อุปสงค์ของเงิน (Demand for Money)
อุปสงค์ของเงิน (Demand for Money) หมายถึง ปริมาณความมั่งคั่งที่ครัวเรือนและบริษัทในระบบเศรษฐกิจเลือกที่จะถือครองในรูปของเงิน โดยมีเหตุผลหลักในการถือครองเงิน 3 ประการ ได้แก่
1. อุปสงค์เพื่อการทำธุรกรรม (Transaction Demand)
การถือครองเงินเพื่อใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับ GDP แท้จริง (Real GDP) กล่าวคือ เมื่อ GDP เพิ่มขึ้น ขนาดและจำนวนของธุรกรรมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ความต้องการถือครองเงินเพื่อการทำธุรกรรมเพิ่มสูงขึ้น
2. อุปสงค์เพื่อการระมัดระวัง (Precautionary Demand)
การถือครองเงินเพื่อรองรับความต้องการที่ไม่คาดคิดในอนาคต โดยเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่จะมีความต้องการถือครองเงินประเภทนี้สูง และในภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ ปริมาณอุปสงค์เพื่อการระมัดระวังจะเพิ่มขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ
3. อุปสงค์เพื่อการเก็งกำไร (Speculative Demand)
การถือครองเงินเพื่อรอโอกาสในการลงทุนในอนาคต โดยมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับผลตอบแทนที่มีในตลาด กล่าวคือ:
- เมื่อพันธบัตรและเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ให้ผลตอบแทนสูง นักลงทุนจะเลือกนำเงินไปลงทุนมากกว่าถือครองเงินไว้เพื่อการเก็งกำไร
- ในทางกลับกัน อุปสงค์เพื่อการเก็งกำไรจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการรับรู้ความเสี่ยงในเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ หากตลาดมีความเสี่ยงสูง ผู้คนจะเลือกถือครองเงินแทนการลงทุน
ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและปริมาณเงิน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณเงินที่ครัวเรือนและบริษัทต้องการถือครอง โดย:
- เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ: ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองเงินต่ำ ทำให้เลือกถือครองเงินมากขึ้น
- เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูง: ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองเงินสูง จึงเลือกถือครองเงินน้อยลงและหันไปถือครองสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนแทน
อุปทานของเงิน (Money Supply)
อุปทานของเงินถูกกำหนดโดยธนาคารกลาง และไม่ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย ทำให้เส้นอุปทานของเงินมีลักษณะตั้งฉาก (perfectly inelastic) ดังแสดงในกราฟ
ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยอยู่สูงกว่าจุดสมดุล จะเกิดอุปทานส่วนเกินของเงิน ทำให้บริษัทและครัวเรือนต้องการลดการถือครองเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์ ส่งผลให้:
- ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง
ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าจุดสมดุล จะเกิดอุปสงค์ส่วนเกินของเงิน ทำให้:
- เกิดการขายหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มการถือครองเงิน
- ราคาหลักทรัพย์ลดลง
- อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น
บทบาทของธนาคารกลางในการควบคุมอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางสามารถควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นผ่านการเพิ่มหรือลดปริมาณเงิน โดย:
1. การเพิ่มปริมาณเงิน:
- ทำให้เส้นอุปทานเงินเคลื่อนตัวไปทางขวา
- เกิดแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยลดลง
- ตัวอย่างเช่น การเพิ่มปริมาณเงินทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 5% เป็น 4%
- กลไก: เมื่อมีเงินส่วนเกิน ครัวเรือนและบริษัทจะซื้อหลักทรัพย์ ทำให้ราคาหลักทรัพย์สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยลดลง
2. การลดปริมาณเงิน:
- ทำให้เกิดอุปสงค์ส่วนเกินของเงิน
- นำไปสู่การขายหลักทรัพย์
- ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น
ด้วยกลไกนี้ ธนาคารกลางจึงสามารถใช้การควบคุมปริมาณเงินเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
สรุป
ทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานของเงินเป็นการทำความเข้าใจระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม อุปสงค์ของเงินที่มาจากทั้งความต้องการทำธุรกรรม การสำรอง และการเก็งกำไร ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินของผู้คนและองค์กรในระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่อุปทานของเงินถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การทำงานร่วมกันของกลไกทั้งสองด้านนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของระบบการเงินสมัยใหม่ และมีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจทางการเงินและการลงทุนของทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ