การลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน) นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบว่าบริษัทผู้ออกตราสารจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ตามกำหนดหรือไม่ แม้มีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ที่ให้ข้อมูลได้ระดับหนึ่ง แต่นักลงทุนควรมีเครื่องมือวิเคราะห์ด้วยตนเองเพื่อประกอบการตัดสินใจ
หลัก 5C เป็นกรอบการวิเคราะห์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะถูกพัฒนาขึ้นสำหรับสถาบันการเงินในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ แต่นักลงทุนรายย่อยสามารถประยุกต์ใช้เพื่อคัดกรองและประเมินคุณภาพเครดิตของบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1. Character (อุปนิสัย)
Character หมายถึง ประวัติ ชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของบริษัทในการปฏิบัติตามพันธะสัญญาทางการเงิน นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
ประวัติการชำระหนี้
ตรวจสอบว่าบริษัทเคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ มีประวัติการปรับโครงสร้างหนี้บ่อยครั้งหรือเปล่า หากบริษัทเคยผิดนัดชำระหนี้ในอดีต โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำมีสูง นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้จากรายงานประจำปี แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) หรือหนังสือชี้ชวนการออกตราสารหนี้
การกำกับดูแลกิจการและความโปร่งใส
บริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มักจะมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า สังเกตได้จากรางวัลด้านบรรษัทภิบาล การเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนทันเวลา และคุณภาพของคณะกรรมการบริษัท
ประวัติผู้บริหาร
คุณภาพและประวัติของทีมผู้บริหารมีผลอย่างมากต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท ควรตรวจสอบว่าผู้บริหารหลักเคยมีประวัติเสียหายหรือเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวทางธุรกิจหรือไม่
ระยะเวลาดำเนินกิจการ
บริษัทที่มีประวัติการดำเนินธุรกิจยาวนาน ผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจหลายรอบ มักมีความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือมากกว่าบริษัทที่เพิ่งก่อตั้ง
2. Capacity (ความสามารถในการชำระหนี้)
Capacity เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์คุณภาพเครดิต เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสามารถของบริษัทในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้น นักลงทุนควรพิจารณา:
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) เป็นแหล่งเงินหลักที่บริษัทใช้ชำระหนี้ นักลงทุนควรตรวจสอบว่าบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและเพียงพอต่อภาระหนี้หรือไม่
อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้
อัตราส่วนที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ ได้แก่:
- อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio): กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี ÷ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (ค่ายิ่งสูงยิ่งดี)
- อัตราส่วนความสามารถในการชำระภาระผูกพัน (Debt Service Coverage Ratio): กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ÷ ภาระหนี้ที่ต้องชำระ (ค่ายิ่งสูงยิ่งดี)
- อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Debt/EBITDA): หนี้สินรวม ÷ EBITDA (ค่ายิ่งต่ำยิ่งดี)
ความสม่ำเสมอของรายได้และกำไร
บริษัทที่มีรายได้และกำไรที่มั่นคงและคาดการณ์ได้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าบริษัทที่มีผลประกอบการผันผวน ควรดูแนวโน้มย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปี ตรวจสอบความผันผวนของกำไรในแต่ละไตรมาสและสัดส่วนรายได้จากธุรกิจหลักว่ามีความมั่นคงเพียงใด
ความสามารถในการปรับตัว
พิจารณาความสามารถในการปรับตัวของบริษัทเมื่อเผชิญกับภาวะวิกฤต เช่น การรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 บริษัทที่สามารถรักษากระแสเงินสดและปรับตัวได้ดีในช่วงวิกฤตมีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำกว่า
3. Capital (เงินทุน)
Capital หมายถึงโครงสร้างเงินทุนของบริษัทและความแข็งแกร่งของงบดุล นักลงทุนควรวิเคราะห์:
อัตราส่วนหนี้สิน
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio): หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น (ค่ายิ่งต่ำยิ่งดี)
- อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม (Debt to Total Assets): หนี้สินรวม ÷ สินทรัพย์รวม (ค่ายิ่งต่ำยิ่งดี)
บริษัทที่มีหนี้สินต่ำเมื่อเทียบกับทุนหรือสินทรัพย์รวมจะมีความเสี่ยงต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ด้วย เนื่องจากบางอุตสาหกรรมอาจมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงกว่าเป็นปกติ
คุณภาพของสินทรัพย์
นอกจากปริมาณทุนแล้ว คุณภาพของสินทรัพย์ก็สำคัญไม่แพ้กัน สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและมีมูลค่าที่แท้จริงจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินของบริษัท ควรระวังบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนในสัดส่วนสูง หรือมีลูกหนี้การค้าที่มีคุณภาพต่ำจำนวนมาก
สภาพคล่องทางการเงิน
อัตราส่วนที่แสดงถึงสภาพคล่อง เช่น:
- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio): สินทรัพย์หมุนเวียน ÷ หนี้สินหมุนเวียน (ค่าควรมากกว่า 1)
- อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio): (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) ÷ หนี้สินหมุนเวียน
แผนการลงทุนและการขยายกิจการ
พิจารณาว่าแผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทจะส่งผลต่อโครงสร้างเงินทุนอย่างไร หากบริษัทมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจต้องก่อหนี้เพิ่ม ควรประเมินว่าการลงทุนนั้นจะสร้างผลตอบแทนเพียงพอต่อภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่
4. Collateral (หลักประกัน)
สำหรับนักลงทุนในตราสารหนี้ หลักประกันเป็นแหล่งความมั่นใจสำคัญในกรณีที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงิน ควรพิจารณา:
ประเภทของตราสารหนี้
ตราสารหนี้มีหลายประเภท บางประเภทมีหลักประกัน (Secured Bond) บางประเภทไม่มีหลักประกัน (Unsecured Bond) นักลงทุนควรเข้าใจความแตกต่างและสิทธิเรียกร้องของตน
คุณภาพและมูลค่าของหลักประกัน
หากลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักประกัน ควรประเมินคุณภาพและมูลค่าของหลักประกันนั้น เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร หรือหลักทรัพย์อื่นๆ หลักประกันที่มีสภาพคล่องสูงและมูลค่าที่มั่นคงจะให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุนได้ดีกว่าสินทรัพย์ไร้ตัวตน
ลำดับสิทธิการได้รับชำระหนี้ (Seniority)
ในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ลำดับสิทธิในการได้รับชำระหนี้มีความสำคัญมาก ตราสารหนี้ที่มีหลักประกันจะได้รับการชำระหนี้ก่อนตราสารหนี้ไม่มีหลักประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ นักลงทุนควรเข้าใจสถานะของตราสารที่ตนลงทุน
เงื่อนไขการคุ้มครอง (Covenant)
ตราสารหนี้มักมีเงื่อนไขคุ้มครองที่ช่วยปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน เช่น เงื่อนไขที่กำหนดให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินบางประการ หรือข้อจำกัดในการก่อหนี้เพิ่ม นักลงทุนควรศึกษาเงื่อนไขเหล่านี้อย่างละเอียด
5. Conditions (สภาวะโดยรวม)
Conditions หมายถึงปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท ซึ่งนักลงทุนควรวิเคราะห์:
สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและสภาพของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรและชำระหนี้ นักลงทุนควรประเมินว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตหรือถดถอย และมีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด
ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน
พิจารณาสถานะการแข่งขันของบริษัทในอุตสาหกรรม บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง เช่น มีส่วนแบ่งการตลาดสูง มีความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ หรือมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง จะมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำกว่า
ปัจจัยด้านกฎระเบียบและนโยบายภาครัฐ
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือนโยบายภาครัฐอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจและทำกำไรของบริษัท เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎหมายสิ่งแวดล้อม ภาษี หรือการกำกับดูแลเฉพาะอุตสาหกรรม
ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี
ประเมินว่าธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือไม่ บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วอาจมีความเสี่ยงสูงกว่า หากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
ความเสี่ยงทางการเมืองและภูมิศาสตร์
สำหรับบริษัทที่มีการดำเนินงานหรือรายได้จากต่างประเทศ ความเสี่ยงทางการเมืองและภูมิศาสตร์ เช่น ความไม่มั่นคงทางการเมือง อัตราแลกเปลี่ยน หรือภัยธรรมชาติ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้
สรุป
การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพเครดิตดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้และเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง อย่างไรก็ตาม ไม่มีการวิเคราะห์ใดที่สมบูรณ์แบบ นักลงทุนควรใช้หลัก 5C ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ และกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเสมอ