สรุปหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

สรุปหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

THE MAGIC OF THINKING BIG

ถ้าการคิดใหญ่สามารถให้ผลสำเร็จมากเหลือเกิน ทำไมทุกคนจึงไม่คิดคำตอบนั้นเชื่อว่าเป็นเพราะทุกคนเป็นผลิตผลของความคิดที่อยู่รอบตัวมากกว่าที่ตระหนัก และความคิดจำนวนมากเหล่านี้เป็นความคิดเล็กไม่ใช่ความคิดใหญ่ สิ่งที่อยู่รอบตัวทั้งหมดเป็นสภาวะแวดล้อมที่พยายามจะฉุดรั้งความฝัน ที่ได้รับการบอกกล่าวเกือบทุกวันว่า มีที่ว่างสำหรับพนักงานระดับล่าง แต่มีโอกาสน้อยมากสำหรับตำแหน่งที่จะเป็นเจ้านาย เพราะฉะนั้นจะดิ้นรนสำหรับตำแหน่งที่ไม่มีที่ว่างนั้นไปทำไม

สภาพแวดล้อมเหล่านี้มีความหมายแฝงบอกไปในตัว ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นั่นคือจุดมุ่งหมายอยู่นอกเหนือการควบคุม ซึ่งก็คือดวงเป็นตัวกำหนดทั้งหมด เพราะฉะนั้นลืมความฝันเหล่านั้นเสีย ลืมบ้านหรู ๆ นั้น ลืมการศึกษาพิเศษที่วางแผนสำหรับลูก ลืมชีวิตที่ดีขึ้น ยอมหมอบราบเสียโดยดีและรอว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในความเป็นจริงแล้วความสำเร็จไม่ต้องการราคาแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทุก ๆ ก้าวที่มุ่งไปข้างหน้ามีแต่ให้ผลตอบแทนเท่านั้น

หลักการและความคิดพื้นฐานที่สนับสนุน ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ มาจากบรรพชนที่ได้รับความสำเร็จสูงสุด มาจากจิตใจที่คิดดีและคิดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จิตใจอย่างเช่นศาสดาเดวิด ผู้ซึ่งเขียนบอกว่าคนที่คิดอะไรอยู่ในใจเขาจะเป็นอย่างนั้น หรือจิตใจอย่างเช่นอีเมอร์สันผู้ซึ่งพูดว่า ผู้ยิ่งใหญ่คือคนซึ่งมองเห็นว่าความคิดเป็นสิ่งที่ครองโลก แต่ว่าข้อพิสูจน์มาจากไหน จะรู้ได้อย่างไรว่านักคิดผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นคิดถูก ข้อพิสูจน์มาจากชีวิตของบุคคลที่อยู่รอบตัว ผู้ซึ่งได้รับชัยชนะในชีวิต โดยการประสบความสำเร็จในงาน และมีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าการคิดใหญ่ใช้ได้ผลอย่างมหัศจรรย์จริง ๆ

ขั้นตอนง่าย ๆ ที่กำหนดขึ้นในที่นี้ ไม่ใช่ทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ไม่ใช่การเดาส่งหรือมาจากความเห็นของคนเพียงคนเดียว แต่เป็นแนวทางของสถานการณ์ในชีวิต ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และเป็นขั้นตอนโดยทั่วไปที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ และได้ผลอย่างมหัศจรรย์ คิดใหญ่แล้วจะมีชีวิตที่ใหญ่ขึ้น จะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสุข จะมีชีวิตที่ใหญ่ในด้านของความสำเร็จในหน้าที่การงานใหญ่ ในด้านของรายได้ ใหญ่ในด้านของเพื่อนฝูง และใหญ่ในการที่จะได้รับการยอมรับและยกย่อง เริ่มเดี๋ยวนี้นาทีนี้ที่จะค้นพบวิธีที่จะทำให้ความคิดสร้างความมหัศจรรย์ให้ เริ่มต้นด้วยความคิดของดิสราเอลลี่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่า ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่จะเป็นคนเล็ก

บทที่ 1 ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้คุณก็จะทำได้

ความสำเร็จหมายถึงสิ่งที่งดงาม และสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหลาย ความสำเร็จหมายถึงความมั่งคั่งส่วนตัว ที่รวมถึงการมีบ้านหรู มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจ การได้ท่องเที่ยวพบประสบการณ์ใหม่ ๆ และความมั่นคงทางด้านการเงินสำหรับภรรยาและลูก ความสำเร็จยังหมายถึงการได้รับการชื่นชม การเป็นผู้นำซึ่งได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูงในวงการธุรกิจ และเป็นคนที่เพื่อนฝูงชื่นชอบในวงสังคม เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความสำเร็จหมายถึงความเป็นอิสระทั้งหลายทั้งปวง เช่น เป็นอิสระจากความกังวล ความกลัว ความคับแค้นใจ และความล้มเหลว ความสำเร็จยังหมายถึงความนับถือในตนเอง การบรรลุความสุข ความสำเร็จหมายถึงชัยชนะ ความสำเร็จคือจุดมุ่งหมายของชีวิต

มนุษย์ทุกคนต้องการความสำเร็จ ไม่มีใครพอใจที่จะอยู่อย่างขัดสน หรือชอบที่จะเป็นรองคนอื่นให้เขาสับโขกตลอดเวลา หัวใจของการสร้างความสำเร็จที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งสอนไว้ว่าความศรัทธานั้นสามารถเคลื่อนแม้กระทั่งภูผา

ความศรัทธาหรือความเชื่อนั้น ทำให้สามารถเคลื่อนภูเขาได้จริง ๆ หนทางแห่งความสำเร็จที่แน่นอนที่สุดก็คือ ความเชื่อที่ว่าจะทำได้สำเร็จ ความเชื่อกับทัศนคติที่ว่า มั่นใจทำได้ จะสร้างพลังและความชำนาญที่จำเป็นต่อความสำเร็จ ถ้าเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่า ทำได้ วิธีที่จะทำก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ วิธีการหรือหนทางที่จะทำมักจะเกิดขึ้นกับคนที่เชื่อว่า เขาทำได้ ถ้าไม่เชื่อว่าทำได้ก็ไม่มีหนทางที่จะทำ

ในยุคปัจจุบันความเชื่อกำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการเคลื่อนย้ายภูเขา รากฐานที่สำคัญที่สุดคือ ที่จริงอาจจะพูดว่าเป็นรากฐานประการเดียว ในโครงการสำรวจอวกาศอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ความเชื่อที่ว่าสามารถพิชิตอวกาศได้ หากปราศจากความเชื่ออย่างมั่นคงว่า มนุษย์สามารถเดินทางไปในอวกาศได้ นักวิทยาศาสตร์ก็คงไม่มีความกล้าหาญ ความสนใจ และความกระตือรือร้นที่จะดำเนินการต่อไป ความเชื่อในผลสัมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นพลังผลักดันต่อการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ ทั้งทางด้านหนังสือ บทละคร และการค้นพบทางด้านวิทยาศาสตร์

ความเชื่อในความสำเร็จ อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจทุกแห่ง รวมทั้งความสำเร็จของวัด และของภาคการเมือง ความเชื่อในความสำเร็จเป็นองค์ประกอบพื้นฐานประการเดียว ที่จำเป็นต้องมีในผู้ที่ประสบผลสำเร็จทุกคน ความไม่เชื่อเป็นสิ่งบั่นทอนพลังเหนือจิตใจ เมื่อไม่เชื่อหรือมีข้อสงสัย สมองจะหาเหตุผลที่จะมาสนับสนุนความไม่เชื่อนั้น ความไม่มั่นใจและความไม่เชื่อ จึงเป็นจิตใต้สำนึกแห่งความล้มเหลว หรือความไม่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงนั้น เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น คิดอย่างไม่มั่นใจย่อมล้มเหลว คิดแบบผู้ชนะย่อมประสบผลสำเร็จ

อาจจะมองแบบนี้ก็ได้ว่า ความชั่วนั้นเปรียบเสมือนตัวควบคุมอุณหภูมิหรือเทอร์โมสตัต ที่ควบคุมสิ่งที่จะทำได้สำเร็จในชีวิตคนที่ตั้งเทอร์โมสตัตไว้ที่ตำแหน่งกระจอก เขาจะเชื่อว่าเขามีคุณค่าน้อย เพราะฉะนั้นเขาจะรับผลตอบแทนแต่น้อย เขาเชื่อว่าเขาไม่มีความสำคัญ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาทำจะเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ เมื่อเวลาผ่านไปการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จะแสดงออกในวิถีทางการพูด การเดิน และท่าทางของเขา เว้นเสียแต่ว่าเขาจะกลับมาปรับเทอร์โมสตัต ให้เคลื่อนไปข้างหน้า มิฉะนั้นเขาจะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ และจะมองเห็นตัวเองลีบลง ๆ  เนื่องจากคนอื่นจะเห็นในสิ่งที่เขามองเห็นนั่นคือ คนอื่นจะเห็นเขาตัวลีบลงเช่นกัน ทุก ๆ คนล้วนเป็นผลผลิตของความคิดของตนเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ใหญ่ ปรับเทอร์โมสตัตของตนเองให้เคลื่อนไปข้างหน้า มุ่งตะลุยสู่ความสำเร็จด้วยความสุจริตใจ และเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่าจะทำได้สำเร็จ จำไว้ว่าถ้าเชื่อในสิ่งใหญ่ จะเติบใหญ่ขึ้นตามความเชื่อ

จิตใจคือโรงงานความคิด ที่ผลิตความคิดไม่หยุดหย่อน ทุกชั่วโมงความคิดถูกผลิตออกมานับไม่ถ้วน การผลิตในโรงงานความคิดนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของคน 2 คน คนหนึ่งจะเรียกว่านายชนะ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือนายแพ้ นายชนะมีหน้าที่ผลิตความคิดที่เป็นบวก เขเชี่ยวชาญในการผลิตเหตุผล ที่จะสนับสนุนว่าทำไมจะสามารถทำได้ ทำไมถึงเหมาะสม และทำไมจะประสบความสำเร็จ อีกคนหนึ่งคือนายแพ้ จะผลิตความคิดที่เป็นลบ หรือความคิดที่ล้มเหลว เขาชำนาญที่จะหาเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่สามารถทำได้ ทำไมอ่อนแอ และทำไมจึงไม่มีความสามารถพอ สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษก็คือ ความคิดทั้งหลายที่เกี่ยวเนื่องกับข้อสรุปที่ว่า ทำไมจึงล้มเหลว

ทั้งนายชนะและนายแพ้ต่างก็เป็นคนงานที่เชื่อฟังเป็นอย่างดี ทันทีที่เรียกใช้เขาจะมาทันที ถ้าสัญญาณที่ส่งออกไปเป็นบวกนายชนะก็จะก้าวเข้ามาทำงาน แต่ถ้าสัญญาณที่ส่งออกไปเป็นลบนายแพ้จะมาแทน ทางที่ดีที่สุดก็คือไล่นายแพ้ออกจากงานเสีย ไม่ต้องการใช้งานเขา ให้ใช้งานนายชนะให้เต็มที่ตลอดเวลา เมื่อมีความคิดอะไรเกิดขึ้นในใจ เรียกให้นายชนะมาทำ เขาจะแสดงให้เห็นว่าสามารถทำได้

การที่จะสร้างและทำให้พลังความเชื่อแข็งแกร่งมีหลัก 3 ประการดังต่อไปนี้

1.คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าจะล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือครอบครัว ต้องคิดว่าจะประสบความสำเร็จ เมื่อประสบกับปัญหายุ่งยากจงคิดว่าจะชนะ ให้จิตใจส่วนที่คิดว่าจะสำเร็จชี้นำความคิด ความคิดที่เชื่อว่าจะสำเร็จจะควบคุมจิตใจให้คิดแผนการ และกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

2.เตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่าเก่งกว่าที่คิด คนที่ประสบผลสำเร็จไม่ใช่ซุปเปอร์แมน ความสำเร็จไม่ต้องอาศัยหัวสมองที่ดีเลิศ และก็ไม่มีอะไรมหัศจรรย์เกี่ยวกับความสำเร็จ ความสำเร็จไม่ไช่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

3.คิดใหญ่ ขนาดของความสำเร็จถูกกำหนดโดยขนาดของความเชื่อ คิดอะไรเล็ก ๆ ก็จะประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย คิดการใหญ่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จำไว้ว่าความคิดใหญ่และแผนการใหญ่นั้น ปกติจะทำได้ง่ายกว่าความคิดเล็กและแผนการเล็ก

โปรแกรมการฝึกจะต้องประกอบไปด้วย 3 ประการ

ประการแรกคือจะต้องมีเนื้อหาหรือบอกว่าจะทำอะไร

ประการที่ 2 คือจะต้องมีวิธีหรือบอกว่าจะทำอย่างไร

ประการที่ 3จะต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบนั่นคือ จะได้ผลอย่างไร

การฝึกตนเองเพื่อความสำเร็จนั้นก็เช่นเดียวกัน จะต้องรู้ว่าจะต้องทำอะไร สิ่งนี้จะต้องศึกษาจากทัศนคติ และเทคนิคของคนที่ประสบผลสำเร็จ แล้วต้องดูว่าเขาจัดการกับตัวเองอย่างไร เขาแก้ปัญหาอย่างไร เขาได้รับความเชื่อจากผู้อื่นได้อย่างไร อะไรทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไป และที่สำคัญเขาคิดอย่างไร

โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบว่า ถ้ามีเพื่อนซึ่งชื่นชอบการทำสวน เพื่อนคนนั้นมักจะพูดคุยในทำนองว่า ชอบดูต้นไม้ที่มันโตขึ้น เป็นที่แน่นอนว่าการได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จากความร่วมมือระหว่างมนุษย์และธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่มันไม่ถึง 1 ใน 10 ของความงดงาม จากการมองดูตัวเองตอบสนองต่อการฝึกควบคุมความคิด เป็นเรื่องน่าสนุกที่จะรู้สึกถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในตัว รู้สึกถึงความมีประสิทธิผล และประสบผลสำเร็จวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นในชีวิตนี้ ที่จะให้ความพึงพอใจมากกว่าการที่ได้รู้ว่า กำลังอยู่บนถนนแห่งความสำเร็จ ไม่มีอะไรที่จะท้าทายมากไปกว่า การที่จะได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ และได้รับผลตอบแทนสูงจากผลงานของตนเอง

บทที่ 2 รักษาโรคชอบแก้ตัว โรคแห่งความล้มเหลว

ขณะที่คิดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ จงศึกษาคนที่ประสบผลสำเร็จ ศึกษาคนเหล่านั้นอย่างรอบคอบว่า อะไรทำให้เขาประสบผลสำเร็จ แล้วนำมาใช้กับชีวิตตัวเอง เริ่มทันทีโดยเจาะลึกลงไปในการศึกษาคน แล้วจะพบว่าคนที่ไม่ประสบผลสำเร็จนั้น มักจะป่วยเป็นโรคจิตใจตาย เรียกโรคชนิดนี้ว่าโรคชอบแก้ตัว ความล้มเหลวทุกครั้งจะติดเชื้อของโรคนี้มาก่อนเสมอ โรคชอบแก้ตัวจะลุกลามเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ ถ้าไม่ได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้องและทันที เมื่อผู้ป่วยเป็นโรคแห่งความล้มเหลวนี้ ได้ค้นพบเหตุผลที่ดีแล้ว เขาก็จะใช้มันเป็นข้อแก้ตัวกับตัวเองและคนอื่นว่า ทำไมเขาจึงไม่ก้าวหน้า

แต่ละครั้งที่ผู้ป่วยแก้ตัว คำแก้ตัวนั้นก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของเขา ความคิดไม่ว่าจะเป็นบวกหรือเป็นลบ จะเติบโตและมั่นคงขึ้นเมื่อได้รับการตอกย้ำ ในครั้งแรกผู้ป่วยรู้ตัวดีว่า ข้อแก้ตัวนั้นไม่มากก็น้อยเป็นคำโกหก แต่ยิ่งเขาพูดย้ำมากขึ้นเท่าไหร่ เขาจะรู้สึกเชื่อมากขึ้นเท่านั้น ว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง และเขาจะเชื่อจริง ๆ ว่าข้อแก้ตัวที่ใช้นั้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ควรจะเป็น การชอบแก้ตัวปรากฏในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่รูปแบบที่แย่ที่สุดก็คือเรื่องสุขภาพ ความเฉลียวฉลาด อายุ และโชค มาดูกันว่าจะป้องกันตัวเองจากโรคชอบแก้ตัว 4 ประการนี้อย่างไร

ข้ออ้างยอดนิยม 4 ประการ

1.เรื่องสุขภาพ คือ สุขภาพไม่ดี ข้อแก้ตัวเรื่องสุขภาพมีตั้งแต่ประเภทเรื้อรัง จนถึงประเภทเฉพาะเจาะจง สุขภาพไม่ดีมีรูปแบบเป็นร้อยเป็นพันชนิด ถูกใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผู้คนต้องการจะทำ ให้ยอมรับผิดชอบในภาระหน้าที่สูงขึ้น ไม่ทำงานหาเงินมากขึ้น และไม่ประสบผลสำเร็จ

หลัก 4 ประการที่ใช้ต่อสู้กับข้ออ้างเรื่องสุขภาพ

1.ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องสุขภาพ ยิ่งพูดถึงเรื่องความเจ็บป่วยมากเท่าไร ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ก็จะยิ่งรู้สึกว่าไข้มันจะหนักยิ่งขึ้น

2.ปฏิเสธ ที่จะปริวิตตกหรือเป็นทุกข์หนักใจเกี่ยวกับสุขภาพ มันไม่มีประโยชน์อะไร

3.จงรู้สึกยินดีอย่างจริงใจ ที่สุขภาพดีเท่า ๆ กับของคนอื่น

4.เตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า สึกไปดีกว่าเป็นสนิม ชีวิตเป็นที่สนุกสนาน อย่าปล่อยให้เสียไปอย่างไร้ประโยชน์

2.เรื่องความฉลาด ข้ออ้างเรื่องความฉลาดคือต้องหัวดีถึงจะประสบผลสำเร็จ ข้ออ้างเรื่องความไม่ฉลาดหรือไม่มีหัวคิดค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติ ที่จริงเป็นเรื่องที่ปกติมากเสียจนคน 95% รอบ ๆ ตัวใช้มันในอัตราต่าง ๆ กัน คนเราส่วนใหญ่เขาใจผิดใน 2 ประการ หลัก ๆ เกี่ยวกับเรื่องของความฉลาดคือ

1.ประเมินหัวสมองของตัวเองต่ำไป

2.ประเมินหัวสมองของคนอื่นสูงเกินไป

อย่าประเมินมันสมองตัวเองต่ำเกินไป และอย่าประเมินมันสมองของคนอื่นสูงเกินไป ยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่มี ค้นให้พบความสามารถพิเศษที่มีอยู่ อย่าลืมว่าปริมาณสมองไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือวิธีที่ใช้สมอง จัดการกับสมองแทนที่จะห่วงเกี่ยวกับเรื่อง IQ

เตือนตัวเองวันละหลาย ๆ ครั้งว่า ทัศนคติสำคัญกว่าสมอง ฝึกให้มีทัศนคติเป็นบวกทั้งที่บ้านและที่ทำงาน หาเหตุผลว่าทำไมจะทำได้ ไม่ใช่หาเหตุผลว่าทำไมจึงทำไม่ได้ พัฒนาทัศนคติประเภทกําลังชนะ ใช้ความสามารถไปในทางที่เป็นบวก และสร้างสรรค์ใช้มันหาหนทางที่จะชนะ

จำไว้ว่าความสามารถที่จะคิด มีค่ามากกว่าความสามารถในการจำข้อมูลตัวเลขมาก ใช้สมองในการสร้าง และพัฒนาความคิดหาวิธีใหม่ ๆ ในการที่จะทำสิ่งต่าง ๆ สิ่งที่เป็นสาระจริง ๆ นั้นไม่ใช่ว่าจะฉลาดแค่ไหน แต่เป็นว่าใช้สิ่งที่มีอยู่อย่างไร

3.เรื่องอายุ ข้ออ้างเรื่องอายุคือ แก่เกินไป หรือเด็กเกินไป ข้ออ้างเรื่องอายุได้ปิดโอกาสของผู้คนเป็นจำนวนมหาศาล เขาเหล่านั้นคิดว่าวัยของเขาไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาไม่สนใจแม้แต่จะลองทำ กลุ่มที่อ้างว่าแก่เกินไปเป็นกลุ่มที่ใช้ข้ออ้างทางด้านอายุมากที่สุด

การจัดการกับข้ออ้างเรื่องอายุ สำหรับข้ออ้างในเรื่องอายุสามารถรักษาได้ การรักษาโรคชอบอ้างเรื่องอายุจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่เคยคิดว่าถูกปิดกั้นหรือผ่านไปแล้ว เมื่อเอาชนะข้ออ้างเรื่องอายุได้ ผลที่ตามมาอย่างแน่นอนก็คือ รู้สึกมีความหวัง และมองโลกในแง่ดี เหมือนที่คนหนุ่มรู้สึก เมื่อเอาชนะความกลัวเรื่องข้อจำกัดของอายุได้ ก็จะต่ออายุให้กับตนเอง นั่นก็คือจะเพิ่มความสำเร็จให้กับชีวิต

อายุน้อยเป็นอุปสรรคก็ต่อเมื่อคิดว่ามันเป็น คงได้ยินบ่อย ๆ ว่างานบางอย่างต้องการคนที่มีอายุพอสมควร เช่น งานขายหลักทรัพย์หรือขายประกัน ซึ่งต้องการคนที่มีผมขาวสักหน่อย หรือไม่ก็ไม่มีผมเลย เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน คำพูดเหล่านี้ไม่มีเหตุผล สิ่งที่สำคัญจริง ๆ ก็คือฝีมือ ถ้ารู้งานดีและเข้าใจคน ก็แก่พอที่จะทำงานได้

4.เรื่องโชค ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แม้กระทั่งเรื่องของลมฟ้าอากาศก็ไม่ใช่เหตุที่เกิดโดยบังเอิญ แต่เป็นผลของเหตุการณ์เฉพาะ เช่นเดียวกับชีวิตของคนเรา ที่ไม่ได้ขึ้นกับโชคชะตาอะไรทั้งสิ้น สมมุติว่าธุรกิจถูกจัดการโดยอาศัยการเสี่ยงดวง อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าดวงเป็นตัวกำหนดว่าใครจะทำอะไร และใครจะไปที่ไหน ธุรกิจทุกแห่งจะต้องเจ๊งหมด ลองสมมุติว่าบริษัทการค้าขนาดใหญ่ ถูกจัดการโดยการเสี่ยงดวง เพราะฉะนั้นในการปรับโครงสร้างองค์กร รายชื่อของพนักงานทั้งหมดจะต้องใส่ไว้ในกล่องรายชื่อ พนักงานคนแรกที่ถูกจับได้ จะได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ จากนั้นคนที่ 2 เป็นผู้ช่วย และอื่น ๆ จนคนสุดท้ายเป็นเด็กเสิร์ฟกาแฟ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับดวง

คนที่ก้าวหน้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในอาชีพการงาน ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นได้ก็เพราะการมีทัศนคติที่เหนือกว่า และใช้สามัญสำนึกที่ดีในการทำงานที่ยากลำบากทั้งหลาย

หลัก 2 ประการที่เอาชนะข้ออ้างเรื่องโชค

1.ยอมรับกฎของเหตุและผล พิจารณาอีกครั้งถึงสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นโชคดีของคนอื่น จะพบว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของดวง แต่เป็นเรื่องของการเตรียมการ การวางแผน และความคิดที่มุ่งสู่ความสำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่มาก่อนโชคลาภ

2.อย่าเป็นคนเพ้อฝัน อย่าคิดให้เปลืองสมอง และฝันถึงวิธีการเอาชนะ หรือประสบผลสำเร็จโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้โดยอาศัยโชคชะตาอย่างแน่นอน ความสำเร็จมาจากการกระทำ และการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง ถึงหลักการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความสำเร็จ

บทที่ 3 สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว

ต้องยอมรับว่าความกลัวเป็นสิ่งที่มีตัวตนจริง ก่อนที่จะสามารถเอาชนะมันได้ ความกลัวส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เป็นเรื่องของจิตใจ ความวิตก ความเครียด ความประมาท และความตื่นตกใจ ทุกอย่างนี้เกิดจากความผิดพลาด ในการจัดการกับความคิดและจิตใจที่เป็นลบ แต่การที่รู้เพียงแค่สาเหตุ ไม่ทำให้รู้วิธีรักษาความกลัวได้

วิธีการรักษาแบบเก่าประเภทคิดไปเองนั้น ต้องอยู่บนสมมติฐานว่าความกลัวไม่มีอยู่จริง แต่ที่จริงความกลัวนั้นมีตัวตน ความกลัวเป็นศัตรูตัวฉกาจของความสำเร็จ ความกลัวเป็นตัวหยุดคนทั่วไป จากการที่จะสามารถฉกฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนว่า ความกลัวเป็นอำนาจที่ทรงพลังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่ความกลัวทำให้คนไม่สามารถที่จะได้สิ่งที่ต้องการในชีวิต

ความกลัวทุกชนิดและทุกขนาดเป็นรูปแบบหนึ่งของโรคติดเชื้อของจิตใจ ซึ่งสามารถรักษาได้เช่นเดียวกับที่รักษาโรคติดเชื้อของร่างกาย วิธีการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ก็คือ

ประการแรกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการที่จะรักษา ต้องควบคุมตัวเองให้เชื่อในความจริงที่ว่า ความมั่นใจทั้งหมดจะได้มาก็ด้วยการแสวงหาและสร้างขึ้น ไม่มีคนที่เกิดมาพร้อมกับความมั่นใจ คนที่มีความมั่นใจสูง คนที่ดูเหมือนว่าจะสามารถเอาชนะความวิตกกังวล คนที่รู้สึกแบบเร็วคล่องแคล่วไปทุกแห่งหนและทุกเวลา ได้ความมั่นใจมาจากการฝึกฝนตนเองทั้งสิ้น

จดความจริงสั้น ๆ นี้ลงไว้ในสมุดเพื่อความสำเร็จ การลงมือทำแก้ความกลัวได้ เมื่อประสบปัญหาที่ยุ่งยาก ก็เหมือนคนที่จมอยู่ในโคลน จนกว่าจะเริ่มทำอะไรได้ ความหวังเป็นจุดเริ่มต้น แต่ความหวังต้องการการกระทำเพื่อที่จะเอาชนะ ใช้แนวทาง 2 ขั้นตอนต่อไปนี้ ช่วยแก้ความกลัวและสร้างความมั่นใจให้ได้ดังนี้

1.จัดการความกลัวให้อยู่ต่างหาก ตรึงมันไว้ พิจารณาให้แน่ชัดว่ากลัวอะไร

2.ลงมือปฏิบัติการ มีวิธีการปฏิบัติที่จะแก้ปัญหาเรื่องความกลัว ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดเสมอ และจำไว้ว่าการลังเลมีแต่จะทำให้ความกลัวขยายใหญ่ขึ้น ลงมือทำทันที ตัดสินใจให้เด็ดขาด

การขาดความมั่นใจในตนเอง เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงมาจากการจัดการที่ผิดพลาดของความจำ สมองมีอะไรหลายอย่างเหมือนธนาคารทุก ๆ วันฝากความคิดไว้ในธนาคารจิตใจ มีสิ่งเฉพาะ 2 ประการที่ควรทำ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจ ในการบริหารธนาคารความจำอย่างมีประสิทธิภาพนั่นคือ

1.ฝากเฉพาะความคิดที่เป็นบวกไว้ในธนาคารความจำ เผชิญหน้ากับมันตรง ๆ ทุกคนต้องประสบกับสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ ความประมาท และสถานการณ์ที่ทำให้ท้อถอยมากมาย คนที่ไม่ประสบผลสำเร็จจดจำอย่างฝังใจ อยู่กับสถานการณ์ที่ไม่รื่นรมย์ เพราะฉะนั้นจึงมีภาพของสิ่งเลวร้ายฝังอยู่ในความทรงจำ และพร้อมที่จะถูกเรียกออกมาก่อนเสมอ คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะดึงจิตใจออกจากความคิดในสิ่งที่ขัดอกขัดใจ แม้ในตอนกลางคืน สิ่งที่เขาคิดก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ทั้งสิ้น

ในอีกด้านหนึ่ง คนที่มีความมั่นใจและประสบผลสำเร็จนั้น มักจะไม่เก็บไปคิด ผู้ประสบผลสำเร็จมักเชี่ยวชาญ ในการใส่ความคิดที่เป็นบวกในธนาคารความจำ สมมติว่า หากทุกเช้าก่อนไปทำงานใส่ฝุ่นผง 2 กำมือลงในห้องน้ำมันเครื่องรถจะเป็นอย่างไร ในที่สุดเครื่องยนต์ดี ๆ คงจะพัง และไม่สามารถทำงานได้ ในทำนองเดียวกัน ความคิดที่เป็นลบและไม่เป็นมงคล ที่ฝากไว้ในจิตใจก็จะกระทบจิตใจ ความคิดที่เป็นลบจะคอยกัดกร่อนจิตใจ มันจะสร้างความวิตกกังวล ความผิดหวัง และความรู้สึกต่ำต้อย มันจะดึงให้หลุดจากถนน ขณะที่คนอื่นจะขับผ่านไป

2.ถอนเฉพาะความคิดที่เป็นบวกจากธนาคารความจำ เป็นที่แน่ชัดว่าความคิดที่เป็นลบนั้น ถ้าสนับสนุนให้เจริญเติบโต โดยการรำลึกถึงอยู่เรื่อย ๆ จะพัฒนาเป็นอสูรของจิตใจ ซึ่งจะทำลายความเชื่อมั่น และปูทางไปสู่การมีปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรงในที่สุด จงอย่าสร้างอสูรในจิตใจ ปฏิเสธการถอนสิ่งที่ขัดอกขัดใจจากธนาคารความจำ เมื่อจะระลึกถึงเหตุการณ์ใดก็ตาม เน้นตรงส่วนที่ดีของประสบการณ์ ลืมส่วนที่แย่ ฝังมันไว้ ครั้งใดที่รู้สึกว่ากำลังคิดถึงด้านที่เป็นลบ รีบเปลี่ยนไปคิดอย่างอื่นทันที

การกลัวคนอื่นเป็นการกลัวที่รุนแรง แต่ก็มีทางแก้ที่สามารถเอาชนะความกลัวคนอื่นได้ ถ้าเรียนรู้ที่จะจัดเขาเหล่านั้นไว้ในสถานภาพที่เหมาะสม มีหลัก 2 ประการที่จะจัดคนให้อยู่ในสถานภาพที่เหมาะสมดังนี้

1.มองคนอื่นด้วยภาพที่เท่าเทียมกันกับตนเอง จำหลัก 2 ประการต่อไปนี้ ในการติดต่อกับผู้คน ประการแรก คนที่ติดต่อเป็นคนสำคัญ ขอเน้นว่าเป็นคนสำคัญ มนุษย์ทุกคนเป็นคนสำคัญ แต่จำสิ่งนี้ไว้ด้วยว่า ตัวเองก็เป็นคนสำคัญ เพราะฉะนั้นเมื่อพบกับคนที่ติดต่อ ให้ตั้งเป็นกฎเลยว่า มีบุคคลสำคัญเพียง 2 คน ที่นั่งปรึกษาบางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกัน

2.สร้างทัศนคติในการเข้าใจคนอื่น คนที่ต้องการจะกัด คำรามใส่ แกล้ง หรือมิฉะนั้นก็อาจจะทำร้ายนั้นหาได้ไม่ยาก ถ้าไม่เตรียมตัวสำหรับบุคคลประเภทนี้ ความมั่นใจในตนเองจะถูกทำลาย และจะรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง จำเป็นที่จะต้องป้องกันตนเองจากคนพาล ที่ชอบระรานคนไปทั่วเหล่านี้ ทำใจเย็นเข้าไว้ วิธีที่จะเอาชนะในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ การปล่อยให้คนอื่นระเบิดหัวตัวเอง แล้วก็ลืมมันเสีย

ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และรักษาความมั่นใจในตนเอง นั่นคือการคิดที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือแบบฝึกหัด 5 ประการ ในการสร้างความมั่นใจ

1.นั่งแถวหน้า คนส่วนใหญ่แย่งกันนั่งแถวหลัง เพื่อพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกตกเป็นเป้าสายตาเกินไป และสาเหตุที่เขาทั้งหลายกลัวที่จะตกเป็นเป้าสายตาก็คือ การขาดความมั่นใจ

2.ฝึกสบตา วิธีการที่ใช้สายตาเป็นสิ่งที่บอกนิสัยใจคอและอื่น ๆ อีกมาก โดยสัญชาตญาณแล้วจะต้องถามตัวเองว่า คนที่ไม่สบตานั้นเขากำลังซ่อนอะไรในใจ

3.เดินให้เร็วขึ้น 25% นักจิตวิทยาเชื่อว่า ท่าทางการเคลื่อนไหว และการเดินมีความสัมพันธ์กับทัศนคติ คนที่ท้อแท้และหมดหวังจริง ๆ จะเดินกระหย่องเขย่งและล้มลง ในที่สุดก็เพราะความมั่นใจในตัวเป็นศูนย์

4.ฝึกพูดแสดงความคิดเห็น คนจำนวนมากที่มีความคิดหลักแหลม และมีความสามารถสูงนิ่งเงียบ และปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่อยากร่วมปรึกษา แต่เป็นเพราะการขาดความมั่นใจ

5.ยิ้มกว้าง การยิ้มจะช่วยให้กำลังใจดีขึ้น การยิ้มเป็นยาขนานเยี่ยม สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตนเอง

บทที่ 4 วิธีการคิดใหญ่

การที่คนจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะคิดเล็กคิดน้อยนั้น ย่อมหมายความว่าจะมีการแข่งขันน้อยกว่าที่คิด ในงานอาชีพที่ให้ผลตอบแทนสูง ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสำเร็จนั้น คนเราไม่สามารถที่จะวัดออกมาได้เป็นนิ้วหรือปอนด์ หรือวัดด้วยปริญญาหรือพื้นฐานทางครอบครัว แต่ความสำเร็จของคนเราวัดด้วยขนาดของความคิดของเขา ขนาดความคิดของคนเรา จะเป็นตัวกำหนดขนาดของความสำเร็จที่จะได้รับ บางทีจุดอ่อนที่สุดของมนุษย์ก็คือ การติเตียนตนเองซึ่งเป็นความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย

เป็นเวลานับพันปีที่นักปราชญ์ได้ให้คำแนะนำที่ดีว่า จงรู้จักตนเอง แต่คนส่วนมากดูเหมือนว่าจะแปลความหมายของคำแนะนำนี้ว่า รู้จักเฉพาะสิ่งที่เป็นลบของตนเอง การพิจารณาตนเองของคนส่วนใหญ่ประกอบด้วยรายการที่แสดงถึงความผิดพลาด ความล้มเหลว และความไม่เอาไหนของตนเอง เป็นสิ่งดีที่จะรู้จุดอ่อน เพราะจะทำให้สามารถปรับปรุงตนเองได้ แต่ถ้ารู้เฉพาะคุณสมบัติทางด้านลบ คุณค่าก็จะน้อย ต่อไปนี้คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้วัด คุณสมบัติแท้จริงของตัวเองได้

1.หาดูว่าอะไรคือคุณสมบัติหลัก 5 ประการ ตัวอย่างคือ การศึกษา ประสบการณ์ ความชำนาญทางเทคนิค หน้าตา ครอบครัวที่อบอุ่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความคิดสร้างสรรค์

2.ต่อไปก็คือภายใต้คุณสมบัติแต่ละอย่าง เขียนชื่อของบุคคลที่รู้จัก ที่ประสบผลสำเร็จค่อนข้างสูง แต่มีคุณสมบัติด้อยกว่า เมื่อทำเสร็จจะพบว่า อย่างน้อยก็มีคุณสมบัติข้อ 1 ที่เหนือกว่าผู้ที่ประสบผลสำเร็จสูงจำนวนมาก

ประเด็นก็คือ คนที่คิดใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างภาพที่เป็นบวก มองไปข้างหน้าและมองโลกในแง่ดี ทั้งในจิตใจของตนเองและในจิตใจของผู้อื่น ในการที่จะคิดใหญ่ ต้องใช้คำและวลีซึ่งสร้างภาพพจน์ที่เป็นบวกขึ้นในจิตใจ หลัก 4 ประการในการพัฒนาคำศัพท์ของคนที่คิดใหญ่

1.ใช้คำหรือวลีที่ใหญ่ เป็นบวก และรื่นเริง ในการอธิบายความรู้สึก

2.ใช้คำที่สดใส รื่นเริง และนิยมชมชอบ ในการพูดถึงคนอื่น

3.ใช้คำพูดที่เป็นบวก ให้กำลังใจคนอื่น ยกยอคนอื่นทุกโอกาสที่เป็นไปได้ ทุกคนที่รู้จักต่างอยากได้รับคำสรรเสริญเยินยอ

4.ใช้คำพูดที่เป็นบวกแสดงแผนการต่อคนอื่น เมื่อคนเราได้ยินบางสิ่งบางอย่าง เช่น นี่คือข่าวดี พบโอกาสที่แท้จริงแล้ว จิตใจของเขาเหล่านั้นจะเกิดประกายของความหวัง ให้ความหวังว่าจะชนะแล้วจะเห็นว่าตาเป็นประกาย ให้ความหวังว่าจะชนะจะได้รับการสนับสนุน จงสร้างปราสาทอย่างขุดหลุมฝังศพ

เพื่อที่จะช่วยให้คิดเหนือสิ่งจุกจิกทั้งหลาย ฝึกฝนหลัก 3 ประการต่อไปนี้

1.มุ่งที่วัตถุประสงค์หลัก ในการขายวัตถุประสงค์หลักอยู่ที่การขายให้ได้ ไม่ใช่การโต้แย้งกับลูกค้า ในชีวิตแต่งงานวัตถุประสงค์หลักอยู่ที่ความสงบสุข ความสุข และความราบรื่น ไม่ใช่การเอาชนะในการทะเลาะถกเถียง ในการทำงานกับลูกจ้าง คือการพัฒนาให้เขาสามารถใช้ศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่คอยจับผิดในความบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านวัตถุประสงค์หลักคือ การนับถือซึ่งกันและกัน และความมีมิตรภาพ

2.ถามว่ามันสำคัญจริงหรือ ก่อนที่จะหุนหันพลันแล่น หมั่นถามตัวเองว่า มันสำคัญพอที่จะต้องไปวุ่นวายอะไรกับมันมากมายหรือไม่ ไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงเรื่องจุกจิกกวนใจอะไร ที่จะดีไปกว่ายาชนิดนี้ นั่นคืออย่างน้อย 90% ของการทะเลาะวิวาทจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยาก โดยการถามด้วยตัวเองว่า มันสำคัญจริงหรือ

3.อย่าตกเป็นเหยื่อของเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการพูดต่อหน้าสาธารณชน แก้ปัญหา แนะนำลูกจ้าง คิดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องและสำคัญ อย่ามัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มุ่งเน้นที่ประเด็นหลัก

บทที่ 5 วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์

ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับความหมายของคำว่าความคิดสร้างสรรค์ ด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง ทำให้คนทั่วไปมักจะคิดว่า เป็นเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปะ และการเขียนเท่านั้น ที่เป็นสาขาวิชาที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักจะโยงความคิดสร้างสรรค์กับการประดิษฐ์คิดค้น แน่นอนที่ว่าผลสำเร็จเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงความคิดสร้างสรรค์ แต่ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ถูกผูกขาดอยู่กับอาชีพใดอาชีพหนึ่ง หรือผูกขาดอยู่กับคนที่มีมันสมองเหนือคนอื่นเท่านั้น

การคิดสร้างสรรค์หมายถึงการค้นพบวิธีการที่ใหม่และดีขึ้น ในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นสิ่งตอบแทนความสำเร็จทุกประเภท ไม่ว่าจะในบ้าน ที่ทำงาน หรือในชุมชน ขึ้นอยู่กับการหาวิธี ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น สิ่งที่จะช่วยพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่ง ให้กับความสามารถในการคิดสร้างสรรค์มี

ขั้นที่ 1 เชื่อว่ามันเป็นไปได้ นี่คือความจริงพื้นฐานในการทำอะไรก็ตาม ต้องเชื่อเสียก่อนว่ามันเป็นไปได้ แต่เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้จะจุดประกายให้จิตใจ เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อที่จะหาวิธีทำมัน

เมื่อเชื่อว่าสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ จิตใจจะทำงานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเชื่อเชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งใดเป็นไปได้ จิตใจจะทำงานและช่วยให้หาหนทางที่จะทำมัน การเชื่อว่าสิ่งใดเป็นไปได้ จะเกิดทางให้กับคำตอบที่สร้างสรรค์ต่าง ๆ

ต่อไปนี้คือคำแนะนำ 2 ประการ ที่จะช่วยให้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ โดยอาศัยความเชื่อมีดังนี้

1.ลบคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกจากความคิดและคำพูด เป็นไปไม่ได้เป็นคำแห่งความล้มเหลว ความคิดที่ว่าเป็นไปไม่ได้จะจุดชนวนปฏิกิริยาลูกโซ่กับความคิดอื่น ที่จะพิสูจน์ว่าคิดถูกแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้

2.คิดถึงสิ่งพิเศษที่เคยคิดอยู่ตลอดเวลาว่าอยากจะทำแต่รู้สึกว่าทำไม่ได้ ลองมาดูใหม่ลองเขียนเหตุผลต่าง ๆ ที่จะบอกว่าทำไมถึงจะทำได้ คนจำนวนมากสามารถเอาชนะความต้องการของตนเองได้อย่างง่ายดาย แต่ชอบคิดว่าทำไมตนเองจึงทำไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่ควรจะคิดก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมตนเองจึงทำได้

การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์นี้คือวิธีการ 3 ประการ

1.ยอมรับความคิดใหม่ ต้อนรับความคิดใหม่ ทำลายความคิดต่อต้าน

2.เป็นนักทดลอง ฉีกแนวจากงานประจำ เปิดตัวเองเต็มที่ให้กับภัตตาคารใหม่ หนังสือใหม่ โรงละครใหม่ เพื่อนใหม่ ใช้เส้นทางใหม่ไปทำงาน ทำอะไรใหม่ ๆ และแปลกประหลาดในวันหยุดที่จะถึงนี้

3.เป็นคนหัวก้าวหน้าอย่าล้าหลัง อย่าคิดแบบถอยหลังเข้าคลอง แต่เดินไปข้างหน้าและคิดแบบก้าวหน้า

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เกิดจากคนที่ตั้งมาตรฐานสำหรับตนเอง และคนอื่นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เกิดจากคนที่ค้นหาวิธีการ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพที่จะทำ ให้ได้ต้นทุนของผลผลิตต่ำลง หรือการทำได้มากขึ้น ด้วยความพยายามที่น้อยลง ความสำเร็จสูงสุดถูกจองไว้โดยคนประเภท สามารถทำได้ดีกว่า ต่อไปนี้คือแบบฝึกหัดประจำวัน ที่จะช่วยให้ค้นพบ และพัฒนาพลังของทัศนคติที่ว่า สามารถทำได้ดีกว่าทุกวัน

ก่อนที่จะเริ่มทำงาน สละเวลาสัก 10 นาที เพื่อที่จะคิดว่า จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไรในวันนี้ ถามว่าจะทำอะไรได้บ้าง ที่จะให้กำลังใจลูกจ้าง จะทำอะไรพิเศษให้แก่ลูกค้าดี จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของตนเองได้อย่างไร การฝึกเหล่านี้ค่อนข้างจะง่ายแต่ใช้ได้ผล พยายามทำแล้วจะพบว่า มีวิธีการสร้างสรรค์ที่ไม่จำกัด ในการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ

โปรแกรม 3 ขั้นตอน ที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความคิดสร้างสรรค์

1.ส่งเสริมให้คนอื่นพูด ในการพูดคุยกันเป็นส่วนตัวหรือในบริษัท ดึงคนให้พูดโดยใช้คำกระตุ้นประเภท เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของ… หรือคิดว่าควรจะทำอะไรเกี่ยวกับ… ส่งเสริมให้คนอื่นพูดแล้วจะได้ประโยชน์ 2 ด้านนั่นคือ จิตใจดูดเอาวัตถุดิบซึ่งสามารถใช้ในการผลิตความคิดสร้างสรรค์ และอีกด้านหนึ่งก็คือได้เพื่อน ไม่มีวิธีอะไรแน่นอนไปกว่าการสนับสนุน ให้คนพูดเพื่อที่จะทำให้เขาชอบ

2.ทดสอบความเห็นในรูปของคำถาม ให้คนอื่นช่วยขัดเกลาความคิด ใช้แนวทางประเภทคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ อย่าดื้อรั้น อย่าประกาศความคิดใหม่ ในลักษณะที่เหมือนกับว่าความคิดนั้นถูกส่งมาจากพานทอง

3.ตั้งใจฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด การฟังนั้นไม่ใช่เพียงแต่หุบปาก การฟังหมายถึงการให้สิ่งที่พูดแทรกเข้าไปในจิตใจ มีบ่อย ๆ ที่คนแกล้งฟังทั้งที่เขาไม่ได้ฟังเลย ตั้งใจฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด พินิจพิจารณานั่นคือ วิธีที่จะเก็บรวมรวมอาหารสำหรับจิตใจ

ความคิดแต่ละวันเป็นผลที่เกิดจากสมองของตัวเอง แต่ความคิดจะมีประโยชน์ หรือมีค่าได้ก็ต่อเมื่อสานต่อให้เป็นรูปร่างและลงมือปฏิบัติ ความคิดมีน้อยมากที่จะเกิดผล ความคิดสูญเสียได้ง่ายมากถ้าไม่ป้องกัน ความคิดต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ในช่วงที่มันเกิดจนกระทั่งมันถูกเปลี่ยนไปเป็นวิธีการปฏิบัติ ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ใช้วิธีการ 3 วิธีต่อไปนี้ ที่จะสานและพัฒนาความคิด

1.อย่าปล่อยความคิดให้หลุดไป จงเขียนลงบนกระดาษทุก ๆ วัน ความคิดดี ๆ จำนวนมากเกิดขึ้นและตายไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันไม่ได้ถูกบันทึกลงบนกระดาษ ความทรงจำเป็นทาสที่ไม่ซื่อสัตย์ ในกรณีที่จะพิทักษ์และเลี้ยงดูความคิดใหม่

2.ต่อไปให้ทบทวนความคิด เก็บมันไว้ในแฟ้มที่หยิบใช้ได้สะดวก อาจจะอยู่ในตู้เก็บเอกสาร หรือในลิ้นชัก และจะต้องหยิบขึ้นมาสำรวจอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่พิจารณาความคิดต่าง ๆ ความคิดบางอันอาจจะพบว่าไม่มีค่าเลย โดยเหตุผลบางประการกำจัดมันเสีย แต่ความคิดที่ยังมีอนาคตจะต้องเก็บไว้

3.เพาะปลูกและให้ปุ๋ยแก่ความคิด ทำให้มันโต ประสานความคิดนั้นเข้ากับความคิดอื่นที่เกี่ยวข้อง อ่านทุกอย่างเห็นว่าสัมพันธ์กับความคิด ไม่ว่าจะทางใดสำรวจในทุกแง่มุม แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เอามาใช้กับตัวเองกับงานและอนาคต

หาวิธีการที่จะเสนอความคิดในรูปแบบที่จะขายได้ ความคิดที่แสดงออกมาในรูปแบบของภาพและตารางต่าง ๆ มีประสิทธิภาพในการขายมากกว่าความคิด ที่แสดงออกในรูปแบบของคำพูดหลายเท่า

บทที่ 6 คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น

พฤติกรรมจำนวนมากของมนุษย์นั้นน่าพิศวง มองแล้วจะสังเกตเห็นว่า คนบางคนได้รับความเชื่อถือ ความภักดี และความชื่นชม ในขณะที่คนอื่นไม่ได้รับ คนที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด เป็นคนที่ประสบผลสำเร็จสูงสุดด้วย มันสามารถกลั่นออกมาได้เป็นคำเพียงคำเดียวคือ ความคิด ความคิดทำให้มันเป็นอย่างนั้น คนอื่นมองเห็นเช่นเดียวกับที่มองเห็นในตัวเอง ได้รับการปฏิบัติตามที่คิดว่าสมควรจะได้รับ ความคิดทำให้มันเป็นอย่างนั้น คนที่คิดว่าเขาเป็นคนต่ำต้อย ไม่ว่าคุณสมบัติที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่น ทั้งนี้เพราะความคิดควบคุมการปฏิบัติ ถ้าคนคนหนึ่งรู้สึกต่ำต้อย วิธีการปฏิบัติก็จะเป็นเช่นเดียวกัน

ในทางตรงกันข้าม คนที่คิดจริง ๆ ว่าเขามีความสำคัญเท่ากับงาน เขาก็จะเป็นคนสำคัญ การที่จะเป็นคนสำคัญต้องคิดว่าสำคัญ คิดจริง ๆ ว่าเป็นแล้วคนอื่นจะคิดด้วย นี่คือตรรกะ สิ่งที่คิดกำหนดสิ่งที่กระทำ สิ่งที่กระทำกำหนดสิ่งที่คนอื่นจะมีปฏิกิริยา

กฎก็คืออย่าลืมว่า รูปร่าง ท่าทาง พูดให้แน่ใจว่ามันพูดในทางที่ดีเกี่ยวกับตัวเอง อย่าออกจากบ้านถ้าไม่แน่ใจว่า ดูเหมือนคนประเภทที่ต้องการจะเป็น หัวใจที่จะพิชิตในสิ่งที่ต้องการ ขึ้นอยู่กับการคิดที่เป็นบวกต่อตัวเอง พื้นฐานจริง ๆ เพียงประการเดียว ที่คนอื่นใช้ในการตัดสินความสามารถก็คือ การกระทำ และการกระทำนั้นถูกควบคุมโดยความคิด

นี่คือข้อแนะนำ 2 ข้อ ที่จะทำให้คนอื่นทำงานให้มากขึ้น

1.แสดงทัศนคติทางด้านบวกเสมอเกี่ยวกับงาน เพื่อว่าลูกน้องจะได้รับความคิดที่ถูกต้อง

2.ในแต่ละวันขณะที่ทำงาน ถามตัวเองว่า ฉันมีค่าในทุกด้านที่สมควรแก่การเลียนแบบหรือไม่ นิสัยบางอย่างเป็นนิสัยของลูกน้องหรือไม่

ทุก ๆ วันจะเห็นคนมีครึ่งชีวิต ซึ่งไม่สามารถที่จะคิดในทางที่ดีต่อตัวเองอีกต่อไป เขาเหล่านั้นขาดความนับถือ ในผลผลิตที่สำคัญที่สุดนั่นคือตัวเขาเอง คนเหล่านี้ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขารู้สึกเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญ และเพราะเหตุที่เขาคิดอย่างนั้น ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น คนครึ่งชีวิตจำเป็นต้องตีค่าของตนเองให้สูงขึ้น เขาจะต้องตระหนักว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นคนชั้นหนึ่ง เขาจำเป็นที่จะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างจริงใจกับตัวเอง ต่อไปนี้คือวิธีที่จะสร้างโฆษณา เพื่อขายตัวเองให้กับตัวเอง

ประการที่ 1 เลือกคุณสมบัติและจุดเด่น ถามตัวเองว่าคุณสมบัติที่ดีที่สุดคืออะไร อย่าอายในการที่จะพรรณนาตัวเอง

ประการที่ 2 เขียนประเด็นเหล่านั้นลงบนกระดาษ โดยคำของตัวเอง เขียนโฆษณาถึงตัวเอง

ประการที่ 3 ฝึกพูดโฆษณาของตัวเองดัง ๆ ในห้องส่วนตัวอย่างน้อยวันละครั้ง มันจะช่วยได้มากถ้าทำที่หน้ากระจก

ประการที่ 4 อ่านโฆษณาของตัวเองอย่างเงียบ ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง อ่านก่อนที่จะจัดการกับอะไรก็ตามที่ต้องการความกล้าหาญ อ่านมันทุกครั้งเมื่อรู้สึกแย่ เก็บโฆษณาไว้ในที่ที่หยิบใช้ได้สะดวกตลอดเวลาแล้วใช้มัน

บทที่ 7 จัดการกับสภาพแวดล้อม : เอาชั้น 1

จิตใจเป็นกลไกที่มหัศจรรย์ เมื่อทำงานในทิศทางหนึ่ง มันสามารถนำไปข้างหน้าสู่ความสำเร็จที่งดงาม แต่จิตใจเดียวกันนี้ ถ้าทำงานในอีกแนวทางหนึ่ง สามารถนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จิตใจเป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อน และรับความรู้สึกได้รวดเร็วที่สุด ในบรรดาสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา และมาดูกันว่าอะไรทำให้จิตใจคิดอย่างที่มันคิด คนนับล้านเป็นคนที่เอาใจใส่ต่อการรับประทานอาหาร และมีเป็นจำนวนมากที่นับจำนวนแคลอรี่ ของอาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ ใช้จ่ายเงินเป็นล้าน ๆ กับการซื้อวิตามิน เกลือแร่ และอาหารเสริมต่าง ๆ

ร่างกายเป็นไปตามอาหารที่ได้รับ ในทำนองเดียวกันจิตใจก็เป็นไปตามอาหารที่จิตใจได้รับ แน่นอนอาหารใจไม่ได้มาเป็นห่อ และไม่สามารถซื้อได้จากร้าน อาหารใจคือสภาพแวดล้อมสิ่งต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ซึ่งมีอิทธิพลต่อจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ในอาหารใจที่ได้รับเป็นตัวที่จะกำหนดนิสัย ทัศนคติ และบุคลิกภาพ แต่ละคนต่างเกิดมาด้วยความสามารถจำนวนหนึ่งที่จะต้องพัฒนา แต่ความสามารถที่จะพัฒนาขึ้นได้เท่าไร หรือพัฒนาไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับอาหารใจที่แต่ละคนได้รับ จิตใจจะสะท้อนสิ่งที่สภาพแวดล้อมป้อนให้กับมัน เช่นเดียวกับที่ร่างกายสะท้อนถึงอาหารที่ป้อนให้

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกันว่า บุคคลที่เป็นอยู่ในวันนี้ เช่น บุคลิก ความทะเยอทะยาน และสถานะปัจจุบันของชีวิตนั้น ส่วนมากเป็นผลของสภาพแวดล้อมทางด้านจิตวิทยาในอดีต ผู้เชี่ยวชาญยังเห็นด้วยอีกว่า บุคคลที่จะเป็นในอีก 1 ปี 5 ปี 10 ปีและ 20 ปีจากปัจจุบันนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในอนาคตแทบทั้งหมด

จะเปลี่ยนไปแน่นอนตามเดือนและปีที่ผ่านไป สิ่งนี้รู้ดีแต่จะเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น อยู่กับสภาพแวดล้อมในอนาคต และอาหารใจที่จะป้อนให้ตัวเอง มาดูกันว่าสามารถทำอะไร จะทำให้สภาพภาพแวดล้อมในอนาคต เพื่ออำนวยต่อการสร้างความพึงพอใจ และความมั่งคั่งในชีวิต

ขั้นที่ 1 ปรับตัวใหม่เพื่อความสำเร็จ อุปสรรคหมายเลข 1 บนถนนสู่ความสำเร็จในระดับสูงก็คือ ความรู้สึกที่ว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ทัศนคตินี้เกิดขึ้นจากพลังต้านหลาย ๆ ประการที่ชี้นำความคิดไปสู่ระดับกระจอก ผลจากการถูกถล่มด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ประเภทไม่มีทางก้าวหน้า เพราะฉะนั้นจะพยายามไปทำไม คนส่วนมากที่รู้จักสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ

กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง คนส่วนใหญ่มีความเชื่อลึกลงไปในจิตใจว่า เขาไม่มีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อความสำเร็จ

กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ยอมแพ้บางส่วน กลุ่มที่ 2 นี้เป็นกลุ่มที่เล็กกว่ากลุ่มแรกมาก เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ด้วยความหวังที่จะสำเร็จพอสมควร

กลุ่มที่ 3 คือคนซึ่งไม่เคยยอมแพ้ กลุ่มนี้อาจจะมีเพียง 2 หรือ 3% ของทั้งหมด ไม่ยอมให้การมองโลกในแง่ร้ายมาชี้นำ ไม่ยอมเชื่อในการยอมแพ้ต่อพลังต้านทั้งหลาย

จงระวังสิ่งต่อไปนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าให้คนที่มีความคิดเป็นลบหรือนักค้าน มาทำลายแผนที่จะคิดให้ตัวเองประสบผลสำเร็จ นักค้านมีอยู่ทุกคนทุกแห่ง และดูเหมือนว่าเขาเหล่านี้ ยินดีกับการก่อวินาศกรรมความก้าวหน้า ที่เป็นบวกของคนอื่น

ต่อไปนี้คือตัวอย่างการทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้สภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นชั้น 1

1.สังคมกับคนกลุ่มใหม่ ๆ การจำกัดสภาพแวดล้อมของสังคมอยู่กับกลุ่มคนเล็ก ๆ สร้างความเบื่อหน่ายจำเจ และความไม่พึงพอใจ ที่สำคัญเท่า ๆ กันก็คือ จำไว้ว่าโปรแกรมสร้างความสำเร็จ เน้นว่าจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเข้าใจคน

2.เลือกคบเพื่อนที่มองโลกแตกต่างไปจากตัวเอง ในยุคสมัยนี้คนที่มองแคบมีอนาคตน้อย ความรับผิดชอบแต่ละตำแหน่งที่สำคัญ ตกอยู่กับคนซึ่งสามารถมองเห็นทุกสิ่งใน 2 ด้าน

3.เลือกเพื่อนซึ่งยืนอยู่เหนือสิ่งจุกจิกทั้งปวง พรรคพวกที่สนใจอยู่เพียงแต่เรื่องของขนาดอของบ้าน หรือจำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้าว่ามีหรือไม่มี มากกว่าที่จะสนใจความคิด และการสนทนา คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเป็นคนจุกจิก

มียาพิษอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งอาจจะอยู่ข้างในมากกว่านั่นคือ ยาพิษของความคิด เรียกภาษาชาวบ้านก็คือ นินทา พิษของความคิดแตกต่างจากยาพิษของร่างกายใน 2 ประการคือ มันจะทุกข์ต่อจิตใจไม่ใช่ร่างกาย และมันลึกลับกว่า เพราะว่าคนที่ถูกวางยาโดยปกติมักจะไม่รู้ตัว การนินทานั้นเป็นเพียงคำสนทนาที่เป็นลบเกี่ยวกับคนอื่น และเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายด้วยยาพิษของความคิด เริ่มคิดว่าเขาสนุกกับมัน ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความรื่นเริงในรูปของยาพิษ จากการพูดในทางที่เป็นลบเกี่ยวกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัวว่า สำหรับคนที่ประสบผลสำเร็จแล้ว เขาจะเริ่มถูกรังเกียจและเชื่อถือไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ

คนทั่วไปประเมินค่าตัวจากคุณภาพ บ่อยครั้งเกิดจากจิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้นพัฒนาสัญชาตญาณให้นึกถึง และใช้แต่ของที่มีคุณภาพ มันคุ้มค่าและไม่ได้จ่ายมากขึ้น บ่อยครั้งจ่ายน้อยกว่าของชั้น 2 ด้วยซ้ำ

บทที่ 8 ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกับคุณ

วิธีการที่คิดแสดงผ่านวิธีที่ทำ ทัศนคติเป็นกระจกสะท้อนของจิตใจ มันสะท้อนความคิด สามารถอ่านใจของเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน รู้โดยการสังเกต การแสดงออกอากัปกิริยา และความรู้สึกที่มีต่องานของเขา เป็นเวลานับล้าน ๆ ปีที่คนเราติดต่อสื่อสารกับคนอื่น โดยการแสดงออกทางร่างกาย สีหน้า และน้ำเสียง ไม่ใช่คำพูด คนเรายังคงสื่อสารทัศนคติและความรู้สึกต่อคนอื่นและสิ่งอื่น ๆ โดยวิธีเดียวกัน นอกเหนือจากการสัมผัสทางร่างกายโดยตรง การเคลื่อนไหวของร่างกาย การแสดงออกของสีหน้าและน้ำเสียง เป็นวิธีการเดียวที่สามารถใช้ติดต่อกับเด็กทารก และเด็กน้อย ๆ เหล่านั้นแสดงความสามารถที่น่าประหลาดใจ ในการที่จะมองออกว่าสิ่งไหนเป็นของปลอม ซึ่งโกหกเด็กไม่ได้

ปลูกฝังทัศนคติ 3 ประการต่อไปนี้ ทำให้มันเป็นพวกในการทำงานทุกอย่าง

  1. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่ากระตือรือร้น ความกระตือรือร้นสามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น 1100 % ผลสำเร็จเกิดขึ้นเป็นสัดส่วนกับความกระตือรือร้นที่ใส่ลงไป ต่อไปนี้คือเหตุผลสำหรับบันได 3 ขั้น ที่จะช่วยให้พัฒนาพลังของความกระตือรือร้น ดังนี้

1.1 ศึกษาให้ลึกลงไป ใช้เทคนิคค้นคว้าให้ลึกลงไป ในการพัฒนาความกระตือรือร้นต่อคนอื่น ศึกษาเท่าที่ทำได้เกี่ยวกับคนอื่น ในสิ่งที่เขาทำ ครอบครัวของเขา หรือพื้นเพของเขา  ความคิดและความทะเยอทะยานของเขา แล้วจะพบว่าความสนใจ และความกระตือรือร้นที่มีต่อเขาเพิ่มมากขึ้น ศึกษาลึกลงไปเรื่อย ๆ แล้วในที่สุดจะพบว่า เขาเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว เทคนิคการค้นคว้าให้ลึกลงไปนี้ จะช่วยพัฒนาความกระตือรือร้นเกี่ยวกับสถานที่ใหม่ ๆ ด้วย

1.2 ทุกสิ่งที่ทำ ทำให้มีชีวิตชีวา ความกระตือรือร้นหรือความเฉื่อยชา แสดงออกในทุกสิ่งที่ทำและพูด สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับการจับมือ สร้างชีวิตชีวาให้กับรอยยิ้ม สร้างชีวิตชีวาให้กับคำว่าขอบคุณ สร้างชีวิตชีวาให้กับการพูด คนเรามักจะเห็นคล้อยตามคนที่เชื่อในสิ่งที่ตนเองพูด การพูดอย่างมีชีวิตชีวา เป็นการเพิ่มชีวิตชีวาลงในคำพูด และเมื่อเติมชีวิตลงในคำพูด ก็เท่ากับเติมชีวิตให้กับตัวเองมากขึ้น ทำให้ตัวเองมีชีวิตชีวาในทุกด้าน

1.3 ประกาศข่าวดี ข่าวดีย่อมดึงดูดความสนใจได้มากกว่านั่นก็คือ ข่าวดีทำให้คนพอใจ ข่าวดีสร้างความกระตือรือร้น ข่าวดีช่วยแม้กระทั่งการย่อยอาหาร นำข่าวดีมาสู่ครอบครัว บอกเขาในสิ่งดีที่เกิดขึ้นในวันนี้ เล่าสิ่งที่สนุกสนานรื่นเริงที่ประสบ และปล่อยให้สิ่งที่ไม่รื่นรมย์ทั้งหลายถูกเก็บเข้ากรุหรือฝังไว้ กระจายแต่ข่าวที่ดีเท่านั้น ไม่มีเหตุผลที่จะส่งข่าวร้าย เพราะมันรังแต่จะทำให้ครอบครัววิตกกังวล กลับบ้านพร้อมกับแสงสว่างทุกวัน อย่านำความมืดเข้าบ้าน

  1. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าเป็นคนสำคัญ การปลูกฝังทัศนคติที่ว่าเป็นคนสำคัญเป็นความจริงที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง มนุษย์แต่ละคนไม่ว่าเขาจะทึ่มหรือฉลาด มีอารยธรรมหรือป่าเถื่อน หนุ่มหรือแก่ แต่ละคนมีความปรารถนาว่า เขาต้องการที่จะมีความสำคัญ เพราะการคิดแบบนั้นทุก ๆ คนล้วนมีความปรารถนาที่จะรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่มีความหมาย ความต้องการที่จะเป็นคนสำคัญ เป็นความต้องการที่แรงกล้าที่สุดของมนุษย์ นอกเหนือไปจากความต้องการทางร่างกาย คนอื่นนั้นไม่ว่าฐานะหรือรายได้ เขาจะเป็นอย่างไรก็มีความสำคัญ ด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ 2 ประการดังต่อไปนี้

ประการแรก ควรทำงานให้มากขึ้นเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ มันคุ้มที่จะทำให้คนเล็กรู้สึกเหมือนคนใหญ่ ลูกค้าจะซื้อสินค้ามากกว่า ลูกน้องจะทำงานให้หนักขึ้น เพื่อนร่วมงานจะให้ความร่วมมือ เจ้านายจะช่วยมากขึ้น ถ้าเพียงแต่ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกมีความสำคัญ

ประการที่ 2 การทำให้คนอื่นรู้สึกสำคัญ เมื่อช่วยคนอื่นให้รู้สึกสำคัญได้ ช่วยให้ตัวเองรู้สึกสำคัญด้วย คนที่ไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งถึงความสำคัญของตัวเองนั้น กำลังมุ่งหน้าสู่ความต่ำต้อย ต่อไปนี้คือวิธีที่จะทำ

1.ฝึกขอบคุณ ทำให้เป็นกฎที่จะให้คนอื่นรู้ว่าสำนึกบุญคุณในสิ่งที่เขาทำให้ อย่าให้ใครมีความรู้สึกว่าเขาถูกใช้สิทธิ์ขอบคุณด้วยการยิ้มอย่างจริงใจ การยิ้มทำให้คนอื่นสังเกตเห็นและรู้สึกดี

  1. ฝึกเรียกคนโดยชื่อของเขา คนชอบให้ถูกเรียกโดยการออกชื่อ มันทำให้เขาดูสำคัญขึ้นเมื่อถูกเรียกชื่อ
  2. อย่าเก็บความดีความชอบไว้เอง ลงทุนมันต่อไป ทำบางอย่างเป็นพิเศษสำหรับครอบครัว บ่อยครั้งมันไม่จำเป็นที่จะต้องแพง ความเข้าใจคิดเป็นสิ่งสำคัญ อะไรก็ได้ที่ถือว่าความสุขของครอบครัวมาก่อนสิ่งอื่น ทำให้ครอบครัวอยู่ร่วมทีมเดียวกับตัวเอง วางแผนงานที่จะเอาใจใส่เขา ในยุคที่ธุรกิจวุ่นวายยุ่งเหยิงนี้ คนจำนวนมากดูเหมือนจะไม่สามารถหาเวลาให้กับครอบครัว แต่ถ้ามีการวางแผนที่ดี ก็จะหาเวลาได้
  3. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าให้บริการเป็นอันดับ 1 มันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องพึงประสงค์มาก ที่จะต้องการทำเงินและสะสมความมั่งคั่ง เงินคืออำนาจที่จะให้มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดี แก่ครอบครัวและตัวเองตามที่สมควรที่จะได้รับ เงินเป็นอำนาจที่จะช่วยคนด้อยโอกาส เงินเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตคนสมบูรณ์ขึ้น ดังนั้น เงินคือสิ่งที่พึงปรารถนา สิ่งที่น่าฉงนเกี่ยวกับเงินก็คือ แนวทางที่คนจำนวนมากใช้ในการที่จะหาเงิน ในทุกแห่งเห็นคนซึ่งมีทัศนคติประเภทเงินคือพระเจ้า แต่ว่าคนเหล่านี้มักมีเงินน้อยเสมอ คนที่มีทัศนคติว่าเงินคือพระเจ้าจะห่วงแต่การหาเงินมาก จนกระทั่งลืมไปว่าเงินนั้นไม่สามารถจะเก็บเกี่ยวได้ ยกเว้นแต่ว่าจะได้หว่านเมล็ดที่จะเติบโตเป็นเงินเสียก่อน และเมล็ดของเงินก็คือบริการ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมทัศนคติการบริการเหนือสิ่งอื่นใด จึงสร้างความมั่งคั่ง ให้บริการก่อนและเงินจะตามมาเอง

บทที่ 9 คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น

กฎพื้นฐานสำหรับการเอาชนะความสำเร็จนั้น ขอให้จดลงไว้ในจิตใจและจำไว้ว่า ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของคนอื่น อุปสรรคระหว่างตัวเราเองกับสิ่งที่ต้องการจะเป็นก็คือ การสนับสนุนของคนอื่น ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะถามตัวเองว่า เอาเป็นว่าต้องพึ่งคนอื่นในการที่จะประสบความสำเร็จที่ต้องการ แต่ฉันต้องทำอะไรที่จะทำให้คนเหล่านี้สนับสนุน และยอมรับการเป็นผู้นำ คำตอบในวลี 1 ก็คือ คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น การที่มีความคิดถูกต้องต่อคนอื่นจะทำให้คนชอบและสนับสนุน จำประเด็นนี้ไว้ คนไม่ได้ถูกลากให้ขึ้นสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ตรงกันข้ามเขาถูกยกขึ้นไป ในยุคสมัยนี้ไม่มีใครมีเวลาหรือความอดทน ที่จะลากคนอื่นขึ้นบันไดแห่งความสำเร็จ ที่เจ็บปวดขั้นแล้วขั้นเล่า คนถูกเลือกจากผลการทำงาน ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเด่นกว่าคนอื่น ต่อไปนี้คือวิธี 6 ประการ ที่จะได้เพื่อนโดยการปฏิบัติการริเริ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ

  1. แนะนำตัวเองกับคนอื่นในทุกโอกาสที่เป็นไปได้
  2. ให้แน่ใจว่าคนอื่นจำชื่อได้เป็นพิเศษ
  3. ให้แน่ใจว่าเรียกชื่อคนอื่นถูกต้องตามที่เขาออกเสียง
  4. เขียนชื่อคนอื่นและให้แน่ใจค่อนข้างมากว่าสะกดชื่อของเขาถูกต้อง ถ้าเป็นไปได้ขอที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ด้วย
  5. ส่งจดหมายส่วนตัวหรือโทรศัพท์ถึงเพื่อนใหม่ ที่รู้สึกต้องการที่จะรู้จักให้ดีขึ้น นี่เป็นประเด็นสำคัญ ผู้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่สร้างสัมพันธ์ต่อเนื่องกับเพื่อนใหม่ โดยจดหมายหรือโทรศัพท์
  6. พูดสิ่งที่รื่นรมย์กับคนแปลกหน้า มันทำให้รู้สึกอบอุ่น และทำให้พร้อมสำหรับภารกิจข้างหน้า

นำกฎทั้ง 6 ข้อมาปฏิบัติ จะทำให้สามารถคิดอย่างถูกต้องเกี่ยวกับคนได้จริง ๆ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่วิธีที่คนทั่วไปคิด

ถ้าปล่อยให้ความคิดปราศจากการควบคุม จะพบว่าต้องไม่ชอบคนอื่นเกือบทุกคน ในทำนองเดียวกัน ถ้าจัดความคิดให้เหมาะสม ถ้าคิดถูกต้องต่อคนอื่น จะพบคุณสมบัติมากมายที่จะชอบและยกย่อง ในคนคนเดียวกันนั้น มองแบบนี้ก็ได้ว่าจิตใจเป็นสถานีออกอากาศรายการทางความคิด ระบบการออกอากาศจะส่งข่าวหรือโดยความถี่ 2 ช่อง ที่มีคลื่นความถี่แรงพอ ๆ กันคือ ช่องบวกและช่องลบ จำไว้อย่างหนึ่งว่า ยิ่งฟังช่อง 1 ช่องใดไม่ว่าจะเป็นช่องบวกหรือช่องลบมากเท่าไหร่ จะยิ่งสนใจในสิ่งที่ผู้ประกาศพูดมากขึ้นเท่านั้น และจะรู้สึกยากที่จะเปลี่ยนไปฟังอีกช่องหนึ่ง นี่เป็นความจริงก็เพราะว่า ความคิดอย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นบวกหรือเป็นลบ จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่แก่ความคิดในรูปแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องจัดการกับสถานีกระจายความคิด เมื่อความคิดไปทางเรื่องของคนเปิดช่องบวกให้ติดเป็นนิสัย

บทพิสูจน์ที่แท้จริงของการคิดถูกต้องต่อคนอื่นนั้น มาจากการที่สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จำไว้ว่าวิธีการที่คิดเมื่อแพ้ จะกำหนดว่าอีกนานเท่าไรถึงจะชนะ เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คิดทำเพียง 2 อย่างเท่านั้นคือ

  1. ถามตัวเองว่าจะทำอะไรได้บ้าง ที่จะทำให้ตัวเองสมควรแก่การได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อโอกาสในคราวหน้ามาถึง
  2. อย่าเสียเวลาและพลังงานไปกับความผิดหวัง อย่าด่าว่าตัวเอง วางแผนที่จะเอาชนะในคราวต่อไป

บทที่ 10 สร้างนิสัยในการลงมือทำ

ความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงพอ แต่ความคิดที่พอใช้ได้ซึ่งมีการปฏิบัติ และพัฒนานั้นย่อมดีกว่าความคิดที่ดีเลิศ แต่ตายไปเพราะไม่ได้รับการติดตาม 100% ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยเพียงแต่นั่งคิดถึงมัน ทุก ๆ สิ่งที่มีในโลกนี้ เริ่มจากดาวเทียม ถึงอาคารระฟ้า จนถึงอาหารเด็ก เป็นเพียงความคิดที่ได้รับการปฏิบัติ เมื่อศึกษาคน ซึ่งเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะเป็นคนแข็งขัน จะเรียกเขาว่า คนคล่อง คนระดับปานกลางเป็นคนไม่เอาถ่าน คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นคนไม่ดิ้นรน จะเรียกเขาว่า คนเฉื่อย

จะสามารถค้นพบหลักการของความสำเร็จ โดยนายคล่องเป็นนักปฏิบัติ เขาลงมือทำและทำงานสำเร็จ โดยปฏิบัติตามความคิดและแผนงาน นายเฉื่อยเป็นคนไม่ทำ เขาเลื่อนการทำสิ่งต่าง ๆ จนกระทั่งเขาได้พิสูจน์ว่า เขาไม่ควรหรือไม่สามารถทำมัน หรือจนกระทั่งมันสายเกินไป นายคล่องทำ ส่วนนายเฉื่อยว่าจะทำแต่ก็ไม่เคยทำ ทุกคนต้องการจะเป็นคนคล่องแคล่ว เพราะฉะนั้นขอให้สร้างนิสัยในการลงมือปฏิบัติ ต่อไปนี้คือสิ่งที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการรอ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ

  1. คาดว่าจะต้องมีอุปสรรค และความยากลำบากในอนาคต ธุรกิจทุกประเภทมีความเสี่ยง มีปัญหา และความไม่แน่นอน ขอให้สมมติว่าต้องการที่จะขับรถจากใต้สุดไปยังเหนือสุดของประเทศ ยืนยันว่าจะรอจนกระทั่งแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า จะไม่มีทางเบี่ยงหรือทางโค้งอันตราย แล้วเมื่อไหร่จะได้เริ่ม การวางแผนเดินทางจะต้องกำหนดเส้นทาง ตรวจสอบรถ และใช้วิธีต่าง ๆ ในการขจัดความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง แต่ไม่สามารถที่จะขจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด
  2. เผชิญกับปัญหาและอุปสรรคเมื่อมันเกิดขึ้น บทพิสูจน์ของคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ความสามารถในการขจัดปัญหาทั้งหมด ก่อนที่เขาจะลงมือปฏิบัติ แต่เป็นความสามารถที่จะหาคำตอบ ให้กับความยุ่งยากต่าง ๆ เมื่อเขาต้องประสบกับมัน ใส่ความคิด 2 ข้อนี้ให้ลึกลงในใจ

1.ให้คุณค่ากับความคิดโดยการลงมือทำ ไม่ว่าความคิดจะดีแค่ไหน หากไม่ทำอะไรกับมันก็จะไม่ได้รับอะไรตอบแทน

  1. ปฏิบัติตามความคิดแล้วจะได้รับความสงบทางใจ ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า คำที่เศร้าที่สุดของลิ้นหรือปากกาก็คือ ถ้าได้ทำมาก่อนหน้านี้ ทุก ๆ วันได้ยินคนพูดอย่างนี้ ความคิดดี ๆ ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติ จะสร้างความเจ็บปวดอย่างไรต่อจิตใจ แต่ความคิดที่ดีที่ได้รับการปฏิบัติ จะนำมาซึ่งความพอใจอย่างใหญ่หลวง

ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า คนที่ทำงานได้สำเร็จในโลกนี้ เขาจะไม่รอที่จะให้จิตใจผลักดันตนเอง แต่เขาจะผลักดันจิตใจเสียก่อน ด้วยแบบฝึกหัด 2 ข้อต่อไปนี้

  1. ใช้วิธีแบบเครื่องยนต์กลไก ที่จะทำธุรกิจหรืองานบ้านที่ง่าย ๆ แต่ไม่น่าอภิรมย์ แทนที่จะคิดค้านความไม่น่าอภิรมย์ของงาน จงกระโดดเข้าไปทำโดยไม่ต้องรีรอ ทำวันนี้เลือกงานที่ไม่อยากทำมากที่สุด และโดยไม่ต้องไปคิดหรือหวาดกลัวกับงาน ทำมันนั่นคือวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่จะจัดการกับงานที่น่าเบื่อทั้งหลาย
  2. ต่อไปใช้วิธีการแบบเครื่องยนต์กลไก ที่จะสร้างความคิด วางแผนแก้ปัญหา และทำงานอื่น ๆ ที่ต้องการสมรรถนะและทางสมองขั้นสุดยอด แทนที่จะรอจนจิตใจผลักดัน นั่งลงและผลักดันจิตใจ

ต่อไปนี้คือเทคนิคพิเศษ ที่รับประกันได้ว่าจะช่วยได้ก็คือ การใช้ดินสอและกระดาษ สามารถผูกโยงจิตใจเข้ากับปัญหาได้ เมื่อเขียนความคิดลงบนกระดาษ ความสนใจทั้งหมดจะมุ่งสู่ความคิดนั้นโดยอัตโนมัติ นั่นเป็นเพราะว่าจิตใจไม่ได้ถูกออกแบบให้คิดอย่างหนึ่ง และเขียนอีกอย่างหนึ่งในเวลาเดียวกัน เมื่อเขียนลงบนกระดาษ ก็หมายถึงว่าเขียนลงบนจิตใจด้วย และเมื่อใดที่เรียนรู้เทคนิคการสำรวจความคิด โดยการใช้ดินสอและกระดาษจนเชี่ยวชาญแล้ว ก็สามารถจะคิดได้แม้แต่ในสถานที่อึกทึก หรือมีสิ่งรบกวนสมาธิ เมื่อต้องการที่จะคิด จะเริ่มเขียน วาดภาพ หรือว่าแผนผัง สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมในการผลักดันจิตใจ

คิดถึงผู้นำที่รู้จักในธุรกิจ ในวงการทหาร และในชุมชนว่า บุคคลเหล่านั้นมีลักษณะของผู้ที่เรียกว่า คนกระตือรือร้นหรือคนเฉื่อย จะพบว่าทุกคนเป็นคนที่ยืนอยู่ในสนาม คนที่ถอย และคนที่เฉื่อยไม่สามารถที่จะเป็นผู้นำได้ แต่คนที่ทำย่อมหาผู้ที่ตามเขาได้

บทที่ 11 วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ

เมื่อขยับจากเขตแดนของคนชั้นต่ำของสังคม มาสู่อาณาเขตของคนระดับปานกลาง จะพบความแตกต่างที่เห็นได้ชัดในการใช้ชีวิต แต่กลับพบว่าคนระดับปานกลางนั้น ให้เหตุผลในการอธิบายถึงความกระจอกของตน เช่นเดียวกับที่เพื่อนผู้เคราะห์ร้ายกว่าของเขา อธิบายถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของตนเอง ภายในส่วนลึกคนระดับปานกลางจะรู้สึกพ่ายแพ้ เขาทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่รักษาไม่หาย จากสถานการณ์ที่เฆียนตีเขา

สามารถเปรียบเทียบให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกัน ระหว่างคนต่ำสุด คนปานกลาง และคนที่ประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอายุสมอง พื้นฐานของครอบครัว และเชื้อชาติ ยกเว้นเฉพาะสิ่งเดียวที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ก็คือ การขานรับต่อความพ่ายแพ้ เมื่อคนที่เป็นคนต่ำสุดล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาจะนอนแผ่อยู่ตรงนั้น ส่วนนายปานกลางจะลุกขึ้นมาคุกเข่า และคลานออกไป แต่เมื่อปลอดจากสายตา เขาก็จะวิ่งหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อเขาจะแน่ใจได้ว่าจะไม่ถูกน็อคลงไปอีก แต่นายสำเร็จมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป เมื่อเขาถูกน็อคเขาจะรีบลุกขึ้นยืน เรียนรู้บทเรียน ลืมความพ่ายแพ้ แล้วก้าวไปข้างหน้า ทั้งหมดที่ต้องการสำหรับความสำเร็จก็คือ คนที่ยืนกรานและไม่เคยคิดจะยอมแพ้

อ่านประวัติของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะพบว่าแต่ละคน อาจจะสามารถยอมจำนนต่อความปราชัยได้หลาย ๆ ครั้ง แต่เขาเหล่านั้นสู้ เมื่อศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่า บุคคลเหล่านั้นต่างได้เอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่มาแล้วทั้งนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยปราศจากการต่อต้านการทำงานหนักและความพ่ายแพ้ แต่มันเป็นไปได้ที่จะอยู่อย่างมีความสุขตลอดชั่วชีวิต โดยปราศจากการถูกทำให้ปราชัย และมันเป็นไปได้ที่จะใช้ความพ่ายแพ้ ในการผลักดันตัวเองไปข้างหน้า

ทุกคนสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้ โดยค้นหาบทเรียนและใช้มัน เสร็จแล้วมองย้อนกลับไปยังความปราชัยนั้นแล้วยิ้ม การมองในด้านที่ดีเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด เมื่อกำลังเกี่ยวข้องกับสิ่งรบกวนจิตใจที่เกิดขึ้นทุกวัน

บทที่ 12 ใช้เป้าหมายช่วยให้โต

ทุก ๆ ขั้นตอนของความสำเร็จของมนุษย์ ล้วนแล้วแต่ถูกจินตนาการก่อนที่จะกลายเป็นความจริง เป้าหมายเป็นสิ่งที่แน่ชัดที่จะบอกว่า นี่คือสิ่งที่จะทำให้สำเร็จ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีขั้นตอนเบื้องต้นที่จะได้รับการปฏิบัติ จนกว่าเป้าหมายจะได้รับการกำหนดขึ้น ถ้าปราศจากเป้าหมายแล้ว คนแต่ละคนจะเดินเตร็ดเตร่ไปอย่างไร้ทิศทางในชีวิต ระหว่างทางก็สะดุดหกล้ม ไม่เคยรู้ว่าจะไปไหน ผลก็คือเขาไม่เคยไปถึงไหน เป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ เช่นเดียวกับที่อากาศจำเป็นต่อชีวิต ไม่มีใครพบความสำเร็จโดยบังเอิญโดยปราศจากเป้าหมาย เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอากาศ ดังนั้น ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการจะไปทางไหน

การลองผิดลองถูกนั้นค่อนข้างจะเป็นวิธีที่แย่มาก ในการเลือกอาชีพด้วยงานจำนวนมากที่มีอยู่นั้น โอกาสที่จะได้งานที่ถูกต้องค่อนข้างจะห่างไกล ก่อนที่จะเริ่มอาชีพใดอาชีพหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าต้องการจะไปทางไหน มาดูแผนการทำงานในชีวิต จากมุมนี้สามารถบอกได้ว่า จะเป็นอะไรใน 10 ปีนับจากวันนี้ บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการวางแผนอาชีพการงานนั่นคือ ก่อนที่จะเริ่มต้องรู้ว่าจะไปไหน เช่นเดียวกับธุรกิจที่มีความคิดก้าวหน้า ต้องวางแผนล่วงหน้า ที่จริงในความหมายหนึ่ง ตัวเองก็เป็นหน่วยธุรกิจอันหนึ่ง ความสามารถพิเศษ ฝีมือ และความสามารถอื่น ๆ คือสินค้า ต้องการที่จะพัฒนาสินค้า เพื่อว่ามันจะขายได้ราคาสูงที่สุดที่จะเป็นไปได้ การวางแผนล่วงหน้าช่วยได้ ต่อไปนี้คือขั้นตอน 2 ข้อที่จะช่วยมีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 หลับตานึกภาพอนาคตใน 3 ด้านด้วยกันคือ งาน บ้าน และสังคม การแบ่งชีวิตแบบนี้จะช่วยไม่ให้สับสน ป้องกันความขัดแย้ง และช่วยให้เห็นภาพทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 2 ขอให้ตัวเองตอบอย่างชัดเจน และตรงประเด็นที่สุดต่อคำถามเหล่านี้ ต้องการความสำเร็จอะไรในชีวิต ต้องการเป็นอะไร และอะไรที่ทำให้พอใจ แล้วใช้แนวทางการวางแผนต่อไปนี้

แนวทางการวางแผน 10 ปี

  1. ด้านงาน 10 ปีนับจากนี้
  2. รายได้ระดับไหนที่ต้องการจะได้รับ
  3. ความรับผิดชอบระดับไหนที่มองหา
  4. อำนาจในการสั่งการแค่ไหนที่ต้องการ
  5. ชื่อเสียงระดับไหนที่จะได้รับจากงาน
  6. ด้านครอบครัว 10 ปีนับจากนี้
  7. มาตรฐานความเป็นอยู่แบบไหนที่ต้องการที่จะจัดหาให้ครอบครัวและตัวเอง
  8. บ้านแบบไหนที่ต้องการจะอยู่
  9. การพักผ่อนในวันหยุดประเภทไหนที่จะทำ
  10. การสนับสนุนทางด้านการเงิน อะไรที่ต้องการที่จะให้แก่ลูก ๆ ในช่วงก่อนที่เขาจะช่วยเหลือตัวเองได้
  11. ด้านสังคม 10 ปีนับจากนี้
  12. เพื่อนประเภทไหนที่อยากจะมี
  13. สังคมกลุ่มไหนที่อยากจะร่วม
  14. ตำแหน่งผู้นำระดับไหนในท้องถิ่นที่ต้องการจะเป็น
  15. ปณิธานอะไรที่ต้องการจะส่งเสริมอย่างจริงจัง

เมื่อมองไปในอนาคตของตัวเอง อย่ากลัวที่จะเห็นขอบฟ้าสีน้ำเงิน คนเราทุกวันนี้วัดกันด้วยขนาดของความฝันของเขา ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จมากไปกว่าที่เขาตั้งเป้าหมายที่จะไปให้ถึง เพราะฉะนั้นมองไปในอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตทั้ง 3 ด้านมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด แต่ละด้านขึ้นอยู่กับอีกด้านหนึ่งในระดับหนึ่ง แต่ด้านที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อด้านอื่นก็คือ ด้านการทำงาน นับแสนปีมาแล้วมนุษย์ถ้ำซึ่งมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข และได้รับการนับถือมากที่สุดจากคู่ของเขาก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฐานะพรานล่าเนื้อ โดยหลักการเดียวกัน ประเด็นนี้เป็นความจริงแม้กระทั่งในทุกวันนี้ มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ให้แก่ครอบครัว และความยอมรับนับถือทางสังคมที่จะได้รับ งานส่วนมากขึ้นอยู่กับความสำเร็จในด้านการทำงาน

บทที่ 13 วิธีที่จะคิดเหมือนกับผู้นำ

การที่จะประสบความสำเร็จในระดับสูงได้นั้น ต้องได้รับแรงสนับสนุนและความร่วมมือของคนอื่น การที่จะได้รับความสนับสนุนและความร่วมมือนี้ จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการเป็นผู้นำ ความสำเร็จ และความสามารถในการที่จะนำคนอื่น ต้องไปด้วยกันเสมอ การที่จะช่วยให้พัฒนาความสามารถในการเป็นผู้นำ ที่จะฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในหลักการ หรือกฎแห่งการเป็นผู้นำ 4 ประการนี้คือ

กฎแห่งการเป็นผู้นำข้อที่ 1 แลกเปลี่ยนจิตใจกับคนที่ต้องการจะมีอำนาจชักจูงจิตใจ เป็นวิธีมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนอื่น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือลูกจ้าง ทำในวิธีที่ต้องการให้เขาทำ ประเด็นก็คือ การที่จะให้คนอื่นทำตามในสิ่งที่ต้องการให้เขาทำ จะต้องมองสิ่งต่าง ๆ จากสายตาของเขา เมื่อแลกเปลี่ยนจิตใจกับคนอื่น เคล็ดลับของวิธีที่จะจูงใจเขาอย่างมีประสิทธิผลจะปรากฏขึ้น การแลกเปลี่ยนจิตใจกับผู้ฟัง ช่วยให้ผู้พูดสามารถที่จะออกแบบการพูดที่น่าสนใจ และตรงประเด็นที่ต้องการ การแลกเปลี่ยนจิตใจกับลูกน้อง ช่วยให้หัวหน้างานสามารถสั่งงานได้อย่างมีประสิทธิผล และได้รับการยอมรับมากขึ้น การคิดถึงผลประโยชน์ของคน ที่ต้องการจะมีอำนาจชักจูงใจ เป็นกฎการคิดที่ดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์ นำหลักการแลกเปลี่ยนจิตใจมาใช้โดย

  1. คิดถึงสถานการณ์ของคนอื่น หรือถ้าจะพูดก็คือเอาใจเขามาใส่ใจเรา จำไว้ว่าความสนใจของเขา รายได้ ความรู้ และพื้นฐานของเขา อาจจะแตกต่างมาก
  2. ต่อไปถามตัวเองว่า ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสิ่งนี้
  3. ครั้นแล้วลงมือปฏิบัติ ในสิ่งที่จะทำให้ทำถ้าเป็นคนอื่น

กฎแห่งการเป็นผู้นำข้อที่ 2 คิดว่าอะไรคือวิธีการจัดการกับปัญหาอย่างมีความเป็นมนุษย์ คนเราใช้วิธีการต่าง ๆ ในฐานะของการเป็นผู้นำ เทคนิคของการเป็นผู้นำแนวทางที่ 1 ก็คือ การใช้ตำแหน่งในฐานะของผู้เผด็จการ ตัดสินใจทุกอย่างโดยไม่ปรึกษาคนที่ได้รับผลกระทบ เขาปฏิเสธที่จะฟังความคิดเห็นจากลูกน้อง เทคนิคของการเป็นผู้นำแนวทางที่ 2 คือ วิธีการสั่งการโดยอาศัยกฎข้อบังคับการทำงาน ที่ไม่มีความยืดหยุ่น และไม่มีชีวิตจิตใจ คนที่ใช้วิธีนี้จะจัดการทุก ๆ อย่างตรงตามคู่มือปฏิบัติงาน ผู้ซึ่งก้าวขึ้นสูงจริง ๆ ในฐานะของการเป็นผู้นำ จะใช้แนวทางที่ 3 ซึ่งเรียกว่า ผู้นำที่มีความเป็นมนุษย์

ต่อไปนี้คือวิธีการสอน วิธีที่จะใช้แนวทางของความเป็นมนุษย์ ที่จะทำให้เป็นผู้นำที่ดีขึ้น

วิธีที่ 1 แต่ละครั้งที่ประสบเหตุการณ์ยุ่งยากเกี่ยวกับคน ถามตัวเองว่าอะไรคือวิธีการที่จะจัดการกับปัญหานี้อย่างมีความเป็นมนุษย์ ไตร่ตรองถึงคำถามนี้ เมื่อเกิดมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในหมู่ลูกน้อง หรือเมื่อมีพนักงานสร้างปัญหา ในการช่วยคนอื่นแก้ไขความผิดพลาด หลีกเลี่ยงการถากถาง แดกดัน หลีกเลี่ยงการเยาะเย้ย หลีกเลี่ยงการทับถมคนอื่น และหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมคนที่ผิดพลาด มันได้ผลที่ดีเสมอ บางครั้งเร็ว บางครั้งก็ช้า แต่มันให้ผลตอบแทนเสมอ

วิธีที่ 2 ที่จะได้กำไรจากกฎความเป็นมนุษย์ก็คือ ให้การกระทำแสดงว่าให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก แสดงความสนใจในความสำเร็จ นอกเหนือจากงานของลูกน้อง ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยการให้เกียรติ เตือนตัวเองว่าวัตถุประสงค์หลักในชีวิตก็คือ ความสนุกเพลิดเพลินกับชีวิต เป็นกฎทั่วไปว่า ยิ่งให้ความสนใจในตัวบุคคลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำงานให้มากขึ้นเท่านั้น และผลผลิตของเขาจะช่วยพาไปข้างหน้า สู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และยิ่งใหญ่ขึ้น สรรเสริญลูกน้องในทุกโอกาสที่ทำได้ ชมเชยเขาในความร่วมมือที่ได้รับ ชมเชยเขาในงานพิเศษที่เขาทำทุกครั้ง คำสรรเสริญเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่สุดประการเดียวที่จะให้แก่คน และไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย

กฎแห่งการเป็นผู้นำข้อที่ 3 คิดอย่างก้าวหน้า เชื่อในความก้าวหน้า และผลักดันเพื่อความก้าวหน้า สิ่งที่แสดงถึงความนับถือมากที่สุดอย่างหนึ่งที่จะพูดถึงก็คือ เป็นคนที่เน้นความก้าวหน้า เป็นคนที่เหมาะสมกับงานนี้ การเลื่อนตำแหน่งในทุกวงการมักจะตกอยู่กับคนซึ่งเชื่อ และผลักดันเพื่อความก้าวหน้า ผู้นำที่แท้จริงมีน้อย มีสิ่งพิเศษอยู่ 2 สิ่ง ที่สามารถจะทำเพื่อพัฒนาการมองแบบก้าวหน้าได้คือ

  1. คิดปรับปรุงในทุก ๆ สิ่งที่ทำ
  2. ตั้งมาตรฐานสูงในทุก ๆ สิ่งที่ทำ

กฎแห่งการเป็นผู้นำข้อที่ 4 หาเวลานอกเพื่อที่จะปรึกษากับตัวเอง และดึงพลังความคิดสูงสุดออกมาใช้ ปกติมักมองภาพของผู้นำว่า เป็นคนที่มีงานยุ่งเป็นพิเศษและก็เป็นจริง ๆ ความเป็นผู้นำต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นแก่นสารมากมาย สำรวจดูชีวิตของผู้นำทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย แล้วจะพบว่าแต่ละท่านใช้เวลาในช่วงยาวนานพอสมควร เพื่ออยู่ตามลำพัง โมเสสมักอยู่ตามลำพังบ่อยครั้งเป็นเวลานานเช่นเดียวกับ พระเยซู พระพุทธเจ้า ขงจื้อ ชินโต โมฮัมเหม็ด คานธี ผู้นำทางศาสนาที่เด่น ๆ ทุกคนในประวัติศาสตร์ ใช้เวลาเป็นอันมากอยู่คนเดียว ห่างจากความพลุกพล่านของชีวิต

ประเด็นก็คือ บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในวงการใดก็ตาม ใช้เวลาในการพูดคุยกับตนเอง ผู้นำในการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ที่จะจัดรวบรวมประเด็นของปัญหาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อที่จะหาคำตอบ วางแผน และถ้าจะใช้คำพูดเป็นวลี 1 ก็คือ เพื่อที่จะคิดแบบเหนือคน การตั้งใจอยู่โดดเดี่ยวให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

ตัดสินใจแต่เดี๋ยวนี้ที่จะกันเวลาจำนวนหนึ่งอย่างน้อย 30 นาที ที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ บางทีอาจจะเป็นตอนเช้าตรู่ ก่อนที่จะมีใครเข้ามากวน โดยการบอกว่าอะไรดีที่สุด หรือตอนดึกมาก ๆ ก็อาจจะเป็นเวลาที่ดีกว่า สิ่งสำคัญก็คือการเลือกเวลาที่จิตใจสดชื่น และสามารถที่จะเป็นอิสระจากสิ่งรบกวนจิตใจอื่น ๆ สามารถใช้เวลานี้คิดใน 2 รูปแบบคือ รูปแบบที่ถูกชี้นำและแบบที่ไม่มีการชี้นำ

ในการที่จะคิดแบบมีการกำหนดชี้นำ ควรทบทวนปัญหาหลัก ๆ ที่เผชิญอยู่ในการอยู่คนเดียว จิตใจจะศึกษาปัญหาอย่างไม่ลำเอียง และนำสู่คำตอบที่ถูกต้อง ในการคิดแบบไม่มีการชี้นำ เพียงแต่ปล่อยให้จิตใจเลือกสิ่งที่มันอยากจะคิด ในช่วงเวลาเช่นนี้จิตใต้สำนึกจะดึงสิ่งที่อยู่ในคลังสมอง และป้อนข้อมูลนั้นสู่จิตสำนึก การคิดแบบไม่มีการชี้นำนี้ มีประโยชน์มากในการที่จะพิจารณาตัวเอง มันช่วยให้คิดลงไปถึงประเด็นพื้นฐาน เช่น จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร จะทำอย่างไรต่อไป

จำไว้ว่าหน้าที่หลักของผู้นำก็คือ การคิด และวิธีการฝึกเตรียมตัวเป็นผู้นำก็คือ การคิด ใช้เวลาบางส่วนในการที่จะอยู่คนเดียวทุกวัน แล้วคิดให้ตัวเองสู่ความสำเร็จ

บทที่ 14 วิธีใช้ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่

ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต

มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในการคิดใหญ่ แต่มันง่ายมากที่จะลืม เมื่อสะดุดต่อที่ใหญ่โต ก็น่าห่วงว่าความคิดจะหดลีบเล็กลง และเมื่อมันเกิดขึ้นก็แพ้ ต่อไปนี้เป็นแนวทางสั้น ๆ ที่จะทำให้ยังคงยึดอยู่กับสิ่งใหญ่ เมื่อรู้สึกอยากจะใช้วิธีการแบบเล็ก ในการทำสิ่งต่าง ๆ บางทีอาจจะต้องการจดแนวทางเหล่านี้ ลงบนกระดาษการ์ดเล็ก ๆ เพื่อสะดวกแก่การหยิบใช้

  1. เมื่อคนเล็กพยายามกดลงมา จงคิดใหญ่ แน่นอนมีคนบางคนต้องการที่จะให้แพ้ ต้องการให้ประสบกับเคราะห์ร้าย ต้องการให้ถูกตำหนิ แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำร้ายได้ ถ้าจำ 3 สิ่งต่อไปนี้

1.ปฏิเสธที่จะสู้กับคนคิดเล็กคิดน้อย การต่อสู้กับคนเล็กจะลดขนาดให้เท่ากับขนาดของเขา เพราะฉะนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ไว้

2.คาดไว้ได้เลยว่าจะต้องถูกแทงข้างหลัง นั่นเป็นการพิสูจน์ว่ากำลังโต

3.เตือนตัวเองว่าคนลอบกัดมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ จงเป็นคนใหญ่ และให้ความสงสารแก่พวกเขา

คิดให้ใหญ่พอที่จะปลอดภัยจากการโจมตีของพวกคิดเล็กคิดน้อย

  1. เมื่อเกิดความรู้สึกที่ว่า ไม่มีในสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จ ให้คืบคลานเข้ามาหา จงคิดใหญ่ จำไว้ว่าถ้าคิดว่าอ่อนแอก็จะอ่อนแอ ถ้าคิดว่าไม่มีความสามารถเพียงพอก็ไม่มี โจมตีแนวโน้มทางธรรมชาติของคน ที่จะรู้สึกตนเองว่าต่ำต้อยด้วยเครื่องมือต่อไปนี้

1.ทำให้ดูสำคัญ มันช่วยให้คิดในสิ่งที่สำคัญ รูปร่างหน้าตา และการปรากฏภายนอก มีส่วนเกี่ยวพันกับความรู้สึกภายในเป็นอย่างมาก

2.มุ่งเน้นในคุณสมบัติ สร้างวิธีการขายตัวเองให้กับตัวเอง

3.วางคนอื่นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คนอื่นก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะกลัวเขาไปทำไม

คิดให้ใหญ่เพียงพอเพื่อที่จะเห็นว่าดีแค่ไหนจริง ๆ

  1. เมื่อการทะเลาะเบาะแว้งดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงคิดใหญ่ พยาบาท อาฆาต จะไม่ช่วยไปถึงที่ที่ต้องการจะไป

1.ถามตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่สำคัญแค่ไหน ที่จะต้องถกเถียงกัน

2.เตือนตัวเองว่าไม่ได้อะไรเลย จากการทุ่มเถียง แต่จะเสียอะไรบางสิ่งบางอย่างเสมอ

คิดให้ใหญ่เพียงพอที่จะเห็นว่า การทะเลาะ การทุ่มเถียง และการพยาบาทอาฆาต จะไม่ช่วยไปถึงที่ที่ต้องการจะไป

  1. เมื่อรู้สึกพ่ายแพ้ จงคิดใหญ่ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง โดยปราศจากความลำบากและความผิดพลาด

1.ถือว่าความผิดพลาดเป็นบทเรียน เรียนรู้จากมัน วิเคราะห์ดูความผิดพลาด และใช้มันในการส่งให้ก้าวไปข้างหน้า

2.ผสมผสานความมุ่งมั่นกับการทดลอง ถอยหลังและเริ่มทำใหม่ด้วยวิธีการใหม่ ๆ

คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่า ความพ่ายแพ้เป็นสภาวะของจิตใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

  1. เมื่ออารมณ์แห่งความรักเริ่มจะเสื่อมคลาย จงคิดใหญ่ ความคิดที่จุกจิกจะเป็นลบ ทำสิ่งต่อไปนี้เมื่อเกิดความคับข้องหมองใจในด้านของความรัก

1.มุ่งเน้นในคุณสมบัติสำคัญที่สุดกับคนที่ต้องการให้รัก เก็บสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในที่อยู่ของมันที่ชั้น 2

2.ทำบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษกับคู่รัก และทำบ่อย ๆ คิดให้ใหญ่พอที่จะพบความสุขของชีวิตแต่งงาน

6.เมื่อรู้สึกว่าความก้าวหน้าในงานกำลังช้าลง จงคิดใหญ่ ไม่ว่าจะทำอย่างไร และไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร การเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น มาจากสิ่งเดียวเท่านั้นคือ เพิ่มคุณภาพ และปริมาณของผลผลิต ทำสิ่งต่อไปนี้

คิดว่าสามารถทำให้ดีขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี เพราะฉะนั้นมีช่องทางที่จะทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ถูกทำขึ้นอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ และเมื่อคิดว่าสามารถทำให้ดีขึ้น วิธีที่จะทำให้ดีขึ้นก็จะปรากฏ ความคิดที่ว่าสามารถทำให้ดีขึ้น จะปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ออกมา คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่า ถ้าถือบริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เงินก็จะตามมาเอง.