สรุปหนังสือ The Creative Act: A Way of Being

เราต่างคือนักสร้างสรรค์

ไม่มีวิธีหนึ่ง สอง สามให้เดินตามเพียงชี้สาระสำคัญ และมุมมองให้เลือกเสกสรรค์ในแบบของตัวเอง หากจะเรียนรู้การสร้างสรรค์ศิลปะ มักนึกถึงการศึกษาประวัติศาสตร์ศิลป์ (Art History)ถอดกระบวนการคิดของศิลปินแห่งยุค ตัวศิลปินไม่อาจเข้าใจกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตัวเขา ประวัติศาสตร์แห่งศิลปะจึงไม่อาจใช้การได้ดีเท่ากับความเป็นจริงทางศิลปะ (Art Reality) ครีเอเตอร์ ดีไซเนอร์ โปรดิวเซอร์ บรรณาธิการ ผู้กำกับ หรือช่างตัดผม ผู้คนที่มีชีวิตวนเวียนอยู่กับศิลปะ คงจะหาประโยชน์จากเล่มนี้ได้ไม่มากก็น้อย หากแต่ใครที่คิดว่าศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว อาจเพียงลืมไปว่า การดำรงอยู่บนโลกนี้ก็เป็นศิลปะชั้นสูง ในองก์แห่งการสร้างสรรค์แล้ว (the creative act) การหล่อเลี้ยงนิสัยทางศิลปะ จะแย้มเผยความงดงามในอีกระดับสู่ชีวิต

ทุกคนคือนักสร้างสรรค์

ผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานศิลปะตามขนบทั่วไป อาจไม่ค่อยกล้าเรียกตัวเองว่า ศิลปิน พวกเขาอาจมองว่าความสร้างสรรค์เป็นบางสิ่งที่ไม่ธรรมดา ไม่ก็เลยพ้นไปจากขีดความสามารถของตน เป็นสัญชาตญาณของคนพิเศษ น้อยคนที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เหล่านั้น โชคดีที่เรื่องนี้ไม่จริง ความสามารถในการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ความสามารถที่หายากอะไร ไม่ได้ยากจะเข้าถึง ความสร้างสรรค์คือแง่มุมพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ คือสิทธิโดยกำเนิด และมีไว้เพื่อทุกคน

การสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นเรื่องของการทำงานศิลปะเท่านั้น ทุกคนทำสิ่งนี้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การสร้างสรรค์คือการพาบางสิ่ง ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอยู่ให้เกิดมีขึ้นมา อาจเป็นบทสนทนา ทางแก้ปัญหา ข้อความถึงเพื่อนสักคน อะไรที่สร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องมีใครมาเห็น บันทึก นำไปขาย หรือใส่กรอบกระจกเพื่อโชว์เป็นงานศิลป์ แค่ด้วยสถานการณ์ดำรงอยู่ธรรมดา ๆ ก็เป็นนักสร้างสรรค์กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสร้างงานศิลปะอย่างเป็นทางการหรือไม่ ทุกคนต่างมีชีวิตอย่างศิลปิน รับรู้ กลั่นกรอง เก็บเอาข้อมูล แล้วก็เลือกสรรประสบการณ์สำหรับตัวเองและคนอื่น จากชุดข้อมูลนี้ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แค่การที่มีชีวิตอยู่นั่นเท่ากับว่า เป็นผู้เข้าร่วมที่ยังมีบทบาทในกระบวนการสร้างสรรค์ที่กำลังดำเนินไป การใช้ชีวิตอย่างศิลปินคือวิถีของการอยู่ในโลกใบนี้ คือหนทางในการรับรู้ คือการฝึกที่จะใส่ใจ คือการขัดเกลาความละเอียดอ่อน คือการมองเนื้อหาว่าอะไรดึงเข้าหาหรือผลักออกห่าง คือการสังเกตว่ามีคลื่นความรู้สึกชนิดใดเกิดขึ้น เพราะมันนำพาไปที่ไหน ชีวิตทั้งชีวิตให้กลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกซึ่งตัวตน ในฐานะสิ่งมีชีวิตอันสร้างสรรค์ ในจักรวาลแห่งการสรรค์สร้าง คือผลงานศิลปะที่มีเพียงหนึ่งเดียว

แหล่งกำเนิดแห่งความคิดสร้างสรรค์

เริ่มต้นจากทุกสิ่งที่เห็น ที่ทำ ที่คิด ที่รู้สึก ที่จินตนาการ ที่หลงลืมไป และทุกสิ่งที่พักไว้ ไม่กล่าวถึง ไม่อยู่ในห้วงคำนึง นี่คือวัตถุดิบต้นทางที่จะใช้สร้างแต่ละช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ แหล่งกำเนิดอยู่ภายนอกนั่น คือปัญญารอบ ๆ ตัว อาจสัมผัสมันได้ จำมันได้ หรือรับรู้มันได้ ไม่ใช่แค่ด้วยประสบการณ์ แต่อาจด้วยความฝัน ญาณหยั่งรู้ การรับรู้ซ่อนเร้นเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือวิธีที่โรคภายนอกพบหนทางเข้าสู่โลกภายในอื่น ๆ การคิดว่าแหล่งกำเนิดเป็นเหมือนก้อนเมฆอาจช่วยได้ หมู่เมฆไม่เคยหายไป จริง ๆ มันแปลงสภาพ ไม่เปลี่ยนเป็นผล และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร จากนั้นก็ระเหย และกลับคืนเป็นมวลเมฆ ศิลปะเช่นกัน ศิลปะคือการหมุนเวียนของเหล่าไอเดียอันเปี่ยมพลัง ที่มันปรากฏเหมือนใหม่ เพราะมันรวมตัวแบบที่ต่างไป ในทุกคราวที่มันกลับมา ไม่มีสองก้อนเมฆที่เหมือนกัน

มองหาคำใบ้

วัตถุดิบสำหรับงานนั้นรายล้อมอยู่ตลอด มันถูกถักทอไว้ในบทสนทนา ในธรรมชาติ ในการพบปะโดยบังเอิญ และในผลงานศิลปะที่มีอยู่ เมื่อใดที่กำลังมองหาคำตอบ ให้กับคำถามเชิงการสร้างสรรค์ ให้จับตาอะไรที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวอย่างใกล้ชิด มองหาคำบอกใบ้ซึ่งชี้ไปอย่างวิธี หรือหนทางใหม่ ๆ ในการพัฒนาต่อยอดไอเดียที่มีอยู่ เมื่อสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ให้ถามตัวเองว่าทำไม มันกำลังบอกอะไร และความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคืออะไร การถอดรหัสสัญญาณเหล่านี้คือ ส่วนสำคัญที่เติมเต็มงานของศิลปิน ยิ่งเปิดกว้างเท่าไหร่ยิ่งพบคำบอกใบ้ และต้องใช้ความพยายามน้อยลงเท่านั้น อาจจะคิดให้น้อยลงได้ แล้วเริ่มพึ่งพาคำตอบที่ผุดพรายขึ้นในตัว บางครั้งเมื่อคำบอกไม่ปรากฏตัวออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นกลไกละเอียดอ่อนของนาฬิกาที่กำลังทำงาน ราวกับจักรวาลสะกิดเตือนเบา ๆ ว่า มันอยู่เคียงข้างและอยากจัดสรรไว้ให้ ทุกสิ่งที่ต้องการเพื่อทำภารกิจให้สมบูรณ์

ฝึกฝน

ในป่าสัตว์ต่าง ๆ ต้องจำกัดขอบเขตการมองของตัวเอง เพื่ออยู่รอดการจดจ่ออย่างเคร่งครัด ทำให้ไม่ละสายตาจากสิ่งสำคัญที่จำเป็น สำหรับศิลปินการตอบสนองตามสัญชาตญาณเช่นนั้น อาจเป็นอุปสรรคได้ เมื่อขยายขอบเขตการมอง จะเห็นและเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่สนใจได้มากขึ้น เพื่อสร้างขุมทรัพย์วัตถุดิบเอาไว้ใช้ในภายหลัง การฝึกฝนคือ วิธีต้นแบบของการจัดการความคิด มันช่วยให้สร้างสภาวะทางจิตที่ปรารถนา เมื่อฝึกประสาทสัมผัสซ้ำ ๆ ให้เปิดรับสิ่งที่เกิดอยู่เป็นอยู่ เท่ากับยิ่งเคลื่อนเข้าใกล้ชีวิต ที่อยู่ในสภาวะอันเปิดกว้างอย่างต่อเนื่อง

การฝึกฝนสิ่งนี้อย่างเข้มข้นขึ้นคือ การเริ่มความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับแหล่งกำเนิด เมื่อลดการแทรกแซงจากตัวกรอง จะจับจังหวะและความเคลื่อนไหวต่าง ๆ รอบตัวได้เก่งขึ้น จะเข้าร่วมกับมันได้อย่างสอดประสานมากขึ้น จะเริ่มเห็นตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดทั้งมวลที่ยิ่งใหญ่ สิ่งซึ่งกำลังสร้างตัวขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง จากนั้นอ่านเข้าถึงพลังแผ่ขยายอันทรงอานุภาพยิ่งนี้ เพื่อช่วยในการฝึกฝนนี้ อาจต้องทำตารางประจำวัน เพื่อที่จะได้ทำกิจวัตรบางอย่าง ในเวลาใดเวลาหนึ่งของทุกวันหรือทุกสัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่พิเศษอลังการ แค่กิจวัตรเล็ก ๆ ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้

อาจเลือกฝึกหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ สามครั้งหลังตื่นนอนทุกเช้า พฤติกรรมง่าย ๆ นี้ช่วยปูทางให้เริ่มต้นแต่ละวัน ด้วยจิตที่สงบนิ่งและอยู่กับปัจจุบัน ในการฝึกเช่นนี้เป้าประสงค์ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ เหมือนกับที่การทำสมาธิไม่ใช่เป้าหมายที่ทำสมาธิ แต่เป้าประสงค์อยู่ที่การพัฒนาวิธีมองโลก ในขณะที่ไม่ได้ทำกิจกรรมเหล่านั้นอยู่ต่างหาก กำลังสร้างระบบกล้ามเนื้อของจิตให้ฉับไวต่อสัญญาณ นี่คือประเด็นใหญ่ของการฝึกฝนพวกนี้ กระทั่งวันหนึ่งพบว่า อยู่ในวิถีฝึกฝนแห่งการตระหนักรู้นี้อยู่ตลอดเวลา ณ ทุกขณะ ในทุกหนแห่ง ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งการเปิดรับอย่างต่อเนื่อง

ดำดิ่ง (ผลงานชั้นยอด)

การตระหนักรู้ไม่ใช่การค้นหา แม้มันจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสงสัยใคร่รู้และความหิวกระหาย เพื่อเสริมสัญชาตญาณอันแข็งแกร่งนี้ ลองดำดิ่งอยู่กับผลงานอันเป็นต้นแบบของผลงานทั้งมวล คำว่าต้นแบบนั้นแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเวลาและพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การได้สัมผัสกับผลงานศิลปะชั้นยอดธรรมให้เกิดการเชื้อเชิญ มันดึงให้ก้าวออกไป และเปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ แง่มุมทั้งหมดนี้มีผลต่อความสามารถ ในการแยกของที่ดีออกจากของที่ดีมาก และแยกของที่ดีมากออกจากของที่ดีเยี่ยม มันช่วยให้ตัดสินได้ว่า อะไรควรค่าแก่เวลาและความสนใจ เพราะข้อมูลนั้นมีอยู่มากมายไม่สิ้นสุด

ธรรมชาติคือครู

ในบรรดาผลงานชั้นเยี่ยม ที่สัมผัสประสบการณ์ได้ ธรรมชาตินั้นคือที่สุดแห่งผลงานอันสมบูรณ์และคงทน การเปลี่ยนแปลงของมันผ่านฤดูกาลนานา จะพบเห็นมันได้ในขุนเขา ห้วงสมุทร ทะเลทราย และผืนป่าข้างนอกนั่น มีความน่าทึ่งและแรงบันดาลใจอยู่ไม่เคยขาด หากอุทิศที่จะใช้ชีวิตเพียงลำพัง เพื่อเฝ้ามองความผันแปรของแสงและเงาธรรมชาติ เมื่อโมงยามผันผ่านไป จะพบสิ่งใหม่อยู่เสมอ ธรรมชาตินั้นอยู่พ้นไปจากความโน้นเอียงของมนุษย์ ที่ชอบตีตราและแยกประเภท ลดทอนและจำกัดขอบเขต โลกของธรรมชาตินั้นรุ่มรวย สอดประสาน และสลับซับซ้อนอย่างที่ไม่อาจหยั่งถึง ลึกลับและงดงามมากกว่าที่คิดนัก การสร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับธรรมชาตินั้นดีต่อจิตวิญญาณ และอะไรที่ดีต่อจิตวิญญาณก็ย่อมดีต่อผลงานศิลปะด้วย ยิ่งเข้าใกล้โลกของธรรมชาติมากขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งตระหนักได้เร็วขึ้นว่า มิได้แยกตัวจากสรรพสิ่ง และเมื่อทำงานสร้างสรรค์ ไม่เพียงแสดงออกถึงความเป็นปัจเจก แต่ยังแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์อันไร้รอยต่อกับเอกภาพอนันต์

ความทรงจำและจิตใต้สำนึก

ศิลปินไม่ได้พยายามจะเขียน แต่ผลงานก็ถูกสร้างขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก วัตถุดิบนั้นซุกซ่อนอยู่แล้วภายใน มันมีวิธีฝึกฝนที่ช่วยให้เข้าถึงแหล่งกักเก็บ ที่ลึกขึ้นภายในตัวเองอยู่ เช่น อาจลองฝึกระบายความโกรธด้วยการระดมต่อยหมอนเป็นเวลา 5 นาที การจะทำให้ครบเวลาดังกล่าวนั้นยากกว่าที่คิด ให้จับเวลาแล้วหวดหมัดไม่ต้องยั้ง จากนั้นให้เขียนอะไรก็ตามที่ผุดมาในหัวลงบนกระดาษ 5 หน้าในทันที วัตถุประสงค์คือการไม่คิด ไม่ต้องควบคุมเนื้อหาที่เขียนใด ๆ เพียงเขียนถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาในจิตใต้สำนึก

มีแหล่งกักเก็บข้อมูลคุณภาพสูงอันอุดมสมบูรณ์ หากเข้าถึงมันได้จะได้วัตถุดิบใหม่ ๆ ไว้ใช้งาน แม้จะไม่รู้ว่ากระบวนการที่ทำงานอยู่คืออะไร กระนั้นศิลปินมากมายก็ยังเข้าถึงบางอย่าง ที่อยู่ล่วงพ้นตัวของเขาเอง ผ่านการเข้าถึงจิตใต้สำนึกของตัวเอง บ่อยครั้งการไปถึงสภาวะเหล่านี้ อยู่นอกเหนือกว่าที่ควบคุมได้ สภาวะคล้ายเข้าฌาน เหล่านี้ตัดลัดผ่านสมองส่วนที่ใช้คิดไป และเข้าสู่สภาวะฝัน

การจดบันทึกความฝันจึงอาจเป็นประโยชน์ วางปากกากับกระดาษไว้ใกล้ ๆ เตียงนอน ทันทีที่ตื่นให้เขียนความฝันลงไปอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนไปทำสิ่งอื่นใดอย่าเคลื่อนไหวหากไม่จำเป็น เพราะเพียงเบือนหน้า ความฝันก็อาจหลุดเลือนไปจากความทรงจำ

จิตของผู้เริ่มต้น

ราว 3,000 ปีที่แล้วในประเทศจีน เกมกระดานแนววางกลยุทธ์ ที่เรียกว่าหมากล้อมหรือโกะได้ถูกพัฒนาขึ้น นอกจากจะเป็นเกมกระดานที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ยังมีผู้เล่นอย่างต่อเนื่องแล้ว มันยังเป็นเกมที่ซับซ้อนที่สุดเกมหนึ่งด้วย ในโลกยุคใหม่สำหรับชุมชนนักพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ การเอาชนะเกมหมากล้อม กลายเป็นเป้าหมายอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะรูปแบบการเดินหมากบนกระดานที่เป็นไปได้นั้นมีมากมาย จนเชื่อกันว่าคอมพิวเตอร์ไม่ได้มีพลังประมวลผลพอ ที่จะเอาชนะผู้เล่นมนุษย์ฝีมือสูงได้

นักวิทยาศาสตร์ที่พยายามเอาชนะความท้าทายนี้ได้สร้างโปรแกรมชื่อว่าอัลฟ่าโกะ (AlphaGo) โปรแกรมซึ่งเรียนรู้การเล่นหมากล้อมด้วยตัวมันเอง มันศึกษาเกมหมากล้อมในอดีตมากกว่า 100,000 เกม จากนั้นมันก็เล่นแข่งกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งพร้อมท้าชิงบัลลังก์กับปรมาจารย์หมากล้อม ในที่สุดคอมพิวเตอร์ก็ชนะไป 4 จาก 5 เกม และปรมาจารย์นั้นปลดเกษียณถาวรจากการแข่งขัน

การจะเห็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดได้เห็นมาก่อน ล่วงรู้อะไรที่ไม่มีมนุษย์คนใดล่วงรู้มาก่อน อาจต้องเห็นด้วยตาที่ไม่เคยได้เห็น รู้ด้วยจิตที่ไม่เคยได้ขบคิด จิตของผู้เริ่มต้นนี้คือหนึ่งในสภาวะการดำรงอยู่ ที่ยากที่สุดที่ศิลปินจะก้าวเข้าไปสู่ เพียงเพราะต้องปล่อยวางสิ่งที่ประสบการณ์สอนมา จิตของผู้เริ่มต้นนั้นเริ่ม ณ ที่อันบริสุทธิ์อย่างเด็กที่ไม่รู้อะไรเลย มีชีวิตอยู่กับชั่วขณะปัจจุบัน ด้วยความเชื่อตายตัวให้น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ มองอะไร ๆ อย่างที่มันเป็น เช่นที่มันปรากฏให้เห็น ตั้งใจเปิดรับสิ่งซึ่งทำให้ใจเบิกบาน

ในขณะนั้นไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าน่าจะได้ผล ไอเดียอะไรที่คิดไว้ก่อน และขนมธรรมเนียมใด ๆ ที่ยอมรับกันมา ล้วนแล้วแต่จำกัดสิ่งที่เป็นไปได้ มักเชื่อกันว่ายิ่งรู้มากเท่าไหร่ จะยิ่งเห็นความเป็นไปได้ที่มีอยู่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย ความไม่รู้มีพลังมหาศาลอยู่ เวลาเจอกับงานที่ท้าทายความสามารถ หากรับมือกับงานนั้นด้วยความไม่รู้ ก็จะขจัดกำแพงของการรู้มากจนกลายเป็นอุปสรรคออกไป สิ่งซึ่งต้องการเพื่อที่จะทำอะไรให้สำเร็จคือ การไม่รู้ว่ามันเป็นโจทย์ยาก

ประสบการณ์มอบปัญญาให้เอาไว้ใช้งาน แต่มันก็ลดทอนพลังของความไร้เดียงสา ยิ่งยึดติดกับวิธีที่เลือกเพียงใด มันยากที่จะไม่ถูกครอบงำ แม้ประสบการณ์จะไม่ได้เป็นตัวกีดกันสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ แต่มันก็ทำให้เข้าถึงอะไรเหล่านั้นยากขึ้น แรงขับจากบรรพกาลนั้นเต็มไปด้วยปัญญาแต่โบราณ ที่วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ทัน พลังพิเศษในแบบเด็ก ๆ ยังรวมไปถึงการอยู่กับปัจจุบัน ให้ค่ากับการเล่นเหนือสิ่งอื่นใด ไม่สนใจผลลัพธ์ ตรงไปตรงมาอย่างสุดขั้วโดยไม่ต้องคิด

ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ตลอดเส้นทางในประวัติศาสตร์ ล้วนคือผู้ซึ่งรักษาความกระตือรือร้น และความเริงร่าของวัยเยาว์เอาไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเช่นทารกที่โลกหมุนรอบตัวเอง พวกเขาปกป้องศิลปะของตน บางครั้งก็ในทางที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ความต้องการในฐานะผู้สร้างสรรค์มาก่อนสิ่งอื่นใด หลายครั้งราคาที่พวกเขาต้องจ่ายคือ ชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์ การเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งวัยเยาว์ทั้งในงานศิลปะ และในชีวิตนั้นเป็นสิ่งควรค่าใฝ่ใจปรารถนา

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากไม่ได้สั่งสมนิสัย และความคิดตามแบบตายตัวไว้มากเกิน แต่หากเป็นเช่นนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เด็กน้อยไม่ได้มีชุดแนวคิดอ้างอิงเอาไว้ใช้ทำความเข้าใจโลก ซึ่งมันก็อาจช่วยได้ถ้าทำแบบเดียวกันนั้น ลองสัมผัสประสบการณ์กับทุกอย่างราวกับเป็นครั้งแรก หากมองดูอะไร ๆ ที่ปรากฏอยู่รอบตัวราวกับเห็นมันครั้งแรก จะเริ่มตระหนักว่าทั้งหมดนั่นน่าอัศจรรย์เพียงใด

แรงบันดาลใจ

แสงสว่างวาบจากเบื้องบน ไอเดียแบ่งบานขึ้นทันใดในชั่วลมหายใจเข้าเพียงครั้ง ทั้งที่จริง ๆ แล้วอาจต้องทุ่มเทกายใจให้มันบังเกิด แรงบันดาลใจนั้นนิยามด้วยคุณภาพ และปริมาณของสิ่งที่รับมาด้วยความเร็วทันทีทันใด ทำให้ดูราวกับไม่อาจประมวลผลมันได้เลย แรงบันดาลใจคือเชื้อเพลิงจรวด ที่จ่ายไฟให้คำว่า inspiration นั้นมาจากภาษาละติน inspirare ซึ่งแปลว่าหายใจเข้า หรือพัดเข้าไป

ปอดจะดึงอากาศเข้าไปได้ มันจะต้องว่างเสียก่อน จิตก็เช่นกัน หากจะดึงแรงดันดาลใจเข้ามาได้ มันก็ต้องมีพื้นที่พร้อมต้อนรับสิ่งใหม่ จักรวาลแสวงหาสมดุลเสมอ ดังนั้น ด้วยความว่างที่เปิดไว้ เท่ากับได้เชื้อเชิญพลังงานเข้ามาเติม หลักการนี้ใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิต การจะเปิดพื้นที่ให้แรงบันดาลใจ อาจต้องฝึกทำให้จิตเงียบลง ไม่ว่าจะด้วยการทำสมาธิ การฝึกระลึกรู้ตัว การฝึกนิ่งเงียบ การเพ่งพินิจ การสวดภาวนา พิธีกรรมใด ๆ ที่ช่วยให้ปกป้องสิ่งรบกวน และความคิดที่สูงเกินเรื่องราว

ลมหายใจเองคือพาหนะทรงประสิทธิภาพ ในการบรรเทาความฟุ้งซ่าน สร้างพื้นที่และเปิดรับ แม้ไม่อาจรับประกันได้ว่า แรงบันดาลใจจะบังเกิด เมื่อแรงบันดาลใจเกิดขึ้น มันจะปลุกพลังได้เสมอ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งพาได้ ไม่อาจควบคุมแรงบันดาลใจ และมันเป็นของหายาก ต้องใช้ความอดทน และต้องหยิบยื่นคำเชิญออกไป หากอย่างไร้ซึ่งแรงบันดาลใจ อาจหันไปทำงานส่วนอื่น ๆ ของโปรเจกต์ที่ไม่ต้องอาศัยมัน

ทุกอย่างที่เห็นบนโลกใบนี้ มีศักยภาพที่จะสร้างความตกตะลึง หากไม่ได้มองมันจากมุมมองซ้ำซาก จงฝึกให้ตัวเองเห็นความอัศจรรย์เบื้องหลังสิ่งซึ่งปรากฏอยู่ชัด มองโลกจากมุมนี้ได้บ่อยเท่าที่จะทำได้ ดื่มด่ำกับมัน ความงดงามรอบตัวสร้างความลุ่มลึกให้ชีวิตได้ในหลายทาง มันสมบูรณ์ในตัวเอง และมันมอบแบบอย่างให้กับงาน อาจมุ่งมั่นพัฒนาดวงตาให้มองเห็นความสอดประสาน และสมดุลราวกับผลงานที่สร้างสรรค์อยู่ที่นี่มาโดยตลอด

หากโชคดีพอที่จะได้ปะทะเข้ากับแรงบันดาลใจ ให้ใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงนั้นอย่างเต็มที่ อาจอิ่มอยู่ในพลังงานแห่งชั่วขณะ ซึ่งน้อยคนนักจะเข้าถึงจากที่มันยังคุกรุ่น ถ้ายังไหลล่องไปได้ก็จงไปต่อ ภารกิจของศิลปินก็แค่การรู้ถึงสัญญาณที่ส่งมา และอยู่กับมันด้วยความรู้สึกขอบคุณ จนมันดับลงตามครรลองของมัน หากว่ากันตามลำดับความสำคัญ แรงบันดาลใจต้องมาก่อน จากนั้นก็เป็นตัวศิลปิน ส่วนผู้ชมมาทีหลังสุด

ลองทุกสิ่ง

เมื่อนำองค์ประกอบพื้นฐานธรรมดาในชีวิตมารวมกันมักทำนายผลลัพธ์ได้ แต่ในการสร้างงานศิลปะ ผลรวมสุดท้ายของส่วนประกอบต่าง ๆ มักผิดไปจากความคาดหวัง ทฤษฎีและการปฏิบัติไม่ได้ไปด้วยกันตลอด สูตรที่ได้ผลเมื่อวานอาจไม่ได้ผลในวันถัดไป บางครั้งวิธีแก้ปัญหาที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว กลับเป็นประโยชน์น้อยที่สุด ระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงนั้นมีช่องว่างอยู่ ไอเดียหนึ่งอาจดูบรรเจิดมากในความคิด แต่พอนำมาปฏิบัติอาจไม่ได้ผลเลย อีกไอเดียที่ดูมืดมนในตอนแรก แต่พอได้ลงมือทำจริงกับกลายเป็นสิ่งที่มองหา

การปรับตกไอเดียบางอย่าง เพราะมันไม่ได้ผลในความคิดนั้น เป็นภัยต่องานศิลปะ ทางเดียวที่จะรู้แน่ชัดว่าไอเดียใดก็ตามได้ผลหรือไม่คือ ต้องทดลอง ถ้ามองหาไอเดียที่ดีที่สุดจงทดลองทุกอย่าง บางทีอาจใช้กฎชั่วคราวที่ว่า ไม่มีไอเดียไหนแย่ จงทดลองมันให้หมด แม้กระทั่งกับไอเดียที่ดูน่าเบื่อหรือไม่น่าได้ผล ผลลัพธ์อาจดีกว่าที่จินตนาการไว้มาก มันอาจเป็นตัวเลือกที่ลงตัวอย่างที่สุด หรือเป็นอย่างที่คาดคิดไว้ทุกอย่าง

แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร กระบวนการทดลองนั้นจะให้อะไรบางอย่าง ยอมให้ตัวเองได้ผิดพลาด และได้สัมผัสความสุขของการได้ตื่นเต้นประหลาดใจ ยอมให้ชิ้นงานเติบโตไปในทิศทางที่มันปรารถนา พัฒนาไปตามสถานะตามธรรมชาติของมัน และได้มีชีวิตของมันเอง จงสนุกกับการเดินทางผ่านทุกก้าวย่างแห่งการเปลี่ยนผ่าน เพื่อเผยรูปโฉมที่แท้จริง

ทำลายความซ้ำซาก

ช่วงการลงมือทำนั้น จะมีจุดที่เจอทางตัน ที่ทำอย่างไรก็เขียนงานให้ดีขึ้นไม่ได้ ก่อนที่จะเดินหนีงานชิ้นนั้นไป มันคุ้มที่จะลองหาทางทำลายความซ้ำซาก และปลุกความตื่นเต้นที่มีต่องานนั้นขึ้นมาใหม่ ราวกับว่าเพิ่งได้จับมันเป็นครั้งแรก

ก้าวเล็ก ๆ เพื่อผลักดัน เมื่อเกิดภาวะตื้อตันให้ลองทำงานชิ้นเล็ก ๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะออกมาดีหรือแย่ ตราบใดที่ยังคงทำอยู่เสมอ ในที่สุดก็จะเริ่มทำได้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดคิดไว้มาก

เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ถ้าอยากได้คุณภาพการทำงานที่ต่างออกไป การเปลี่ยนองค์ประกอบสักอย่าง ในสภาพแวดล้อมนั้นช่วยได้ การเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึก จะช่วยทำลายสายโซ่แห่งความซ้ำซาก ในการทำงานครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เข้าถึงวิธีการที่ต่างไปอีกระดับ

เปลี่ยนเดิมพัน นอกจากการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ยังเปลี่ยนบางอย่างจากภายในได้ เมื่อศิลปินวงหนึ่งจินตนาการว่า นี่คือการเล่นเพลงเพลงนี้เป็นครั้งสุดท้าย เขาจะเล่นมันในแบบที่ต่างจากตอนที่มันเป็นแค่การเล่นอีกรอบ หรือบางครั้งเดิมพันเล็ก ๆ อย่างการซ้อม 1 ครั้งก่อนบันทึกเสียงจริง ๆ ก็ทำให้เวอร์ชั่นนี้กลับกลายเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

ให้มีผู้ชม ถ้าศิลปินทำได้ดีเวลาอยู่หน้าฝูงชน อาจให้มีผู้คนมาดูมากันซักซ้อม การมีคนดูอยู่นั้นอาจเปลี่ยนพฤติกรรมของศิลปินได้ ขณะที่ศิลปินบางคนอาจเล่นใหญ่กว่าปกติมาก บางคนอาจเล่นแบบออมมือ แต่ส่วนใหญ่ก็จะตั้งใจมากขึ้น เมื่อมีคนอื่นอยู่ตรงนั้น มีแนวโน้มจะทำในแบบที่ต่างไปเช่นกัน เมื่อมีผู้ชมอยู่ตรงนั้น เป้าหมายคือการหาปัจจัยต่าง ๆ ที่จะทำให้แสดงอย่างดีที่สุด ในต่างกรรมต่างวาระ

เปลี่ยนบริบท อาจลองสลับเปลี่ยนปัจจัยหลาย ๆ แบบ แล้วดูว่าอะไรดึงการแสดงที่ดีที่สุดออกมาได้

เปลี่ยนมุมมอง ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด เมื่อต้องทำงานที่ท้าทายให้สำเร็จ มักจะมีวิธีออกแบบสภาพแวดล้อม เพื่อผลักดันประสิทธิภาพแบบที่ต้องการอย่างเป็นธรรมชาติ การจัดแสงให้ผู้แสดงเห็นหน้าเห็นตาฝูงชนหรือไม่เห็นนั้น จะเปลี่ยนโฉมหน้าการแสดงครั้งนั้นไปเลย ถ้าผู้แสดงใส่หูฟังเพื่อฟังเสียงดนตรีไปด้วย เขาก็จะได้ยินแต่ดนตรีที่วงแสดงอยู่ ไม่ใช่ปฏิกิริยาของผู้ชม ซึ่งมันต่างมากจากการที่ได้ยินเสียงกู่ร้องก้องตะโกนของฝูงชนผสมเข้ามาด้วย

เขียนให้คนอื่น ลองจินตนาการว่า ศิลปินคนโปรดขอให้ช่วยเขียนเพลงสำหรับอัลบั้มถัดไปของเขา ดูว่าเพลงจะออกมาเป็นอย่างไร การสร้างอะไรสักอย่างที่น่าตื่นเต้น ที่จะได้ชมศิลปินคนโปรดแสดงนั้น ช่วยตัดทอนความเป็นส่วนตัวออกจากกระบวนการ ผู้เขียนจะเป็นอิสระจากตัวตนของตัวเอง นำข้อนี้ไปใช้กับงานที่ละเอียดประณีตได้ทุกอย่าง ถ้าเป็นนักวาดการให้ศิลปินคนโปรดช่วยสร้างงานชิ้นใหม่ อาจช่วยเปิดช่องทางใหม่ ๆ ที่พาไปสู่ผลลัพธ์น่าสนใจ จะช่วยได้มากหากก้าวออกจากตัวเอง ไปสู่ขอบข่ายความช่ำชองของใครอีกคน

เติมจินตนาการเข้าไป ให้นึกถึงภาพหรือเรื่องราวบางอย่าง หรือไม่ก็จินตนาการว่า กำลังทำดนตรีประกอบให้หนังสักเรื่องแล้วจึงเริ่มเล่น ท่วงทำนองมักจะดำเนินไปในทิศทางที่เข้มข้นขึ้น

จำกัดข้อมูล โดยทั่วไปแล้วหลักการคือ ปกป้องและจำกัดไม่ให้คนที่ทำงานได้เจอประสบการณ์ใด ๆ ที่อาจขัดขวางกระบวนการสร้างสรรค์ จำกัดข้อมูลให้เหลือแค่ร่างที่คร่าวที่สุด ถ้าอยากให้คนทำงานสร้างสรรค์ใส่ทั้งหมดของตัวเขาลงไปกับอะไรบางอย่าง จงให้เขามีอิสระมากที่สุดในการทำมัน ความมุ่งหมายอยู่ที่การสร้างมุมมอง และสภาพการทำงานที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อดูว่ามันนำพาไปลงเอยที่ใด

ถ้าจะลองวิธีนี้ก็ไม่ต้องกลัวที่จะปรับเปลี่ยนปัจจัยใด ๆ ระหว่างทาง หรือจะเลิกใช้ทั้งหมดนั่น เมื่อถึงเวลาแบบฝึกหัดพวกนี้ ที่แท้แล้วก็ไม่ได้สำคัญมากมาย จุดหมายคือการวางโครงสร้าง ที่จะพาพ้นจากวิธีการเดิม ๆ และพบหนทางใหม่ ๆ เบื้องหน้า

ทัศนคติแห่งความเหลือเฟือ

สายธารแห่งวัตถุดิบไหลผ่านตัวเราอยู่เสมอ เมื่อแบ่งปันผลงานและไอเดียสร้างสรรค์ออกไป มันก็ถูกเติมกลับเข้ามาใหม่ ถ้ากีดกั้นสายน้ำโดยกักเก็บทั้งหมดไว้ภายใน สายน้ำก็ไม่อาจไหลไปได้ และไอเดียใหม่ ๆ ก็เกิดได้ช้าลง ในวิธีคิดแห่งความอุดมสมบูรณ์ สายน้ำไม่เคยเหือดแห้ง ไอเดียนานาหลั่งไหลผ่านเข้ามาเสมอ และศิลปินก็เป็นอิสระที่จะปลดปล่อยมัน ด้วยศรัทธาว่าจะมีมาอีกเรื่อย ๆ

ถ้าอยู่กับวิธีคิดแห่งความขาดแคลน การเลือกอยู่กับความขาดแคลน จะนำไปสู่ความชงักงัน วิธีคิดแต่ละแบบย้ำเตือนถึงกฎแห่งจักรวาลข้อหนึ่งนั่นคือ ไม่ว่าจดจ่อกับอะไรจะได้สิ่งนั้น ถ้าจิตสร้างโลกที่มีขีดจำกัด ที่ซึ่งคิดว่ามีไอเดียและวัตถุดิบที่ควรค่าไม่เพียงพอ ก็จะไม่เห็นแรงบันดาลใจที่จักรวาลกำลังจัดสรรให้

ในโลกแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีขีดความสามารถมากกว่านั้น ที่จะทำงานให้เสร็จสิ้นและปล่อยมันออกไป เมื่อมีไอเดียอยู่มากมายให้หยิบใช้ และมีศิลปะชั้นยอดหลากหลายให้สรรค์สร้าง ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าร่วม ปล่อยผ่าน แล้วก้าวต่อ เมื่อตระหนักรู้เรื่องความอุดมสมบูรณ์ จะเปี่ยมด้วยความหวังว่า มีนานาไอเดียสุดบรรเจิดรออยู่ และงานชิ้นสุดยอดนั้นก็ยังมาไม่ถึง จึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแรงผลักเชิงสร้างสรรค์ มีอิสระที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ปล่อยมันไป ทำสิ่งต่อไป และปล่อยมันไป

ความยอดเยี่ยม

แก่นแท้ของศิลปะชั้นยอด ไม่ได้ทำมันด้วยจุดประสงค์อื่นใด นอกจากการสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม ใส่ทั้งหมดลงไปในงานทุกงาน ไม่ว่าจะมีปัจจัยควบคุมหรือข้อจำกัดใดมาเกี่ยวข้อง ให้มองว่ามันเป็นเช่นการเช่นสรวงบูชา เป็นการอุทิศกระทำ ทำดีที่สุด เพราะมองเห็นอะไรที่ดีที่สุด ด้วยรสนิยมของตัวเอง หาใช่ของใครอื่น สร้างงานศิลปะเพื่อที่จะอิงอาศัยในนั้น

การวัดความยอดเยี่ยมนั้นเป็นเรื่องตามแต่ละปัจเจก ศิลปะเองก็เช่นกันไม่มีมาตรวัดชัดเจน การกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ การยึดติดกับผลลัพธ์ การแข่งขันกับผลงานอดีต ข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร ความทะยานอยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก หรืออะไรที่นอกเหนือจากการพูดว่า อยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ล้วนบ่อนทำลายแรงขับเคลื่อนบนเส้นทางสู่ความยอดเยี่ยม

แทนที่จะใส่ใจว่าการทำสิ่งนี้จะนำพาอะไรมาให้ จงใส่ใจสิ่งที่มอบให้แก่ศิลปะชิ้นนี้อย่างไม่มีข้อแม้ เพื่อให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เพียงประสงค์จะทำผลงานให้ดีเยี่ยม แรงกระเพื่อมก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไร นั่นเท่ากับได้สร้างมาตรฐานขึ้นมา มันไม่เพียงยกระดับงานให้สูงขึ้น แต่ยังยกระดับแรงสั่นสะเทือนทั้งชีวิตให้สูงขึ้นได้ มันอาจถึงกับเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น สร้างผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขาบ้าง ความยอดเยี่ยมก่อกำเนิดความยอดเยี่ยม มันติดต่อกันได้คล้ายโรคติดต่อ

แก่นแท้

งานทุกอย่างที่ทำ ไม่ว่าจะซับซ้อนมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใด ล้วนมีแก่นแท้ซ่อนอยู่ มันคือตัวตนหลักหรือโครงสร้างพื้นฐาน เหมือนโครงสร้างกระดูกที่พยุงเนื้อหนัง บางคนอาจเรียกมันว่า ความเป็นสิ่งสิ่งนั้น ศิลปะแต่ละชิ้นมีคุณสมบัติสำคัญเฉพาะตัว ที่ทำให้มันเป็นมัน มันอาจเป็นหัวข้อที่สื่อสารหลักการจัดการ มุมมองของตัวศิลปิน คุณภาพของผลลัพธ์ วัสดุ อารมณ์ที่ส่งออกมา หรือองค์ประกอบเหล่านั้นปน ๆ กัน อะไรก็ตามในสิ่งเหล่านี้ มีบทบาทสร้างแก่นแท้ได้ทั้งสิ้น

การฝึกกลั่นกรองงานจนเข้าใกล้แก่นแท้ให้มากที่สุดนั้น มีประโยชน์และบ่งบอกอะไรได้มากมาย ลองคิดดูว่าจะสามารถตัดอะไรออกไปได้บ้าง ในสิ่งที่กำลังทำจนกว่ามันจะเริ่มไม่ใช่สิ่งที่กำลังทำ ขัดเกลามันจนถึงจุดที่เปลือยเปล่า อยู่ในรูปโฉมที่มีการตกแต่งน้อยที่สุด แต่ยังคงสมบูรณ์โดยไม่ต้องเสริม ไม่ต้องเพิ่ม บางครั้งการประดับตกแต่งก็มีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ น้อยแต่มากนั้นเป็นธรรมดา

ตระหนักรู้ตัว

ครั้งยังเป็นเด็ก มีน้อยคนที่ถูกสอนให้เข้าใจ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วระบบการศึกษา ไม่ได้ขอให้เข้าถึงความอ่อนไหวของตัวเอง แต่ให้เชื่อฟัง ให้ทำอย่างที่ถูกคาดหวัง จิตวิญญาณอิสระอันเป็นธรรมชาติถูกกล่อมให้เชื่อง ความคิดเสรีถูกจำกัดกรอบ ถูกบังคับให้อยู่ในชุดของกฎ และความคาดหวังที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสำรวจว่า คือใครและทำอะไรได้บ้าง ระบบไม่ได้มีไว้เพื่อประโยชน์ของคนเรา แต่มันกลับยับยั้งในฐานะปัจเจก เพื่อให้ตัวมันเองได้ดำรงอยู่ต่อไป สิ่งนี้ยิ่งบั่นทอนการคิด และการแสดงออกอย่างเสรีในฐานะศิลปิน

ภารกิจไม่ใช่การกลมกลืน หรือคิดเหมือนที่คนอื่น ๆ คิดอยู่ จุดประสงค์คือการให้ค่า และพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง และโลกรอบ ๆ ตัว การตระหนักรู้ตัวช่วยให้รับฟังว่า กำลังเกิดอะไรในร่างกาย และจับสังเกตพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งที่ฉุดดึงไปข้างหน้า และผลักไสออกไป บางครั้งมันลึกซึ้งแผ่วเบา บางคราวก็เข้มข้น สำหรับศิลปินนิยามของคำว่า การตระหนักรู้ตัวนั้นเกี่ยวโยงโดยตรงกับวิธีที่เชื่อมต่อกับประสบการณ์ภายใน ไม่ใช่วิธีที่โลกภายนอกมอง

ยิ่งรับรู้เกี่ยวกับตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นมากเพียงใด ยิ่งตัดขาดจากสรรพสิ่ง และมีพลังงานไว้ใช้เพื่อการสร้างสรรค์น้อยลงเท่านั้น การตระหนักรู้ตัวคือการข้ามพ้น คือการละทิ้งอัตตา คือการปล่อยวาง

ความคาดหวังอันยิ่งใหญ่

เมื่อเริ่มจับงานชิ้นใหม่ มักประสบกับความกังวล ความกังวลนั้นมาเยือนทุกคน ไม่ว่ามีประสบการณ์มากเพียงใด ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ หรือเตรียมพร้อมแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่จะช่วยสกัดกั้นความกังวลเหล่านี้ และช่วยให้ก้าวต่อไปคือ ความเชื่อมั่นในกระบวนการ เวลานั่งลงทำงาน จำไว้ว่าผลลัพธ์ไม่ใช่อะไรที่จะควบคุมได้ ไม่ได้ทำงานที่คาดหวังปาฏิหาริย์ แต่ทำงานในฐานะนักวิทยาศาสตร์จงทดลอง ปรับเปลี่ยนแล้วทดลองซ้ำอีก ทดลองแล้วต่อยอดผลลัพธ์ที่ได้ ความเชื่อมั่นศรัทธานำมาซึ่งรางวัล ที่อาจจะมากกว่าพรสวรรค์ หรือความสามารถเสียด้วยซ้ำ

ในกระบวนการทดลอง ต้องอนุญาตให้ตัวเองได้ทำผิดพลาดได้ หลุดหลงไปไกลได้ ไปให้ไกลออกไปอีกได้ เป็นคนโง่เซ่อ ไม่มีคำว่าล้มเหลว เพราะทุก ๆ ก้าวล้วนจำเป็นต่อการไปถึงจุดหมาย รวมถึงทุกก้าวที่พลาด การทดลองแต่ละครั้งมีคุณค่าในแบบของมัน หากได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง หรือต่อให้ไม่เข้าใจคุณค่าของมัน ก็ยังได้ฝึกปรือทักษะจนเข้าใกล้ความเชี่ยวชาญมากมายกว่าที่เคย นานวันไปเมื่อทำงานเสร็จสมบูรณ์ไปหลายชิ้นแล้ว ความศรัทธาในการทดลองจะเติบโตขึ้น ด้วยความเข้าใจว่า กระบวนการจะนำพาไปยังที่ซึ่งต้องการจะไป ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะปรากฏโฉมหน้าออกมาเช่นไร

จบลงเพื่อเริ่มใหม่ (การเกิดใหม่)

คนเราต่างเป็นส่วนหนึ่งในวงจรการเกิดตายและเกิดใหม่ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ร่างกายเสื่อมสลายสู่พื้นดิน เพื่อนำพาชีวิตใหม่มาสู่โลก จิตที่เปี่ยมพลังถูกนำกลับสู่จักรวาล เพื่อรับมอบเป้าประสงค์ใหม่ ศิลปะดำรงอยู่ในวงจรการตายและเกิดใหม่เดียวกันนี้ เข้าร่วมในวงจรกับมัน ด้วยการทำงานให้เสร็จสิ้นเพื่อเริ่มต้นใหม่ ชีวิตก็เหมือนกัน แต่ละชีวิตจบลงเพื่อเปิดทางให้การเริ่มต้นที่สดใหม่ หากทุ่มจิตทุ่มใจให้กับงานสักชิ้น จนถึงจุดที่เชื่อว่ามันคือภารกิจแห่งชีวิต จะไม่เหลือพื้นที่ให้ภาระกิจใหม่ได้เติบโตขึ้น

แม้ความยอดเยี่ยมคือเป้าหมายของศิลปินก็จริง แต่การก้าวต่อไปก็เช่นกัน เพื่อประโยชน์ของงานชิ้นต่อไป ต้องทำงานที่ทำอยู่ให้เสร็จสิ้นเสีย และเพื่อประโยชน์ของงานที่ทำอยู่ ทำมันให้เสร็จเพื่อปลดปล่อยมันออกสู่โลกกว้าง การเผยแพร่ศิลปะออกไปคือ ราคาที่ต้องจ่ายในการสร้างสรรค์มัน การเผยความเปราะบางคือค่าธรรมเนียม ศิลปินทุกคนสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่หยุดนิ่ง สร้างพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่บรรจุไว้ซึ่งวัตถุอันเสร็จสมบูรณ์ สร้างผลงานชิ้นแล้วชิ้นเล่า เริ่ม จบ ปล่อย เริ่ม จบ ปล่อยเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า งานแต่ละชิ้นคือตราประทับบอกเวลา เพื่ออุทิศแด่การเดินทางผ่านช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ช่วงเวลาที่อบอวนด้วยพลังงาน ซึ่งตอนนี้จะสถิตอยู่ในผลงานแห่งศิลปะตลอดไป

ปัญหาของความจริงใจ

ศิลปินส่วนใหญ่ให้ข้ากับความจริงใจมากเกินไป ทว่าความจริงใจนั้นเป็นคุณลักษณะที่จับต้องยาก มันต่างจากเป้าหมายอื่น ๆ หากความยอดเยี่ยมคือเป้าหมายอันควรค่า การสนใจจดจ่ออยู่กับความจริงใจนั้นไม่ได้เป็นผลดีต่องาน ยิ่งพยายามเอื้อมคว้ามัน จะยิ่งหดถอยออกไป เมื่อใดที่งานพยายามนำเสนอตัวเองว่า ตัวมันมีความจริงใจ มันอาจถูกมองว่าเป็นความหวานปลอม ๆ แทน

ในงานศิลปะความจริงใจเป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ควรเป็นเป้าหมายหลัก คนเราอย่าคิดว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่คงเส้นคงวามีเหตุมีผล คุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใช่อย่างอื่น แต่คนที่คงเส้นคงวาโดยสมบูรณ์ไม่มีความขัดแย้งอะไรในตัวเองเลย กลับดูไม่ค่อยเหมือนคนจริง ๆ แห้งแล้งแข็งกระด้างเหมือนไม้เหมือนพลาสติก

ด้านที่สัตย์จริงและไร้เหตุผลที่สุดของคนเรามักจะซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเข้าถึงมันได้ด้วยการสร้างสรรค์ศิลปะ การสร้างสรรค์คือ กระบวนการเสาะสำรวจเพื่อค้นพบวัตถุดิบซึ่งอยู่ภายใน จะไม่พบมันเสมอไป หากพบก็ใช่ว่าจะเข้าใจมันได้ ตัวตนบางด้านก็ไม่ชอบถูกเข้าถึงแบบตรง ๆ โจ่งแจ้ง มันชอบเปิดเผยตัวอย่างอ้อม ๆ ในแบบของมันเอง คล้ายเหตุบังเอิญ

ศิลปะทั้งมวลคือบทกวี ศิลปะลึกซึ้งกว่าความคิด ลึกซึ้งมากกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง มันเจาะผ่านกำแพงภายใน เข้าสู่อะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หากยอมหลีกทางแล้วปล่อยให้ศิลปะทำงานของมัน อาจเข้าถึงความจริงใจที่แสวงหา และความจริงใจนั้นอาจดูไม่คล้ายอะไร ที่คาดไว้แม้แต่น้อย

เราสร้างศิลปะไปทำไม

คนที่เลือกอยู่บนเส้นทางศิลปินนั้น ไม่ได้มีทางเลือก รู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันให้เข้าร่วม ราวกับด้วยสัญชาตญาณดึกดำบรรพ์บางอย่าง คนเราเดินไปตามสัญชาตญาณนี้ การปฏิเสธมันทำให้รู้สึกขาดโหวง ราวกับกำลังฝืนธรรมชาติ หากลองถอยออกไปมอง จะเห็นว่าแรงกระตุ้นที่ไม่อาจเห็นได้นี้อยู่ตรงนั้นเสมอ ชี้ชวนให้มุ่งหมายไปไกลกว่าตัวเอง ในชั่วขณะที่รู้สึกว่างานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มันจะเกิดคลื่นพลังงานบางอย่าง ตามด้วยแรงกระตุ้นให้แบ่งปันเผยแพร่มันออกไป ด้วยหวังว่ามันจะไปผลิตพลังงานทางอารมณ์อันลึกลับนี้ในตัวผู้อื่นต่อไป

นี่คือเสียงเพรียกให้แสดงออกซึ่งตัวตนคือ เป้าประสงค์ในการสร้างสรรค์ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และไม่ต้องมีใครมาเข้าใจวิถีแห่งการมอง เพื่อจุดเสียงสะท้อนในตัวผู้อื่น ศิลปะคือเสียงก้องสะท้อนของชีวิตซึ่งไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า ในฐานะมนุษย์คนเรามาถึงและจากไปอย่างรวดเร็ว สร้างสรรค์ผลงานอันจะตั้งตระหง่านเยี่ยงอนุสรณ์ต่อช่วงเวลาที่นี่ได้ มันคือเครื่องยืนยันอันคงทนแห่งการดำรงอยู่ว่าเคยอยู่ที่นี่

เมื่อแบ่งปันมุมมองออกสู่โลก คนอื่น ๆ ก็ได้เห็นมุมมองนั้น ก็ถูกหักเหโดยตัวกรองของพวกเขา และส่งต่ออีกครั้ง กระบวนการนี้เกิดขึ้นทุกชั่วขณะ และไม่เคยหยุด เมื่อทั้งหมดนั่นรวมกัน มันกลายเป็นสิ่งซึ่งมีประสบการณ์กับมันในฐานะความเป็นจริง งานทุกชิ้นไม่ว่าจะดูเล็กน้อยไม่สลักสำคัญแค่ไหน ล้วนมีบทบาทอยู่ในวงจรที่ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ ฟื้นฟูตัวเองตลอดเวลา ศิลปะก็วิวัฒน์ไปด้วยวิธีนี้เอง จึงได้เผชิญหน้ากับโลกภายใน ซึ่งแผ่ออกสู่ภายนอก ลบขอบเขตแห่งการแบ่งแยก และเข้าร่วมกับความทรงจำอันยิ่งใหญ่ที่ว่า มายังโลกนี้พร้อมกับการหยั่งรู้ในสิ่งหนึ่งนั่นคือ ไม่มีการแบ่งแยกเป็นหนึ่งเดียว

สิ่งที่บอกตัวเอง

มีเรื่องราวที่รับรู้เกี่ยวกับตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็น มีเรื่องราวที่รับรู้เกี่ยวกับงาน และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่งานนั้นเป็น ความพยายามทั้งหมดในการจะเข้าใจตัวเองและงานนั้นคือม่านควัน คือสิ่งอันคลุมเครือ มันไม่ได้ช่วยมอบทางสว่าง ทว่ามันพาไปผิดทาง ไม่มีทางรู้ได้ว่าอะไรไม่สำคัญ และอะไรคือแกนแก่น หรือว่าอะไรที่หยิบยื่นให้ไปนั้นมีความหมายเช่นไร

บอกเล่าเรื่องราวมากมายกับตัวเองว่าเป็นใคร และงานนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างไร แต่ทั้งหมดนั่นไม่ได้สลักสำคัญ ทั้งหมดทั้งปวงที่สำคัญคือ ตัวงานคือศิลปะ ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างแท้จริง และการที่ผู้คนรับรู้มันอย่างไร ผลงานแห่งศิลปะคือจุดที่องค์ประกอบล้วนบรรจบกัน ทั้งจักรวาลแห่งตัวตน สิ่งอัศจรรย์ และวิถีปฏิบัติในการแปลงไอเดียออกมาเป็นเนื้อเป็นตัว แม้กับสิ่งซึ่งรับรู้ว่าเป็นความผันแปรโกลาหล ก็ยังมีระเบียบและแบบแผนอยู่ในนั้น.