สรุปหนังสือ LIGHTER วิชาใจเบา
ผู้เขียนบีบคั้นร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างหนักหน่วง จนกลายเป็นการผลักดันตัวเองออกไปไกลลิบ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 2011 เป็นอีกหนึ่งคืนหลังจากที่พยายามหลบหนี และใฝ่หาความสนุกสนานอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า พบว่าตัวเขาเองนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น หัวใจเต้นแรงจนนึกว่ามันจะระเบิด ในตอนนั้นเขาอายุแค่ 23 แต่เชื่อว่าตัวเองกำลังจะหัวใจวายตายเสียแล้วนอนอยู่บนพื้นราวสองชั่วโมง ขยับตัวไม่ได้ ตอนที่ร่างกายกำลังช็อก จึงได้แต่สวดมสต์อ้อนวอนขอชีวิต ไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกที่สะท้อนไปมาระหว่างความเสียใจกับความขอบคุณ
เหนือสิ่งอื่นใด รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อและอยากเริ่มต้นใหม่อย่างแรงกล้า ความรู้สึกเสียใจและขอบคุณที่สลับกันไปมา จุดประกายไฟแห่งชีวิตในร่างกายขึ้นมาใหม่ ช่วงปีแรกของการสร้างนิสัยเชิงบวก ผู้เขียนพบเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต อาจไม่ได้รู้สึกดีเยี่ยมขึ้นในทันที และก็ไม่ได้มีวันดี ๆ ทุกวันด้วย ต้องต่อสู้หนักหน่วงกับอารมณ์ที่ทำให้หวาดกลัวอยู่ทุกวัน หรือการต่อสู้ในชีวิตจริง การคุมความมุ่งมั่นไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงเวลานั้นจึงมีทั้งช่วงดีและขมขื่น แต่ปณิธานก็ไม่สั่นคลอน มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ
จากนั้นการสร้างนิสัยที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ในช่วงแรก ๆ ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเคยชิน และเมื่อเวลาผ่านไปความสุขก็เพิ่มขึ้น และหัวใจเขาก็แข็งแรงขึ้นด้วย ไม่ว่าอารมณ์จะขุ่นมัวแค่ไหนก็ยังค้นพบความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ จากตรงนั้นถึงตรงนี้ความรู้สึกหนักอึ้ง และพลังงานที่คอยฉุดรั้งแบบเดิม ๆ เริ่มเบาบางลง ในที่สุดความรู้สึกนั้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว และก็เริ่มรู้สึกว่าได้ตัวตนของตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง
ผู้เขียนได้เรียนรู้เรื่องวิปัสสนากรรมฐานในปี 2012 แล้วคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่จะยกระดับการเยียวยาสู่ขั้นต่อไปได้ วิปัสสนาหมายถึงการมองดูสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรทำสมาธิด้วยการงดใช้เสียงเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งจะสอนวิธีชำระจิตใต้สำนึกผ่านการสำรวจตัวเอง เริ่มกระบวนการเยียวยาตัวเองได้ด้วยการฝึกยอมรับความจริงกับตนเอง แต่การเยียวยาด้วยการฝึกสมาธิเป็นระดับที่ลึกยิ่งกว่า ยิ่งทำสมาธิได้ดีขึ้น และเข้าร่วมหลักสูตรทำสมาธิแบบงดใช้เสียงปีละ 2-3 ครั้ง มันไม่เพียงช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นด้วย
ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเลยทีเดียว กว่าจะนั่งสมาธิที่บ้านได้อย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อนั่งสมาธิได้ทุกวัน ในปี 2015 จิตใจก็เบ่งบาน และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น กระทั่งปี 2016 ผู้เขียนก็หยุดดื่มแอลกอฮอล์ หยุดใช้กัญชา และใช้ชีวิตแบบปราศจากสิ่งมอมเมาทั้งหลายได้สำเร็จเด็ดขาด เพราะสิ่งมอมเมาพวกนั้นทำให้ความคิดทึ่มทื่อ ในขณะที่การทำสมาธิเป็นความพยายามทำให้ความคิดปลอดโปร่งโล่งสบาย การหันกลับสู่ภายในด้วยการฝึกสมาธิ ทำให้รู้สึกราวกับได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างใกล้ชิดและความเป็นส่วนตัว เริ่มเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอง รวมถึงได้เรียนรู้ความคิดและจิตใจของมนุษย์
แต่ไม่ใช่ว่าจะช่วงเวลานี้จะสมบูรณ์แบบไปเสียหมด ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะได้รับการเยียวยาความรู้สึกอย่างเต็มที่ หรือเปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ไม่ได้รู้แจ้งแม้แต่น้อย แต่รู้สึกเบาสบายขึ้น ดังนั้น จึงยังต้องเดินทางต่อไปเพื่อขยายการเยียวยาและอิสรภาพให้กว้างขึ้น จนถึงทุกวันนี้ยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนผู้โชคดี ยิ่งได้เรียนรู้องค์ความรู้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยการพินิจความจริงภายในกรอบร่างกายของตัวเองเท่านั้น
บทที่ 1
รักตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นเมื่อหยุดถลำลึกไปกับปัญหานั้น และเริ่มดูแลตัวเองด้วยความเอาใจใส่โดยไม่ตัดสินและซื่อตรง การมุ่งความสนใจไปที่อารมณ์ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เห็นผลในทันที การให้ความสนใจอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ช่วยบรรเทาความโหยหาความสุขไม่สิ้นสุดได้ และไม่รู้สึกขาดแคลนและสิ้นหวังอีกเลย การแสวงหาความซาบซึ้งใจจากคนอื่น ไม่ได้ให้พลังฟื้นฟูในแบบเดียวกับความซาบซึ้ง ความสนใจ และความอ่อนโยนที่ให้กับตัวเอง
การรักตัวเองคืออะไร
สิ่งใดก็ตามที่ทรงพลังและยั่งยืน จะต้องมีรากฐานมั่นคงเมื่อรากฐานมั่นคงดีแล้ว จะก่อสร้างขยาย และสรรค์สร้างสิ่งที่งดงามยิ่งใหญ่ต่อไปได้ วิวัฒนาการของมนุษย์แต่ละคนก็เป็นเช่นเดียวกัน การรักตัวเองถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จทั้งภายในและภายนอก การรักตัวเองที่ดูจะสมเหตุส่งผลที่สุดนั้นเป็นเรื่องภายใน มันคือวิธีที่เชื่อมโยงกับตัวเอง และความเห็นอกเห็นใจ ซื่อสัตย์ และเปิดกว้าง มันคือการพบปะกับทุกส่วนด้วยการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
การรักตัวเองเริ่มต้นจากการยอมรับ แต่ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น การรักตัวเองที่แท้จริงคือการโอบกอดทุกสิ่งที่เป็น พร้อม ๆ กับรับรู้ว่ายังมีพื้นที่ให้เติบโต และมีอีกหลายอย่างที่ต้องปล่อยวางไป การรักตัวเองอย่างแท้จริงจึงเป็นแนวคิดที่ยุ่งยาก และต้องใช้ความสมดุลถึงจะใช้พลังนี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะการรักตัวเองจะฟูมฟักอย่างล้ำลึก โดยไม่ให้กลายเป็นคนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือถือตัว ไม่ให้มองเห็นตัวเองด้อยกว่าคนอื่น ๆ
ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการรักตัวเอง จึงต้องมาจากการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก เพราะการรักตัวเองไม่ได้เป็นเพียงทัศนคติเท่านั้น ยังรวมไปถึงชุดการกระทำอีกด้วย เมื่อการรักตัวเองไปถึงรูปแบบสูงสุดแล้ว มันจะกลายเป็นพลังงานให้ใช้ เพื่อให้เกิดวิวัฒนาการ จึงนิยามการรักตัวเองไว้ว่า เป็นการทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อรู้จักและเยียวยาตัวเอง ก่อนรักตัวเองนั้นมีหลายแง่มุม ทั้งความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง การสร้างนิสัยที่ดี และการยอมรับตัวเองโดยปราศจากเงื่อนไข เสาหลักทั้ง 3 นี้ จะทำงานทั้งภายในและภายนอก เพื่อสร้างและสนับสนุนความรู้สึกรักตัวเองอย่างยั่งยืน
ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองเป็นรูปแบบของความจริงแท้ ที่เริ่มต้นจากภายใน มันคือการยอมรับอย่างอบอุ่น ที่ค่อย ๆ นำไปใช้กับการดำเนินชีวิต ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองไม่ใช่การลงโทษตัวเอง หรือพูดจากับตัวเองอย่างรุนแรง การฝึกฝนสมดุลนี้เป็นสิ่งสำคัญ ในตอนเริ่มต้นอาจจะรู้สึกว่า การซื่อสัตย์ต่อทุกแง่มุมของตัวเองเป็นเรื่องยาก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเหมือนโครงการระยะยาว
ความไม่ซื่อสัตย์ก็คือความกลัวความเป็นจริง ความไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองจะสร้างระยะห่าง ยิ่งโกหกมากแค่ไหนจะยิ่งเป็นคนแปลกหน้ากับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองเสริมด้วยความอยากรู้อยากเห็นภายใน จะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงตัวเองมีประสิทธิภาพดีขึ้น ด้วยโมเมนตัมนี้จะกลายเป็นแหล่งพลังงาน ช่วยให้ก้าวผ่านอุปสรรคเก่า ๆ และโปรดเลือกสัมภาระที่ไม่เคยตั้งใจจะแบกเอาไว้ลงได้
สร้างนิสัยเชิงบวก
ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองนำไปสู่การสร้างนิสัยเชิงบวก เมื่อทำใจยอมรับพฤติกรรมเดิม ซึ่งเป็นตัวจำกัดความสุข รวมทั้งความเป็นอยู่ที่ดีได้ ก็จะเข้าใจได้ว่าต้องสร้างนิสัยใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่ การสร้างนิสัยเชิงบวกเป็นเกณฑ์ที่ต้องเล่นระยะยาว และผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เพิ่มความสม่ำเสมอเป็น 2 เท่า ถ้ามุ่งทำซ้ำพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ ซึ่งจะฟูมฟักมาจากข้างในออกสู่ข้างนอก เรื่องความรู้สึกดิ้นรนกระเสือกกระสนที่เป็นอยู่ทุก ๆ วันก็จะลดน้อยลงแน่นอน
การยอมรับตัวเอง
การรักตัวเองเป็นพาหนะที่ใช้เดินทางผ่านจักรวาลภายใน สิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จก็คือ การยอมรับตัวเองที่ต้องนำไปใช้ตลอดเส้นทาง สาเหตุการตระหนักรู้จนเกิดการรักตัวเองอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้จะเปลี่ยนให้กลายเป็นนักสำรวจผู้กล้าหาญ ความเข้าใจในสิ่งที่ทำให้เป็นคนแบบที่เป็นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การยอมรับตัวเองคงไม่ได้หมายถึงความพึงพอใจ ในทางกลับกันมันหมายถึงการปฏิบัติ หรือต่อสู้กับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น แม้จะต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น แต่หากจำเป็นต้องจัดการสิ่งที่เป็นเพื่อให้ดีขึ้น ก็จงลงมือทำด้วยความเชี่ยวชาญ ในระหว่างทางใช่ว่าจะได้ชัยชนะทุกเวลา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลำบาก เมื่อความปั่นป่วนภายในเริ่มเพิ่มขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อมสำหรับเดินทางไกล ซึ่งเป็นการยอมรับตัวเองในทุกจังหวะขึ้นลงของชีวิตนั่นเอง
การรักตัวเองคือประตูที่เปิดกว้าง
ถ้ารักตัวเองช่วยให้สามารถสร้างความปรองดองภายในจิตใจได้ เพื่อที่จะได้ไม่อยู่ห่างไกลกับตัวเองอีกต่อไป ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์กับความจริง และเรียนรู้ที่จะโอบรับด้วยการยอมรับความจริงทั้งหมดมากเท่าไหร่ จะยิ่งค้นพบความปรองดองในตัวเองได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น การสร้างความตระหนักรู้ในตัวเองต่อไปนี้ จะเปิดประตูไปสู่หนทางแห่งชีวิต การรักตัวเองได้มากขึ้น และยังทำให้รู้สึกรักคนอื่น ๆ ในชีวิตได้ลึกซึ้งขึ้นด้วย และเมื่อมาถึงระดับสูงสุด การรักตัวเองก็จะยิ่งขยายออกไป จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นการรักทุกชีวิตโดยไม่มีเงื่อนไข
แม้ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีภูมิหลังแตกต่างกันไป แต่ต่างอาศัยอยู่ในขอบเขตอารมณ์เดียวกัน ความคิดจะมีเนื้อหาแตกต่างกัน แต่โครงสร้างต่าง ๆ นั้นค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ยิ่งไปกว่านั้น บาง ครั้งทุกคนก็ต้องเผชิญกับความกลัว ความละโมบ ความอิจฉา ความโกรธ และอารมณ์อื่น ๆ ที่ทำให้ การเรียนรู้ซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่อความรักตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกระดับ
ความรักที่มีต่อผู้อื่นก็จะขยายออกไปพร้อม ๆ กัน โดยจะอยู่ในรูปแบบของความรักที่ชาญฉลาดและสมดุล หมายความว่าจะรู้สึกเข้าใจผู้อื่นโดยไม่หลงลืมตัวตน เป็นความรักที่จะเข้าใจความสำคัญของการดูแลตัวเองให้ดี เพื่อแสดงต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม หากไร้ซึ่งการรักตัวเองความรักรูปแบบอื่น ๆ ก็จะยังเป็นเพียงความรักแบบผิวเผิน เพราะความรักที่แท้จริงนั้น มีความยืดหยุ่นเหมือนกับน้ำ ที่อาจหยุดนิ่งหรือไหลด้วยพลังมหาศาลได้เสมอ
สะพานระหว่างการรักตัวเองกับการเยียวยา
ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง การสร้างนิสัยเชิงบวก และการยอมรับตัวเอง จะมอบผลลัพธ์ที่แท้จริงให้ การรักตัวเองและการเยียวยานั้นเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เพราะถ้าจริงจังกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะไปกระตุ้นการทำงานของอีกสิ่งทันที ทั้งสองอย่างจึงขึ้นและลงไปพร้อม ๆ กัน ในทำนองเดียวกันถ้าทั้งสองสิ่งนี้เบ่งบาน ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งด้วยเช่นกัน
บทที่ 2
เยียวยา
เมื่อผู้เขียนคิดถึงสถานการณ์ที่สร้างผลกระทบทางจิตใจมากที่สุด เรื่องที่ดูจะเด่นชัดเหลือเกินคือเรื่องที่ครอบครัวที่ดิ้นรนต่อสู้กับความจน ความต้องการเงินมาใช้จ่ายเฉพาะหน้า บีบคั้นกระทั่งบางครั้งความรักที่แข็งแกร่งของพ่อแม่ก็ยังเริ่มสั่นคลอน เพราะความต้องการอยู่รอดบีบคั้นด้วยแรงมากมายมหาศาล ถ้าตรวจสอบชีวิตและความคิดจิตใจของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา จะพบเรื่องราวบางเรื่องในอดีตที่ต้องการเยียวยารักษา มนุษย์เราทุกคนมักจะพกพาความเครียดเอาไว้ มันจะขัดขวางจากชีวิตที่ดีที่สุด
แต่โชคดีที่ปลดปล่อยความเครียดซึ่งสะสมอยู่ภายในนั้นออกไปได้ ดังนั้น การเยียวยาจะเกิดก็ต่อเมื่ออยากลดความเครียดที่แบกรับอยู่ภายในจิตใจนั่นเอง ความคิดจิตใจของมนุษย์มักจะเต็มไปด้วยความเครียดและความกังวลอยู่แล้ว พวกเราไม่ค่อยสนใจปัจจุบัน และยังเต็มไปด้วยสิ่งยึดติด ซึ่งขัดขวางการใช้ชีวิตอย่างสงบและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การเคารพข้อเท็จจริงที่ว่าชีวิตย่อมมีขึ้นมีลง จะส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง และจะช่วยเปิดใจให้ได้เรียนรู้ วิธีใช้ชีวิตในวิถีทางที่ดีขึ้นด้วย
การเยียวยาเริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะกลายเป็นนักสำรวจ เดินทางเข้าสู่ผืนป่าอันกว้างใหญ่ภายในจิตใจ โดยใช้ความตระหนักรู้เป็นเหมือนไฟนำทาง มันเป็นการเดินทางที่ท้าทาย และบางครั้งยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก การเยียวยาอย่างลึกซึ้งและอารมณ์ที่สมบูรณ์ จะเริ่มต้นเมื่อหันความสนใจเข้าสู่ภายใน ทรัพยากรภายในคือการมองเห็นตัวเอง ในขณะที่เคลื่อนเข้าสู่ช่วงจังหวะขึ้นลงของชีวิต โดยที่ไม่วิ่งหนีหรือเก็บกดความรู้สึกไว้ พร้อมทั้งขยายความเข้าใจตัวเอง สัมผัสอารมณ์เหล่านั้นอย่างที่มันเกิดขึ้นและหมดไป สังเกตรูปแบบพฤติกรรมที่แสดงออกมาบ่อย ๆ สำรวจการบอกเล่าเรื่องราวภายใน รวมถึงสำรวจว่าความคิดเหล่านั้น ส่งผลต่ออารมณ์อย่างไร
การให้ความสนใจกับทุกความเคลื่อนไหวทางจิตอย่างใกล้ชิด จะเปิดประตูสู่รูปแบบการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต การสร้างความตระหนักรู้ในตัวเองจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับจิตใจ เมื่อใช้เวลากับความคิดยามพบเจอสถานการณ์ยากลำบาก แทนที่จะหวนกลับไปใช้ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ หยุดการตอบสนองไว้ก่อน และให้เวลาตัวเองสักชั่วขณะหนึ่ง เพื่อดูให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การให้เวลาตัวเองได้พิจารณาความจริงก่อน โดยไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกไปทันที นับเป็นสัญญาณของความก้าวหน้าในการเยียวยา บ่อยครั้งที่คนเราอยากปรับปรุงชีวิตของตัวเอง แต่กลับจบลงด้วยการไปให้ความสำคัญสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แทนที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
คนส่วนใหญ่จะประเมินเป้าหมายใหม่ และคิดฝันถึงชีวิตแบบที่พวกเขาอยากจะเป็น แต่สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายอย่างนั้น วิสัยทัศน์ก็จะยังคงเป็นวิสัยทัศน์ จนกว่าจะมีการลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง ปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ไม่ควรจะมองข้ามคือ ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญมาก การรู้ว่าต้องการอะไรนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเดินตามความฝันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องสร้างแผนและทำตามแผนการนั้นด้วย หากปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความหวัง หรือรอให้ทุกสิ่งวิ่งเข้าหา มักเป็นกลยุทธ์เชิงรับที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ ความพยายามที่ใช้เพื่อบรรลุความปรารถนาและความฝัน ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
จิตใจที่ได้รับการเยียวยานั้นทรงพลังอย่างยิ่ง อคติที่แข็งแกร่งที่สุดคือมักคิดว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจากปัจจัยภายนอก เพราะอัตตาชอบโทษสิ่งอื่นหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด การตระหนักรู้ตัวเองจึงมีความสำคัญ เมื่อมองเห็นว่าความคิดเคลื่อนไปทางไหน ก็จะได้ตั้งใจปรับเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้อง สิ่งนี้นับเป็นหนึ่งในกุญแจหลักของความเปลี่ยนแปลงทางจิต นั่นก็คือศิลปะแห่งความเป็นจริง และการอยู่กับความจริงด้วยการยอมรับสิ่งที่รู้สึก อยู่กับความจริงด้วยการคงไว้ซึ่งภาระกิจเพื่อการเติบโต แม้ว่าทุกสิ่งจะยากเย็นก็ตาม กุญแจหลักคือรู้สึกถึงอารมณ์ความคิดเช่นนั้นได้ โดยไม่ต้องกลายเป็นเช่นนั้นตามไปด้วย
การเยียวยาไม่ได้เป็นเรื่องของการปรับแก้ให้สมบูรณ์แบบ แต่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีสติ การมองเห็นตัวเองชัดแจ้งจะช่วยให้เรียกพลังกลับคืนมาได้เต็มเปี่ยม พลังของความตั้งใจนั้นยิ่งใหญ่และไม่อาจวัดได้ เมื่อตั้งใจกับเรื่องภายใน มันจะช่วยขับเคลื่อนสิ่งปิดกั้นที่ขวางทาง ในการสร้างจิตใจที่ยิ่งใหญ่ และช่วยให้ชีวิตยอดเยี่ยมเกิดขึ้นได้แน่นอน
ภูมิหลังของอารมณ์
การเยียวยาเป็นสิ่งจำเป็น เพราะทุก ๆ สิ่งที่รู้สึกนั้นมักทิ้งร่องรอยเอาไว้ในใจ และยังสะสมอยู่ในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพลวัตของครอบครัว สิ่งที่เรียนรู้ในโรงเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ๆ และคู่รัก มุมมองสังคมที่มีตลอดชีวิต ความสัมพันธ์กับตัวเอง และยังมีประสบการณ์อื่น ๆ หรือข้อมูลข่าวสาร การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจึงมาจากอดีต ที่หอบหิ้วติดตัวไปด้วยทุกที่นั่นเอง
จิตสำนึกบางครั้งก็ลืมได้ แต่จิตใต้สำนึกนั้นเกิดจากการรวบรวมทุก ๆ ปฏิกิริยาจากอดีตเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปปฏิกิริยาเหล่านี้จึงรุนแรงขึ้น และพัฒนาขึ้นมาเป็นรูปแบบพฤติกรรมเฉพาะ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อจิตใจถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์ที่เชื่อมโยงกับอดีต การเยียวยาไม่ได้เป็นการลดอดีต ทั้งยังไม่ใช่เพื่อลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ความทรงจำเก่า ๆ จากช่วงเวลาที่ยากลำบาก อาจปรากฏขึ้นมาอีกแม้จะเยียวยาไปมากแล้ว
การเยียวยาจึงไม่ใช่การเก็บกดปฏิกิริยา แต่เป็นเรื่องของการประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในใจ อาจจะยังรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดได้ เพียงแต่ไม่ถูกความรู้สึกเหล่านั้น หรือไม่ปล่อยให้มันควบคุมพฤติกรรม หนึ่งในสิ่งที่มักจะมีอำนาจเหนือการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นคือ ภูมิหลังของอารมณ์ หรืออารมณ์ความรู้สึกรุนแรงที่ยังตกค้าง และยังคงรับรู้ได้ตลอดชีวิต
มากกว่าเพียงวัยเด็ก
แต่ละคนมีรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล ดังนั้น สาเหตุที่ค้นหาการเยียวยาจึงเป็นการเดินทางเฉพาะบุคคลเช่นกัน ปัญหาท้าทายในชีวิตอาจมาได้ทั้งจากความเจ็บปวด หรือความบอบช้ำในวัยเด็ก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังพ้นวัยเด็ก การไม่ตระหนักรู้รูปแบบเฉพาะตัวที่เข้มข้นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ปฏิกิริยาตอบสนองแบบหุนหันพลันแล่น และยังมีอะไรอีกมากไม่จำกัด
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหลาย ๆ อย่างที่สะสมมาตั้งแต่วัยเด็ก มักส่งอิทธิพลรุนแรงต่อบุคลิกภาพ และรูปแบบปฏิกิริยาทุก ๆ ครั้งที่มีปฏิกิริยา หรือมีความรู้สึกหนักหน่วงแบบใดแบบหนึ่ง มันจะทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใต้สำนึก และเปลี่ยนแปลงการสนองตอบสิ่งกระตุ้นไปเรื่อย ๆ จิตใจของมนุษย์จึงยังคงผันแปรและไม่แน่นอนตลอดชั่วอายุขัย ทุก ๆ ครั้งที่ตอบสนองด้วยความรุนแรงมันจะทิ้งร่องรอยของปัจจุบันเอาไว้ และส่งต่อไปถึงอนาคต
มนุษย์เราจึงไม่เคยคงเดิม แก่นแท้ของสิ่งที่เป็นก็คือการเปลี่ยนแปลง พลังและเหตุผลที่สามารถเยียวยาได้ ล้วนมาจากความจริงที่ว่า หากตั้งใจสามารถสร้างเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติในตัวได้ ตรงข้ามกับการขึ้นหรือลงของชีวิตที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ การเยียวยาจะช่วยให้ได้ใช้ชีวิตสงบขึ้นและตึงเครียดน้อยลง แทนที่จะจมจ่อมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตไปตลอดกาล
การเยียวยา VS การหลุดพ้น
การเยียวยาและการหลุดพ้นเดินเคียงคู่กันได้อย่างดี เนื่องจากความเจ็บปวดทางจิตเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น การเยียวยาแท้จริงจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของปฏิกิริยาเหล่านั้น หนทางของการหลุดพ้นก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่ต้องก้าวไปให้ไกลกว่ามาก หากใครสักคนตัดสินใจเดินไปจนสุดทาง ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ในเรื่องการเยียวยาและรับมือกับการก้าวข้ามขีดจำกัด ในขณะที่ยกระดับการเยียวยาให้ทำงานล้ำลึกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำผ่านรูปแบบของการนั่งสมาธิ บำบัด หรือเทคนิคการเยียวยาแบบอื่น ๆ ที่ส่งผลดีต่อชีวิต ทุกคนสามารถเยียวยาได้ ไม่ว่าจะเชื่อในจิตวิญญาณหรือไม่ก็ตาม
เป็นของแต่ละคน
การนั่งสมาธิเป็นถนนสู่การเยียวยา แต่ไม่ได้เป็นวิธีเยียวยาเพียงหนึ่งเดียว เพราะการเยียวยารักษาไม่ได้ผูกขาดไว้กับวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ความพิเศษคือทบทวนความคิดได้มากมายหลายวิธี ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกันไป ไม่มีทางที่คนสองคนจะเดินบนเส้นทางเดียวกันก่อนจะเริ่มเยียวยา ทุกคนจึงต้องสำรวจภูมิหลังของอารมณ์ตัวเองเสียก่อน เมื่อแต่ละคนต่างมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกัน
วิธีเยียวยาของบุคคลหนึ่งจึงอาจใช้ไม่ได้กับทุก ๆ คน การคิดพิจารณาจึงมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะต้องหาหนทางของตัวเอง ด้วยการค้นหาเครื่องมือหรือเทคนิคที่เหมาะสม โชคดีที่ไม่ต้องเป็นคนประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือนั้นขึ้นมาใหม่ มีวิธีเยียวยาให้เห็นอยู่มากมายและเข้าถึงง่าย การเยียวยาที่แท้จริงเป็นกระบวนการลดการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ที่จะช่วยให้คลายสิ่งที่ปิดกั้น ปมในอดีต และความไม่ยืดหยุ่นที่สร้างระยะห่างกับความสุข ซึ่งการเยียวยาจะต้องเริ่มต้นจากการรู้จักตัวเองและรักตัวเอง เมื่อเห็นและเข้าใจแล้วว่าแบกอะไรไว้เท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจชัดเจนว่าถึงเวลาต้องเริ่มปล่อยวางบ้างแล้ว
บทที่ 3
ปล่อยวาง
การปล่อยวางคือการยอมรับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างสนิทใจ เพื่อให้ยอมรับสิ่งที่เป็นได้ ต้องปล่อยวางความต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามหวัง กระบวนการเปลี่ยนแปลงสู่การปล่อยวางนั้นเป็นการเดินทางที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างช้า ๆ ให้หยุดใช้ชีวิตกับอดีต และวางอารมณ์ที่แบกเอาไว้ลงข้าง ๆ แม้ในขณะที่เยียวยาอดีตอยู่นั้น มันจะแสดงตัวขึ้นมาเพื่อนำพากลับสู่พฤติกรรมเดิม ๆ หากฝึกเช่นนี้บ่อย ๆ แรงที่คอยดึงดูดให้กลับไปทำพฤติกรรมเดิม ๆ จะค่อย ๆ อ่อนแรงลง
การยึดมั่นที่จะประพฤติตัวแบบใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่าอดีต การที่ใช้พลังงานของจิตใจไปกับอะไร จึงตัดสินอนาคตของชีวิตได้เลยทีเดียว เมื่อมีสถานการณ์ร้ายแรงภายนอกมากระตุ้นความเครียด หรือเริ่มจะคิดจินตนาการไปไกล จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองออกไปทันที ซึ่งตรงข้ามกับการดึงตัวเองกับสู่ความเป็นจริง และใช้พลังงานทางจิตเพื่อคืนสมดุล ปฏิกิริยาตอบสนองนั้นเป็นแบบหุนหันพลันแล่น เมื่อเกิดอารมณ์จึงกระโดดเข้าไปเลี้ยงและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าพฤติกรรมแบบนี้ จะยิ่งไปส่งเสริมวิธีรับรู้ความรู้สึกในอนาคต
เมื่อพบเจอสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กัน การยึดมั่นกับพฤติกรรมเอาตัวรอด เกิดจากความกลัวและความขาดแคลน เพราะความกลัวจะโหยหาความปลอดภัย จิตใจที่ครอบงำด้วยความกลัวจึงมีรูปแบบพฤติกรรมเพื่อเอาตัวรอด กระทั่งในตอนที่สภาพแวดล้อมภายนอกสงบลงแล้ว จิตใจที่อยู่ในรูปแบบนั้นก็จะยังใช้ท่าทีป้องกันตัวต่อไป ก่อนจะเข้าใจวิธีปล่อยวางที่แท้จริง จะต้องเข้าใจก่อนว่ายึดมั่นถือมั่นอะไรไว้ นอกจากการผูกติดอยู่กับความต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ซึ่งเป็นความยึดมั่นถือมั่นระดับพื้นฐานแล้ว ยังมีความเข้าใจผิดอีกมากมายที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ และคอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้หลุดพ้นเสียที เมื่อรู้แล้วว่ามีปัญหาตรงจุดไหน จะได้มีโอกาสในการแก้ไข และปลดล็อคสิ่งที่กีดขวางเส้นทาง
ปัญหาที่สร้างให้ตัวเอง
หากเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะต้องรับมือกับข้อเท็จจริงที่ว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่นั้นเกิดจากตัวเอง การเป็นเจ้าของพลังของตัวเองหมายถึง การเป็นเจ้าของความรับผิดชอบต่อความสุข และการเยียวยาของตัวเองเช่นนี้ จึงจะจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมได้ และยังใช้ชีวิตได้ง่ายกว่าการต้องคอยโทษคนอื่น ซึ่งรังแต่จะเพิ่มความเครียดให้ หรือถูกผลักไปทางนั้นทางนี้ โดยไม่มีทิศทางแน่ชัด แล้วปล่อยให้ความรู้สึกแต่ละวันถูกความทุกข์ในอดีตคอยบงการอยู่เสมอ
การคิดว่าความเครียดมาจากปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียวจึงเป็นภาพลวงตา จะตกหลุมพรางนี้จนกว่าจะตระหนักรู้สิ่งที่อยู่ภายใน คนอื่นอาจทำอย่างร้ายกาจหรือทำอันตรายได้ แต่วิธีที่ใช้รับรู้รวมทั้งตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจ ระดับความเครียด และแปรผันไปตามความรุนแรงของปฏิกิริยาตอบสนอง ยิ่งตอบสนองมากแค่ไหน ก็จะยิ่งเครียดมากเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มาจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะระดับความเครียดที่เผชิญอยู่ มาจากความรุนแรงของปฏิกิริยาในตัว
ทางออกเดียวที่จะควบคุมปฏิกิริยานี้ได้ จึงมีแต่ต้องเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองเท่านั้น ส่วนที่ยากที่สุดของภาระกิจครั้งนี้คือ ปฏิกิริยาที่จะมีต่อความพยายามเปลี่ยนแปลง ซึ่งเต็มไปด้วยความเครียดและการขัดขืน เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ความตึงเครียดจะหายไป การไม่ตอบสนองเป็นศักยภาพขั้นสูงของการปล่อยวาง ถ้าใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการตอบสนองทุกสิ่งทุกอย่าง ก็อย่าหวังเลยว่าจะสังเกตได้อย่างสมบูรณ์แบบในชั่วข้ามคืน
การจัดการปฏิกิริยาจึงหมายถึงการตระหนักรู้ เมื่ออารมณ์รุนแรงเริ่มปรากฏตัว และเข้าใจว่าแม้จะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นก่อนแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเติมเชื้อไฟให้ปฏิกิริยานั้นโตขึ้น ควรมุ่งไปถึงการสังเกตและคอยเตือนตัวเอง การเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคลที่ล้ำค่าและยิ่งใหญ่ที่สุด จึงเป็นการตระหนักรู้ตัวนั่นเอง
ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
ปฏิกิริยาที่พบบ่อยที่สุดในการเปลี่ยนแปลงก็คือ การต่อต้าน คาดหวังว่าจะมีช่วงเวลาที่น่าพึงพอใจ และคาดหวังให้ช่วงเวลาสบาย ๆ คงอยู่ไปตลอดกาล การต่อต้านกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง จะทำให้ต้องดิ้นรนมหาศาล เหมือนกับการพยายามพายเรือทวนน้ำที่ไหลเชี่ยว ถ้ามัวแต่กลัวความเปลี่ยนแปลงมากเกินไป จนลืมชื่นชมยินดีกับความเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจักรวาลแห่งจิตใจ และวัตถุล้วนมาจากกระแสของความเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น
ทุกสิ่งที่รักล้วนดำรงอยู่เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มีขึ้นมีลงนี้ คนที่เฝ้าถนอมช่วงเวลาแห่งความสุข ความรักที่ได้สัมผัส และชัยชนะที่ช่วยให้มีชีวิตดีขึ้น เหล่านี้เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลง หากสิ่งเหล่านี้หยุดนิ่งย่อมไม่มีอะไรใหม่ กระทั่งชีวิตเองก็เป็นผลผลิตจากความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การต่อสู้ดิ้นรนทางจิตมีจุดกำเนิดมาจากความรู้สึกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เมื่อจิตใจปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ความไม่พอใจและการดิ้นรนในจิตใจย่อมลดลงโดยธรรมชาติ ศัตรูทางจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลง และความตึงเครียดภายในใจ ส่วนใหญ่ก็มีจุดเริ่มจากการยึดติดอยู่กับการยื้อช่วงเวลาแห่งความสุขของชีวิตให้เหมือนเดิม
ตัวตนที่แท้จริง
คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่า จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองผ่านความคิด และคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง เขานั้นจึงยอมให้ปฏิกิริยาหุนหันพลันแล่นปรากฏมาเป็นลำดับแรก แล้วเชื่อว่านี่แหละคือความเป็นตัวตนเผยแก่นแท้ออกมาให้หมดเปลือก การตอบสนองเบื้องต้นคือ การปรากฏขึ้นของอดีต ไม่ว่าจะรับรู้หรือไม่แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะสะสมไว้ภายใน การรับรู้จะนำความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยรู้สึกในอดีตมาประเมินทุกสิ่งที่พบในปัจจุบัน ความคิดจิตใจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนราวกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงแท้ ทั้งที่จริงปล่อยให้ประสบการณ์ในอดีตมาประเมินทุกสิ่งที่พบในปัจจุบัน
บางครั้งเมื่อถูกกระตุ้นจึงรู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว ที่จะระบายความโกรธออกมา มันเป็นการสุมไฟความเครียดที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ลองใช้เวลาชั่วขณะหนึ่งประมวลผล ทำอะไรให้ช้าลงและนิ่งสงบเท่านั้น จึงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนได้แล้ว เมื่อเวลาผ่านไปจะมีวุฒิภาวะมากขึ้น จะไม่ยึดติดอยู่กับแนวคิด รูปแบบ และตัวตนเก่า ๆ อีกต่อไป การมีความตั้งใจก็ไม่ต่างจากความจริงแท้ การยึดมั่นกับค่านิยมและตัวตนแบบที่อยากเป็น จึงนับเป็นพื้นฐานของความจริงแท้ ซึ่งจะช่วยให้เปิดประตูไปสู่ตัวตนที่แท้จริงได้ หากไร้ซึ่งความตั้งใจก็จะไร้เป้าหมาย และด้วยความตั้งใจนั้นเอง ที่จะช่วยเผยตัวตนแท้จริงที่เป็น
ความยึดติด
เมื่อจิตใจต่อต้านการไหลตามธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง จะลงเอยด้วยการยอมให้ความปรารถนาอย่างแรงกล้ามาสร้างแรงบันดาลใจทั้งหลาย และในไม่ช้าความปรารถนานั้นก็จะกลายเป็นการยึดติด ที่พยายามจะหล่อหลอมความจริงให้กลายเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ความจริง ความปรารถนาจึงกลายเป็นการปฏิเสธความจริงที่เป็นอยู่ และยังดึงความสนใจไปสู่การจินตนาการถึงสิ่งที่ขาดหายไป หรือหวังจะให้สิ่งต่าง ๆ เป็นจริงด้วย เมื่อยึดมั่นกับแนวคิดบางอย่างแล้ว นำความสุขไปผูกติดกับการทำสิ่งนั้น ให้กลายเป็นจริงนั่นเท่ากับว่าไม่ได้อยู่ที่ช่วงเวลาปัจจุบัน แต่ไปมุ่งอยู่กับการพยายามควบคุมความจริงแทน
ความอยากให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามที่ต้องการเรื่อย ๆ จึงนับเป็นความยึดติดนั่นเอง ความเจ็บปวดและการยึดติด จึงเป็นสิ่งที่ผูกอยู่ด้วยกัน เช่น เมื่อมีใครสักคนพูดตรงข้ามกับสิ่งที่อยากให้พูด ยิ่งยึดติดกับบางสิ่งลึกซึ้งมากเท่าไหร่ อัตตาจะยิ่งโหยหาสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น จิตใจของมนุษย์ไม่ได้แค่รับเอาข้อมูลเข้าไปเท่านั้น แต่ยังประเมินค่าข้อมูลรวมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ โดยมีความตึงเครียดห่อหุ้มเอาไว้
จิตใจจะสร้างภาพจินตนาการจากสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เผชิญ และผูกโยงจินตนาการนั้นเข้ากับคำอธิบายบางอย่างอยู่เสมอ จึงจบด้วยการที่ผลักดันความจริงให้ห่างไกลออกไปทุกที คนเรายึดติดได้ง่ายมาก เพราะมักจะอยู่ในสภาวะที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่เสมอ ไม่ว่าจิตใจจะประเมินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉียบคมอยู่เงียบ ๆ หรือโฉ่งฉ่าง แล้วยึดติดอยู่กับสิ่งที่ต้องการมากเกินไป จนมองไม่เห็นความจริงว่า เพราะยึดติดกับสิ่งที่เกลียดหรือไม่พอใจด้วยเช่นกัน
การยึดติดทุก ๆ อย่างเป็นรูปแบบของการต่อต้านความเปลี่ยนแปลง เพราะความต้องการสิ่งต่าง ๆ หรือปรารถนาให้คนอื่น ๆ ดำรงอยู่ในแบบที่ต้องการนั้น เป็นเรื่องยากจะทำได้ การยึดติดขัดขวางเส้นทางสู่ความสุข ทั้งยังเติมความเจ็บปวดให้ใจ ทั้งการยึดติดและความจริงแห่งทุกข์ จึงล้วนชี้ไปที่ข้อเท็จจริงว่า การปล่อยวางเป็นทางเดินสู่ความก้าวหน้าเพียงหนทางเดียว อย่างน้อยก็ยังมีบางสิ่งที่ควบคุมได้
เส้นทางที่ดูจะมั่นคงปลอดภัยก็คือการปล่อยวาง แม้ว่ามันจะดูขัดแย้งไปสักหน่อย แต่เมื่อไม่ยึดติดกับอะไร ก็จะไม่มีหนทางสู่ความเจ็บปวด เมื่อไม่ยึดติดจึงมีความสุขได้มากมาย การปล่อยวางจึงไม่ใช่ความนิ่งเฉยหรือเย็นชา ในทางกลับกันมันจะช่วยให้ได้ใช้ชีวิตด้วยความกระตือรือร้นมากขึ้น อาจมีเป้าหมายหรือแผนการสำหรับอนาคต แต่อย่าไปคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนนั้น เมื่อหยุดสู้กับความจริงแห่งการเปลี่ยนแปลง และปล่อยวางจากการยึดติดทั้งหมด จะรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้น หากรู้ตัวว่ากำลังยึดติดกับสิ่งใด ก็มีโอกาสจะปล่อยวางสิ่งนั้นได้เช่นกัน
การควบคุมอัตตา
อัตตาจะมีประโยชน์มากในสภาพแวดล้อมที่ต้องเอาตัวรอด เพราะต้องปกป้องตัวเองและคนที่อยู่ใกล้ ๆ แต่เมื่อหลุดพ้นจากสภาวะนั้นแล้ว อัตตาอาจกลายเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ เพราะอัตตาจะทำให้รู้สึกถึงตัวตนแบบถาวร และต้องการให้คนอื่นมองเห็นในทางใดทางหนึ่งชัดเจน คนเราอาจมีมุมมองและข้อสรุปมากมายไม่รู้จบ จึงไม่อาจยึดติดกับการทำให้คนอื่นคิดเหมือนกัน หรือมองในแบบที่ต้องการได้ เพราะถึงจะพยายามแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะยังมีมุมมองและความคิดเห็นที่แตกต่างอยู่ดี ซึ่งมุมมองที่แตกต่าง รวมถึงการสร้างความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่องนี้เอง ที่จะช่วยขยายมุมมองให้กว้างขึ้น จึงลดการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางลงได้ นี้เป็นทักษะที่มีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง เพราะช่วยให้เห็นคุณค่าของมุมมอง ที่คนอื่นมีต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
การปล่อยวางต้องใช้เวลา
การจะแยกแยะปฏิกิริยาตอบสนองเก่า ๆ ที่มักจะปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วสร้างแนวทางพฤติกรรมใหม่ นับเป็นการเดินทางอันยาวไกล การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่สะสมไว้ก็มากจนหนาทึบและอัดแน่นเต็มจิตใจ ราวกับตะกอนที่แข็งตัวจากกาลเวลา แต่การเยียวยาและการปล่อยวางจะช่วยได้ สองสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่กับความจริงว่า แบกอะไรไว้ข้างในบ้างและจะต้องใช้เวลาแค่ไหนถึงจะจัดระเบียบจิตใจได้ใหม่
การปล่อยวางไม่ใช่จะทำได้ในครั้งเดียว เพราะมันเป็นนิสัยที่จะต้องทำซ้ำบ่อย ๆ เพื่อให้เคยชิน บางครั้งปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเจ็บปวดก็อยู่ลึกมาก จนต้องคอยสังเกตและปลดปล่อยความตึงเครียดออกมาซ้ำ ๆ เพื่อที่จะทำความสะอาดบาดแผลให้เต็มที่ จุดประสงค์ของการปล่อยวางไม่ใช่การลบความรู้สึก แต่คือการรับรู้การคงอยู่ของมัน หากปล่อยวางในช่วงที่ประสบความยากลำบากได้ ก็จะช่วยให้ยอมรับสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจทั้งหลายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เมื่อความเครียดได้รับการยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข ก็จะมีพื้นที่ให้มันปรากฏตัวและปลดปล่อยออกไปตามธรรมชาติ การปลดเปลื้องและเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดทางใจในอดีตไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แต่มันเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกพร้อมพรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว
แก้ไขความเข้าใจผิด
ถ้าต้องการเรียกพลังคืนมา ขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งคือ การตระหนักว่าได้สูญเสียพลังไปกับความเจ็บปวดในอดีต และความกลัวอนาคตมากมายแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีความตระหนักที่สำคัญในประเด็นอื่น ๆ อีกดังนี้
ความหนักหนาของน้ำหนักทางจิตที่แบกไว้ ได้ดูดกลืนพลังงานไปมากมาย การต่อต้าน เก็บกด หรือต่อสู้กับอารมณ์อยู่เป็นประจำ จะค่อย ๆ กินพลังสำรองไป การใช้ชีวิตไปพร้อมกับการต่อสู้ภายในอยู่ตลอดเวลา และปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนเป็นศัตรู จะยิ่งผลักไสให้ไกลจากการใช้ชีวิต ในระดับที่น่าพึงพอใจที่สุด
การปล่อยวางด้วยการชำระล้างการรับรู้ จะทำให้ความคิดจิตใจเฉียบคมขึ้น การปล่อยวางจะช่วยให้เห็นช่วงเวลา ณ จุดที่อยู่ โดยไม่ต้องมีผ่านเลนส์ของอดีตที่ครอบงำ
การปล่อยวางไม่ได้หมายความว่าล้มเลิกเป้าหมาย เมื่อละทิ้งอดีตและหยุดเกรงกลัวอนาคตได้แล้ว จะรับรู้ปัจจุบันได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีสมาธิและคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเข้าถึงกลยุทธ์ที่ดีที่สุดได้
การปล่อยวางไม่ได้ลบเรื่องหนักหนาที่เคยเกิดขึ้นทิ้งไปกุญแจสำคัญคือการปลดปล่อยความหนักหนาที่ติดมากับความคิดเหล่านี้ ความทรงจำจะยังผุดขึ้นมาในบางครั้งกระทั่งหลังการเยียวยาอย่างล้ำลึก แล้วก็ตาม
การปล่อยวางไม่ได้ทำให้เย็นชา อันที่จริงการปล่อยวางทำให้การเอาแต่ใจลดลง และยินยอมให้ความรักไร้ซึ่งเงื่อนไขได้ก้าวออกมาข้างหน้า และแสดงพลังมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว การปล่อยวางก็คือความปลอดภัยในใจ เป็นภาวะที่จะไม่สร้างความทุกข์เพิ่มให้ตัวเอง การทำความเข้าใจว่าการปล่อยวางเป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนขั้นตอนต่อไปคือการมองหาวิธีฝึกฝน เพื่อที่จะได้เริ่มการเยียวยาอย่างลึกซึ้ง และการหาเครื่องมือมาช่วยในกระบวนการเยียวยา เป็น 2 เรื่องที่แตกต่างกันมากทีเดียว
บทที่ 4
ค้นหาวิธีฝึกฝน
การฝึกปฏิบัติวิปัสสนาวิธีนี้ช่วยเยียวยา คือหนทางแห่งการหลุดพ้น เส้นทางที่เหมาะสมอาจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นต้องการก็ได้ สิ่งที่ใช้ได้ผลกับคนคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเข้ากับจิตใจของคนอีกคนหนึ่ง หรืออาจไม่เข้ากับจิตใจในบางช่วงเวลา จึงต้องเป็นคนค้นหาเองว่า วิธีเยียวยาที่ใช่สำหรับตัวเองคือวิธีใด เพราะแต่ละคนมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกัน การเยียวยาตัวเองจึงต้องใช้วิธีการที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละบุคคลเช่นกัน กระทั่งคนสองคนที่ใช้วิธีปฏิบัติแบบเดียวกันก็ยังใช้เวลาต่างกัน เจออุปสรรคต่างกัน และประสบความสำเร็จแตกต่างกันไป ตามการเยียวยาอารมณ์เก่า ๆ ที่พวกเขาแบกเอาไว้
โชคดีที่ทุกวันนี้มีเทคนิคเยียวยามากมายที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคยเป็นมา แนวคิดเรื่องการเยียวยา การเติบโตส่วนบุคคล และการใคร่ครวญภายในตัวเอง แผ่ขยายไปมากจนรู้สึกราวกับว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาแนวใหม่ของมวลมนุษยชาติ เทียบกับยุคก่อน ๆ ในประวัติศาสตร์แล้ว ผู้คนในยุคนี้จึงมุ่งแสวงหาการใคร่ครวญตัวเองมากกว่าที่เคย
หนึ่งในข้อดีของการอาศัยอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ก็คือ การเข้าถึงวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดจากหลากหลายวัฒนธรรม มีหลาย ๆ เทคนิคที่ผ่านการบ่มเพาะขัดเกลามาจากประเทศต้นกำเนิดอันห่างไกล ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก ณ ขณะนี้ ได้อาศัยอยู่ในยุคที่สุขภาพจิตมีความสำคัญเกินจากกลุ่มเล็ก ๆ ไปสู่ระดับโลกแล้ว
ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยาตัวเอง หรือการมองหาวิธีพัฒนานิสัยไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง การมีทัศนคติที่โอบรับการเติบโตแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องหายากอีกต่อไปแล้ว เมื่อพบวิธีปฏิบัติของตัวเองแล้ว จะได้พบกับความผ่อนคลาย กระทั่งความตื่นเต้นมากมายมหาศาล เพราะในที่สุดก็มีกระบวนการที่ได้ผลจริง แต่ก็ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่ได้ใช้สิ่งนี้สร้างปมเด่นขึ้นมา เพราะอัตรามักจะคว้าจับเอาสิ่งดี ๆ ไว้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้มันมาสร้างลำดับชั้นในจินตนาการ โดยมองว่าวิธีปฏิบัตินั้นดีเลิศกว่าของคนอื่นทั้งหมด หรือเชื่อว่าวิธีการนั้นเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทุกคนจะใช้เยียวยาได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น วิธีปฏิบัติอาจจะใช้ได้ผลดีกับตัวเอง แต่ก็อาจไม่เหมาะกับคนอื่นได้
เคล็ดลับการค้นหาวิธีปฏิบัติของตัวเอง
หากค้นหาวิธีเยียวยาความกังวลบน Google น่าจะได้ผลลัพธ์เป็นร้อยล้านวิธี ข้อดีคืออาจมีบางวิธีที่เหมาะแต่ข้อเสียคือมีทางเลือกมากมายมหาศาล อาจทำให้เครียดกว่าเดิม ก่อนที่จะเริ่มค้นหาต้องถามตัวเองก่อนว่า เป้าหมายในการเยียวยาคืออะไร รูปแบบการตอบสนอง แบบไหนที่อยากแก้ไขหรือปลดปล่อย สนใจลองวิธีปฏิบัติแบบไหน การมีเป้าหมายชัดเจนจะช่วยให้ตีวงแคบลง และทำให้จิตใจมีเส้นทางชัดเจน
วิธีปฏิบัติที่เหมาะสมจะต้องมีความท้าทาย แต่ไม่กดดันจนเกินไป จะต้องหาจุดที่พอเหมาะพอดี นั่นคือการฝึกฝนที่ยากพอจะทำให้เติบโต แต่ต้องไม่ยากเกินไปจนรูปแบบการตอบสนองรุนแรง และอารมณ์เก่า ๆ ปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในคราวเดียว จึงต้องศึกษาหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า สัญชาตญาณคือเสียงสัญญาณสำคัญ ที่จะบอกให้รู้ว่านี่แหละคือวิธีปฏิบัติที่อยากทุ่มเทเวลาให้ เมื่อเริ่มสำรวจวิธีการต่าง ๆ หากสิ่งแรกที่ทดลองไม่ได้เหมาะเจาะพอดีก็อย่าได้ท้อใจ
คนส่วนใหญ่ล้วนต้องใช้เวลาและต้องเปิดใจ เพื่อค้นหาสิ่งที่เหมาะสมจึงต้องมองหาวิธีการใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ทุกความเจ็บปวดแบบเก่า ๆ อันแสนละเอียดอ่อนได้ตลอดเส้นทางแห่งการเยียวยา สัญชาตญาณจะเป็นเข็มทิศนำทาง อาจมีหลายคนพยายามให้คำแนะนำ และอาจเห็นสิ่งที่น่าสนใจบนโลกออนไลน์ แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ไปด้วยกันกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ย่อมเป็นสัญญาณชัดเจนว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะ คนเราอาจจะอ่านสัญชาตญาณแตกต่างกันออกไป เช่น มันคือการคงอยู่อย่างสงบ และแสดงตัวในฐานะของความรู้
สิ่งที่ต้องระวังคือเทคนิคที่สัญญาว่าจะให้ผลลัพธ์รวดเร็ว เกิดผลอย่างมหัศจรรย์ หรือจะจัดการสิ่งที่อยู่ข้างในแทน สังคมเสพติดผลลัพธ์ที่รวดเร็วและการรักษาได้ทุกสิ่ง ซึ่งอาจมีแนวคิดแบบนี้แทรกซึมอยู่ในการเยียวยาได้เช่นกัน อีกเรื่องที่ต้องระวังคือความสงสัยของตัวเอง ความสงสัยเป็นหนึ่งในรูปแบบการตอบสนองเดิม ๆ ที่มักจะหยิบขึ้นมาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง การตอบสนองทางจิตใจต่อสิ่งกระตุ้นนั้น ต้องการทำซ้ำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จึงพยายามปฏิเสธสิ่งใหม่ ๆ ควรลองทำให้ได้สักประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อน เพื่อประเมินว่าวิธีดังกล่าวทำให้จิตใจเบาสบายขึ้นจริง หรือมีสติรับรู้มากขึ้นหรือไม่
จึงต้องให้เวลาตัวเองสักหน่อย จะได้รู้ว่าวิธีปฏิบัติที่เลือกเหมาะสมจริงไหม เมื่อไหร่ก็ตามที่เริ่มกระบวนการปล่อยวาง และพบวิธีปฏิบัติซึ่งทำให้การเดินทางภายในราบรื่นขึ้นได้ ก็จะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างล้ำลึก การรู้จักตัวเองจะจุดประกายกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยฟื้นคืนพลังกลับมาจากนิสัยเดิม ๆ และคืนพลังนั้นสู่ธรรมชาติความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
บทที่ 5
นิสัยของมนุษย์ VS ธรรมชาติของมนุษย์
โลกตะวันตกมองธรรมชาติของมนุษย์อย่างเย็นชามายาวนานแล้ว จึงตัดสินว่าพื้นฐานของมนุษย์นั้นสนใจแต่ตัวเอง และถูกครอบงำด้วยความโลภ รวมทั้งตั้งสมมติฐานเอาเองว่า แก่นแท้ คิดถึงตัวเองก่อนผู้อื่นเสมอ สมมุติฐานที่ยึดถือกันกว้างขวางเช่นนี้ ส่งผลต่อวิธีปฏิสัมพันธ์กันอย่างมาก ทั้งในระดับมหภาคอย่างองค์กรต่าง ๆ และระดับจุลภาคในท้องถิ่น แนวคิดที่ว่าความโลภเป็นตัวกระตุ้นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ฝังลึกเสียจนเกิดคำว่าความโลภเป็นเรื่องดี ถึงแม้แนวคิดที่ว่าความโลภเป็นพื้นฐานของมนุษย์จะฟังดูสมเหตุสมผล เพราะความปรารถนาและความไม่พอใจ มีพลังกระตุ้นความคิด คำพูด และการกระทำได้มหาศาล พระพุทธเจ้าเองก็ทรงชี้ให้เห็นประเด็นนี้ในหลักคำสอนเช่นกัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความโลภเป็นเงื่อนไขของนิสัยที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย ๆ ว่ามันคือธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวของความโลภนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจ แต่มันก็เหมือนกับรูปแบบการตอบสนองแบบอื่น ๆ สิ่งที่เคยเข้าใจกันแพร่หลายว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะความโลภ ความน่ากลัว กระทั่งความชิงชัง ไม่ได้เป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย ลักษณะเหล่านี้เป็นนิสัยของมนุษย์ เป็นพฤติกรรมแบบมีเงื่อนไขที่คนรุ่นก่อน และประสบการณ์ในอดีตฝังรอยทิ้งไว้
แต่นิสัยของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งคงทนถาวร และไม่ใช่ตัวตนโดยเนื้อแท้ ธรรมชาติของมนุษย์แท้จริงนั้นคือ สิ่งที่ส่องประกายสดใสภายใต้รูปแบบทั้งหลาย ความเจ็บปวดเดิม ๆ และความสับสนต่างหาก ที่หยุดยังไม่ให้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ย่อมเป็นความรัก จิตใจที่กระจ่างแจ้ง ความสร้างสรรค์ และความรื่นรมย์ของชีวิต ที่ส่งต่อมาจากอดีต การเข้าถึงธรรมชาติความเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต่างมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกันไป และไม่อาจเอาการเดินทางของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่นำความก้าวหน้าของคนอื่นมาเป็นแรงบันดาลใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องคาดหวังว่า จะก้าวหน้าให้ทันใครเขา หรือไม่คาดหวังให้เครื่องมือที่ได้ผลกับคนอื่น ก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน สิ่งที่ช่วยได้คือหาหนทางสู่การปล่อยวางและเยียวยาที่เหมาะสมกับตนเองให้เจอ
นิสัยของมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอด
รูปแบบเริ่มต้นของจิตใจก็คือ การเอาชีวิตรอด หมายความว่าแรงจูงใจส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความกลัว ความอยาก ความเกลียดชัง และการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนิสัยของมนุษย์ ในขั้นเริ่มต้นการละแวดระวังและความโลภ ยังมีข้อดีด้านการเอาตัวรอด แต่การใช้ชีวิตอยู่เพียงเพื่อเอาตัวรอดอย่างเดียว ในโลกยุคใหม่กลับสร้างข้อจำกัดมากมาย การจะมีความสุขจำเป็นต้องกระทำอย่างตั้งใจ ทั้งการเยียวยา การปล่อยวาง และการสอนจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน มีเพียงความพยายามของตัวเองเท่านั้น ที่จะทำให้มีความสุขได้
ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามรูปแบบเดิม ๆ ที่ใจก็จะยังคงเดินหน้าตอบสนอง และทำให้ทำงานด้วยระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพราะสิ่งที่จิตใจรู้ดีที่สุดคือการทำซ้ำโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์ยาก ๆ ขึ้น จึงอยู่ในรูปแบบการเอาตัวรอด ซึ่งเป็นรูปแบบตั้งต้นของพฤติกรรม ซึ่งไม่ผ่านการไตร่ตรอง นิสัยของมนุษย์มักจะอยู่ในภาวะสับสน จึงตอบสนองอย่างรวดเร็วและไม่ไตร่ตรอง นิสัยของมนุษย์แผ่ขยายอยู่ในตัว เมื่อจิตใจให้ความสำคัญกับอดีตหรืออนาคตมากเกินไป
ด้วยความที่นิสัยของมนุษย์นั้นเชื่อมโยงกับการเอาตัวรอดอย่างแรงกล้า จึงนำเรื่องราวในอดีตมาเป็นตัวกรองหลัก แทนที่จะคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแง่มุมใหม่ ๆ โดยไม่ตัดสินไปก่อน กลับรีบประเมินและไม่อดทนพอ ความคิดที่มีต่ออนาคตจึงถูกหล่อหลอมไปในทางเดียวกันกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต การจะทำลายวงจรตกหล่มความวิตกกังวลที่ขับเคลื่อนโดยความเจ็บปวดทางอารมณ์ในอดีตได้นั้น ต้องเชื่อมโยงกับอารมณ์ ณ ช่วงเวลาปัจจุบันให้ได้เสียก่อน จะพบธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์ในช่วงเวลาปัจจุบัน รวมทั้งประสบการณ์อันทรงพลังหลาย ๆ อย่างก็จะรออยู่ที่ปัจจุบันเช่นกัน
ความงดงามแท้จริงของธรรมชาติมนุษย์
การปล่อยให้ตัวเองได้สัมผัสอารมณ์ โดยไม่วิ่งหนีไปจากอารมณ์นั้น เป็นประตูสู่การเริ่มต้นแห่งการเยียวยา และเป็นหนทางที่จะเข้าสู่ธรรมชาติมนุษย์ภายใน จะเริ่มการปฏิวัติ จะได้สัมผัสกับการฟื้นฟูจิตใจ ที่ไม่ถูกอดีตคอยถ่วง ดวงตาจะเปล่งประกาย จิตใจจะเริ่มรู้สึกสดชื่นและกะปรี้กะเปร่า เมื่ออารมณ์เก่า ๆ อันหนักอึ้งย้อนกลับมา ก็เพียงประมวลผลแล้วปลดปล่อยมันไป การเยียวยาไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไป อีกทั้งยังเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทน และมุ่งมั่นอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วย แต่สิ่งที่ได้กลับมาจะทำให้การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า
ธรรมชาติของมนุษย์ในตัวจะเริ่มเปล่งประกาย ภายใต้ชั้นที่แข็งกระด้างของนิสัยมนุษย์ มี พลังงานและความสร้างสรรค์มากมายไหลเวียน เพียงแต่ความกังวลและหลุมพรางของเรื่องราวที่ไม่เป็นจริง เผาผลาญพลังงานไปไม่น้อย จนเมื่อจิตใจได้รับการเยียวยา จิตใจจึงจะบริสุทธิ์และยืดหยุ่นขึ้น ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้จากมุมมองที่กว้างกว่าแค่มุมมองของตัวเอง การตระหนักรู้ในช่วงเวลาปัจจุบันจะกระตุ้นให้ธรรมชาติของมนุษย์ทำงาน เพื่อให้เข้าถึงจิตใจที่ชัดเจนแจ่มกระจ่าง ซึ่งความชัดเจนแจ่มกระจ่างนั้นก็คือ สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับความสร้างสรรค์นั่นเอง
ธรรมชาติมนุษย์เปิดกว้างสำหรับทุกคน
ตามประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านจากนิสัยของมนุษย์ ไปสู่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่เลย บุคคลที่ยิ่งใหญ่จากหลายยุคหลายสมัย ก็ใช้ช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญ เพื่อเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับความจริงแห่งการปลดปล่อยเช่นกัน พวกเขากระตุ้นให้ธรรมชาติของมนุษย์ทำงาน ผ่านการตระหนักรู้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น พระเยซูใช้เวลา 40 วันในทะเลทราย เพื่อครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งจนเอาชนะความสงสัยมาได้ ส่วนพระพุทธเจ้าใช้เวลา 6 ปี ทดลองวิถีปฏิบัติแบบต่าง ๆ กระทั่งหลุดพ้นจากทุกสิ่งได้โดยตนเอง วิธีการอาจจะแตกต่างแต่ผลลัพธ์นั้นคล้ายคลึง การครุ่นคิดและเชื่อมโยงกับความจริงภายในอย่างลึกซึ้ง ก่อให้เกิดความรักอันไร้ขอบเขต ทำให้สัมผัสกับอิสรภาพแห่งการไร้อัตตา จนเข้าถึงปัญญาระดับสูงล้ำในที่สุด
มีตัวอย่างผู้คนมากมายที่เคยต่อสู้ดิ้นรนกับความเครียดในจิตใจอย่างหนัก ก่อนจะเลือกเอาวิธีปฏิบัติหรือคิดพิจารณาแบบใดแบบหนึ่งไปใช้ จนสามารถเชื่อมโยงกับธรรมชาติของมนุษย์ได้ นั่นเพราะเมื่อถึงนิสัยของมนุษย์แบบเดิม ๆ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า นิสัยเหล่านั้นประกอบด้วยรูปแบบที่ปลูกเป็นปมและไม่ได้คงทนถาวร เช่นเดียวกับสิ่งอื่น ๆ ก็จะเกิดความอดทนให้นำไปใช้แก้ไขเงื่อนปมเหล่านั้น ด้วยการสร้างการตอบสนองทุกแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่นั่นเอง
กุญแจสำคัญในการก้าวเดินไปข้างหน้า ด้วยตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดคือ การทำซ้ำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้แก่ ฝึกรักตัวเองและผู้อื่น ยิ่งฝึกพลังแห่งความรักจะยิ่งแข็งแรงด้วยตัวเอง ออกจากมุมมองส่วนตน แล้วลองดูว่าคนอื่นมีมุมมองอย่างไร สิ่งนี้จะยิ่งทำให้มีสติปัญญาแก่กล้า ฝึกสุขใจไปกับความสำเร็จของผู้อื่น แล้วความอิจฉาริษยาจะหมดไป และให้เวลากับความรู้สึกขอบคุณ แล้วทัศนะคติจะไหลไปตามทิศทางนั้นอย่างง่ายดาย
คุณสมบัติที่จะช่วยส่งเสริมความสุข จะเกิดขึ้นได้เมื่อตระหนักรู้ถึงช่วงเวลาปัจจุบัน เพื่อดำเนินชีวิตด้วยธรรมชาติของมนุษย์ และถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังต้องการเวลา เพื่อทำให้คุณสมบัติเหล่านั้นเข้มแข็งขึ้น จะได้ยกระดับส่วนต่าง ๆ ของจิตใจให้เติบโต จนเมื่อเข้าใจความลื่นไหลทางจิตใจแล้ว ก็จะนำพลังงานไปมอบให้กับความกล้าหาญ และร่วมทวงคืนพลังทั้งหมดคืนมาจากอดีตในที่สุด
บทที่ 6
วุฒิภาวะ
วุฒิภาวะเป็นคำที่ฟังดูมีความหมายกว้างมาก นิยามในที่นี้ว่าเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นการเดินทางตลอดชีวิต วุฒิภาวะไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นความก้าวหน้าของการเยียวยาตัวเอง เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งยุติปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงอย่างที่เคยเป็น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก การเสริมความแข็งแกร่งให้ข้อปฏิบัติเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องชื่นชม
การตระหนักรู้ในตัวเอง
วุฒิภาวะจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเบนความสนใจเข้าข้างใน แล้วบ่มเพาะศักยภาพในการพิจารณาตัวเอง อย่างที่ชีวิตเกิดการผันแปร โดยไม่วิ่งหนีจากไป และไม่เก็บกดสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเอาไว้ การตระหนักรู้ในตัวเองจึงจะช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นอย่างรวดเร็ว การให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวทางจิต เป็นการเปิดประตูสู่การเรียนรู้ที่จะพลิกชีวิต
การไม่ตอบสนอง
การสร้างความตระหนักรู้ จะเพิ่มความคล่องแคล่วให้กับจิตใจ เมื่อให้เวลากับปัจจุบันจิตใจก็จะช้าลง ยามประสบสถานการณ์ยากลำบากแทนที่จะทุกข์ หนทางย้อนกลับไปสู่การมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบหนุนหันพลันแล่นที่หยั่งรากอยู่ในอดีต จะหยุดปฏิกิริยานั้นได้ และให้เวลาตัวเองสักชั่วขณะ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ความสามารถในการหยุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลาฝึกฝน แต่ผลลัพธ์นั้นมหาศาล การไม่ตอบสนองจะนำพาไปสู่ความมีวุฒิภาวะทางอารมณ์
ความเห็นอกเห็นใจ
เมื่อใช้การตระหนักรู้ในตัวเองที่ได้มา และไม่ตอบสนองทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์ท้าทายอีกต่อไป ความรักและความเห็นอกเห็นใจย่อมเกิดได้ง่ายขึ้น วุฒิภาวะจะมอบความแข็งแกร่งให้ได้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากมุมมองของตัวเอง อย่างการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเข้าใจบริบทโดยรอบของผู้อื่น เหล่านี้ก็เป็นความเห็นอกเห็นใจรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
การเติบโตและการเยียวยา
วุฒิภาวะจะลึกซึ้งขึ้นเมื่อยอมรับได้ว่า ยังมีเรื่องราวให้เรียนรู้และเยียวยาอีกมากมาย ความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเองอย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะมุ่งปล่อยวางความบอบช้ำในอดีต หรือมุ่งพัฒนานิสัยเชิงบวก ต่างก็เปิดให้เข้าสู่ปัญญา และความสงบระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
การหลีกเลี่ยงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวุฒิภาวะ
เวลาที่จัดการความเจ็บปวดหรืออารมณ์ปั่นป่วนไม่ได้ จะตกสู่วังวนแห่งการใช้เวลากับคนอื่นเพื่อหลบหนีจากตัวเอง พบเห็นรูปแบบนี้ได้ทั่วไป การหลีกหนีตัวเองก็เป็นรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว จะมุ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ภายนอกมาก ๆ จนไม่กระหนักว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ การวิ่งหนีจากตัวเองส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ชัดเจน เพราะถ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอ ก็ยากจะรักและเข้าใจคนรอบตัวอย่างถ่องแท้
ถ้าไม่เผชิญหน้ากับตัวเองด้วยความซื่อตรงอย่างที่สุด ก็ยากจะรักษาพื้นที่และพูดคุยกับผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง และถ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้กับตัวเอง ก็ยากจะปฏิบัติดีต่อผู้อื่นเช่นกัน ความซื่อตรงอย่างที่สุดอาจทำยากในตอนแรก แต่มันจะทำให้พื้นฐานความสำคัญมั่นคงได้ ด้วยการสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจขึ้นมา การปลดปล่อยชั้นรูปแบบเก่า ๆ จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดวิวัฒนาการ จนเมื่อไม่ใช่คนแปลกหน้าของตัวเองอีกต่อไปแล้ว การเชื่อมสัมพันธ์ก็จะสมบูรณ์ขึ้น และยังเติมเต็มกันและกันได้มากขึ้นด้วย จะได้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ระหว่างทาง สอดคล้องกับเส้นทางและค่านิยมยิ่งกว่าที่เคย
สัญญาณแห่งวุฒิภาวะ
สิ่งสำคัญของวุฒิภาวะคือการเสียสละเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว มากกว่าความพึงพอใจในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น ให้เวลากับการเยียวยาแม้ว่ามันจะยากก็ตาม ให้พื้นที่เพื่อถึงคืนความสัมพันธ์ แม้ว่าความปรารถนาจะคอยดึงกลับสู่ความสัมพันธ์แบบเดิม ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ส่งผลดีต่อตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือให้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แทนที่จะเป็นสิ่งที่อยากได้ เช่น ให้ความสำคัญกับพลังงาน ในฐานะทรัพยากรล้ำค่า ที่จะส่งผลลึกซึ้งต่อชีวิต
จึงถูกปฏิเสธได้เป็นเรื่องปกติ เพื่อที่จะได้ทุ่มเวลาไปกับเป้าหมายสูงสุด แม้คนที่มีวุฒิภาวะจะอ่อนโยนและใจดีกับคนอื่น แต่พวกเขาล้วนให้ความสำคัญกับสิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตก่อนเป็นอันดับแรก ต่อไปนี้คือวิถีเพิ่มเติมที่จะช่วยให้เดินไปถูกทางมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าร่วมวงทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีความเห็นร่วมไปกับทุกเรื่อง บางครั้งอาจจำเป็นต้องพูดเพื่อปกป้องตัวเอง หรือเพื่อยืนยันขอบเขตของตัวเอง แต่การพูดให้น้อยลงอาจทำให้การยืนหยัดหนักแน่นยิ่งขึ้น และยังช่วยรักษาพลังงานไว้สำหรับช่วงเวลา ที่คำพูดจะส่งอิทธิพลมากที่สุดด้วย
ตั้งใจแรงกล้า
หนึ่งในวิธีปฏิบัติที่สร้างความแตกต่างให้แก่ชีวิตมากที่สุด การยึดมั่นในเส้นทางแห่งการเยียวยา วิธีเติบโตนั้นมีมากมาย เมื่อใดก็ตามที่เลือกเดินไปบนเส้นทางใหม่อย่างจริงจัง ก็จะมีจุดที่ต้องยืนหยัด ความตั้งใจแรงกล้าช่วยให้นั่งสมาธิได้ทุกวัน เมื่อความตระหนักรู้ในตัวเองเติบโตขึ้น เสียงถกเถียงในใจจะเบาลง การตัดสินใจเรื่องสำคัญจึงง่ายและชัดเจนมากขึ้น การเลือกว่าจะไปทิศทางไหน หรือความทุ่มเทเวลาให้กับอะไรจะไม่ยาก และใช้เวลามากเท่าเดิมอีกแล้ว เพราะไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับตัวเอง ความตระหนักรู้ในตัวเอง จะทำให้สัญชาตญาณแข็งแกร่ง และเมื่อก้าวหน้ามากขึ้น ก็จะรู้ได้เองว่าสิ่งไหนใช่หรือไม่ใช่
สังเกตให้เห็นว่าอารมณ์ที่คล้ายคลึงกันจะดึงดูดกัน
อารมณ์แบบหนึ่งมักจะดึงดูดอารมณ์แบบเดียวกัน เมื่อส่งอารมณ์หนึ่งไปให้อีกคน จึงมักจะได้อารมณ์แบบเดียวกันนั้นคืนกลับมา เมื่อรู้สึกแย่แล้วปล่อยให้ความโกรธครอบงำจิตใจ และการกระทำอีกฝ่ายก็จะตอบสนองด้วยความโกรธคืนมาอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขารู้สึกว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะทำแบบนั้น
แสดงออกด้วยความรู้สึกรับผิดชอบมากขึ้น
การยอมรับผิดชอบด้วยการเยียวยาและสร้างความสุขให้ตัวเองเป็นเรื่องยากเย็นและเหลือเชื่อ แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสงบภายในความกระจ่างทางจิตใจและความสุขที่ยั่งยืน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
เมื่อให้ความสำคัญกับเป้าหมายเป็นอันดับแรก การปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีมุมมองชัดเจนแล้วว่าจะเดินไปทางใด การทุ่มเทพลังมหาศาลไปกับเป้าหมายไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย แต่มันหมายความว่ารู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง จนไม่มีความสับสนอีกต่อไป ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญและกำลังทำเพื่อสิ่งใดอยู่
คงความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้
ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือ การยอมรับกับตัวเองว่าได้ประโยชน์จากการเติบโต มันคือสัญญาณที่ชัดเจนของความแข็งแกร่งจากภายใน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะอัตตามักจะมีปัญหากับการมองสิ่งอื่น ที่อยู่นอกเหนือจากมุมมองของตัวมันเอง สัญญาณที่ชัดเจนถึงวุฒิภาวะคือ การสังเกตเห็นเมื่ออัตตาเร่งด่วนสรุป จากนั้นก็ถ่วงรั้งไม่ให้ตัวเองรีบตัดสินใจ อัตตาที่เติบใหญ่จะเต็มไปด้วยความตึงเครียด และเปราะบางต่อการยอมรับความผิดพลาด การเร่งรีบประเมินสิ่งใดนั้นไม่เป็นประโยชน์เลย นี่จึงเป็นอีกแบบฝึกหัดที่ดี เพราะการตัดสินเป็นเรื่องหนักหนา แต่การเปิดใจเอาไว้ต่างหาก จึงจะช่วยให้ดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น
ความขัดแย้ง
ความมีวุฒิภาวะแท้จริงคือ การรักษาความสงบท่ามกลางความขัดแย้ง การตระหนักรู้อย่างสงบจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า แสดงจุดยืนของตัวเองได้โดยไม่ปล่อยให้อัตตาออกมาทำให้ทุกสิ่งเลวร้ายลง เช่นนี้แล้วจึงจะบรรเทาเรื่องร้าย ๆ ได้ ถ้าควบคุมสภาวะทางจิตได้โดยไม่ปล่อยให้คนอื่นตัดสินใจแทน ก็นับเป็นสัญญาณแสดงว่าเรียกพลังงานกลับคืนมาได้แล้ว ต่อให้มีใครพยายามปลุกปั่นให้โกรธ ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำเชื้อเชิญของพวกเขา
วุฒิภาวะคือการมีตัวตนที่ยืดหยุ่น
ชีวิตไหลไปข้างหน้าจากช่วงเวลาหนึ่งไปยังช่วงเวลาถัดไป ถึงแม้ช่วงเวลา ณ ขณะนี้จะคล้ายกับช่วงเวลาในอดีตที่เพิ่งผ่านพ้น แต่โดยพื้นฐานแล้วย่อมไม่เหมือนกัน ถ้าโอบรับวิวัฒนาการของตัวเอง และทุ่มเทเพื่อพัฒนาสิ่งนั้น ก็เท่ากับปูทางให้ภายในได้เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ได้พลังคืนมาด้วยการทำความเข้าใจอดีต และด้วยความตั้งใจที่จะอยู่กับปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เองที่จะช่วยให้สร้างอนาคตได้ ด้วยการเลือกการกระทำอย่างชาญฉลาดตั้งแต่วันนี้ ตัวตนที่มีความยืดหยุ่นจะหนุนเสริมให้ได้ผลพบสิ่งใหม่ ๆ ในตัว และพัฒนาชีวิตให้รุ่งเรือง ในขณะที่การพยายามทำตัวเหมือนเดิม หรือย้อนกลับไปเป็นตัวเองเวอร์ชั่นเก่า เป็นการยึดติดรูปแบบหนึ่งที่ไม่มั่นคง และสร้างความตึงเครียดทางจิตได้มากมาย หนทางเดียวที่จะทำได้คือ การโอบรับและปล่อยให้ความเคลื่อนไหวนั้น สร้างแรงจูงใจให้จะเกิดการพัฒนา
บทที่ 7
ความสัมพันธ์
คำว่าความรักสื่อความหมายได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนทางจิตใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความไม่เห็นแก่ตัว ความยืดหยุ่น ความใส่ใจ การยอมรับ และความเข้าใจ ทั้งยังมีพลังมหาศาล ความรักจึงอยู่ในรูปแบบที่ผูกโยง และหล่อเลี้ยงคนสองคนเอาไว้ด้วยความดีงาม ความรักคืออิสระ ในขณะที่การยึดติดคือการควบคุม และมนุษย์ทั้งหลายก็เดินเข้าสู่ความสัมพันธ์โดยผสมผสานทั้งสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน
หลังอกหัก
การเลิกราทิ้งร่องรอยลึกเอาไว้ ความเจ็บปวดจากการเลิกรา จะสร้างแรงกระเพื่อมถึงตัวตน ทำให้เกิดความทุกข์ระทมอยู่ลึก ๆ การจบความสัมพันธ์จึงเป็นการปิดฉากความเป็นบ้าน ในเมื่อการทุ่มเทความรักมากมาย พลังงานทางอารมณ์ และความพยายามที่จะสร้างพื้นที่ที่เหมาะสม สำหรับคนสองคนเป็นเรื่องราวศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่า ยามที่มันจบลงจึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างรุนแรง ความโศกเศร้านั้นจะยังหล่อหลอม สิ่งที่มองหาจากความสัมพันธ์ในอนาคต และวิธีปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ด้วย คนเราแตกต่างกันมาก คนบางคนรักที่จะอยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นปรารถนาการมีคู่ครอง แต่ไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ยังต้องมีความสัมพันธ์รูปแบบอื่น ๆ อีก ซึ่งการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ
การเยียวยาช่วยยกระดับความสัมพันธ์
เมื่อการเยียวยาคือการบ่มเพาะความปรองดองภายในตัวบุคคล ระดับความลึกในการเยียวยาจึงสำคัญกับความสามารถในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ที่มีขึ้นมีลงด้วย เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่คนสองคนจะมีแต่ความสุข ความรื่นรมย์ และความสนุกสนานไปเสียทั้งหมด ถ้าหากรับมือได้อย่างเชี่ยวชาญ มีความไว้เนื้อเชื่อใจ และมีความเข้าใจกัน ความท้าทายเหล่านี้ก็จะทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม ความใกล้ชิดลึกซึ้งในความสัมพันธ์ จะกลายเป็นเครื่องบ่มเพาะการเติบโตชั้นยอด เพราะการอยู่ร่วมกันไม่เพียงทำให้ได้ฝึกรัก แต่ยังเป็นการบังคับให้อัตตาได้ย้อนมองตัวเองด้วย แม้สิ่งที่เห็นจะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับก็ตาม
การสื่อสารที่ดีสร้างความแตกต่างอย่างยิ่ง
คู่รักแต่ละคู่มีความแตกต่างกันมาก และเรื่องราวความสัมพันธ์จะเป็นไปในทิศทางใดย่อมเป็นเรื่องเฉพาะ แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์จะซับซ้อน และขึ้นกับสถานการณ์อย่างไร ก็ยังสร้างระบบที่เหมาะกับความสัมพันธ์ได้อยู่ดี บางทีอาจสร้างด้วยการนั่งสมาธิ ใช้บริการนักบำบัดความสัมพันธ์ หรือวิธีอื่นที่ต่างไปจากนี้โดยสิ้นเชิง แต่การมองหาเครื่องมือที่เหมาะกับความสัมพันธ์ย่อมคุ้มค่า เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดการตระหนักรู้ในตนเอง และสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นได้
การส่งเสริมความสุขของกันและกันมีความหมายอย่างไรกันแน่
การส่งเสริมบางครั้งก็เหมือนเป็นคำที่คลุมเครือ เพราะการส่งเสริมที่ต้องการในฐานะปัจเจกบุคคลนั้น หลาย ๆ ครั้งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ด้วย สิ่งที่ต้องการในวันนี้อาจเปลี่ยนไปจากวันก่อน และสิ่งที่ต้องการในปีนี้ก็อาจไม่เหมือนความต้องการในปีหน้าเช่นกัน แต่องค์ประกอบสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความสุขอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ได้อย่างแข็งแกร่งมีดังต่อไปนี้
เข้าใจว่าคนอื่นทำให้มีความสุขไม่ได้ ประเด็นนี้เป็นเหมือนยาขมอย่างหนึ่ง เพราะสังคมคุ้นชินกับการคาดหวังอย่างมาก ความคาดหวังนี้ไม่เกิดประโยชน์ และยังทำให้ยึดติดกับความสุขอย่างรุนแรงด้วย
เข้าใจว่าคนอื่นไม่อาจแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ได้ คนเรามักจะคาดหวังให้คู่ครองเป็นทางออก สำหรับความปั่นป่วนใจคิดว่า ความรักที่พวกเขามอบให้ จะนำความสงบสุขยั่งยืนมาสู่ภายใน และลบล้างอดีตอันเดียวร้าย ที่ส่งผลในแต่ละวัน
ตระหนักว่าการสนับสนุนที่ดีต้องเกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่ควรพยายามอยู่เคียงข้าง เมื่ออีกฝ่ายต้องการให้มากที่สุด คนสองคนต้องสนับสนุนกันอย่างจริงจัง จึงจะสร้างความปรองดองได้
หลีกเลี่ยงการบังคับบงการ การส่งเสริมความสุขให้กันและกัน ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ เพื่อให้ทั้งสองมีความเป็นหนึ่งเดียวกันแท้จริง แต่คนเรามีศักยภาพทางอารมณ์แตกต่างกัน ความเข้มแข็ง วิธีแสดงออก รวมถึงความรักแบบที่ปรารถนาก็แตกต่างกันด้วย
ความยืดหยุ่น สิ่งสำคัญอย่างสุดท้ายคือความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเปิดรับการเติบโตหรือไม่ ทุกคนต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สิ่งที่ใช้ได้ในวันหนึ่งอาจจะช่วยในสถานการณ์ใหม่ ๆ ไม่ได้เลย
การสื่อสารอย่างลึกซึ้ง
การสื่อสารผิดพลาดระหว่างคนสองคนเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก เพราะทุก ๆ ครั้งที่ใครสักคนพูด เท่ากับพวกเขากำลังแปลความรู้สึกออกมาเป็นคำ จากนั้นอีกคนจะตีความคำเหล่านั้นผ่านตัวกรองของความรู้สึก ณ ขณะนั้น รวมทั้งภูมิหลังของอารมณ์ และเมื่อสื่อสารผ่านตัวกรองของการรับรู้ จึงต้องอาศัยความสงบ และวุฒิภาวะระหว่างคนสองคนในระดับหนึ่ง พลังของการสื่อสารในความสัมพันธ์ไม่ควรมาจากการกล่าวเกินจริง เพราะการสื่อสารคือพื้นฐานของการผูกสัมพันธ์ และยังเป็นเครื่องมือช่วยชีวิต ในช่วงเวลาที่ท้าทายอีกด้วย
บทที่ 8
ความท้าทายระหว่างการเยียวยา
การเยียวยามีไว้เพื่อคนที่กล้าหาญ และพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่ในนั้น ขึ้นอยู่กับภูมิหลัง การเดินทางช่วงแรก ๆ จึงแตกต่างจากตอนที่เจาะลึกเข้าไปในอารมณ์ลึกซึ้งโดยสิ้นเชิง ส่วนที่ลึกซึ้งที่สุดของการเยียวยา จะเกิดขึ้นแบบระลอกคลื่น และระหว่างลูกคลื่นจะมีช่วงเวลาแห่งการหลอมรวม เพื่อให้เชื่อมต่อกับตัวตนคนใหม่ได้ แต่ความท้าทายระหว่างทาง จะแตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล
วัดความก้าวหน้าระหว่างทาง
ความท้าทายจะเป็นเครื่องตรวจวัดความคืบหน้า เนื่องจากการเยียวยาส่วนมากขึ้นอยู่กับความเฉียบคมในการตระหนักรู้ จึงมักจะลืมตัวจนได้รู้ข้อมูลใหม่ ๆ มหาศาล และได้เข้าใจตัวเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งการวัดผลในช่วงเวลาที่สั้นมาก ๆ จะทำให้ไม่ได้รู้ข้อเท็จจริง เพราะการเยียวยาไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเส้นตรง อาจต้องใช้เวลานานขึ้นเพื่อค้นพบด้านใหม่ ๆ ของตัวเอง และหลอมรวมตัวตนใหม่นี้ได้เต็มที่ ในโลกแห่งความจริง การเดินทางย่อมต้องสะดุดอยู่บ่อยครั้ง หรืออาจต้องถอยหลังบ้าง ก่อนจะก้าวกระโดดครั้งใหญ่ จึงควรจัดการการยึดติดกับความสมบูรณ์แบบให้ได้ ให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยการตระหนักรู้ ต้องยึดมั่นกับการเยียวยาเข้าไว้ แต่ก็ขอให้อ่อนโยนกับตัวเองด้วยเช่นกัน เมื่อเข้าสู่การเดินทางภายใน เท่ากับได้ตอบรับความท้าทาย เพื่อการพัฒนาและเติบโตแล้ว
ช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยที่ยากลำบาก
การเยียวยาจะช่วยทำความสะอาดจิตใจ ในขั้นแรกมันจะแสดงให้เห็นรูปแบบที่ทำให้ปวดร้าวมากที่สุด มีหลายสิ่งที่ถูกเก็บกดเอาไว้จนเมื่อใช้เวลาสำรวจโลกภายใน ช่วงเวลาเก่า ๆ หลาย ๆ ช่วงเวลา อาจจะทำให้ช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนในอดีตหวนคืนมามีชีวิตอีกครั้ง จิตใจจึงอาจขุ่นมัวและไม่ผ่องใส จนกว่ามันจะเคลื่อนผ่านไปในท้ายที่สุด
ปล่อยวางตัวตนคนเก่า
ความท้าทายอีกอย่างระหว่างการเยียวยาก็คือ การปล่อยวางตัวตนคนเก่าในระหว่างฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้การปลดปล่อยก้าวหน้า การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจะยิ่งเบาขึ้น และเบาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สิ่งที่ชอบและไม่ชอบเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ด้านเก่า ๆ จะสร้างความเครียดให้มากมายก็ตาม ยังต้องพบกับแรงผลักและแรงต้านอีก เนื่องจากการรับรู้ถูกควบคุมโดยสิ่งที่เคยพบเจอมาในอดีต เพื่อให้ภายในได้รับการฟื้นฟู อาจจริงจังกับการเยียวยา จงปล่อยให้ตัวตนยืดหยุ่น และไหลไปตามทิศทางที่ส่งเสริมความสุขได้ดีที่สุด
ยอมรับกับการเคลื่อนไหวช้า ๆ
หนึ่งในความคิดที่เป็นพิษที่สุด ที่ครอบงำจิตใจก็คือ ความสมบูรณ์แบบ คาดหวัง ปรารถนา และต้องการจะเห็นความสมบูรณ์แบบในชีวิตและความสัมพันธ์ แต่ความเป็นจริงกับแนวคิดความสมบูรณ์แบบ กลับขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ คือความตั้งใจ ความทรงพลัง และการพิจารณาอย่างชาญฉลาด ความกล้าหาญจะเคลื่อนไหวตามจังหวะย่างก้าว และดึงตัวเองออกจากการแข่งขันที่ต้องบังคับตัวเอง จะเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์อย่างล้ำลึก
เคลื่อนไหวตามจังหวะย่างก้าวของตัวเอง
เมื่อเกิดความอิจฉาและความรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง ต้องกลับมาเชื่อมต่อกับความอ่อนน้อมถ่อมตนอีกครั้ง และโอบรับข้อเท็จจริงว่า ควรก้าวย่างตามจังหวะของตัวเอง การเติบโตอย่างยั่งยืนคือ การรู้ตัวเองและรู้ด้วยว่ารับมือได้แค่ไหน ซึ่งจำเป็นต้องประมวลผลออกมา และการพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเวลาพักหรือผ่อนคลาย จะเท่ากับบังคับตัวเองให้เข้าสู่ภาวะไม่สบายตัวอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ตัวเองหลุดออกจากสมดุล จึงควรแบ่งเป้าหมายให้เล็กลง แทนที่จะรับมือทุก ๆ ปัญหาพร้อมกันในคราวเดียว แม้ว่าปัญหาจะเชื่อมโยงกันอย่างเหลือเชื่อก็ตาม
บทที่ 9
การเปลี่ยนแปลงภายใน
ที่กระเพื่อมสู่ภายนอก
เมื่อความคิดเริ่มเชื่อมโยงกับธรรมชาติของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น ชีวิตจริงก็จะเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน อาจจะเริ่มต้นอย่างช้า ๆ ในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเปลี่ยนแปลงจะทวีคูณ จนไม่อาจปฏิเสธผลที่เกิดจากการปฏิบัติภายในได้อีกต่อไป การได้เห็นและใช้ชีวิตพร้อมกับ จิตใจที่ผ่องใส ไม่ได้อยู่ในโหมดเอาตัวรอดนั้น เป็นของขวัญที่มอบให้ตัวเองได้ ความขยันหมั่นเพียรในการใคร่ครวญจะเปลี่ยนโฉมภายใน ซึ่งจะทำให้สิ่งดี ๆ ทุกสิ่งในตัวขยายกว้าง ทั้งยังเพิ่มพลังให้กับคุณสมบัติที่ดี ที่จะสนับสนุนให้มีชีวิตที่ดีควบคู่กันไปด้วย จนกลายเป็นจุดเด่นของจิตใจ ความท้าทายของการขยายตัวตนครั้งใหญ่นี้คือ การปลดปล่อยการยึดติดกับความเป็นตัวตนที่เคยเป็น และส่งเสริมความกล้าหาญ ในการยอมรับธรรมชาติที่เผยออกมา
ความคิดสร้างสรรค์
เมื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติของมนุษย์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น จิตใจจะแจ่มชัดยิ่งกว่าเดิม เพราะจิตใจจะไม่มัวสนใจแต่เรื่องในอดีตอีกแล้ว ความสามารถในการซึมซับสิ่งต่าง ๆ ด้วยมุมมองใหม่จะช่วยให้แก้ปัญหาเก่าได้ด้วยวิธีใหม่ ความคิดสร้างสรรค์เป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจ ที่ทำให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้น ซึ่งจะทรงพลังที่สุดเมื่อไม่ได้อยู่ห่างไกลจากตัวเอง และการเชื่อมโยงความรู้สึกภายใน ทั้งเข้มแข็งและเปิดกว้าง ความคิดสร้างสรรค์ต้องใช้พลังงาน แต่โดยทั่วไปพลังงานกลับถูกเผาผลาญไปกับความวิตกกังวล ความกลัว หรือความปั่นป่วนในจิตใจ การนั่งสมาธิจึงฟื้นฟูความรู้สึกได้มาก เพราะได้ฝึกฝนการรับรู้ และการอยู่กับปัจจุบันนั่นเอง
ขอบเขตใหม่ ๆ และการกระทำใหม่ ๆ
ในระหว่างเยียวยาตัวเอง โดยธรรมชาติมักต้องการขอบเขต จึงจำเป็นต้องมีป้อมปราการ และพื้นที่ให้วุฒิภาวะได้เติบโตจนสมบูรณ์ ขอบเขตจะมีบทบาทสำคัญมาก ในการเป็นเกราะป้องกันจากโลก ในขณะที่เคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลง ขอบเขตเป็นการป้องกันรูปแบบหนึ่ง ที่จะช่วยให้มีความสอดคล้องกับคนที่กำลังจะเป็น ขอบเขตที่สร้างขึ้นจะเป็นประโยชน์ในชั่วขณะนั้นเท่านั้น ยังต้องคอยตรวจสอบกับตัวเอง เพื่อประเมินและเปลี่ยนแปลงขอบเขตเมื่อจำเป็นด้วย
ความจริงสมมุติกับความจริงขั้นสูงสุด
ปัญญาภายในจะสร้างคลื่นลูกใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงการรับรู้ทั้งต่อตัวเองและต่อโลก ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเปิดประตูสู่ความสุขนั้นก็คือ ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่อาจปฏิเสธได้ สัจธรรมของการเปลี่ยนแปลงคือแก่นของมนุษย์ ทุกแง่มุมที่ประกอบเป็นจิตใจ ก็มีสภาวะเคลื่อนไหว และทุก ๆ สิ่งที่เคลื่อนไหวย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ
ขยับออกสู่ข้างนอก
วงนอกสุดที่จะได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงก็คือโลก แม้ว่าจะเป็นคนหนึ่งในหลายพันล้าน แต่ความคิด คำพูด และการกระทำ จะสร้างแรงกระเพื่อมชัดเจนผ่านมวลมนุษยชาติ การเปลี่ยนแปลงภายในที่คูณเข้าด้วยจำนวนหลายล้าน ย่อมส่งอิทธิพลอันทรงพลังต่อโลกโดยไม่ต้องสงสัย ทั้งยังผ่านการพิสูจน์แล้วว่า เมื่อผู้คนเคลื่อนไหวพร้อม ๆ กัน ประวัติศาสตร์ย่อมเปลี่ยนแปลงไป
บทที่ 10
เชื่อมประสานโลก
โลกขาดสมดุลอย่างเห็นได้ชัด ปัญหานี้อาจทำให้ติดหล่มอยู่กับการชี้นิ้วหาคนผิด ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์มากกว่าคือ การทำความเข้าใจเพื่อหาสาเหตุของสิ่งที่เป็น แล้วเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น มีคนมากมายติดอยู่ในระบบที่เป็นอันตราย แต่การโทษคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบบที่ว่านั้น วิธีที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จมากกว่าคือ การมองภาพใหญ่ไปถึงวิธีที่โลกก่อสร้างขึ้น แล้วขับเคลื่อนทั้งองคาพยพเพื่อออกแบบสังคมขึ้นใหม่ โลกที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ สร้างขึ้นจากการผสมผสานความงดงาม และความอยาบกระด้างภายในของมนุษยชาติ โลกไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นภาพสะท้อนของระดับวุฒิ จึงต้องมีขบวนการเยียวยาครั้งใหญ่ ที่จะช่วยให้สังคมมีเสถียรภาพ
อัตตาจะสร้างสามเหลี่ยม
ถ้าดูรูปร่างของสังคมจากมุมมองการออกแบบ จะสังเกตเห็นว่ารัฐบาล ธุรกิจต่าง ๆ ความร่ำรวย และอำนาจมีรูปทรงสามเหลี่ยม โดยมีคนอยู่บริเวณยอดเพียงหยิบมือเดียว แต่พวกเขากลับได้ตัดสินใจแทนมวลชนที่อยู่ด้านล่าง การยึดติดในลำดับชั้นที่ฝังแน่นอยู่ในอัตตานี้เอง ที่เป็นตัวจัดระเบียบสังคม เพื่อให้คนจำนวนน้อยมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะพิจารณาเรื่องนี้ในแง่ความเคลื่อนไหวทางสังคมหรือการปฏิวัติ แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้ถูกกดขี่ได้มาซึ่งอำนาจ พวกเขามักจะแก้แค้นคนที่ครั้งหนึ่งเคยกดขี่พวกเขาในนามของความยุติธรรม ความขัดแย้งในสังคมก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่อาจเกิดความปรองดอง และสันติภาพที่ยืนยาว ทุกคนมักจะแสวงหาอำนาจ จากนั้นก็ติดอยู่ในพลวัตเดิม ๆ ที่พวกเขาพยายาม จะเปลี่ยนแปลงวงจรแห่งอันตรายนี้จึงจะคงอยู่ต่อไป จนกว่าจะแก้ไขที่รากเหง้า ของความระทมทุกข์ภายในแต่ละคนได้สำเร็จ
ธรรมชาติของมนุษย์ที่ได้รับการเยียวยาจะสร้างวงกลม
สังคมโลกเวอร์ชั่นต่อไป จะต้องเป็นไปในแบบของการตระหนักถึงศักยภาพที่มี ซึ่งการจะทำให้เป็นจริงได้ จำเป็นต้องออกแบบองค์กรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น กระจายอำนาจเพิ่มขึ้น และต้องเริ่มคิดในแบบวงกลมมากขึ้น เพื่อแบ่งอำนาจและความร่ำรวยให้เท่าเทียมกันกว่าเดิม วิธีกระจายความร่ำรวยและอำนาจให้ดียิ่งขึ้น จึงไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ทั้งยังมีต้นแบบที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า นำไปใช้จนประสบความสำเร็จได้จริงมีอยู่
สร้างสมดุลแทนการทำแบบสุดโต่ง
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่ปกติที่สุดคือ ความหวาดกลัว บางคนจะยิ่งมีปฏิกิริยาชัดเจน เมื่อพูดถึงการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทั้งที่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกไม่ได้น่ากลัวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการปรับอารมณ์และเสนอแนะด้วยความเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงที่ไม่สุดโต่ง จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม จึงควรคำนึงถึงความสมดุลเป็นหลัก จึงจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ ความสมดุลที่ว่านี้ก็คือ ความเห็นอกเห็นใจทุกคนที่เกี่ยวข้อง ด้วยความหวังว่าจะยกระดับสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เกิดความสมัครสมานกลมเกลียว
ย่างก้าวสำคัญไปข้างหน้า
หนึ่งในพื้นที่ซึ่งจำเป็นต้องขจัดความสุดโต่ง และสร้างสมดุลให้ได้นั่นคือ พื้นที่แห่งความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางฐานะ ทุกคนอาศัยอยู่ในยุคที่มีความมั่งคั่งในระดับไม่ธรรมดา อย่างที่แทบนึกไม่ถึง จึงต้องให้ความสำคัญลำดับแรกกับการใช้ความเห็นอกเห็นใจ เพื่อยืนยันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แล้วทุ่มเทพลังเพื่อแบ่งปันปัจจัยพื้นฐาน ที่ชีวิตมนุษย์ต้องการ เพราะสิ่งนี้คือความจำเป็นพื้นฐาน ที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน มนุษยชาติย่อมไม่อาจเจริญ หากทุกคนยังเข้าไม่ถึงสิ่งจำเป็น ที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ดังนั้น สิ่งที่ต้องการก็คือความสมดุล จำเป็นต้องดึงเอาสิ่งดี ๆ จากอุดมการณ์ต่าง ๆ มาหาทางสายกลางเพื่อนำพามนุษยชาติไปสู่ อิสรภาพในอีกระดับ ทั้งยังเพื่อให้สิทธิมนุษยชนแผ่ขยายกว้างขึ้นด้วย
ความเห็นอกเห็นใจเชิงโครงสร้าง
การขยายความเห็นอกเห็นใจ จากระดับบุคคลสู่ระดับกลุ่มบุคคลและสังคมนั้น เป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญของมนุษยชาติ ที่จะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ เพื่อให้เกิดวุฒิภาวะในวงกว้าง ความเห็นอกเห็นใจเชิงโครงสร้างนั้น เป็นขั้วตรงข้ามกับความอันตรายเชิงโครงสร้าง ที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ความเห็นอกเห็นใจเชิงโครงสร้าง เป็นแนวคิดที่ต้องนิยามและทำให้เป็นจริงร่วมกัน โดยใช้ความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนมาเป็นตัวตั้งต้น ไม่มีมนุษย์คนใดคิดหาหนทาง เพื่อทำให้สิ่งนี้สำเร็จได้ชัดเจน และยังไม่มีทฤษฎีหรือหลักคำสอนใด ที่จะส่งอิทธิพลต่อวิธีใช้ความเห็นอกเห็นใจเชิงโครงสร้างในระดับโลก
ความท้าทายที่เผชิญอยู่นั้นน่าหวาดหวั่น แต่ก่อนที่จะคิดไปไกลว่าจะแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้อย่างไร สิ่งแรกให้ทุกคนมองเข้าหาข้างใน และเยียวยาจิตใจตัวเองให้เบาสบายก่อน เพื่อก่อน้ำพุแห่งความกล้าหาญ และสร้างสรรค์เพื่อจะช่วยให้มองปัญหาเก่า ๆ ได้ด้วยหนทางใหม่ ๆ เพื่อที่จะได้ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยได้อย่างสง่างามยิ่งขึ้น การเยียวยาจึงจะเป็นสิ่งที่สร้างสันติภาพ ให้เกิดแก่โลกในอนาคตอย่างยั่งยืน ความโศกเศร้าที่ฝังลึกอาจเป็นอุปสรรคใหญ่ ขัดขวางการสร้างโลกที่ดีขึ้นอย่างเงียบ ๆ
บทที่ 11
ยุคใหม่
ชีวิตไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้นกลไกการทำงานของจิตใจ ก็เปลี่ยนไปมากหลังจากเริ่มเส้นทางแห่งการเยียวยา เพื่อจะพบหนทางสู่ชีวิตที่ดีก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างคนที่เคยเป็นกับคนที่กำลังจะเป็น แค่กระจ่างแจ้งขึ้นกว่าเดิมยามก้าวเดินไปข้างหน้าก็เพียงพอแล้ว สุดท้ายอดีตที่เคยเป็นส่วนหนักหน่วงของชีวิต ก็จะกลายเป็นความทรงจำเก่า ๆ ที่คอยเตือนใจให้รู้ว่าก้าวมาไกลแค่ไหน เส้นทางแห่งการเยียวยาได้รับความนิยมมากมาย มีคนเข้ามาร่วมค้นหาหนทางของตัวเองมากขึ้นทุกที เพราะพวกเขาก็ทราบเช่นกันว่า ถึงเวลาฝึกฝนภายในให้ลึกซึ้งขึ้นแล้ว และยังมีคนอีกนับไม่ถ้วน ที่กำลังจะเข้าสู่กระบวนการ การเยียวยาของพวกเขาจะช่วยปลุกพลังขึ้น เพื่อนำมาสร้างสิ่งดี ๆ ให้ตัวเองและผู้อื่น ธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์จึงกำลังก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของสังคม ผ่านหัวใจของผู้คนที่กำลังเยียวยา
การลำดับความสำคัญ
ความปรองดองในตัวคนคนเดียวคงไม่อาจทำอะไรได้ แต่ความปรองดองของใครหลาย ๆ คน จะสร้างคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าด้วยการพยายามเปลี่ยนแปลงโลกเพียงลำพัง เพราะไม่ว่าจะพยายามหนักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำได้ด้วยตัวคนเดียวแน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำเพื่อคนอื่น ๆ ได้ก็คือ การเยียวยาตัวเอง นี่คือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก จดจำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องเยียวยาให้สมบูรณ์ ก่อนจะลงมือช่วยเหลือโลก แต่สามารถเดินทางภายในไปพร้อมกับสร้างตัวเร่ง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
เยียวยาตัวเองอย่างจริงจังกันเถอะ แล้วจะนึกภาพโลกที่ดีขึ้นกว่าเดิมออก ตอนนี้มนุษยชาติกำลังยืนอยู่บนทางแยก ระหว่างการเดินตามแนวคิดเรื่องการแบ่งแยกอันคับแคบ หรือจะสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความสามัคคี และเริ่มมองเห็นว่าชะตากรรมเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เมื่อสร้างโลกแห่งความมหัศจรรย์ขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของมนุษย์ได้อย่างเท่าเทียม
ความกล้าหาญ
มีคนมากมายที่สงสัย ว่ามีสิ่งยิ่งใหญ่ใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้จริงหรือ และอาจมีคนถึงขั้นสงสัยว่า จะเปลี่ยนแปลงภายในได้จริงหรือเปล่า และย่อมต้องมีคนที่คิดว่าคงเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นไม่ได้หรอก เพราะยึดติดอยู่กับข้อจำกัด แล้วปล่อยให้ความเจ็บปวดในอดีตครอบงำ ความคิดเกี่ยวกับภาพอนาคตโดยไม่รู้ตัว นี่คือช่วงเวลาที่มนุษยชาติมากมาย ตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาจะต้องเติบโต คนเราต่างก็มีส่วนต้องรับผิดชอบที่เคยออกแบบสังคมให้เกิดความไม่เท่าเทียม และไม่ยั่งยืนอย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะสร้างขึ้นโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว แต่ไม่ใช่ความผิดทั้งหมดเพราะเพียงรับโลกใบนี้ และโครงสร้างส่วนใหญ่มาจากคนรุ่นก่อนเท่านั้น แค่ทุก ๆ คนเยียวยาความบอบช้ำในอดีต และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่เหนืออดีตเหล่านั้น ก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาไปทางหนึ่งแล้ว
วิถีแห่งความรักคือสิ่งสำคัญ
เมื่อสิ่งต่าง ๆ มากมายไม่สมดุล ทั้งยังมีคนมากมายกำลังทุกข์ใจ จิตใจก็จะติดอยู่ในวงจรแห่งความเกลียดชังได้ง่าย วิธีเดียวที่จะแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ได้คือ การสร้างกลยุทธ์เพื่อทำร้ายคนที่มองว่าเป็นศัตรู แต่ความรุนแรงย่อมไม่อาจยุติปัญหา เพราะถ้าพึ่งพาความรุนแรง ก็รังแต่จะสร้างผู้บาดเจ็บให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคนเหล่านี้ก็จะใช้ความรุนแรงให้มากขึ้นเป็นการตอบโต้ ความรุนแรงจึงเป็นกับดักที่มนุษยชาติตกลงมานับครั้งไม่ถ้วน เครื่องมือหลักที่จะดึงออกจากหล่มแห่งประวัติศาสตร์ความรุนแรง จึงมีเพียงความรัก การให้อภัย และความเข้าอกเข้าใจ หากต้องการสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม ก็ต้องทำด้วยความรัก เพราะความรักคือองค์ประกอบในการสร้างสรรค์ ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล
บทสรุป
การเยียวยาตัวเองเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ การสร้างโลกแห่งความเห็นอกเห็นใจในเชิงโครงสร้างนั้นก็เป็นไปได้เช่นกัน ทั้งสองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ได้ เมื่อทำให้จิตใจเบาสบายขึ้น โลกก็จะเบาสบายขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ขอให้มองหาเทคนิคการเยียวยาที่เหมาะสม แล้วยึดมั่นในวิธีการนั้น ขุดลงให้ลึกให้เวลากับตัวเอง ปล่อยวางต่อไปเรื่อย ๆ ยืนหยัดมั่นคง และไม่ต้องกังวล หากคนอื่นไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ แม้เส้นทางจะไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ก็ขอให้จำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่สงสัยในตัวเอง โกรธ จงเดินหน้าต่อไปอย่างกล้าหาญ บนเส้นทางที่เพิ่มพูนความสงบให้
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงภายในที่จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมภายนอกก็คือ แค่รับรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นดีขึ้นได้ แล้วมุ่งความสนใจของตัวเองไปที่ชุดค่านิยมต่าง ๆ เช่น การเยียวยาตัวเอง ความใจกว้าง ความเมตตา อ่อนโยน การรักตัวเอง ความเท่าเทียมกัน หรือการกระทำด้วยความเห็นอกเห็นใจ เมื่อพยายามอย่างดีที่สุด ค่านิยมเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นแสงนำทาง เพื่อนำความปรองดองมาสู่โลก และท้ายที่สุดองค์ประกอบของสังคมก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลง
อย่าปล่อยให้จังหวะขึ้นลงของชีวิตมาหยุดยั้งจากความงดงาม และความสุขของชีวิต เพราะชีวิตและโลกใบนี้ยังมีอนาคตข้างหน้า ที่สำคัญยิ่งและกำลังจะมาถึงรออยู่ เส้นทางแห่งการเยียวยาเป็นการเดินทางของผู้กล้า และทุก ๆ สถานการณ์ยากลำบากที่เผชิญ ก็ใช่จะจบลงด้วยชัยชนะเสมอ แน่นอนว่าจะต้องพ่ายแพ้ มีน้ำตา และเจ็บปวดหัวใจบ้าง แต่ทุกครั้งจะได้พบความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ให้อิสรภาพครั้งใหม่ และมอบวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ให้ และโลกย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงคือทุกสิ่ง การเยียวยาจะสร้างหนทางสู่อนาคตที่ดีกว่า เสรีชนจะอาศัยอยู่อย่างสบายได้ ในสังคมแห่งความห่วงใย และเมื่อไปถึงจุดนั้น มนุษยชาติก็จะไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไป แต่จะเป็นผู้ใหญ่ได้ในที่สุด.