ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) เป็นการคำนวณมูลค่าของสินทรัพย์ต่างๆเมื่อเวลาผ่านไป มีศัพท์ 2 คำที่จำเป็นต้องเข้าใจคือ (1) มูลค่าทางบัญชี (Carrying/book value) เป็นมูลค่าปัจจุบันของแต่ละสินทรัพย์ คำนวณได้จากการนำต้นทุนลบด้วยค่าเสื่อมราคาสะสม (Accumulated depreciation) (2) ต้นทุนในอดีต (Historical cost) เป็นราคาที่บริษัทซื้อสินทรัพย์นั้นๆมา บวกกับค่าขนส่งและค่าติดตั้ง เรียกอีกอย่างว่าเป็นส่งลงทุนในสินทรัพย์ขั้นต้น (Gross investment in assets)

ค่าเสื่อมราคาถึงแม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายแบบไม่ใช่เงินสด แต่ก็ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนมีนัยสำคัญกับ Income statement ของบริษัท เราจึงไม่สามารถละเลยค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปได้ขณะที่เราวิเคราะห์งบการเงิน วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาแบ่งออกเป็น 3 วิธีหลักๆ ซึ่งเหมาะกับสินทรัพย์ที่มีรูปแบบการเสื่อมราคาต่างกันออกไป

  1. Straight-line depreciation เป็นวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาที่เรียบง่ายที่สุด เนื่องจากค่าเสื่อมราคาแต่ละงวดจะมีค่าเท่ากัน มีสูตรคำนวณดังนี้

Depreciation expense = (Cost – Salvage value) / Depreciation life

  1. Double-declining balance เป็นการคำนวณค่าเสื่อมราคาที่จะมี Depreciation expense สูงในช่วงเริ่มต้น แล้วก็จะทยอยลดลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป เหมาะใช้งานกัยสินทรัพย์ประเภทเครื่องจักร และรถยนต์ มีสูตรคำนวณดังนี้

Depreciation expense = (2 / Depreciable life in years) x Book value at the beginning of the year

  1. Units-of-production method เป็นการคำนวณค่าเสื่อมราคาตามปริมาณการใช้งาน เช่น จำนวนสินค้าที่ผลิตออกมา ซึ่งทำให้ปีที่มีการผลิตสินค้าจำนวนมากจะมีค่าเสื่อมราคามากกว่าปีที่มีการผลิตน้อย มีสูตรคำนวณดังนี้

Depreciation expense = (Cost – Salvage value) / Total outputs x Output in the period 

การที่สินทรัพย์ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้นที่มีอายุการใช้งาน และค่าเสื่อมราคาที่แตกต่างกัน เราสามารถแยกการคำนวณค่าเสื่อมราคาของแต่ละส่วนแยกจากกันได้ ซึ่งจะทำให้มีความแม่นยำในการประเมินค่าเสื่อมราคามากกว่าการคำนวณค่าเสื่อมจากสินทรัพย์ทั้งชิ้น

นอกจากนี้อายุการใช้งานของแต่ละสินทรัพย์ยังสามารถถูกประเมินใหม่ได้หลังจากทีถูกใช้ไปแล้วในระยะเวลาหนึ่ง โดยที่ Book value ของสินทรัพย์หลังจากที่เพิ่มหรือลดอายุการใช้งานแล้วจะอ้างอิงตาม Book value ปัจจุบัน จะไม่มีการกลับไปคิดค่าเสื่อมราคาย้อนหลังเพื่อเปลี่ยนแปลง Book value

ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) จะมีความคล้ายคลึงกับค่าเสื่อมราคา แต่ใช้กับสินทรัพย์ไร้ตัวตน (Intangible assets) ที่มีอายุการใช้งานจำกัด สำหรับ Intangible assets ที่มีอายุไม่จำกัด เช่น เครื่องหมายการค้า จะไม่ถูกตัดจำหน่าย แต่จะมีการทดสอบการด้อยค่า (Impairment) อย่างน้อยปีละครั้ง

ในบทความต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่อง Impairment ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้เรื่อง Depreciation และมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีความแตกต่างกันระหว่างมาตรฐานบัญชีแบบ IFRS และ U.S. GAAP อีกด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง