การเข้าใจพฤติกรรมของตลาดหุ้นและผู้เล่นในตลาดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่นิยมลงทุนตามแนวโน้มขาขึ้น หลักการ Action, Reaction, Resolution Phase เป็นหนึ่งในแนวคิดที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาหุ้นและตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจหลักการนี้แบบง่ายๆ พร้อมแนะนำวิธีนำไปใช้ในโลกการลงทุน
Action, Reaction, Resolution Phase คืออะไร?
Action, Reaction, Resolution Phase เป็นกระบวนการที่อธิบายพฤติกรรมของราคาหุ้นในตลาดที่เคลื่อนไหวไปตามแรงซื้อ-แรงขาย ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- Action Phase: จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหว
Action Phase คือช่วงที่ราคาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากข่าวสารหรือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาด เช่น ผลประกอบการดีเกินคาด หรือปัจจัยเชิงบวกที่ดึงดูดนักลงทุน
สัญญาณที่บ่งบอก Action Phase
- ราคาทะลุแนวต้านสำคัญพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น (Breakout)
- กราฟแท่งเทียนมีลักษณะยาวและชัดเจน
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume) สูงกว่าค่าเฉลี่ย
ตัวอย่าง:
หากหุ้นตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวรับ-แนวต้านมานาน แล้ววันหนึ่งราคาทะลุแนวต้านเดิมที่ $50 พร้อมกับวอลุ่มที่หนาแน่น นี่คือตัวอย่างของ Action Phase
เคล็ดลับสำหรับนักลงทุน
- คอยสังเกตการ Breakout ของราคา พร้อมดูวอลุ่มเพื่อยืนยันความแข็งแรงของแรงซื้อ
- Reaction Phase: การพักตัวหลังจากแรงซื้อแรกหมดลง
Reaction Phase เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาพุ่งขึ้นแรงในช่วง Action Phase และผู้เล่นบางส่วนเริ่มขายทำกำไร ทำให้ราคามีการพักตัวหรือแกว่งตัวในช่วงนี้
สัญญาณที่บ่งบอก Reaction Phase
- ราคามีการปรับตัวลงมาเล็กน้อยแต่ไม่หลุดแนวรับใหม่
- ปริมาณการซื้อขายเริ่มลดลง (Volume ลดลง)
- รูปแบบกราฟเป็น Sideway หรือฟันเลื่อย
ตัวอย่างในชีวิตจริง:
หลังจากหุ้นทะลุ $50 และขึ้นไปแตะ $55 อาจเริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา ส่งผลให้ราคาย่อลงมาที่ $52-$53 พร้อมวอลุ่มที่เบาลง
เคล็ดลับสำหรับนักลงทุน
- อย่าตื่นตระหนกกับการพักตัวในช่วงนี้ เพราะเป็นธรรมชาติของตลาดที่ต้องปรับสมดุล
- หากราคาย่อลงแต่วอลุ่มเบาลง เป็นสัญญาณว่าผู้ขายเริ่มหมดแรง
- Resolution Phase: การยืนยันแนวโน้มใหม่
Resolution Phase คือช่วงที่ราคาหุ้นเริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ชัดเจนหลังจากการพักตัวใน Reaction Phase
สัญญาณที่บ่งบอก Resolution Phase:
- ราคากลับมาทะลุระดับเดิม (Breakout อีกครั้ง)
- มีวอลุ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อราคาผ่านแนวต้านใหม่
- กราฟแท่งเทียนแสดงการสร้างจุดสูงสุดใหม่ (New High)
ตัวอย่าง:
หลังจากราคาย่อลงมาที่ $52 ในช่วง Reaction Phase หากราคากลับมาทะลุ $55 พร้อมกับวอลุ่มที่หนาแน่น นี่คือจุดเริ่มต้นของ Resolution Phase
เคล็ดลับสำหรับนักลงทุน
- ช่วงนี้มักเป็นจังหวะที่นักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาซื้อเพราะมั่นใจในแนวโน้ม
- หากคุณถือหุ้นตั้งแต่ช่วง Action Phase การทะลุ New High คือโอกาสที่ดีในการรันกำไรต่อ
Whipsaw และ False Breakout กับดักที่ควรระวัง
ในบางครั้ง ราคาหุ้นอาจแสดงการ Breakout แต่กลับไม่สามารถยืนยันแนวโน้มได้ สิ่งนี้เรียกว่า Whipsaw หรือ False Breakout
- Whipsaw คืออะไร?
Whipsaw เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวต้านหรือแนวรับ แต่กลับไม่สามารถไปต่อได้ และราคามีโอกาสย้อนกลับมาสู่กรอบเดิม
- False Breakout คืออะไร?
False Breakout เกิดจากแรงซื้อหรือขายที่ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
วิธีหลีกเลี่ยง Whipsaw และ False Breakout
- อย่ารีบเข้าซื้อทันทีหลังจากราคา Breakout
- รอให้ราคายืนเหนือแนวต้านหรือแนวรับใหม่ได้อย่างมั่นคง
- ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อดูความมั่นคงของราคา
การนำหลักการ Action, Reaction, Resolution ไปใช้จริง
- เลือกสังเกตหุ้นที่อยู่ในช่วง Sideway หรือสร้างฐานราคา
หุ้นที่อยู่ในกรอบ Sideway มักมีโอกาสเกิด Breakout เมื่อแรงซื้อสะสมมากพอ
- ดูแนวรับ-แนวต้านสำคัญ
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์กราฟ เช่น Fibonacci, Moving Average หรือเส้นแนวรับ-แนวต้าน เพื่อหาจุดสำคัญที่ราคาอาจ Breakout
- รอคอนเฟิร์มสัญญาณในแต่ละ Phase
- Action Phase: ราคาทะลุพร้อมวอลุ่ม
- Reaction Phase: ราคาย่อลงแต่วอลุ่มเบาลง
- Resolution Phase: ราคาทะลุแนวต้านใหม่พร้อมวอลุ่ม
- ใช้ Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยง
หากราคาไม่เป็นไปตามคาด ให้กำหนดจุดตัดขาดทุนไว้เสมอ
สรุป
การเข้าใจหลักการ Action, Reaction, Resolution Phase จะช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมราคาหุ้นได้แม่นยำขึ้น ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน
จงจำว่า ตลาดหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แต่เป็นผลจากพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้เล่นในตลาด การเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาว