การมีภาระหนี้สินเป็นเรื่องปกติของคนทำงานในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะหนี้บ้านและหนี้รถยนต์ที่ถือเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดของคนทั่วไป แต่คำถามสำคัญคือ เราควรมีหนี้สินเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมและไม่กระทบต่อการใช้ชีวิต? เราจะมาดูวิธีการคำนวณและบริหารภาระหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกัน

อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (DTI) คืออะไร?

อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Debt-to-Income Ratio (DTI) คือตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีภาระในการผ่อนชำระหนี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อเดือน โดยสถาบันการเงินจะใช้ค่า DTI นี้เป็นเครื่องมือในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้

วิธีการคำนวณ DTI

สูตรการคำนวณ DTI ทำได้ง่ายๆ ดังนี้:

DTI = (ภาระหนี้สินรายเดือนทั้งหมด ÷ รายได้รวมต่อเดือนก่อนหักค่าใช้จ่าย) × 100

ตัวอย่างเช่น:

  • ผ่อนบ้านเดือนละ 20,000 บาท
  • ผ่อนรถเดือนละ 8,000 บาท
  • ชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำเดือนละ 2,000 บาท
  • รายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายเดือนละ 60,000 บาท

ดังนั้น DTI = (30,000 ÷ 60,000) × 100 = 50%

ระดับ DTI ที่เหมาะสม

จากการศึกษาและมาตรฐานของสถาบันการเงินต่างๆ สามารถแบ่งระดับ DTI ได้ดังนี้:

DTI ต่ำกว่า 36%: ระดับดีมาก

  • สามารถบริหารจัดการหนี้สินได้ดี
  • มีเงินเหลือสำหรับการออมและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
  • มีโอกาสสูงที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม
  • สถาบันการเงินมองว่าเป็นลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ

DTI 36-42%: ระดับที่ยอมรับได้

    • ยังสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้
    • ควรระมัดระวังการก่อหนี้เพิ่ม
    • อาจต้องมีเอกสารเพิ่มเติมในการขอสินเชื่อใหม่
  • ควรวางแผนลดภาระหนี้สินลง

DTI 43-49%: ระดับที่ต้องระวัง

  • มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้
    • อาจมีเงินเหลือสำหรับการออมน้อย
    • สถาบันการเงินอาจไม่อนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม
  • จำเป็นต้องมีแผนลดภาระหนี้สินอย่างจริงจัง

DTI 50% ขึ้นไป: ระดับอันตราย

    • มีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้
    • แทบไม่มีเงินเหลือสำหรับการออมหรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
    • ยากที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อใหม่
  • ต้องเร่งแก้ไขสถานะทางการเงินโดยด่วน

วิธีการปรับปรุง DTI ให้ดีขึ้น

หากคุณพบว่า DTI ของตัวเองอยู่ในระดับที่สูงเกินไป สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ด้วยวิธีดังนี้:

1. ลดภาระหนี้สิน

  • เร่งชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต
  • พิจารณารีไฟแนนซ์หนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
  • หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น
  • ทำตารางการชำระหนี้แบบเร่งด่วน

2. เพิ่มรายได้

  • หางานพิเศษหรืออาชีพเสริม
  • พัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง
  • ขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น
  • สร้างรายได้จากงานอดิเรก

3. บริหารจัดการหนี้อย่างมีแบบแผน

  • รวมหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
  • เจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน
  • จัดทำงบประมาณและติดตามค่าใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด
  • สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน

สรุป

การรักษา DTI ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ไม่เกิน 40%) เป็นกุญแจสำคัญสู่สุขภาพทางการเงินที่ดี ช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นทางการเงิน มีเงินเก็บออม และพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงการขอสินเชื่อใหม่ๆได้ง่าย แม้ว่าการมีหนี้บ้านและรถยนต์จะเป็นเรื่องปกติ แต่การบริหารจัดการหนี้สินอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวได้อย่างมั่นคง