Gross Margin คืออะไร
Gross Margin หรือ อัตรากำไรขั้นต้น คือ ค่าต่างระหว่างรายได้และต้นทุนของสินค้าที่ขาย (COGS) หารด้วยรายได้ และนิยมแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยทั่วไปจะคำนวณจากราคาขายของสินค้าหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ขาย
เช่น ต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนในการซื้อสินค้า ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงเช่นค่าสำนักงาน ค่าเช่า หรือค่าบริหาร) จากนั้นหารด้วยราคาขายเดียวกัน คำว่า “Gross Margin” มักใช้สลับกับ “Gross Profit” แต่ทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างกัน “Gross Profit” เป็นจำนวนเงินสุทธิที่แน่นอน ในขณะที่ “Gross Margin” เป็นเปอร์เซ็นต์หรืออัตราส่วน
Gross Margin เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของกำไรที่หารด้วยรายได้สุทธิ เช่น Gross (Profit) Margin, Operating (Profit) Margin, Net (Profit) Margin เป็นต้น
วัตถุประสงค์ของการคำนวณ Margin คือ “เพื่อกำหนดมูลค่าของยอดขายเพิ่มเติม และเป็นแนวทางในการตัดสินใจเรื่องการกำหนดราคาและการส่งเสริมการขาย”
“Margin ในการขายเป็นปัจจัยสำคัญหลังการตัดสินใจทางธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงงบประมาณและการคาดการณ์ ผู้จัดการทุกคนควรและมักจะทราบถึงอัตรากำไรขั้นต้นโดยประมาณของธุรกิจของตน อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการมีความแตกต่างกันอย่างมากในสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณ Margin และในวิธีการวิเคราะห์และสื่อสารตัวเลขสำคัญเหล่านี้”
Gross Margin สามารถแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์หรือเป็นจำนวนเงินทั้งหมดได้ หากเป็นจำนวนเงินทั้งหมดอาจรายงานเป็นจำนวนต่อหน่วยหรือต่อช่วงเวลาสำหรับธุรกิจ
“Margin (ในการขาย) คือ ความต่างระหว่างราคาขายและต้นทุน ความต่างนี้มักจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาขายหรือต่อหน่วย ผู้จัดการจำเป็นต้องทราบ Margin สำหรับการตัดสินใจทางการตลาดเกือบทุกประการ Margin แสดงถึงปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคา, ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายด้านการตลาด, การคาดการณ์ผลกำไร, และการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของลูกค้า”
Gross Margin คือ ตัวชี้วัดที่สำคัญในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุนสินค้าที่ขาย และทำกำไรจากรายได้ที่ได้รับ มันเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความเหมาะสมของราคาขายสินค้าและบริการเมื่อเทียบกับต้นทุนในการผลิตหรือจัดหา
Gross Margin ที่สูงไม่เพียงแต่แสดงถึงการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี แต่ยังช่วยให้มีเงินทุนเหลือเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของบริษัท เช่น ค่าวิจัยและพัฒนา, ค่าโฆษณา, และค่าใช้จ่ายทางการเงิน นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุนว่าบริษัทมีกำไรจากการขายสินค้าและบริการอย่างเพียงพอ
ในทางกลับกัน อัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่มีต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป ราคาขายที่ต่ำ หรือการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด การมี Gross Margin ที่ต่ำอาจบังคับให้บริษัทต้องหาวิธีการลดต้นทุนหรือปรับปรุงกลยุทธ์การกำหนดราคา
จากความสำคัญเหล่านี้ Gross Margin จึงเป็นตัวชี้วัดที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน แต่ยังให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับความยั่งยืนและโอกาสในการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้อีกด้วย
Gross Margin หรืออัตรากำไรขั้นต้นสามารถเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ
- ราคาขายสินค้าหรือบริการ: หากบริษัทสามารถขายสินค้าหรือบริการได้ในราคาที่สูง กำไรขั้นต้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยทั่วไป ราคาขายที่สูงกว่าต้นทุนการผลิตจะช่วยเพิ่ม Gross Margin ได้
- ต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนสินค้าที่ขาย (COGS): หากบริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนสินค้าที่ขายลงได้ เช่น การใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำกว่า การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ หรือการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยเพิ่ม Gross Margin
- ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน: การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการผลิตและการจัดการสินค้าคงเหลือ สามารถช่วยให้ต้นทุนลดลงและเพิ่ม Gross Margin
- กลยุทธ์การตลาดและการกำหนดราคา: การกำหนดราคาสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย และการใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ เช่น การโฆษณาหรือการส่งเสริมการขาย สามารถช่วยเพิ่มรายได้และ Gross Margin
- ความสามารถในการต่อรองราคากับซัพพลายเออร์: หากบริษัทสามารถต่อรองราคาวัตถุดิบหรือสินค้าจากซัพพลายเออร์ให้ได้ในราคาที่ต่ำกว่า ก็จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่ม Gross Margin
- การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ต้นทุนโดยตรง: การควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ต้นทุนโดยตรง เช่น ค่าเช่า ค่าการตลาด ค่าบริหารจัดการ สามารถช่วยให้มีเงินทุนเหลือเพื่อใช้ในการผลิตหรือซื้อสินค้าที่มีต้นทุนต่ำลง
- การเปลี่ยนแปลงของตลาดหรือเทรนด์ของผู้บริโภค: ตลาดที่มีการเติบโตหรือการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคที่สนับสนุนการซื้อสินค้าหรือบริการที่บริษัทเสนอ สามารถช่วยเพิ่ม Gross Margin
สูตรการคำนวณ Gross Margin (อัตรากำไรขั้นต้น)
โดยที่
- Total Revenue คือ รายได้รวมของบริษัท ซึ่งรวมถึงรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ
- Cost of Goods Sold (COGS) คือ ต้นทุนของสินค้าที่ขาย ซึ่งรวมถึงต้นทุนโดยตรงเกี่ยวกับการผลิตสินค้า เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ แรงงานในการผลิต และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิต
- เมื่อคำนวณแล้ว Gross Margin จะได้เป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงถึงสัดส่วนของกำไรขั้นต้นที่บริษัทสามารถสร้างได้จากรายได้รวม
ตัวอย่างการคำนวณ Gross Margin
จากตัวอย่างการคำนวณ Gross Margin ดังนี้
- รายได้รวม (Total Revenue): 1,000,000 บาท
- ต้นทุนของสินค้าที่ขาย (COGS): 600,000 บาท
- Gross Margin คำนวณได้จากสูตร (1,000,000−600,000) ÷ 1,000,000 ×100=40
- ดังนั้น Gross Margin ของบริษัทในตัวอย่างนี้คือ 40% ซึ่งหมายความว่า 40% ของรายได้รวมเป็นกำไรขั้นต้นหลังจากหักต้นทุนของสินค้าที่ขายออกไปแล้ว
- กราฟที่แสดงนี้เป็นโดนัทชาร์ต แสดงสัดส่วนของ Gross Profit (กำไรขั้นต้น) และ COGS (ต้นทุนของสินค้าที่ขาย) โดย Gross Profit คิดเป็น 40% และ COGS คิดเป็น 60% ของรายได้รวม
อธิบายจากภาพตัวอย่าง
จากภาพกราฟแบบโดนัทชาร์ต มันแสดงให้เห็นถึงการแบ่งส่วนระหว่างกำไรขั้นต้น (Gross Profit) และต้นทุนของสินค้าที่ขาย (COGS) จากยอดขายรวม สีชมพูอ่อนแทนส่วนของ Gross Profit ซึ่งคิดเป็น 40% ของรายได้รวม ในขณะที่สีฟ้าแทนส่วนของ COGS คิดเป็น 60% ของรายได้รวม
การที่ Gross Profit คิดเป็น 40% ของรายได้รวมหมายความว่า หลังจากหักต้นทุนการผลิตหรือการจัดหาสินค้าแล้ว บริษัทสามารถรักษากำไรไว้ได้ 40% ของยอดขายรวม สิ่งนี้ช่วยให้เห็นภาพการดำเนินงานของบริษัทในแง่ของการจัดการต้นทุนและการกำหนดราคาขายสินค้า
ในทางกลับกัน ส่วนที่เป็น COGS ซึ่งคิดเป็น 60% ของรายได้รวม สะท้อนถึงส่วนของรายได้ที่ไปใช้ในการผลิตหรือจัดหาสินค้า ต้นทุนที่สูงนี้อาจบ่งบอกถึงความต้องการในการปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือการจัดการซัพพลายเชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้น้อยลง ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Gross Margin ในอนาคต
“ตัวอย่างภาพนี้แสดงการแสดงภาพ Gross Margin ในบริบทของธุรกิจ โดยใช้ชาร์ตที่แสดงสัดส่วนของกำไรขั้นต้น (Gross Profit) และต้นทุนของสินค้าที่ขาย (COGS) ในรายได้ของบริษัท ในภาพนี้ Gross Margin ถูกแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจได้ว่ามีส่วนของรายได้ที่เก็บรักษาเป็นกำไรขั้นต้นหลังจากหักต้นทุนของสินค้าที่ขายแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่”
ข้อดีของ Gross Margin
- เป็นมาตรวัดประสิทธิภาพ: ช่วยวัดประสิทธิภาพของบริษัทในการจัดการต้นทุนและสร้างรายได้
- การวางแผนทางการเงิน: ให้ข้อมูลที่สำคัญสำหรับการวางแผนทางการเงินและจัดทำงบประมาณ
- การประเมินกลยุทธ์ราคา: ช่วยในการตัดสินใจเรื่องกลยุทธ์การตั้งราคาของสินค้าหรือบริการ
- การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ: ช่วยในการเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- การตัดสินใจการลงทุน: มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนในการประเมินโอกาสลงทุน
- การบริหารต้นทุน: ช่วยในการตรวจสอบและบริหารต้นทุนได้ดี
- การวิเคราะห์เทรนด์: ช่วยในการวิเคราะห์เทรนด์รายได้และกำไรของบริษัท
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดจำหน่าย: สามารถใช้ในการปรับปรุงกระบวนการจัดจำหน่าย
- การตัดสินใจทางธุรกิจ: มีประโยชน์ในการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ
- การทำนายผลกำไร: ช่วยในการทำนายผลกำไรในอนาคตของบริษัท
ข้อเสียของ Gross Margin
- ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด: ไม่รวมค่าใช้จ่ายทางการดำเนินงานอื่นๆ
- ความเสี่ยงของต้นทุนที่ไม่คาดคิด: อาจไม่สะท้อนความเสี่ยงของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นที่ไม่คาดคิด
- ไม่เหมาะสมสำหรับทุกธุรกิจ: ไม่สามารถใช้ได้กับทุกประเภทธุรกิจ
- การเปรียบเทียบที่อาจไม่ยุติธรรม: การเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นอาจไม่ยุติธรรมหากมีความแตกต่างในโครงสร้างต้นทุน
- ความผันผวนตามฤดูกาล: อาจมีความผันผวนในธุรกิจที่มีผลกระทบจากฤดูกาล
- ไม่บ่งชี้ถึงสภาพคล่อง: ไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัท
- ขึ้นอยู่กับการบัญชีรายได้และต้นทุน: ค่า Gross Margin ขึ้นอยู่กับวิธีการบัญชี
- ไม่สะท้อนถึงผลกระทบของภาษี: ไม่คำนึงถึงผลกระทบของภาษี
- อาจไม่แสดงภาพรวมที่ชัดเจน: ในบางกรณีอาจไม่สามารถให้ภาพรวมที่ชัดเจนของธุรกิจ
- การพึ่งพาข้อมูลบัญชี: ต้องพึ่งพาข้อมูลบัญชีที่อาจไม่แม่นยำทุกเวลา