วิกฤตต้มยำกุ้งถือเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์ทางการเงินที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทยและลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย
สาเหตุของวิกฤตต้มยำกุ้ง
1. การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ขาดเสถียรภาพ
ก่อนเกิดวิกฤต ประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงปี 2528-2539 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 9% ต่อปี อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำประมาณ 3.4-5.7% แต่การเติบโตนี้กลับมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศมากเกินไป
2. นโยบายการเงินที่ผิดพลาด
ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายตรึงค่าเงินบาทไว้ที่ประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นและนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การเปิดเสรีทางการเงินผ่านการจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ในปี 2536 เอื้อให้ธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถกู้ยืมเงินจากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
3. การปล่อยสินเชื่อที่ขาดการกำกับดูแล
สถาบันการเงินไทยปล่อยสินเชื่อจำนวนมากโดยขาดการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น นักลงทุนกู้ยืมเงินมาเก็งกำไรโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้
4. หนี้ต่างประเทศที่สูงขึ้น
ภาคเอกชนไทยกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมระยะสั้น แต่นำไปลงทุนในโครงการระยะยาว ทำให้เกิดความเสี่ยงจากความไม่สอดคล้องของระยะเวลาการกู้ยืมและการลงทุน
ผลกระทบของวิกฤต
เมื่อนักลงทุนต่างชาติเริ่มขาดความเชื่อมั่นและเทขายเงินบาท ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากในการพยายามรักษาค่าเงินบาท จนในที่สุดต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ส่งผลให้:
- ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง จาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 54 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม 2541
- สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) พุ่งสูงถึง 47% ของสินเชื่อทั้งหมด
- สถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลายและถูกปิดกิจการ
- ประเทศไทยต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วงเงิน 17.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
บทเรียนที่ไทยได้รับจากวิกฤตต้มยำกุ้ง
1. การกำกับดูแลระบบการเงิน
วิกฤตครั้งนี้ทำให้เห็นความสำคัญของการกำกับดูแลระบบการเงินอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ต้องมีการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบและมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
2. การบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน
การตรึงค่าเงินไว้ที่อัตราคงที่อาจไม่เหมาะสมในระยะยาว ระบบอัตราแลกเปลี่ยนควรมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง
3. การพัฒนาตลาดทุนในประเทศ
ประเทศไทยได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการพัฒนาตลาดทุนภายในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ และสร้างแหล่งเงินทุนระยะยาวสำหรับภาคธุรกิจ
4. การสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
หลังวิกฤต ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยการรักษาระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศให้เพียงพอ และการควบคุมหนี้ต่างประเทศไม่ให้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป
ความเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินการธนาคารในไทยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
1. การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน
- มีการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหาและควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง
- จัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
- มีการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของระบบการเงิน
2. การปรับปรุงกฎระเบียบและการกำกับดูแล
- ธนาคารแห่งประเทศไทยออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินที่เข้มงวดขึ้น
- มีการปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
- กำหนดเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงที่สูงขึ้น
- เพิ่มความเข้มงวดในการจัดชั้นหนี้และการกันสำรอง
3. การพัฒนาตลาดการเงิน
- ส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ
- พัฒนาเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ตราสารอนุพันธ์
- สนับสนุนการออมในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของแหล่งเงินทุน
4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการกำกับดูแล
- แยกหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินออกจากธนาคารแห่งประเทศไทย
- จัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ฝากเงิน
- เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานของสถาบันการเงิน
5. การพัฒนาระบบการชำระเงิน
- พัฒนาระบบการชำระเงินให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ส่งเสริมการใช้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์
- พัฒนาระบบการโอนเงินระหว่างธนาคารให้มีความรวดเร็วและปลอดภัย
สรุป
วิกฤตต้มยำกุ้งได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย แต่ก็ทำให้เกิดการปฏิรูประบบการเงินและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ มีการปรับปรุงกฎระเบียบและการกำกับดูแลให้เข้มงวดขึ้น รวมถึงการพัฒนาตลาดการเงินให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากขึ้น บทเรียนเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้