกิจการในทางลบ จากนั้น ประเมินค่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แล้วจึงวางแผนเพื่อการลดโอกาสของการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่าง ๆ และดำเนินการลดความเสียหายเหล่านั้น
การวิเคราะห์ความเสี่ยงกลุ่มหลักทรัพย์
วิธีหาค่าความแปรปรวนร่วม
ค่าความแปรปรวนร่วมแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ 2 ชนิดว่ามีทิศทางและระดับความผันผวนของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ทั้งสองชนิดไปในทิศทางใด
- หากค่าความแปรปรวนร่วมเป็นบวก อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์คู่นั้นมีทิศทางเดียวกัน
- หากค่าความแปรปรวมร่วมเป็นลบ อัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์คู่นั้นมีทิศทางตรงกันข้าม
วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
เนื่องจากการตีความค่าความแปรปรวมร่วมนั้นมีค่ามากหรือค่าน้อยอาจทำได้ยาก ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงนิยมใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ซึ่งเป็นค่าที่สามารถบ่งชี้ทิศทางและระดับความผันผวนของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์แต่ละคู่ได้ โดย
- หากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นบวก: ถ้าหลักทรัพย์ A มีผลตอบแทนเป็นบวก ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ B มีแนวโน้มเป็นบวก
- หากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็นลบ: ถ้าหลักทรัพย์ A มีผลตอบแทนเป็นบวก ผลตอบแทนของหลักทรัพย์ B มีแนวโน้มเป็นลบ
- หากค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็น 0: หลักทรัพย์ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กัน
กรอบแนวทางการบริหารความเสี่ยงกลุ่มหลักทรัพย์
- ขั้นตอนการจัดการบริหารความเสี่ยงกลุ่มหลักทรัพย์
ขั้นที่ 1: การพิจารณาสิ่งแวดล้อมภายในว่ากลุ่มหลักทรัพย์ลงทุนจะเผชิญความเสี่ยงในด้านใดบ้าง ควรชั่งน้ำหนักระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยง
ขั้นที่ 2: การกำหนดเป้าหมายของการลงทุนและกำหนดวัตถุประสงค์การจัดการบริหารความเสี่ยงอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม วัดได้และมีเงื่อนเวลาประกอบ
ขั้นที่ 3: การระบุเหตุปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มหลักทรัพย์ ที่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังต่างไปจากเป้าหมายและวัตถุประสงค์
ขั้นที่ 4: การประเมินความสำคัญของความเสี่ยง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ว่าบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้หรือไม่
ขั้นที่ 5: การจัดการกับความเสี่ยง ซึ่งสามารถทำได้ 4 ทางเลือก
- หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสี่ยง
- กระจายความเสี่ยงไปยังหลายส่วน
- ระวังดูแลเพื่อลดโอกาสของการเกิดความเสี่ยง
- ยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นนั้น ๆ
ขั้นที่ 6: การควบคุมความเสี่ยง
ขั้นที่ 7: การสื่อสารให้ข้อมูลระหว่างผู้บริหารกลุ่มหลักทรัพย์กับผู้ลงทุน และฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้รับข้อมูล เข้าใจบทบาทของตนในผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ขั้นที่ 8: การติดตามผลการดำเนินงาน โดยสอดส่องว่า ระดับความเสี่ยงที่จัดการนั้นไปเป็นตามแผนที่วางไว้หรือไม่
- แนวทางการบริหารความเสี่ยงกลุ่มหลักทรัพย์
- การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน
- การคัดเลือกหลักทรัพย์รายตัว
- การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA)
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการสร้างกลุ่มหลักทรัพย์
- สัดส่วนและขนาดของแต่ละหลักทรัพย์
- สภาพคล่องของหลักทรัพย์ในกลุ่มหลักทรัพย์
- สภาวะตลาดและระยะเวลาในการลงทุน
- ภาษีที่เกี่ยวข้อง
- หลักเกณฑ์และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 5 การติดตามประเมินผลและปรับกลุ่มหลักทรัพย์
การประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์
การประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ หมายถึง การวัดผลการดำเนินงานว่ากลุ่มหลักทรัพย์ที่ผู้บริหารกลุ่มหลักทรัพย์ได้สร้างขึ้นมานั้นมีผลการดำเนินงานตามเป้าหมายเพียงใด และมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ
- แบบสัมบูรณ์: การมุ่งหวังให้ผลตอบแทนมีค่าเป็นบวกตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยไม่คำนึงถึงสภาวะตลาด
- แบบเปรียบเทียบ: การนำค่ามาตรฐานเปรียบเทียบมาเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ ว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ดีกว่าหรือด้อยกว่าค่ามาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบ
การคัดเลือกค่ามาตรฐานเปรียบเทียบในการประเมินผลการดำเนินงาน
การคัดเลือกค่ามาตรฐานเปรียบเทียบในการประเมินผลการดำเนินงานสามารถแยกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่
ประเภทของค่ามาตรฐานเปรียบเทียบ
กรณีกลุ่มหลักทรัพย์ตราสารทุน: สามารถเลือกจาก
- กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะคล้ายกัน อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- กลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนีอ้างอิง
- กลุ่มบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาด
กรณีกลุ่มหลักทรัพย์ตราสารหนี้: ดัชนีตลาดตราสารหนี้
กรณีกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศ: ดัชนีที่สอดคล้องกับหลักทรัพย์ที่กลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศ
คุณสมบัติของค่ามาตรฐานเปรียบเทียบ
- ค่ามาตรฐานเปรียบเทียบที่ใช้ ต้องเป็นตัวชี้วัดประเภทหลักทรัพย์แบบเดียวกัน หรือเป็นหลักทรัพย์ทางการเงินที่กลุ่มหลักทรัพย์ได้ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทเดียวกัน เพื่อให้การประเมินค่าวัดผลมาจากแหล่งอ้างอิงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในหลักทรัพย์ประเภทเดียวกัน
- การเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ต้องเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับค่ามาตรฐานเปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน
- ค่ามาตรฐานเปรียบเทียบควรมีความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์ที่จะนำใช้เป็นตัวอ้างอิงชี้วัดในระดับความเสี่ยงที่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ต้องการประเมิน
- ค่ามาตรฐานเปรียบเทียบแบบผสมต้องคำนวณจากน้ำหนักหรือสัดส่วนการลงทุนตามประเภทหลักทรัพย์ ตามวัตถุประสงค์การลงทุน นโยบายการลงทุนและกลยุทธ์ของกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุน
การคำนวณอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์
- Holding Period Return: อัตราผลตอบแทนต่อ 1 งวดระยะเวลา โดยไม่ได้จำกัดว่างวดระยะเวลามีเวลานานเท่าใด แต่ทั้งนี้ แต่ละงวดต้องมีช่วงเวลาที่เท่า ๆ กัน
- Time-weighted Rate of Return: การคำนวณหาอัตราผลตอบแทนด้วยค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักด้วยงวดเวลาเป็นค่าเฉลี่ยที่คำนวณจากอัตราผลตอบแทนรายงวด แล้วเฉลี่ยต่องวดด้วยจำนวนงวด การคำนวณด้วยงวดเวลามี 2 วิธี คือ
- ค่าเฉลี่ยเลขคณิต: กระแสเงินสดรับไม่มีการลงทุนต่อ
- ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต: กระแสเงินสดรับมีการลงทุนต่อ
- Money-weighted Rate of Return: การคำนวณหาค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนแบบที่ใช้การคิดลดกระแสเงินสดที่อัตราผลตอบแทนทบต้น ในแต่ละงวดถูกถ่วงน้ำหนักด้วยกระแสเงินสดในงวดนั้น
- Annualized Rate of Return: การปรับค่าผลตอบแทนที่อาจน้อยกว่าหรือมากกว่า 1 ปี ให้มีค่าเป็นอัตราผลตอบแทนรายปี
การวิเคราะห์องค์ประกอบของผลตอบแทน
การวิเคราะห์องค์ประกอบของผลตอบแทน หมายถึง การวิเคราะห์ความแตกต่างของผลตอบแทนที่เบี่ยงเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งควรวิเคราะห์ว่าผลตอบแทนที่เบี่ยงเบนไปจากเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดว่าเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานด้านใด ใน 3 ด้านต่อไปนี้
- ความสามารถในจัดสรรเงินลงทุน
- ความสามารถในการคัดเลือกหลักทรัพย์
- ความสามารถในการจับจังหวะการลงทุน
การประเมินประสิทธิภาพการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์เบื้องต้น
- Sharpe Ratio: เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงแล้วเช่นกัน
- Treynor Ratio: เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงที่ปรับด้วยค่าความเสี่ยงแล้ว
- Jensen’s Alpha: วัดผลตอบแทนที่เกิดขึ้นหรืออัตราผลตอบแทนในช่วงเวลาหนึ่งของกลุ่มหลักทรัพย์ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ผลการดำเนินงานที่ควรเป็น ซึ่งคำนวณโดยอาศัยแนวคิดของตัวแบบการตั้งราคาหลักทรัพย์ (CAPM)
- Appraisal Ratio และ Information Ratio
- Appraisal Ratio: แสดงถึงอัตราผลตอบแทนส่วนเกินปกติต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยงที่สามารถขจัดออกไปได้โดยการกระจายการลงทุน
- Information Ratio: แสดงความสามารถของผู้จัดการลงทุนในการสร้างผลตอบแทนกับความเสี่ยง
- Tracking Error: ความเสี่ยงที่ผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุนจะเบี่ยงเบนไปจากค่ามาตรฐานเปรียบเทียบ
การติดตามและปรับปรุงกลุ่มหลักทรัพย์
แนวทางการปรับปรุงกลุ่มหลักทรัพย์
- แนวทางอันเนื่องจากการติดตามวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์
- แนวทางอันเนื่องมาจากการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง อันจะเกิดผลกระทบต่อพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์
- แนวทางอันเนื่องมาจากโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า
- แนวทางอันเนื่องมาจากการทบทวนการวิเคราะห์หุ้นอย่างถี่ถ้วน
- แนวทางอันเนื่องมาจากความตื่นตระหนกของตลาด
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการปรับปรุงหลักทรัพย์
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้ลงทุน
- ผู้ลงทุนที่ไม่เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ: มักใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก โดยมุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และขายหลักทรัพย์ที่มีราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
- ผู้ลงทุนเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ: มักใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับที่ออกแบบกลุ่มหลักทรัพย์ให้มีจำนวนและสัดส่วนการลงทุน ใกล้เคียงกับกลุ่มหลักทรัพย์ตลาดที่ถูกนำมาใช้เป็นค่ามาตรฐานเปรียบเทียบ
ปัจจัยเกี่ยวข้องกับสภาวะตลาดการลงทุน
- วิธีการปรับกลุ่มหลักทรัพย์ในตลาดขาขึ้น: ซื้อหุ้นที่ราคาถูกและขายหุ้นที่ราคาแพง
- วิธีการปรับกลุ่มหลักทรัพย์ในตลาดขาลง: ขายหุ้นโดยเปรียบเทียบมูลค่าที่แท้จริงกับราคาตลาดของหุ้น ณ ขณะนั้นเป็นหลัก
การปรับสมดุลกลุ่มหลักทรัพย์
การปรับสมดุลของกลุ่มหลักทรัพย์ หมายถึง การปรับสมดุลของสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิม ตามแผนการลงทุนเดิมตั้งแต่ต้น
ความสำคัญของการปรับสมดุลกลุ่มหลักทรัพย์
- ผู้บริหารกลุ่มหลักทรัพย์: ช่วยให้ผู้จัดการกลุ่มหลักทรัพย์มีการลงทุนตามสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
- ผู้ลงทุนที่ซื้อกลุ่มหลักทรัพย์: เปิดโอกาสให้กับผู้ลงทุนที่ซื้อกองทุนไว้หลายกองทุนสามารถตรวจสอบกองทุนที่ลงทุนไว้
แนวทางการปรับสมดุลกลุ่มหลักทรัพย์
ขั้นตอนที่ 1: กำหนดจัดสรรสินทรัพย์เป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าพารามิเตอร์ของการปรับสมดุล
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบการจัดสรรสินทรัพย์ในช่วงเวลาปกติ
ขั้นตอนที่ 4: ให้ความสำคัญต่อการเสียภาษีและค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้น
ขั้นตอนที่ 5: การนำเงินลงทุนเพิ่มเพื่อปรับสมดุล
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการปรับสมดุลกลุ่มหลักทรัพย์
- สัดส่วนถ่วงน้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละประเภท
- ผลตอบแทนที่ได้รับจากการปรับสมดุล
- ความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์จากการปรับสมดุล
- ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ต่าง ๆ
- ค่าภาษีที่เกี่ยวข้อง
- ความถี่ของการปรับสมดุล
- การมีวินัยในการลงทุน
บทที่ 6 การจัดทำนโยบายการลงทุนและกรณีศึกษา
ความสำคัญของนโยบายการลงทุน
- นโยบายการลงทุนเปรียบเสมือนแผนที่นำทาง ที่ช่วยสร้างความพร้อมให้แก่นักลงทุน
- นโยบายการลงทุนเป็นหลักในการยึดถือปฏิบัติของนักลงทุน นโยบายการลงทุนช่วยให้กระบวนการลงทุนมีวินัยมากขึ้น
- นโยบายการลงทุนเป็นแนวทางในการวัดผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ได้ลงทุน ว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด
แนวทางการจัดทำนโยบายการลงทุน
- เก็บรวบรวมข้อมูล โดยนักลงทุนต้องพยายามระบุเป้าหมายในการลงทุน ปัจจัยส่วนบุคคลของตนตลอดจนข้อจำกัดต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนออกมาให้ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- นำปัจจัยดังกล่าวมาใช้ในการจัดทำนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองโดยต้องทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
- หากสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง นโยบายการลงทุนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
องค์ประกอบของนโยบายการลงทุน
- รายละเอียดของนักลงทุน
- กรณีผู้ลงทุนบุคคลจะประกอบด้วย ชื่อและนามสกุลของผู้ลงทุน อายุ สถานภาพ รายได้ต่อเดือน และชื่อของที่ปรึกษาทางการเงิน (ถ้ามี)
- กรณีที่เป็นนักลงทุนสถาบันจะประกอบด้วย ชื่อขององค์กรหรือกองทุน ประเภทขององค์กรหรือกองทุน และชื่อที่ปรึกษาทางการเงินหรือผู้จัดการกองทุน เป็นต้น
- บทสรุปผู้บริหาร บอกให้ทราบถึงภาพรวมของสถานะการเงินในปัจจุบัน เหตุผลหรือความจำเป็นในการตัดสินใจลงทุน และสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังจากการจัดสรรเงินลงทุน
- เป้าหมายและข้อจำกัดในการลงทุน สิ่งที่นักลงทุนคาดหวังจากการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ภายใต้ระยะเวลาการลงทุนที่ชัดเจน และข้อจำกัดที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุน
- แนวทางในการจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนหรือลูกค้า และแนวทางการลงทุน
- แนวทางการควบคุมและวัดผลการดำเนินงาน แสดงให้เห็นถึงหลักในการทบทวนผลการลงทุน การพิจารณาขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นที่ต้องการออกจากกลุ่มหลักทรัพย์ลงทุน และวิธีการวัดผลการดำเนินงาน
บทความนี้เป็นแค่สรุปหนังสือ หากคุณต้องการอ่านฉบับเต็ม คุณสามารถสั่งซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์