การวิเคราะห์การลงทุนในตราสารหนี้ [ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย]

หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือของกลุ่มวิชาที่ 3: การวิเคราะห์หลักทรัพย์และการบริหารกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนภายใต้หลักสูตร CISA ใหม่ระดับที่ 1 (หลักสูตรการวิเคราะห์และการจัดการลงทุนขั้นพื้นฐาน)

บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตราสารหนี้และตลาดตราสารหนี้

ตราสารหนี้ (Bond/Fixed Income Securities) คือตราสารทางการเงินประเภทหนึ่งที่ให้ผู้ให้กู้ (รัฐบาลหรือภาคเอกชน) สามารถกู้ยืมเงินจากนักลงทุน โดยผู้ให้กู้มีสถานะเป็นลูกหนี้ ส่วนนักลงทุนมีสถานะเป็นเจ้าหนี้

ความแตกต่างระหว่างตราสารหนี้กับตราสารทุน

ตราสารหนี้ตราสารทุน
รูปแบบของผลตอบแทนดอกเบี้ยปันผล
สิทธิในการเรียกร้องได้รับเงินคืนก่อนตราสารทุนได้รับเงินคืนหลังตราสารหนี้
อายุการลงทุนมีอายุแน่นอนไม่มีกำหนด
ความเสี่ยงและผลตอบแทนต่ำกว่าสูงกว่า
สภาพคล่องต่ำกว่าสูงกว่า

ความสำคัญของตราสารหนี้ในตลาดการเงินและการลงทุน

  1. เป็นแหล่งรายได้ประจำ
  2. ความปลอดภัยของเงินทุน
  3. การกระจายความเสี่ยง
  4. สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้

องค์ประกอบพื้นฐานของตราสารหนี้

  1. มูลค่าหน้าตั๋ว: จำนวนเงินต้นที่ผู้ลงทุนจะได้รับคืนเมื่อมีการไถ่ถอนตราสารหนี้
  2. อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว: อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารหนี้จ่ายกับผู้ลงทุนตลอดอายุของตราสารหนี้
  3. งวดการชำระดอกเบี้ย: จำนวนครั้งของการชำระดอกเบี้ย โดยทั่วไปจะมีหน่วยเป็นปี
  4. วันครบกำหนดไถ่ถอน: วันที่ผู้ลงทุนจะไถ่ถอนตราสารหนี้
  5. ชื่อผู้ออก: ระบุชื่อลูกหนี้
  6. ข้อสัญญา: เงื่อนไขและข้อตกลงที่กำหนดให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามหรืองดเว้นการปฏิบัติ

ประเภทของตราสารหนี้

  1. แบ่งตามอายุของตราสารหนี้

1.1 ตราสารหนี้ระยะสั้น: ครบกำหนดไถ่ถอนไม่เกิน 1 ปีนับจากวันออกจำหน่าย

1.2 ตราสารหนี้ระยะยาว: ครบกำหนดไถ่ถอนเกินกว่า 1 ปีนับจากวันออกจำหน่าย

1.3 ตราสารหนี้ที่ไม่มีกำหนดไถ่ถอน: ไม่ระบุวันครบกำหนดไถ่ถอน

  1. แบ่งตามประเภทผู้ออก

2.1 ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล: ออกโดยกระทรวงการคลัง แบ่งออกเป็น

  • ตั๋วเงินคลัง: ตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี
  • พันธบัตรรัฐบาล: ตราสารหนี้ระยะยาวอายุไม่น้อยกว่า 1 ปี

2.2 หุ้นกู้เทศบาล: ออกโดยหน่วยงานราชการระดับรัฐหรือระดับท้องถิ่น แบ่งออกเป็น

  • หุ้นกู้ประเภทค้ำประกันด้วยภาษี แบ่งออกเป็น
    • ภาระหนี้ทั่วไป
    • ภาระหนี้ค้ำประกันด้วยการอนุญาตให้ก่อหนี้
    • ภาระหนี้ซึ่งมีการเพิ่มระดับเครดิต
  • หุ้นกู้รายได้: ชำระดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้ออกหุ้นกู้
  • หุ้นกู้มีการซื้อประกัน: ซื้อประกันการชำระเงินกับบริษัทประกัน เพื่อประกันการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยแก่ผู้ลงทุน
  • หุ้นกู้เตรียมชำระคืน: ค้ำประกันโดยพันธบัตรรัฐบาล โดยกระแสเงินสดที่ได้รับจากพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเพียงพอที่จะชำระคืนแก่ผู้ลงทุน
  • อนุพันธ์ทางการเงินของหุ้นกู้เทศบาล: ตราสารอนุพันธ์ที่สร้างจากหุ้นกู้เทศบาล

2.3 ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย: เครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านตลาดเงินในการจัดกาารสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

2.4 พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ แบ่งออกเป็น

  • ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง
  • ไม่ได้ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง

2.5 ตราสารหนี้ภาคเอกชน: ออกโดยบริษัทเอกชนเพื่อระดมทุนจากผู้ลงทุนในวงจำกัดหรือประชาชนทั่วไปเพื่อนำเงินไปใช้ในกิจการ

  1. แบ่งตามวิธีการชำระดอกเบี้ย

3.1 ชำระดอกเบี้ยคงที่: ชำระดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุตราสารหนี้

3.2 ชำระดอกเบี้ยลอยตัว: ชำระดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 6 เดือน หากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงมีการเปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนจะได้รับจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

3.3 ไม่ชำระดอกเบี้ย: ผู้ลงทุนซื้อตราสารหนี้ประเภทนี้ในราคาส่วนลด และรับเงินคืนตามมูลค่าหน้าตั๋ว

  1. แบ่งตามสิทธิเรียกร้อง

4.1 ตราสารหนี้ด้อยสิทธิ: ผู้ลงทุนได้รับสิทธิในการรับชำระหนี้เป็นรองจากผู้ถือตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ แต่ก่อนผู้ถือตราสารทุน

4.2 ตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ: ผู้ลงทุนได้รับสิทธิในการรับชำระหนี้ก่อนผู้ถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิ แต่ด้อยกว่าตราสารหนี้มีประกัน

  1. แบ่งตามการใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน

5.1 ตราสารหนี้ไม่มีหลักประกัน: สิทธิรับส่วนแบ่งจากการขายสินทรัพย์ที่เหลือจากสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน โดยจะได้รับคืนจากสัดส่วนและตามลำดับในการเรียกร้องสิทธิเท่านั้น

5.2 ตราสารหนี้มีหลักประกัน: ผู้ถือตราสารหนี้ประเภทนี้จะมีสิทธิเหนือหลักทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน หากขายหลักประกันแล้วยังไม่เพียงพอ ผู้ถือตราสารหนี้จะถูกปรับสิทธิเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน

5.3 ตราสารหนี้มีการค้ำประกัน: ค้ำประกันโดยบริษัท องค์กรหรือบุคคลที่สาม โดยผู้ค้ำประกันจะจ่ายหนี้แทนผู้ออกตราสารหนี้หากไม่สามารถชำระหนี้หรือดอกเบี้ยในระยะเวลาที่กำหนด

  1. แบ่งตามชนิดของสิทธิแฝง

6.1 ตราสารหนี้ปราศจากสิทธิแฝง

6.2 ตราสารหนี้มีสิทธิแฝง เช่น

  • หุ้นกู้แปลงสภาพ: หุ้นกู้ที่ให้สิทธิในการแปลงสภาพจากหุ้นกู้เป็นหลักทรัพย์อื่น
  • หุ้นกู้ซึ่งกำหนดเงินเพื่อไถ่ถอน: ผู้ออกหุ้นกู้แบ่งเงินจำนวนหนึ่งในแต่ละปีเพื่อการไถ่ถอนหุ้นกู้
  • ตราสารหนี้ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนด
  • ตราสารหนี้ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนได้ก่อนกำหนด
  • ตราสารหนี้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน: สินทรัพย์ที่ถูกแปลงมาเป็นตราสารหนี้ เช่น ตราสารที่มีการจดจำนองรองรับ (MBS) ที่นำลูกหนี้สินเชื่อจดจำนองอสังหามารองรับในการออกตราสาร
  1. แบ่งตามวิธีการชำระเงินต้น

7.1 ชำระคืนมูลค่าหน้าตั๋วครั้งเดียว ณ วันครบกำหนดไถ่ถอน

7.2 ทยอยชำระคืนมูลค่าหน้าตั๋ว

  1. แบ่งตามลักษณะอื่น ๆ

8.1 ตราสารหนี้ชนิดชำระดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับตัวแปรอ้างอิง: คล้ายกับตราสารหนี้ประเภทชำระดอกเบี้ยลอยตัวแต่อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรอ้างอิงแทนที่จะเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

8.2 หุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศ แบ่งออกเป็น

  • หุ้นกู้ต่างประเทศ: หุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ โดยสกุลเงินของหุ้นกู้เป็นสกุลเงินของประเทศที่ไปจำหน่าย
  • บาทบอนด์: ตราสารหนี้ต่างประเทศที่ออกโดยภาครัฐหรือภาคเอกชนต่างประเทศมาจำหน่ายในไทยเป็นสกุลเงินบาท
  • หุ้นกู้ยูโร: หุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศที่ออกจำหน่ายในต่างประเทศ โดยสกุลเงินของหุ้นกู้เป็นคนละสกุลเงินของสกุลเงินของประเทศที่ไปจำหน่าย
  • FX Bond: หุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายในไทยในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ

8.3 พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ: ตราสารหนี้ภาครัฐที่ผูกกระแสเงินสดที่จะจ่ายในรูปเงิน, ดอกเบี้ยจ่ายและมูลค่าหน้าตั๋วเข้ากับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงในอนาคตของประเทศ

8.4 ตราสารศุกูก: ตราสารทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่อยู่ในรูปของดอกเบี้ย, ไม่เกี่ยวพันกับธุรกิจต้องห้ามและผลตอบแทนจากการลงทุนมาจากการมีส่วนร่วมในธุรกรรมและรับความเสี่ยงร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักชาริอะห์ของศาสนาอิสลาม

8.5 หุ้นกู้ที่เลื่อนการชำระดอกเบี้ย: หุ้นกู้ที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ยในระยะที่มีการเลื่อนการชำระดอกเบี้ย และจะเกิดการชำระดอกเบี้ยที่เลื่อนออกไปพร้อมกัน

8.6 หุ้นกู้หลายประเภทที่มีการออกพร้อมกัน: หุ้นกู้ที่ผู้ออกหุ้นกู้มีการกำหนดหุ้นกู้เป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะของหุ้นกู้ เช่น กำหนดไถ่ถอนและ/หรืออัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน

8.7 หุ้นกู้ที่ไม่ชำระด้วยตัวเงิน: หุ้นกู้ที่ชำระดอกเบี้ยแก่ผู้ถือหุ้นกู้ด้วยตราสารอื่น เช่น หุ้นกู้

8.8 หุ้นกู้สองสกุลเงิน: หุ้นกู้ที่มีการชำระดอกเบี้ยในสกุลเงินหนึ่ง แต่จ่ายคืนในอีกสกุลเงินหนึ่ง

ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้

บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตราสารหนี้

กระทรวงการคลัง: ออกตราสารหนี้หลักที่มีมูลค่ามากที่สุดในตราสารหนี้โดยดำเนินการผ่านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

ธนาคารแห่งประเทศไทย: ออกพันธบัตรเพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่องโดยดำเนินการผ่านตลาดเงิน

รัฐวิสาหกิจ: ออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการต่าง ๆ หรือนำเงินทุนไปใช้จ่ายในการดำเนินงานตามโครงการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจ

บริษัทเอกชน: นิติบุคคลที่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนจากผู้ลงทุนและประชาชนทั่วไปเพื่อใช้ในการลงทุนหรือเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท

ผู้ค้าตราสารหนี้: สถาบันการเงินที่ได้รับใบอนุญาตค้าหลักทรัพย์หรือจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อันเป็นตราสารแห่งหนี้

นายหน้าค้าตราสารหนี้: บริษัทที่ประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายตราสารหนี้ให้แก่บุคคลที่ต้องการจะซื้อหรือขายตราสารหนี้ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานก.ล.ต.

ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์: บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์จากสำนักงานก.ล.ต.

ที่ปรึกษาทางการเงิน: สถาบันการเงินที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานก.ล.ต. ในการให้บริการเกี่ยวกับคำปรึกษา ความเห็นและการจัดเตรียมเอกสารข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำเสนอต่อสำนักงานก.ล.ต., ตลาดหลักทรัพย์, ผู้ถือหุ้นกู้และประชาชนทั่วไป

ผู้ลงทุน แบ่งออกเป็น

  • ผู้ลงทุนรายบุคคล: ผู้ลงทุนรายบุคคลที่ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยตนเอง
  • ผู้ลงทุนสถาบัน: กลุ่มผู้ลงทุนหลักทั้งในตลาดหลักและตลาดรอง

หน่วยงานกำกับดูแล

  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
  • กระทรวงการคลัง
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

องค์กรและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ

  • สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
  • นายทะเบียน
  • ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้
  • ผู้รับฝากทรัพย์สิน

ภาพรวมของตลาดแรกของตราสารหนี้

การซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดแรกจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ออกตราสารหนี้ซึ่งต้องการระดมทุน ทำการขายตราสารหนี้ให้แก่ผู้ลงทุนในตลาดเป็นครั้งแรก

ภาพรวมของตลาดรองของตราสารหนี้

ตลาดรองของตราสารหนี้คือตลาดที่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการซื้อขายตราสารหนี้หลังจากได้มีการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดแรกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลาดรองของตราสารหนี้ในไทยประกอบด้วย

  • ตลาดซื้อขายตราสารหนี้ลักษณะติดต่อกันเอง แบ่งออกเป็น
    • การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้
    • การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ลงทุนสถาบัน
  • ตลาดซื้อคืนตราสารหนี้: ผู้ขายหลักทรัพย์ตกลงขายหลักทรัพย์ให้กับผู้ซื้อหลักทรัพย์ โดยมีสัญญาว่าจะซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวกลับคืนตามวันเวลาและราคาตกลงกันไว้

ภาษีที่เกี่ยวข้องการลงทุนในตราสารหนี้

  • กำไรจากการขายตราสารหนี้: หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% หากมีกำไร
  • ดอกเบี้ยที่ได้รับ: หักภาษี ณ ที่จ่าย 15%
  • เงินได้จากส่วนลดจากการซื้อตราสารหนี้ หรือผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจำหน่าย: หักภาษี ณ ที่จ่าย 15%

บทที่ 2 ผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้

ประเภทและองค์ประกอบของผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้

ผลตอบแทนการลงทุนตราสารหนี้พื้นฐานที่มีการจ่ายดอกเบี้ยสามารถแบ่งออกเป็น

  • ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
  • ผลตอบแทนจากกำไรหรือจากการเปลี่ยนแปลงราคา
  • ผลตอบแทนจากการนำเงินไปลงทุนต่อ

ผลตอบแทนการลงทุนตราสารหนี้ที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ยสามารถแยกเป็นสองกรณีคือ

  • กรณีตราสารหนี้ที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ย ซึ่งมีอายุมากกว่า 1 ปี
  • กรณีตราสารหนี้ที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ย ซึ่งมีอายุไม่เกิน 1 ปี จะคำนวณราคาโดยใช้อัตราคิดลดด้วยแบบเดียวกับการจ่ายดอกเบี้ยของธนาคาร

การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้: ตราสารหนี้ทั่วไป

  1. อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน (Current Yield)
  2. อัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบไถ่ถอนหรือครบกำหนดอายุ (Yield to Maturity)
  3. อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ย (Yield on Zero-coupon Bond)
  4. อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไม่มีการชำระดอกเบี้ย (Yield on Short-term Zero-coupon Bond)
  5. อัตราผลตอบแทนกระแสเงินสด (Cash Flow Yield)

การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้: ตราสารหนี้ที่มีออปชันแฝง

  1. อัตราผลตอบแทนกรณีที่ผู้ออกไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (Yield to Call)
  2. อัตราผลตอบแทนกรณีที่ผู้ถือไถ่ถอนก่อนครบกำหนด (Yield to Put)
  3. อัตราผลตอบแทนกรณีต่ำสุด (Yield to Worst)

ความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้

  1. ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
  2. ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ
  3. ความเสี่ยงจากเส้นอัตราผลตอบแทน
  4. ความเสี่ยงด้านเครดิต
  5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
  6. ความเสี่ยงจากเหตุการณ์
  7. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
  8. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
  9. ความเสี่ยงจากการมีออปชันแฝง
  10. ความเสี่ยงจากการชำระคืนเงินต้นก่อนกำหนด

บทที่ 3 การประเมินมูลค่าหนี้ที่ไม่มีสิทธิแฝง

หาก

มูลค่าที่เหมาะสม > มูลค่าตลาด = ตัดสินใจซื้อ

มูลค่าที่เหมาะสม < มูลค่าตลาด = ตัดสินใจขาย

แนวคิดพื้นฐานเพื่อประเมินมูลค่าตราสารหนี้

แนวคิดของมูลค่าเงินตามเวลา: มูลค่าของเงินเมื่อวัด ณ จุดของเวลาที่แตกต่างกันทำให้มูลค่าเงินนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมูลค่าที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลานั้นเรียกว่า “มูลค่าเงินตามเวลา”

แนวคิดของอัตราผลตอบแทน: อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประกอบด้วย

  • ผลตอบแทนชดเชยเวลาหรือโอกาสของเงินที่สูญเสียไป
  • ผลตอบแทนเพื่อชดเชยกับความเสี่ยง

กระบวนการประเมินมูลค่าหนี้

การประเมินมูลค่าตราสารหนี้คือการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตทั้งหมด โดยประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. การประมาณการกระแสเงินสด
  2. การกำหนดอัตราคิดลดหรืออัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
  3. การคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดตามข้อ 1 ด้วยอัตราคิดลดในข้อ 2

การประเมินมูลค่าตราสารหนี้: แนวทางทั่วไป

  1. ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ปีละ 1 ครั้ง
  2. ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่มากกว่าปีละ 1 ครั้ง
  3. ตราสารหนี้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย
  4. ตราสารหนี้ที่ทยอยชำระดอกเบี้ยและเงินต้นตลอดอายุตราสารหนี้
  5. ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยแบบลอยตัว
  6. ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยแบบขั้นบันได

การประเมินมูลค่ากรณีที่วันคำนวณไม่ตรงกับวันที่จ่ายดอกเบี้ย

  1. การคำนวณดอกเบี้ยค้างรับ
  2. การคำนวณราคารวมดอกเบี้ยค้างรับ (Dirty Price) และราคาไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ (Clean Price)
  3. ข้อมูลสำคัญของตราสารหนี้เพื่อการประเมินมูลค่า

การประเมินมูลค่า: แนวทางปราศจากอาร์บิทราจ

การประเมินมูลค่าแบบพื้นฐาน

การประเมินมูลค่าที่อาศัยหลักการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคตของตราสารหนี้ให้เป็นมูลค่าปัจจุบันที่เหมาะสมด้วยอัตราคิดลดเดียวตลอดอายุของตราสารหนี้

กฎสินทรัพย์ราคาเดียวกันและกำไรอาร์บิทราจ

หลักการสำคัญทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าตามทฤษฎีของตราสารหนี้คือตลาดมีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และมีการกระจายข่าวสารกันทั่วถึง ราคาสินทรัพย์จะเป็นราคาที่ไม่มีโอกาสการได้กำไรที่ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งเรียกว่า “กำไรอาร์บิทราจ”

การทำกำไรที่ไม่มีความเสี่ยงมีหลายวิธีแต่วิธีที่พบบ่อยได้คือการทำกำไรจากการที่ราคาของสินทรัพย์ไม่สอดคล้องกับราคาตามกฎสินทรัพย์ราคาเดียวกัน 

สาระสำคัญของกฎนี้คือ สินทรัพย์เดียวกันหรือสินทรัพย์ที่มีลักษณะเดียวกันนั้นไม่ว่าอยู่ที่ใดในตลาดไหนควรซื้อขายที่ราคาเดียวกัน หากสามารถซื้อขายได้โดยไม่ข้อจำกัดและไม่มีต้นทุนการซื้อหรือการขนย้ายที่ทำให้ราคาสินทรัพย์เปลี่ยนไป

การคำนวณมูลค่าโดยวิธีปราศจากอาร์บิทราจ โดยใช้เส้นอัตราผลตอบแทน: การประเมินมูลค่าแบบพื้นฐานโดยใช้ค่าที่ได้จากเส้นอัตราผลตอบแทน (Treasury Yield Curve) เป็นอัตราคิดลดเพียงค่าเดียวตลอด

การประเมินมูลค่าแบบปราศจากอาร์บิทราจ โดยใช้ Interest Rate Trees เช่น Binomial Interest Rate Tree ที่มีสมมติฐานหลักว่าอัตราดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงตามรูปแบบไบโนเมียล ซึ่งขึ้นอยู่กับความแปรปรวนของแต่ละช่วงเวลา และอัตราดอกเบี้ยสามารถเปลี่ยนแปลงในสองทิศทาง – เพิ่มขึ้นหรือลดลง

การประเมินมูลค่าโดยวิธี Monte Carlo: การประเมินมูลค่าตราสารหนี้โดยกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงเป็นค่าใดก็ได้ตามแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะแต่ละแบบจำลองมีรูปแบบที่แตกต่างกัน

บทที่ 4 ผลตอบแทนและความสัมพันธ์กับราคาตราสารหนี้

อัตราผลตอบแทนและเส้นอัตราผลตอบแทน

  1. อัตราดอกเบี้ยครบกำหนดไถ่ถอน: ผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุนในตราสารหนี้เมื่อถือจนครบกำหนดไถ่ถอน การประเมินมูลค่าตามวิธีพื้นฐานนิยมใช้อัตราผลตอบแทนนี้เป็นอัตราคิดลด
  2. อัตราดอกเบี้ยสปอต: อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย
  3. อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า: ผลตอบแทนสำหรับธุรกรรมการกู้ยืมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ผู้ทำธุรกรรมได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน

องค์ประกอบของเส้นอัตราผลตอบแทน

เส้นอัตราผลตอบแทนคือเส้นที่บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนกับระยะเวลา

เส้นอัตราผลตอบแทนที่เผยแพร่และใช้อย่างกว้างขวางมี 3 ประเภท

  1. สร้างจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาครัฐ (Treasury Yield Curve)
  2. สร้างโดยการคำนวณจากตราสารหนี้ที่มีราคาซื้อขายเท่ากับพาร์ (Par Yield Curve)
  3. เส้นอัตราดอกเบี้ยสปอต (Spot Yield Curve)

ลักษณะเส้นอัตราผลตอบแทน

  1. เส้นอัตราผลตอบแทนปกติ: ลาดชันขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะปกติของเส้นอัตราผลตอบแทนที่พบได้ทั่วไป อัตราผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวมีค่าสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้น

  2. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบลาดชันลง: อัตราผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย

  3. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบแบนราบ: อัตราผลตอบแทนทุกระยะการลงทุนมีค่าไม่แตกต่างกัน

  4. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบโก่ง: โก่งขึ้นในช่วงกลางของระยะการลงทุน ทำให้ผลตอบแทนระยะกลางเป็นแบบลาดชัดขึ้นและอัตราผลตอบแทนระยะยาวเป็นแบบลาดลง

แนวคิดเกี่ยวกับเส้นอัตราผลตอบแทน

นอกจากอัตราผลตอบแทนแบบสปอตแล้ว ยังมีอัตราผลตอบแทนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ “อัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า” ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มต้นในอนาคตนับจากวันปัจจุบัน

ทฤษฎีที่อธิบายถึงการที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีรูปแบบต่างกันเรียกว่า “ทฤษฎีโครงสร้างอัตราผลตอบแทน” ซึ่งลักษณะของผลตอบแทนสามารถจำแนกได้เป็นสามกลุ่มใหญ่

  1. ทฤษฎีที่อธิบายอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าจากการคาดการณ์ของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตโดยไม่มีปัจจัยใดมาเกี่ยวข้อง
  • ทฤษฎีการคาดการณ์ของตลาดที่ไม่เบี่ยงเบน: สิ่งเดียวที่มีผลต่อรูปร่างเส้นอัตราผลตอบแทนซึ่งสะท้อนอยู่ในอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าคือ การคาดคะเนอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในอนาคตของผู้ลงทุนในอนาคต
  1. ทฤษฎีที่อธิบายอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าจากการคาดการณ์ของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตโดยมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง
  • ทฤษฎีค่าชดเชยความเสี่ยงให้กับสภาพคล่อง: ผู้ลงทุนจะลงทุนในตราสารระยะยาว ถ้าประเมินแล้วว่าจะได้รับผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวตามที่ตลาดคาดไว้ ส่วนของผลตอบแทนที่สูงขึ้นคือผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยงที่แปรผันในทางเดียวกันกับอายุการลงทุน
  • ทฤษฎีส่วนตลาดที่นิยม: ใกล้เคียงกับทฤษฎีก่อนหน้า แต่ความเสี่ยงไม่จำเป็นที่จะเพิ่มขึ้นตามอายุการลงทุนได้เพียงรูปแบบเดียว ทฤษฎีนี้ดูจะสอดคล้องกับลักษณะของเส้นโครงสร้างอัตราผลตอบแทนในโลกแห่งความเป็นจริงมากที่สุด
  1. ทฤษฎีที่อธิบายอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าโดยไม่ได้อาศัยการคาดการณ์ของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
  • ทฤษฎีการแยกส่วนตลาด: แตกต่างจากทฤษฎีส่วนตลาดที่นิยมคือ “แต่ละกลุ่มจะไม่เปลี่ยนแปลงความต้องการเพื่อแสวงกำไรอันเกิดจากความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยคาดการณ์และอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า”

การเปลี่ยนแปลงของเส้นผลตอบแทน

การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเส้นอัตราผลตอบแทนจะพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของความชันของเส้นที่เปลี่ยนไป

คำว่า “ความชัน” หมายถึงระยะห่างหรือสเปรดระหว่างผลตอบแทนระยะยาวกับผลตอบแทนระยะสั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ

  • การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วความชันมีค่าลดลง
  • การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วความชันมีค่าเพิ่มขึ้น

การเปลี่ยนแปลงเส้นอัตราผลตอบแทนสามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ

  1. การเปลี่ยนแปลงแบบขนาน: ผลตอบแทนของทุกระยะอายุการลงทุนของแต่ละตราสารหนี้เปลี่ยนแปลงไปเท่ากันไปในทิศทางเดียวกัน

  2. การเปลี่ยนแปลงแบบไม่ขนาน แบ่งออกเป็น

2.1 การเปลี่ยนแปลงแบบบิดเกลียว แบ่งออกเป็น

  • Bearish Flattening: อัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับสูงขึ้นเร็วกว่าการลดลงของอัตราผลตอบแทนะระยะยาว

  • Bearish Steepening:อัตราผลตอบแทนระยะยาวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยระยะสั้น

  • Bullish Flattening: อัตราผลตอบแทนระยะยาวเปลี่ยนแปลงลดลงเร็วกว่าอัตราผลตอบแทนระยะสั้น

  • Bullish Steepening: อัตราผลตอบแทนระยะสั้นปรับตัวลดลงเร็วกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว

2.2 การเปลี่ยนแปลงแบบผีเสื้อ: อัตราผลตอบแทนระยะสั้นและระยะยาวจะเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ผลตอบแทนระยะปานกลางจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้าม

บทที่ 5 การวิเคราะห์ความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย

ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยและผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้

ลักษณะความสัมพันธ์ทั่วไป

ประเภทของตราสารหนี้การเปรียบเทียบ
Premium Bondอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ >อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย >อัตราผลตอบแทนจนถึงกำหนดไถ่ถอน
Par Bondอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ =อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย =อัตราผลตอบแทนจนถึงกำหนดไถ่ถอน
Discount Bondอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ <อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย <อัตราผลตอบแทนจนถึงกำหนดไถ่ถอน

 

ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่ไม่มีสิทธิแฝง

  1. ราคาตราสารหนี้และอัตราผลตอบแทนมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้าม
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างราคาตราสารหนี้และอัตราผลตอบแทนมีลักษณะเป็นเส้นโค้ง
  3. การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเล็กน้อยที่มีขนาดเท่ากัน ราคาตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงคิดเป็นร้อยละที่เท่ากัน
  4. การเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมากในขนาดเท่ากัน ราคาตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงคิดเป็นร้อยละที่ไม่เท่ากัน
  5. การลดลงของอัตราผลตอบแทนทำให้ราคาตราสารหนี้เพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนทำให้ราคาตราสารหนี้ลดลง ในการเพิ่มหรือลดลงของอัตราผลตอบแทนที่เท่ากัน และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากนั้น การเพิ่มขึ้นของราคาตราสารหนี้จะสูงกว่าการลดลงของตราสารหนี้

ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่มีสิทธิแฝง

ราคาของหุ้นกู้ที่มีสิทธิแฝงประกอบด้วยราคาของหุ้นกู้พื้นฐานและราคาของสิทธิที่แฝงในตราสารหนี้ โดย

ตราสารหนี้ที่ผู้ออกไถ่ถอนได้ก่อนครบอายุ

V ตราสารหนี้ที่ผู้ออกไถ่ถอนได้ก่อนครบอายุ = V ตราสารหนี้พื้นฐาน – V สิทธิการซื้อคืน

ตราสารหนี้ที่ขายคืนได้ก่อนครบอายุไถ่ถอน

V ตราสารหนี้ขายคืนได้ก่อนครบอายุ = V ตราสารหนี้พื้นฐาน + V สิทธิการซื้อคืน

การวัดความผันผวนด้านราคาตราสารหนี้

  1. ภาพรวมของความเสี่ยงด้านราคา: ราคาของตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามอัตราผลตอบแทนในท้องตลาด ผู้ลงทุนอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของราคาตราสารหนี้ที่ลงทุนในกลุ่มทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการลงทุนอันเนื่องจากความผันผวนของอัตราผลตอบแทนในท้องตลาด

ตราสารหนี้ที่มีลักษณะแตกต่างกันจะมีความเสี่ยงด้านราคาแตกต่างกัน โดย

  • ตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือนาน ความเสี่ยงด้านราคาจะสูง
  • ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ความเสี่ยงด้านราคาสูง

หากลักษณะอื่นของตราสารหนี้ไม่แตกต่างกัน

  1. การวัดความผันผวนตามวิธีการมูลค่าเต็ม: วัดว่าตราสารหนี้มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
  2. การวัดความผันผวนด้วยดิวเรชัน: เนื่องจากวิธีการมูลค่าเต็มมีข้อจำกัด ทำให้เกิดความต้องการมาตรวัดความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยที่ง่ายขึ้น ซึ่งก็คือ “ดิวเรชัน” โดยดิวเรชันคือ ตัวเลขหรือมาตรวัดแสดงการเปลี่ยนแปลงราคาโดยประมาณ
  3. การวัดความผันผวนด้วยคอนเวคซ์ซิติ: ด้วยดิวเรชันเป็นการประมาณราคาโดยสมมติว่าความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงราคากับผลตอบแทนเป็นเส้นตรง แต่ในความเป็นจริงคือเป็นเส้นโค้ง ทำให้ค่าการพยากรณ์โดยดิวเรชันต้องปรับค่าความโค้งกับการประมาณค่า ค่าความโค้งดังกล่าวเรียกว่า “คอนเวคซ์ซิติ”

บทที่ 6 การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต

ความเสี่ยงด้านเครดิตคือการที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้เต็มจำนวนตามระยะเวลาที่กำหนด

ความเสี่ยงด้านเครดิตประกอบด้วยความเสี่ยงทั้งหมด 3 ประเภท

  1. ความเสี่ยงจากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชนกับพันธบัตรรัฐบาล
  2. ความเสี่ยงจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ
  3. ความเสี่ยงที่เกิดจากเหตุผิดนัดชำระ

หลักการวัดความเสี่ยงเครดิต

3 ตัวแปรที่จะใช้เป็นข้อมูลนำเข้าเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิตประกอบด้วย

  • มูลค่าการลงทุนที่คาดว่าจะเกิดความเสี่ยง: มูลค่าการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับและเกิดความเสี่ยงต่อเงินจำนวนนั้นเมื่อมีเหตุผิดนัดชำระ
  • อัตราการฟื้นตัว: อัตราร้อยละของเงินที่จะได้รับคืนมาเมื่อผิดนัดชำระ
  • โอกาสของการผิดนัดชำระ: การประมาณค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีการไม่ชำระเงินตามสัญญาในช่วงเวลาที่กำหนด

หลักการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเครดิต

การวิเคราะห์ข้อตกลงสิทธิ: ข้อกำหนดสิทธิคือกฎเกณฑ์ที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานของผู้บริหารและเพื่อไม่ให้ผู้บริหารใช้อำนาจบริหารอันอาจก่อให้เกิดผลต่อเจ้าหนี้หรือผู้ลงทุน

การวิเคราะห์หลักประกัน: พิจารณาปัจจัยในด้านคุณภาพของหลักประกัน, สภาพคล่องของหลักประกัน, มูลค่าของหลักประกัน รวมถึงโอกาสในการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของหลักประกัน เป็นต้น

การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้: การชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้ตรงตามเวลาที่กำหนด ซึ่งต้องวิเคราะห์ในประเด็นดังต่อไปนี้

  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางธุรกิจ
  • การกำกับดูแลกิจการ
  • การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านการเงิน เช่น
    • อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย
    • อัตราส่วนหนี้สิน
    • กระแสเงินสด
    • สินทรัพย์สุทธิ
    • เงินทุนหมุนเวียน

การวัดความเสี่ยงด้านเครดิตโดยการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

อันดับความน่าเชื่อถือคือข้อมูลความเห็นของบริษัทที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่มีต่อธุรกิจหรือบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งบริษัทผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเรียกว่า “บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ” เช่น Moody’s, S&P, Fitch เป็นต้น

กระบวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

การวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือมี 2 องค์ประกอบสำคัญคือ

  1. การวิเคราะห์บริษัทผู้ออกตราสารหนี้
  2. การวิเคราะห์ตราสารหนี้ที่ออก

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมีหน้าที่หลักในการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตให้กับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ ข้อมูลดังกล่าวประกอบด้วย

  1. อันดับความน่าเชื่อถือ
  • ตราสารหนี้ระยะยาว: ประเมินโอกาสในการผิดนัดชำระ + ขนาดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นเมื่อผิดนัดชำระ
  • ตราสารหนี้ระยะสั้น: ประเมินโอกาสผิดนัดชำระในอนาคต
  1. เครดิตพินิจ: การประกาศเพื่อเตือนให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ แนวโน้มเป็นลบและแนวโน้มเป็นบวก
  2. แนวโน้มเครดิต: ความเปลี่ยนแปลงของอันดับความน่าเชื่อถือ โดยจำแนกเป็น 3 ลักษณะคือ บวก, ลบและคงที่

นอทชิง (Notching) คือกระบวนการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้แต่ละประเภทของบริษัทผู้ออกตราสารหนึ่ง ๆ ขึ้นหรือลงจากอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท เพื่อสะท้อนความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดจากการผิดนัดที่แตกต่างกันของตราสารหนี้แต่ละประเภท

รูปแบบการร้องขอเพื่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้แบ่งออกเป็น

  1. แบบร้องขอ: บริษัทผู้ออกตราสารหนี้ขอให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือประเมินและจัดอันดับความน่าเชื่อถือขณะที่จะออกตราสารหนี้เพื่อขายให้กับบุคคลทั่วไป บริษัทที่ร้องขอจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
  2. แบบไม่ร้องขอ: เมื่อข้อมูลของบริษัทที่ออกตราสารหนี้เป็นที่เปิดเผยแก่สาธารณะ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะประเมินอันดับความน่าเชื่อถือสำหรับบริษัทที่ไม่ร้องขอ

ลำดับขั้นของอันดับความน่าเชื่อถือ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่คือ

ลำดับขั้นของอันดับความน่าเชื่อถือสัญลักษณ์ในแต่ละลำดับ
กลุ่มลงทุนได้AAA, AA, A และ BBB (S&P และ Fitch)

Aaa, Aa, A, Baa (Moody’s)

กลุ่มเก็งกำไรBB, B, CCC, CC, C (S&P และ Fitch)

Ba, B, Caa, Ca, C (Moody’s)

กลุ่มผิดนัดชำระD (S&P และ Fitch)

C (Moody’s)

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้จาก

  1. อัตราส่วนทางการเงิน
  2. หลักทรัพย์ค้ำประกัน
  3. ระดับความด้อยสิทธิ
  4. การค้ำประกัน
  5. การกำหนดเงินเพื่อไถ่ถอน
  6. ระยะเวลาถึงกำหนดไถ่ถอน
  7. ความมีเสถียรภาพ
  8. กฎระเบียบ
  9. การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
  10. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
  11. ภาระด้านสินค้า
  12. ด้านแรงงาน
  13. มาตรฐานการบัญชี

บทที่ 7 กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้เบื้องต้น

ภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้

กลยุทธ์สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

  1. กลยุทธ์การลงทุนที่อิงกับเกณฑ์มาตรฐาน: กลยุทธ์ที่ผู้ลงทุนหรือลูกค้าเลือกดัชนีตราสารหนี้เพื่อใช้เกณฑ์มาตรฐานในการเปรียบเทียบและการประเมินผลการลงทุน ซึ่งยังจำแนกวิธีการออกเป็นด้านต่าง ๆ เช่น
  • การเทียบเคียงกับดัชนี
  • การเทียบเคียงดัชนีแบบประยุกต์การเทียบปัจจัยความเสี่ยงหลัก
  • การเทียบเคียงดัชนีแบบประยุกต์การเทียบปัจจัยความเสี่ยงรอง
  • การบริหารแบบแอคทิฟที่ให้มีการเบี่ยงเบนได้บ้าง
  • การบริหารแบบแอคทิฟแบบไม่มีข้อจำกัด
  • การบริหารแบบคอร์/แซทเทลไลท์
  1. กลยุทธ์การลงทุนที่วัดผลลัพธ์ด้วยค่าสัมบูรณ์ผลตอบแทน: กลยุทธ์ที่ผู้บริหารการลงทุนจะพยายามทำให้ผลตอบแทนของกลุ่มตราสารหนี้ที่บริหารมีค่าสูงสุดในกรอบเวลาที่กำหนดโดยไม่คำนึงถึงสภาพการณ์ของตลาด
  2. กลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งผลลัพธ์ให้สามารถชำระหนี้ได้: การลงทุนในตราสารหนี้ของบางองค์กรมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถนำดอกผลไปชำระพันธะหรือหนี้ในอนาคตได้ เช่น กองทุนเพื่อการเกษียณ, บริษัทประกัน เป็นต้น

ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้

โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยความเสี่ยงต่อตราสารหนี้แบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือ

  1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ย ได้แก่

1.1 ปัจจัยความเสี่ยงตามกลุ่ม

1.2 ปัจจัยความเสี่ยงเครดิต

1.3 ปัจจัยความเสี่ยงของสิทธิแฝง

  1. ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับอัตราดอกเบี้ย

2.1 นโยบายการเงิน

2.2 นโยบายการคลัง

2.3 อัตราเงินเฟ้อ

2.4 อุปสงค์และอุปทานของเงินในระบบเศรษฐกิจ

2.5 ระบบเศรษฐกิจ

2.6 การดูแลระดับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาพรวมกลยุทธ์การลงทุนแบบแอคทิฟ

ผู้บริหารการลงทุนจะพยายามให้ผลตอบแทนของพอร์ตชนะหรือสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนีที่ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน กุญแจสำคัญของการบริหารพอร์ตตราสารหนี้แบบแอคทิฟคือการคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนำไปสู่กลยุทธ์การลงทุนแบบแอคทิฟ 3 ลักษณะคือ

  1. กลยุทธ์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย: การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยหมายถึงการที่ดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้นหรือลดลง หลักการเบื้องต้นคือการ “ซื้อถูก” และ “ขายแพง”
  2. กลยุทธ์ที่เกิดจากการคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของเส้นโค้งอัตราผลตอบแทน: การเปลี่ยนแปลงเส้นโค้งอัตราผลตอบแทนหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐที่มีอายุต่าง ๆ 

การเปลี่ยนแปลงเส้นโค้งอัตราผลตอบแทนมี 2 ลักษณะคือ

  • การเปลี่ยนแปลงแบบขนาน
  • การเปลี่ยนแปลงแบบไม่ขนาน
  1. กลยุทธ์ที่เกิดจากการคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างอัตราผลตอบแทน: การคาดคะเนว่าส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สองกลุ่มเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากที่เคยเป็นอยู่มากหรือน้อยกว่าปกติ

หากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงไปผิดปกติหรือผิดไปจากคาดการณ์ ผู้บริหารการลงทุนจะใช้กลยุทธ์เปลี่ยนการลงทุนจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อที่ว่าเมื่อส่วนต่างการลงทุนกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วจะทำให้พอร์ตการลงทุนได้กำไรมากขึ้น

จุดประสงค์ของการลงทุนจากกลยุทธ์นี้คือการค้นหาตราสารหนี้ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเกิดได้จาก 2 กรณีคือ

  1. อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้มีสูงกว่าอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อื่น
  2. อัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงลดลง เพราะมีการคาดการณ์ว่าความน่าเชื่อถือหรือเครดิตของตราสารหนี้จะเปลี่ยนแปลงดีขึ้นจากสถานการณ์ที่คาดไว้

คุณสามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่นี่ : คลิีก

บทความนี้เป็นแค่สรุปหนังสือ หากคุณต้องการอ่านฉบับเต็ม คุณสามารถสั่งซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์