คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น

สรุปหนังสือ เรื่อง คิดแบบยิวทำแบบญี่ปุ่น

การพบกันอย่างไม่คาดฝันกับบททดสอบแรก ผู้เขียนได้มีโอกาสพบชายชราคนหนึ่งที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งงานของเขาคือการลาดตระเวนไปตามบ้านพักคนชราในรัฐฟลอริดา เพื่อบรรยายในหัวข้อวัฒนธรรมญี่ปุ่นกับสันติภาพ แล้วยังหาโอกาสไปพบนักธุรกิจและศิลปินที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเคล็ดลับความสำเร็จ สาเหตุที่ตั้งหน้าตั้งตารวบรวมเคล็ดลับของชาวอเมริกัน ที่ประสบความสำเร็จก็เพราะตั้งใจว่า เมื่อกลับญี่ปุ่นจะไม่ไปสมัครงานตามบริษัทใหญ่ ๆ แบบเพื่อน ๆ แต่จะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองแทน ซึ่งมันก็เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 เดือนก็ต้องกลับญี่ปุ่น

ช่วงเวลานี้เองที่ผู้เขียนได้พบชายชราผู้นี้ ในการบรรยายครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้คาดคิดเลยว่า การพบกันครั้งนี้จะส่งผลให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คุณเกลเลอร์เป็นชาวยิวที่เกิดในประเทศออสเตรเลีย ตอนอยู่ที่นั่นเขาเจริญรอยตามพ่อ ซึ่งเป็นนักธุรกิจจนมีกิจการที่รุ่งเรือง แต่เมื่อพวกนาซีขึ้นมามีอำนาจ เขาเลยต้องจำใจย้ายถิ่นฐาน เขาอพยพจากยุโรปไปทางไซบีเรีย ผ่านญี่ปุ่นจนมาถึงสหรัฐอเมริกา หลังจากประสบความสำเร็จกับธุรกิจเครื่องเพชรที่นิวยอร์ก เขาก็เริ่มประกอบกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ จนกลายเป็นมหาเศรษฐีและขยายกิจการโรงแรม และห้างสรรพสินค้าไปทั่วสหรัฐอเมริกา

บททดสอบแรกของคุณเกลเลอร์ บททดสอบแรกคือต้องไปขอให้คนจำนวน 1,000 คนช่วยเซ็นชื่อลงในกระดาษที่เขียนว่า ฉันขอส่งกำลังใจให้ชายหนุ่มคนนี้ประสบความสำเร็จในชีวิต ให้สำเร็จภายใน 3 วัน ผู้เขียนเข้าไปทักผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในห้างสรรพสินค้าด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่พวกเขากลับมองอย่างไม่ไว้ใจและเดินหนีไปแทบทุกคน เขาจึงคิดหากลยุทธ์ใหม่แม้จะยังรู้สึกผิดหวัง โดยคิดว่ามันต้องมีวิธีที่จะทำให้ผู้คนยอมเซ็นชื่อให้ด้วยความยินดีสิ

ทันใดนั้นเกิดไอเดียหนึ่งขึ้นมาก็คือ แทนที่จะขอให้คนอื่นเซ็นชื่อเฉย ๆ จะมอบนกกระเรียนกระดาษเป็นของตอบแทนด้วย ทำให้มีคนเข้ามามุงกันเต็มไปหมดจนต้องต่อคิว สภาพไม่ผิดอะไรกับฝูงปลารุมงับเหยื่อเลยทีเดียว ทุกคนยินดีเซ็นชื่อให้ เรื่องน่าทึ่งคือมีเด็ก ๆ อาสามาช่วยจัดแถวคนที่มายืนต่อคิวให้ด้วย

ภายในครึ่งวันภารกิจรวบรวมลายเซ็นของคน 1,000 คนก็สำเร็จ จึงกลับไปหาคุณเกลเลอร์ เมื่อเห็นลายเซ็นที่เขียนเรียงไว้เป็นแถว คุณเกลเลอร์ก็มองด้วยสีหน้าพึงพอใจ พร้อมกับบอกว่า ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จะขาดองค์ประกอบ 3 อย่างต่อไปนี้ไม่ได้เลย อย่างแรกคือ เมื่อตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วก็ต้องวางแผนเพื่อทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย อย่างที่ 2 คือการลงมือทำตามแผนที่วางไว้ และอย่างสุดท้ายคือต้องมีใจสู้ที่จะทำมันให้สำเร็จ โดยไม่มัวแต่นั่งกลุ้มใจว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า

เวลาที่พบกับอุปสรรค สิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าจะก้าวข้ามมันไปได้หรือไม่ก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ยึดติดกับกรอบ คนส่วนใหญ่พอเจอปัญหาเข้าก็ถอดใจกันง่าย ๆ แล้วโบ้ยความผิดให้คนอื่น นักธุรกิจทุกคนจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากคนอื่น ผู้เขียนทึ่งกับความเฉียบแหลมของชายชราคนนี้ ที่สามารถทดสอบและสอนให้ตระหนักถึงความสำคัญของความไว้วางใจ และแรงสนับสนุนจากคนอื่นได้ในเวลาเดียวกัน แล้วบทเรียนของคุณเกลเลอร์ ที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตผู้เขียนไปตลอดก็ได้เริ่มต้นขึ้น

เริ่มต้นบทเรียนเป็นเศรษฐีที่มีความสุข เรื่องนี้ที่กำลังจะเล่าเป็นเรื่องที่มหาเศรษฐีในยุโรปคนหนึ่งเคยสอน เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ชาวยิวที่น่ายกย่องมาก เขาสอนตั้งแต่เรื่องวิธีใช้ชีวิต วิธีการเข้าหาคนอื่น ไปจนถึงเรื่องการบริหารธุรกิจ คุณเกลเลอร์จะสอนสิ่งที่สำคัญที่สุดในบรรดาเรื่องพวกนั้นให้ แต่มีเงื่อนไขในการสอนโดยให้สัญญาว่า จะเป็นเศรษฐีที่มีความสุขให้ได้ เงื่อนไขข้อต่อไปให้สัญญาว่าจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ 100% จะโทษใครไม่ได้เด็ดขาด เงื่อนไขสุดท้ายสัญญาว่าถ้าฟังเรื่องนี้แล้วประสบความสำเร็จในภายหลัง จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้นี้ให้กับคนหนุ่มสาวที่ดูมีอนาคต และช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จด้วย ผู้เขียนตอบรับ

จงลืมเรื่องเงิน ถ้าอยากประสบความสำเร็จจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตั้งเป้าหมายชีวิต เพราะถ้าไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองคืออะไรกันแน่ ก็จะสับสนในชีวิต อยากประสบความสำเร็จเพราะอยากมีอำนาจ สุดท้ายก็จะมัวเมาไปกับเกมแห่งอำนาจ หรือถ้าอยากเป็นที่นับหน้าถือตาก็จะทุกข์เหมือนตกนรก เพราะอยากให้คนอื่นสนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นแบบนั้นถึงสังคมจะมองว่า ประสบความสำเร็จมากแค่ไหนก็ไม่มีทางมีความสุข เพราะความสำเร็จเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้คนเรามีความสุขได้

ถ้าอยากประสบความสำเร็จและมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน ต้องมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ให้ลืมเรื่องเงินกับเรื่องความสำเร็จไป ถ้ามัวแต่ยึดติดกับเรื่องเงินจะเป็นเศรษฐีที่มีความสุขไม่ได้ เศรษฐีที่มีความสุขจะมีจิตใจที่ปราศจากอคติไม่ต่างกับกระดาษขาว เขาจะเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ได้ยินสิ่งที่คนอื่นตั้งใจจะสื่อ และใช้ชีวิตอย่างซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง

มองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง คนที่ประสบความสำเร็จจะมองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง แต่คนทั่วไปไม่เป็นแบบนั้น พวกเขาจะมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยอคติ ความหวาดกลัว ค่านิยม หรือหลักการที่ไม่ถูกต้อง แบบนี้ก็ไม่ต่างกับถูกปิดตาเอาไว้ จนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น การรู้จักมองเนื้อแท้ของสิ่งต่าง ๆ ให้ออก คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คนเราประสบความสำเร็จและมีความสุข

จากนี้ไปคุณเกลเลอร์จะถ่ายทอดเคล็ดลับทั้งหมด 17 ข้อให้ เวลาฝึกเคล็ดลับแต่ละข้อ ต้องเปิดตามองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง

เคล็ดลับที่ 1 รู้จักกลไกของสังคม

สิ่งแรกต้องเรียนรู้ก็คือกลไกของสังคม เพราะถ้าไม่รู้กลไกของสังคมที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ มีลักษณะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย การจะเป็นเศรษฐีได้นั้นต้องรู้ว่า กลไกของสังคมเป็นแบบไหน และทำงานอย่างไร

ค่าตอบแทนที่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของผลงาน เมื่อทำงานจะได้รับค่าตอบแทนเท่ากับผลงานที่ทำ จงทุ่มเทและมุ่งความสนใจไปที่เรื่องผลงานเพียงอย่างเดียว พูดอีกอย่างก็คือ คนทั่วไปมักสนใจแต่เรื่องเงินที่จะได้รับจากคนอื่น แต่ไม่เคยสนใจเรื่องผลงานของตัวเอง พวกเขาก็เลยไม่รวยสักที คนที่รักงานที่ตัวเองทำจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่คิดแต่เรื่องเงิน

คนเรามักอยากสนับสนุนคนที่ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เมื่อซื้อดอกไม้จากร้านที่รักดอกไม้ ลูกค้าจะรู้สึกมีความสุข เวลาไปที่ร้านดอกไม้เจ้าของร้านก็จะออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าดีใจ เหมือนคนที่มีความสุขที่สุดในโลก บางคนอาจมาซื้อดอกไม้เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าดีใจนั้นก็ได้

คนมีอิสรภาพกับคนไร้อิสรภาพ มีสิ่งที่ตัดสินว่าใครจะมีความสุข และมีความมั่งคั่งคือจุดยืน โลกนี้มีคนอยู่ 2 ประเภทเท่านั้นคือ คนมีอิสรภาพกับคนไร้อิสระภาพ คนที่มีอิสระภาพจะเป็นอิสระทั้งด้านการเงิน สังคม และจิตใจ เขาจะไม่ทำตามความต้องการของใคร แต่จะดำเนินชีวิตตามความคิดของตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครมาช่วยเหลือ

คนส่วนคนไร้อิสรภาพจะใช้ชีวิตโดยพึ่งพาคนอื่น ไม่ว่าจะด้านการเงิน สังคม หรือจิตใจ เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และอยากทำอะไร หรือต้องบอกว่าไม่ยอมคิดเองมากกว่า พวกเขาคิดแต่จะให้พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก รัฐบาล หรือสังคมมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตให้

การใช้ชีวิตในแต่ละวันของคนมีอิสรภาพ จะเต็มไปด้วยอิสระ โอกาส ความมั่งคั่ง ความสนุกสนาน ความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ และความรู้สึกขอบคุณ

ส่วนคนไร้อิสรภาพ จะใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกหดหู่ เหนื่อยล้า ยากจน ขาดแคลน การแข่งขัน ความอิจฉา หงุดหงิด ไม่พอใจ หรือโกรธเคือง คิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน

คนไร้อิสรภาพจะต้องทำงานทุกวันเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่คนมีอิสรภาพสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ แม้จะไม่ได้ทำงานทุกวันก็ตาม

คนไร้อิสรภาพจะมีพนักงานบริษัท ข้าราชการ ประธานและกรรมการของบริษัทขนาดใหญ่ เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ผู้บริหารธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ ทนายความ หรือนักบัญชี และคนตกงาน

คนมีอิสรภาพจะมีเจ้าของร้านอาหารหรือร้านค้าที่กำลังเป็นที่นิยม นักเขียน จิตรกร หรือศิลปินที่ได้ส่วนแบ่งตามยอดขาย คนที่ถือสิทธิบัตรหรือใบอนุญาตต่าง ๆ คนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย นักกีฬา หรือศิลปินที่มีชื่อเสียง คนที่ได้รับเงินปันผลจากหุ้น พันธบัตร หรือเงินฝาก

กุญแจสู่ความสำเร็จอยู่ที่การสร้างระบบธุรกิจ ในขณะเดียวกันมันยังเป็นกุญแจที่ใช้ไขประตูไปสู่ดินแดนของคนมีอิสรภาพด้วย คนที่ทำแต่สิ่งที่ตัวเองถนัดมักจะติดกับดักนี้ ในขณะที่คนที่เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบจะรอดพ้นไปได้ การทำธุรกิจแบบพอตัวจะช่วยให้เป็นตัวของตัวเอง และสามารถทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งที่ชอบได้มากกว่า หรือก็คือคนที่เลือกทำในสิ่งที่ชอบจะไม่เจอกับทางตันง่าย ๆ เพราะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากกว่าการมีกิจการใหญ่โต

วิธีหลีกเลี่ยงทางตัน คือต้องกล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง และตระหนักอยู่เสมอว่าสถานการณ์รอบข้างเป็นอย่างไร ทำได้ก็ต่อเมื่อมีครอบครัวหรือเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือและสนับสนุน ต้องจำเอาไว้ให้ดีว่า เมื่อไหร่ที่เห็นความเจริญรุ่งเรืองของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นแสดงว่าติดกับดับเรียบร้อยแล้ว

กฎกติกาหรือวิธีการใช้ชีวิตของคนมีอิสรภาพกับคนไร้อิสรภาพไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จในฐานะคนมีอิสรภาพไม่ได้

วิธีใช้ชีวิตของคนมีอิสรภาพ คนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องเป็นคนที่มอบความสุข หรือคุณค่าให้กับคนอื่น ชีวิตของคนมีอิสรภาพจะมีเรื่องที่ต้องทำน้อยมาก เวลาทั้งหมดตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงเข้านอนถือเป็นช่วงเวลาอิสระ เขาไม่จำเป็นต้องไปทำงานที่ออฟฟิศ ไม่จำเป็นต้องคอยเอาใจใคร เขาจะมองหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วสนุกกับมันจนกว่าจะพอใจ เวลาอารมณ์ดีก็ทำงานบ้าน ขับรถ หรือทำอาหาร ถ้ารู้สึกยุ่งยากก็ให้คนอื่นทำให้ แถมยังไปตีกอล์ฟหรือไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ

ส่วนชีวิตของคนไร้อิสรภาพนั้น จะมีเรื่องที่ต้องทำเต็มไปหมด ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบกินข้าว แล้วกระหืดกระหอบขึ้นรถไปทำงาน พอไปถึงออฟฟิศก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเอง ในหัวมีแต่เรื่องที่ว่าทำยังไงให้งานเสร็จทัน นาน ๆ ทีก็จะเหม่อลอยคิดว่า วันหยุดอาทิตย์ก่อนสนุกจัง ต่อด้วยคิดถึงวันหยุดของอาทิตย์นี้ เขาแทบไม่มีช่วงเวลาอิสระเป็นของตัวเองเลย เพราะถึงจะกลับบ้านก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำเต็มไปหมด ไหนจะต้องดูแลลูก ทำงานบ้าน และงานจุกจิกทั้งหลาย คนไร้อิสรภาพเป็นคนทำให้ตัวเองหมดอิสรภาพเสียเอง พวกเขามัวใช้เวลาตอนกลางคืน และช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไปกับการระบายความขัดกลุ้มจากงานที่ทำ แทนที่จะใช้เวลาอันมีค่าเหล่านั้น ไปวางแผนทำให้ตัวเองกลายเป็นคนมีอิสรภาพ หรือคิดย้อนทบทวนชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ตราบใดที่ยังไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะเปลี่ยนแปลง พวกเขาเขาจะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปเรื่อย ๆ

สมุดบันทึกตารางงานของคนไร้อิสรภาพจะเต็มไปด้วยงานที่ต้องทำ ต่อให้นึกอยากหยุดพักสัก 2 สัปดาห์ก็ทำไม่ได้

ส่วนคนมีอิสรภาพจะพกสมุดไอเดีย เพราะเขารู้ว่าความคิดสร้างสรรค์จะเปิดทางไปสู่ความสำเร็จได้ ชีวิตของคนมีอิสรภาพจึงน่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยเรื่องแปลกใหม่ พอมีพร้อมทั้งเงินและเวลา พวกเขาจึงสามารถทุ่มเทและสนุกไปกับโอกาส หรือโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างเต็มที่

เคล็ดลับที่ 2 รู้จักตัวเองและทำในสิ่งที่ชอบ

คนที่เลือกชีวิตที่มั่นคงแทนการไล่ตามความฝัน ก็ไม่ต่างกับลงโทษตัวเองด้วยการมีชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายไปจนตาย การทำความรู้จักตัวเองอาจดูเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าไม่ฝึกฝนไว้แต่เนิ่น ๆ ผลเสียที่ตามมาอาจร้ายแรงกว่าที่คิดมาก เพราะจะไม่มีทางมีความสุขได้เลย หากไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนแบบไหน และต้องการอะไร

การทำสิ่งที่ชอบคือหนทางสู่ความสำเร็จและความสุข เคล็ดลับในการเป็นเศรษฐีที่มีความสุขคือ การทำงานที่ตัวเองชอบ และต้องเป็นสิ่งที่ชอบมากขนาดทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ได้ ถ้าทำสิ่งที่ตัวเองชอบ โอกาสประสบความสำเร็จจะสูงขึ้นมาก

อย่างเวลาไปซื้อเสื้อผ้า ระหว่างร้านที่ทำงานด้วยความชอบ และทุ่มเทให้กับการตัดเย็บเสื้อผ้า กับร้านที่ทำงานเหมือนไม่เต็มใจ จะเลือกเข้าร้านไหนนั้นคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว คนเรามักชื่นชอบคนที่มีชีวิตชีวา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ผู้คนจะรู้สึกอยากสนับสนุนพวกเขา เพราะฉะนั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตและเป็นเศรษฐี อันดับแรกต้องมองหาสิ่งที่ตัวเองจะมอบจิตวิญญาณให้ได้ แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีให้กับมัน

แต่น่าเสียดายที่คนส่วนมากไม่ได้ทำแบบนั้น แล้วโยนความผิดไปให้สังคม พ่อแม่ หรือระบบการศึกษาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองยากจนและไม่มีความสุข แค่ให้เวลากับมันแล้วทำการบำบัดจิตใจ ก็จะได้เจอสิ่งที่ชอบอย่างแน่นอน การไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นความต้องการของตัวเอง  และเรื่องไหนเป็นความต้องการของคนอื่น ถือเป็นโรคอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้

ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ถนัดกับสิ่งที่ชอบ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเป็นโรคตื่นเต้นเวลาได้ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดจากอะดรีนาลินพลุ่งพล่าน อาจทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนว่ากำลังทำสิ่งที่ชอบอยู่ แต่แรงจูงใจจริง ๆ ของพวกเขาไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เป็นความปรารถนาที่จะเป็นคนใหญ่คนโต หรือความปรารถนาที่จะมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ สิ่งที่พวกเขาทำจึงเป็นสิ่งที่ถนัด

สิ่งที่ชอบเป็นอะไรที่เรียบง่าย และเบาสบายกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสนุกจนลืมเวลา ต่อให้ไม่ได้เงินหรือไม่ได้รับความชื่นชมจากคนรอบข้างก็ไม่เป็นไร พลังของสิ่งที่ชอบ เมื่อทำสิ่งที่ชอบพลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะได้พบกับผู้คนที่น่าทึ่ง แล้วหลังจากนั้นโอกาสก็จะวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่ขาดสาย หรือคนส่วนใหญ่เรียกกันว่า ดวงขึ้น เวลาที่ดวงขึ้นทุกสิ่งรอบตัวจะชักพาเรื่องดี ๆ เข้ามาหา โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเองเลย จะมีความมั่นใจในตัวเอง และกล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ ส่งผลให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเราสามารถอุทิศให้กับโลกได้คือ การรู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร แล้วทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น หรือก็คือการทำสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นเอง

ข้อควรระวังเมื่อออกเดินทางค้นหาสิ่งที่ชอบ ถ้าอยากค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือการทำให้หัวใจเป็นอิสระต่างหาก การทำให้หัวใจเป็นอิสระมีกฎอยู่ 2 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือต้องรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ส่วนข้อ 2 คือต้องรักในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปอาจจะไม่มีทางพบงานที่พร้อมจะทุ่มเทให้ได้ทั้งชีวิต อย่าลืมว่าคนที่ทำสิ่งที่ชอบเองก็ใช่ว่าจะสนุกเต็มร้อยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ในเรื่องที่ชอบอาจมีเรื่องที่ไม่ชอบปนอยู่ด้วย มันขึ้นอยู่กับว่าจะรักสิ่งที่ทำอยู่จากใจจริง ซึ่งรวมถึงบางเรื่องที่ไม่ชอบด้วยหรือเปล่า

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ค้นพบสิ่งที่ชอบคือ ไม่ว่าตอนนี้จะกำลังทำอะไรอยู่จงรักในสิ่งนั้น ถ้าสามารถรักสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และทุ่มเทชีวิตจิตใจให้ได้ โอกาสในการทำงาน หรือโอกาสที่จะได้พบเจอผู้คนที่น่าสนใจจะวิ่งเข้ามาหาเอง เวลาที่สับสนกับชีวิตให้ลองเอามือทาบอกแล้วถามตัวเองดูว่า ทำอะไรถึงจะสนุก แล้วเอาเสียงหัวใจเป็นเข็มทิศให้กับชีวิต จงสัมผัสกับความรู้สึกตื่นเต้น และเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

เคล็ดลับที่ 3 เพิ่มพลังสัญชาตญาณ

ฝึกการมองคนและสิ่งต่าง ๆ ให้แตกฉาน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการอ่านกระแสน้ำ และกระแสลม หรือความสามารถในการมองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแตกฉาน ต้องรู้จักการคาดสถานการณ์ให้ได้ว่า กระแสสังคมจะเป็นอย่างไร หรือกระแสเงินกำลังไหลไปที่ไหน คนที่เป็นเศรษฐีใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดไปกับการอ่านกระแส

เศรษฐกิจโลกเป็นสิ่งที่ดำเนินไปเป็นวัฏจักร เมื่อเศรษฐกิจดีถึงขีดสุด แล้วก็จะตกต่ำลงเป็นธรรมดา เวลาอ่านกระแสการไหลของเงิน ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ขั้นสูงอะไรเลย สัญชาตญาณของตัวเองก็พอ ที่สำคัญคืออย่าได้หลงไปกับกระแสสังคมเล็ก ๆ แต่ให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากกระแสสังคมใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยในช่วง 5 ปีหรือ 10 ปี

อ่านกระแสโชคชะตาและวงจรชีวิตให้ออก สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับกระแสก็คือวงจรชีวิต ชีวิตคนเรามีขาขึ้นและขาลงเช่นเดียวกันกับสังคม ประเทศ และวัฒนธรรม ตอนขาขึ้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นไปเสียหมด ส่วนตอนขาลงไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง ชีวิตจะมีเรื่องของกระแสโชคชะตาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องรู้ให้แน่ชัดว่า ชีวิตของตัวเองกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง

มองศักยภาพของคนและบริษัทให้ออก การมองคนให้ออกถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากในการลงมือทำธุรกิจ ง่ายมากเพียงแค่ต้องมองตาเขา แล้วดูว่ามีความจริงใจอยู่ภายในดวงตาคู่นั้นไหม ระวังคนที่ยิ้มแบบไม่เป็นธรรมชาติไว้ให้ดี คนที่ซื่อตรงและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานจะมีรอยยิ้มที่สดใส เวลาพิจารณานิสัยของคนอื่นก็ให้สงสัยว่า เขาทำตัวยังไงกับคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขาโดยตรง ส่วนดูว่าบริษัทไหนดีไม่ดีต้องมองเนื้อแท้ของธุรกิจนั้นให้ออก ว่ามีศักยภาพแค่ไหน ถ้าสีหน้าประธานบริษัทไม่สู้ดีก็ควรระวังไว้ เพราะมีโอกาสสูงที่การบริหารจัดการของบริษัทจะไม่ค่อยราบรื่น และดูด้วยว่าประธานบริษัทติดเหล้า ผู้หญิง หรือการพนันหรือเปล่า

ฝึกพลังสัญชาตญาณ การฝึกพลังสัญชาตญาณเป็นเรื่องสำคัญมาก เวลาที่ต้องตัดสินใจในขั้นสุดท้าย จะใช้สัญชาตญาณของตัวเอง ผู้บริหารส่วนใหญ่อาจดูเหมือนคนที่ตัดสินใจโดยยึดหลักเหตุผล แต่เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ เขาจะหันไปใช้สัญชาตญาณแทน และยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งขัดเกลาสัญชาตญาณของตัวเองให้เฉียบคมมากขึ้นเท่านั้น ดำรงชีวิตหรือการทำธุรกิจคือสัญชาตญาณ ในการเอาตัวรอดแบบเดียวกันกับสัตว์ต่างหาก สัญชาตญาณคือความรู้สึกที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนความรู้สึกเป็นเหมือนประสาทสัมผัสที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ง่าย ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนเท่านั้น เหมือนกล้ามเนื้อที่จะแข็งแรงขึ้นตามการใช้งาน

เคล็ดลับที่ 4 ตระหนักถึงพลังของอารมณ์และความคิด

ชีวิตของคนเราจะดำเนินไปแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องหมั่นคิดแต่เรื่องดี ๆ เข้าไว้ เพราะสิ่งที่คิดจะส่งผลต่อการกระทำ นอกจากนั้นยังต้องรู้จักเลือกหนังสือที่อ่าน รายการโทรทัศน์ที่ดู ตลอดจนหัวข้อที่จะพูดคุยกับคนอื่นด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคือสิ่งที่เจ้าตัวต้องการอย่างแท้จริง

ความคิดสร้างชีวิต อารมณ์บงการชีวิต คนส่วนใหญ่กลัวการเปลี่ยนแปลงในชีวิต พวกเขาจะยึดติดกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความกลัว แม้จะต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีความสุขเลยก็ตาม พูดง่าย ๆ ก็คือ มนุษย์ส่วนใหญ่ถูกความกลัวบงการชีวิตนั่นเอง ถ้าไม่อยากให้อารมณ์บงการชีวิต ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนว่ามันมีผลยังไง ที่จริงแค่ตระหนักว่ามนุษย์สามารถถูกอารมณ์ควบคุมได้ ก็ช่วยให้รอดพ้นจากอำนาจของมันได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

เขียนสิ่งที่คิดลงบนกระดาษ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะเขียนความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ หรือวิสัยทัศน์ลงบนกระดาษ เพราะถ้าไม่เขียนลงบนกระดาษก็จะมองเห็นไม่ชัด ว่าตัวเองกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง ที่สำคัญมันยังช่วยจัดระเบียบอารมณ์ และความคิดให้ไม่สับสนได้ด้วย

การสื่อสารแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ การสื่อสารกับตัวเองและการสื่อสารกับผู้อื่น ต้องขบคิดให้แต่ก่อนว่าตัวเองกำลังคิดและรู้สึกอย่างไร ถึงจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง

พลังของการจดจ่อ สาเหตุต้องจดจ่อกับเรื่องดี ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองหวังมันจะเกิดขึ้นจริง ๆ คนที่คิดว่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิต เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ต้องคอยสังเกตว่าตัวเองกำลังจดจ่ออยู่เรื่องอะไร เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี และพิจารณาดูว่าควรจดจ่อกับมันต่อไป หรือควรเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่นแทน

มีศรัทธาในชีวิต ทำความคุ้นเคยกับอารมณ์โดดเดี่ยวเข้าไว้ ในบางช่วงของชีวิตจะมีบางครั้งที่รู้สึกเหมือนจู่ ๆ ก็ถูกทิ้งไว้บนเกาะร้าง ถ้าไม่เคยประสบความรู้สึกนี้มาก่อน ก็อาจทำให้สับสนจนรับมือไม่ถูก บางคนถึงกับโยนความผิดให้พ่อแม่ บริษัท หรือสังคมที่ไม่ยอมสอน ให้รู้จักวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ คนเราต้องมีศรัทธาในชีวิต คนที่มีความสุขคือคนที่ใช้ชีวิตด้วยความศรัทธา

เคล็ดลับที่ 5 จงเป็นยอดนักขาย

ต้องทำอย่างไรจึงจะขายของได้ ผู้เขียนตระเวนขายหลอดไฟ โดยไล่กดกริ่งไปทีละบ้านแม้ว่าจะกดกริ่งขายบ้านไหนถ้าเจ้าของบ้านไม่ทำหน้าระแวงใส่ ก็ต้องเจอกับคำปฏิเสธอันแสนเย็นชา จากผู้คนที่บอกว่า ไม่ กัดกร่อนจิตใจ ผลก็คือตลอดทั้งวันนั้นขายหลอดไฟไม่ได้เลยแม้แต่หลอดเดียว แต่ถ้าถอดใจตรงนี้โอกาสดี ๆ ก็คงหลุดลอยไป ต้องคิดหาวิธีที่จะช่วยพลิกสถานการณ์ให้ได้

สิ่งที่คิดออกก็คือ จะขายหลอดไฟพร้อมกับบริการเปลี่ยนหลอดไฟฟรี ซึ่งน่าจะมีคนชราไม่น้อยที่คิดอยากให้ใครสักคนมาช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ จึงได้ขับรถไปที่อพาร์ทเม้นท์ของบ้านพักคนชรา มีคุณยายคนหนึ่งเปิดประตูออกมา ผู้เขียนจึงเปิดการขายตามแผนที่วางไว้ทันที คุณยายยิ้มให้พร้อมบอกว่า หลอดไฟตรงระเบียงห้องมันอยู่สูงจนเปลี่ยนเองไม่ไหว พอดีเลยช่วยเปลี่ยนให้หน่อยได้ไหม หลังจากเปลี่ยนหลอดไฟเสร็จ ก็ใช้ผ้าขนหนูที่พกติดตัวไปด้วย ทำการเช็ดบริเวณนั้นจนสะอาดเอี่ยม พอเห็นแบบนั้นคุณยายก็ปลื้มมากจนรีบชงชามาให้

ระหว่างที่นั่งดื่มชา คุณยายก็เริ่มเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ฟัง คนที่ชอบฟังเรื่องที่คนอื่นพูดจึงถือเป็นเรื่องของหายาก ในสังคมมีคนพูดเยอะแต่มีคนฟังน้อย คุณยายคงรู้สึกพอใจที่นั่งฟังเธอพูด และด้วยความที่มีเวลาว่างมากอยู่แล้ว เธอเลยเอ่ยปากบอกว่าอยากช่วย ไม่ทันไรก็กลายมาเป็นผู้ช่วย แถมยังเก่งสุด ๆ ด้วย คุณยายตระเวนขายหลอดไฟไปตามห้องต่าง ๆ ซึ่งหลอดไฟในอพาร์ทเม้นท์ก็ถูกเปลี่ยน เป็นหลอดไฟที่ผู้เขียนนำมาขายเกือบทั้งหมด โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทำให้รู้ว่าการทำงานสามารถมอบความสุขให้กับตัวเอง และคนอื่นได้มากแค่ไหน

วงจรชีวิตแสนสุขของคนที่ขายของได้ ผู้จัดการเก่ง ๆ แค่เห็นหน้าพนักงานขายแว๊บเดียวก็รู้ว่าขายของออกได้หรือเปล่า คนส่วนมากมักคิดว่างานขายเป็นงานที่ลำบาก แต่ความจริงแล้วมีแต่นักขายที่ขายสินค้าไม่เป็นเท่านั้นที่รู้สึกลำบาก ชีวิตของคนที่ขายของได้สนุกมาก เวลาขายสินค้าหรือบริการจะได้รับคำขอบคุณ และกำลังใจจากผู้คนอย่างจริงใจ ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มยินดี และเหนือสิ่งอื่นใด ยังได้รับเงินเป็นสิ่งตอบแทนด้วย นี่แหละคือวงจรชีวิตของคนที่ขายของเป็น

ถ้าอยากขายของเก่ง ก็ต้องเลียนแบบวิธีการขาย ของคนที่ทำยอดขายได้สูงสุด ทุ่มเทศึกษาเทคนิคการขายอย่างจริงจัง เทคนิคเหล่านั้นเป็นประโยชน์มาก หลังจากที่ผันตัวมาก่อตั้งกิจการของตัวเอง มันใช้ได้ผลในตอนนั้นและยังใช้ได้ผลมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย ขอแค่หาความรู้เพิ่มเติมเรื่องวัฒนธรรมอีกนิดหน่อย ไม่ว่าสินค้าจะเป็นอะไรก็ขายได้ทั้งนั้น

ถ้าเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ก็จะรู้ว่าควรขายยังไง สังคมเกิดจากการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ การทำความเข้าใจมนุษย์จึงสำคัญพอ ๆ กับการรู้จักกลไกของสังคม เมื่อเข้าใจมนุษย์ก็จะรู้ได้ว่าจะสามารถจูงใจให้คนอื่นทำสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างไร นอกจากจะมีประโยชน์กับงานขายแล้ว การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ยังช่วยให้สามารถสร้างแรงจูงใจให้คนอื่นและตัวเองได้

ทำงานแบบคนที่ประสบความสำเร็จ ถ้าอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ สิ่งที่ต้องทำมีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือการหาลูกค้าใหม่ และอย่างที่ 2 คือไม่ปล่อยให้ลูกค้าคนนั้นหลุดมือไป หากใช้จิตวิทยาในการขายได้อย่างชำนาญ ลูกค้าจะกลับมาอุดหนุนอีกเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรงเลย กุญแจสำคัญคืออารมณ์ความรู้สึก พนักงานขายที่ทำยอดขายสูงสุดทุกคน จะมีความรู้สึกมุ่งมั่นและทุ่มเท มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้อยตามความรู้สึกของคนอื่นได้ง่าย ถ้ามุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างแท้จริงจนคนอื่นสัมผัสได้ รับรองว่าจะหาลูกค้าได้ไม่ยากเลย

กฎ 5 ข้อสู่ความสำเร็จในการขาย

  1. มั่นใจว่าขายได้แน่
  2. เป็นคนที่ไหววางใจได้
  3. พูดให้เห็นภาพและสร้างอารมณ์ร่วม
  4. รู้เรื่องตัวสินค้าและบริการอย่างทะลุปรุโปร่ง
  5. มีเทคนิคปิดการขาย

เคล็ดลับที่ 6 เป็นอัจฉริยะด้านการพูด

คนที่ประสบความสำเร็จมักพูดเก่งกันทุกคน หากถ่ายทอดความคิดของตัวเองไม่เป็น ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ การเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารจึงเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จ บรรดาผู้บริหารจึงต้องฝึกฝนความสามารถด้านการพูดอยู่เสมอ การพูดที่ดีจะเหมือนมีพลังงานออกจากตัวคนพูด ยิ่งถ้าถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกมาได้แจ่มแจ้ง ถึงขั้นที่คนฟังรู้สึกแบบเดียวกันได้ การพูดจะมีพลังระดับที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เลยทีเดียว

การจะกลายเป็นอัจฉริยะด้านการพูดได้นั้น ก่อนอื่นต้องเขียนสิ่งที่ตัวเองคิดลงบนกระดาษ คิดกับตัวเองแบบไหน กำลังรู้สึกยังไง เขียนมันลงไปในกระดาษให้หมด ไม่จำเป็นต้องเขียนให้สละสลวย คิดอะไรก็จดใส่กระดาษเลย การทำแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของตัวเองอย่างถ่องแท้

สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ดีก็คือ เวลาที่พูดต้องพูดแต่ความจริง อย่าโกหก และอย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้คิด หรือรู้สึกจริง ๆ เพราะถ้าไม่พูดความจริง คำพูดจะไม่มีพลังเลย เนื้อหาที่พูด และวิธีการพูดของคนที่ประสบความสำเร็จกับคนทั่วไปไม่เหมือนกัน ต้องระวังคำพูดของตัวเองให้ดี เพราะคำพูดที่พูดอยู่เป็นประจำ จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต ถ้านินทาว่าร้ายคนอื่น พูดจาในทางลบ หรือพูดแต่ข่าวลือแย่ ๆ อนาคตก็จะเต็มไปด้วยเรื่องไม่ดี แต่ถ้าพูดเรื่องความหวัง ความมั่งคั่ง หรือสิ่งดี ๆ ที่ตั้งใจจะทำ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความสุขและความมั่งคั่ง

เคล็ดลับที่ 7 ใช้เครือข่ายคนรู้จักให้เกิดประโยชน์

คนทั่วไปมักคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือ กุญแจสำคัญที่จะพาไปรู้จักกับคนที่เก่งและดี แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด คนที่ต้องทำความรู้จักเข้าไว้คือ คนกำลังแนะนำคนนู้นคนนี้ให้รู้จักกัน คนนั้นรู้จักและมีความสัมพันธ์กับทุกคน เรียกว่า ผู้ประสานงาน ต้องหัดคบค้าสมาคมกับคนที่มีระดับเหนือกว่าตัวเองสักหน่อย ถ้าทำให้พวกเขายอมรับเข้ากลุ่มได้ สักวันก็จะเท่าเทียมกับพวกเขาไปเอง

คนที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นคือ คนที่รู้จักใช้มนุษย์สัมพันธ์ให้เป็นประโยชน์ เพราะคนส่วนใหญ่แล้วโอกาสข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเงินมักเป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ ดังนั้น ถ้าคนรอบข้างไว้ใจก็เท่ากับว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งถ้ามีคนรู้จักจำนวนมากคอยสนับสนุน ก็จะประสบความสำเร็จเร็วขึ้นหลายเท่า คนทั่วไปจะมีคนรู้จักประมาณ 200-300 คน เช่น ญาติ เพื่อนสนิท เพื่อนสมัยเรียน หรือลูกค้า แต่กลับไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าที่ควร

พลังของการบอกปากต่อปาก ถ้าคนรู้จักกลายเป็นกำลังสนับสนุนแล้ว พวกเขาก็จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การเป็นคนที่คนอื่นไว้วางใจได้ วิธีคบหาคนอื่นให้ได้ผลที่สุด เวลาคบค้ากับคนอื่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอวยพรให้อีกฝ่ายมีความสุขและความมั่งคั่ง เมื่อเจอใครสักคนเป็นครั้งแรก ให้ท่องไว้ในใจว่า ช่างโชคดีที่ได้มาเจอกับคน ๆ นี้ ขอให้มีความสุขและความมั่งคั่งจงไหลเข้าไปหาเขา ต้องอธิษฐานแบบนี้ในใจพร้อมกับส่งยิ้มให้เขาด้วย

นอกจากนั้นเวลาพูดคุยหรือทำธุรกิจ ต้องหัดเอาใจเขาใส่มาใส่ใจเราเสมอ ทุกครั้งที่ทำอะไรให้ลองคิดจากมุมมองของตัวเอง มุมมองของอีกฝ่าย และมุมมองของคนอื่น ๆ ไปพร้อมกันดู แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ เมื่อจะตัดสินใจทำอะไร ต้องรู้จักคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์ของอีกฝ่าย และผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ ถ้าทำแบบนั้นได้ ไม่ว่าอะไรก็จะประสบความสำเร็จ แถมใคร ๆ ยังจะพากันพูดถึงว่า เป็นคนที่คบด้วยแล้วทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ความสัมพันธ์ที่มีต่อคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ใช่เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างเดียว แต่เพราะมิตรภาพที่อยู่เหนือเรื่องกำไรขาดทุน ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ต่อให้ชีวิตไม่เหลืออะไร ขอแค่ยังมีเพื่อนที่รักอยู่ด้วย ก็มีความสุขได้แล้ว

เคล็ดลับที่ 8 เรียนรู้กฎของเงิน

ธนาคารเป็นสถานที่ที่จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเงินได้ง่ายที่สุด ความสัมพันธ์ของคนเรากับเงินมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ เป็นเจ้านายเงินกับเป็นทาสเงิน เงินมีกฎของมันเองอยู่ แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมเชื่อกัน เงินมีกฎกติกาที่เข้มงวดมาก ไม่ต่างจากในกีฬา ที่แปลกคือทั้งที่เงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่กับไม่มีการสอนเรื่องเงินในโรงเรียนเลย

ปลูกฝังให้มีทัศนคติที่ดีต่อเงิน อันที่จริงสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการบริหารเงินมีอยู่ 2 อย่างได้แก่ ความรู้เรื่องเงินกับทัศนคติเรื่องเงิน กฎของเงินมีอยู่ว่า ถ้าอยากมีเงินและมีความสุข ก็ต้องรักษาสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้ให้ได้ ที่คนส่วนใหญ่สร้างตัวเป็นเศรษฐีกันไม่ได้ เพราะไม่รู้กฎข้อนี้ ความรู้เรื่องเงินคือภูมิปัญญาของเงิน ได้แก่วิธีหาเงิน วิธีใช้เงิน วิธีลงทุน และวิธีออมเงิน ส่วนทัศนคติเรื่องเงินก็คือการมีทัศนคติที่ดีต่อเงิน

กฎของเงิน ทำไมคนจนถึงมีมากกว่าคนที่เป็นเศรษฐี การจะเป็นเศรษฐีได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง กว่าจะหาเงินได้ก็ต้องใช้ทั้งสติปัญญา ความกล้า ความกระตือรือร้น ความละเอียดรอบคอบ เสน่ห์ดึงดูดผู้คน หรือแม้กระทั่งดวง ผิดกับการใช้เงินที่ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเลย ในโลกนี้มีกับดักที่หลอกล่อให้ใช้เงินอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่เห็นได้ชัด ๆ อย่างพวกต้มตุ๋น ไปจนถึงแบบที่ใช้วิธีชักจูงให้เกิดความอยากซื้อ เช่น โฆษณาโทรทัศน์ ข่าวประชาสัมพันธ์ หรือตู้โชว์สินค้าในห้าง บรรดาขาช็อปทั้งหลายจะกระโจนเข้าหากับดักพวกนี้เองเลย

ความสุขและความทุกข์ที่เกิดจากเงิน คนเราอยากมีเงิน แต่ลึก ๆ ก็ไม่อยากมีเงินด้วย เหมือนกับว่าขา 1 เหยียบคันเร่ง อีกขาหนึ่งเหยียบเบรคไปพร้อม ๆ กัน สองความรู้สึกที่ขัดแย้งกันนี้ เป็นบ่อเกิดความสุขและความทุกข์ในชีวิตมนุษย์ ถ้าอยากมีเงินอย่างมีความสุข จะต้องรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด ให้มีทัศนคติเรื่องเงินที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหน ก็จะไม่มีความสุขอยู่ดี

เติมพลังงานด้านบวกลงไปในเงิน การพกเงินสดเป็นวิธีป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ดีที่สุด เพราะทำให้รู้ตัวว่ากำลังใช้จ่ายเงินอยู่จริง ๆ ให้เงินที่ออกจากมือไปเริ่มต้นด้วยความรัก และความรู้สึกขอบคุณเงิน เงินก็จะหมุนเวียนกลับมาหาอีก เงินที่ใช้จะเดินทางไปทั่วโลก ด้วยความรักและความรู้สึกขอบคุณ แล้วพาพวกพ้องมากมายกลับมาหา ลองนึกภาพดูแค่คิดก็สนุกแล้ว

เพิ่มพูนความรู้เรื่องเงิน ต่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่รู้จักเพิ่มพูนความรู้เรื่องเงินก็ยากที่จะเป็นเศรษฐีได้ ยิ่งประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นด้วย ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวอาจทำให้ต้องสูญเสียรายได้ที่สะสมมาหลายปี หรือบางทีอาจตกอับจนถึงขั้นล้มละลายได้เลยทีเดียว เงินมีกฎของมันอยู่ ถ้าละเลยกฎพวกนี้ไป โอกาสที่จะเป็นเศรษฐีก็มีน้อยมาก กฎดังกล่าวมีด้วยการ 5 ข้อ

  1. รู้ว่าจะหาเงินยังไง
  2. ใช้จ่ายเงินอย่างฉลาด
  3. รู้วิธีปกป้องเงิน
  4. ลงทุน
  5. แบ่งปัน

ประโยชน์ของการเรียนรู้กฎของเงิน คนส่วนใหญ่มักถูกอำนาจของเงินครอบงำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักปล่อยให้เงินตัดสินใจแทน พวกเขาจะยอมทำเรื่องที่ไม่อยากทำเพื่อให้ได้เงิน และไม่ยอมทำสิ่งที่อยากทำเพราะกลัวจะเสียเงินไป แม้ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ชีวิตไม่มีความสุขเลยก็ตาม ที่อยากแนะนำให้เพิ่มพูนความรู้เรื่องเงินเอาไว้ เพราะถ้ามีความเข้าใจที่ถ่องแท้เกี่ยวกับเงิน จะไม่กังวลเรื่องเงินอีก และจะไม่พบอุปสรรคเรื่องเงินอีกเลยตลอดชีวิต

ในระหว่างทางไปสู่การเป็นเศรษฐี เศรษฐีจะได้เรียนรู้เรื่องหนึ่งนั่นคือ ไม่มีใครสามารถครอบครองเงินให้เป็นของตัวเองคนเดียวได้ เงินก็เหมือนกับแม่น้ำที่ทอดตัวไหลอยู่ในสังคม ซึ่งเราไม่สามารถครอบครองเอาไว้ใช้เพียงผู้เดียวได้ นอกจากนี้ถ้าเอาแต่เก็บน้ำไว้ไม่ปล่อยให้ไหลไปไหนน้ำก็จะเน่าเสีย แม้ในความเป็นจริงเงินจะไม่เน่าเสีย แต่คนที่มีทรัพย์สมบัติแล้วไม่ยอมทำงานทำการ ก็มักจะเจ็บป่วยง่าย เศรษฐีที่มีความสุขจะเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ได้ จากสัญชาตญาณและประสบการณ์ตรง พวกเขาจึงไม่เอาแต่เก็บเงินอยู่กับตัว แต่จะหมุนเวียนเงินด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจใหม่ ๆ หรือการทำกุศล การทำให้เงินไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ จะช่วยให้มั่งคั่งได้เร็วขึ้น

เคล็ดลับที่ 9 มีธุรกิจเป็นของตัวเอง

การไปห้างสรรพสินค้าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการเรียนรู้เรื่องธุรกิจ ธุรกิจที่มีกำไรสูงกับธุรกิจที่มีกำไรต่ำ กระแสเงินของธุรกิจแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกัน รายได้แปรผันตามระดับความสามารถในการสร้างความพึงพอใจ เจ้าของร้านทุกคนตั้งใจทำงานกันเต็มที่ พวกเขาหาเงินได้จากการทำให้ลูกค้ามีความสุข ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกพึงพอใจได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้รับเงินมากขึ้นเท่านั้น พนักงานขายในร้านจะได้รับรายได้ตามความสามารถในการขาย เจ้าของร้านจะได้รับรายได้ตามจำนวนเงินที่ลูกค้ายินดีจ่าย

ถ้าต้องการเป็นเศรษฐีให้เร็วที่สุด ต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คนที่ทำงานบริษัทจะได้รับเงินเดือนเพียงน้อยนิด กว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ก็ต้องรอจนเกษียณ ซึ่งหมายความว่าถึงจะทำงานไปชั่วชีวิต ก็ไม่มีทางเป็นเศรษฐีได้อยู่ดี การมีธุรกิจที่ทำกำไรได้ จึงเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดสำหรับคนทั่วไป ถ้าธุรกิจไปได้สวย แค่ 5-6 ปีก็น่าจะสร้างทรัพย์สิน ที่ทำให้มีกินมีใช้ไปทั้งชาติแล้ว

ธุรกิจคือการนำเสนอสินค้าหรือบริการ ที่มีคุณค่ามากพอให้คนอื่นยอมจ่ายเงินซื้อ ซึ่งมีกฎ 5 ข้อสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ คือ

  1. ค้นหาสิ่งที่ชอบ
  2. ศึกษาทุกเรื่องที่จำเป็นต่อความสำเร็จในธุรกิจที่ทำ
  3. เริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ และอย่ารีบขยายกิจการ
  4. สร้างวงจรที่ทำกำไร ธุรกิจที่ดีไม่หวังกอบโกยเพื่อกำไรระยะสั้น แต่ควรทำให้ลูกค้าพึงพอใจ เพื่อที่พวกเขาจะยอมจ่ายเงินให้ไปชั่วชีวิต ดังนั้น เริ่มแรกให้คิดว่าทำยังไงลูกค้าถึงจะรู้สึกดี และพึงพอใจโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องผลกำไร
  5. สร้างระบบที่ดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีเรา

เคล็ดลับที่ 10 ฝึกใช้ตะเกียงวิเศษของอะลาดินให้ชำนาญ

วิธีทำฝันให้เป็นจริง คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน รู้วิธีใช้ตะเกียงวิเศษของอะลาดิน มีเทคนิคดังนี้คือ ให้จดบันทึกเรื่องที่ทำสำเร็จและเรื่องที่ทำไม่สำเร็จเอาไว้ ให้เขียนรายการเรื่องที่ทำสำเร็จตามที่หวังไว้ออกมา จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้ จากนั้นให้เขียนเรื่องที่ทำไม่สำเร็จลงไปด้วย แล้วลองพิจารณาสิ่งที่เขียนออกมา เวลาไล่ดูรายการเรื่องที่ทำสำเร็จ ก็จะพบว่าเรื่องที่หวังให้กลายเป็นจริงแล้ว ให้จดจำความรู้สึกดีเหล่านั้นไว้ ต่อมาเมื่อไล่ดูรายการเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ อาจรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจ แต่อยากให้คิดว่าถึงจะยังไม่สมหวัง แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนความสุขที่มีอยู่ ในตอนนี้ อยากให้มองว่าเรื่องที่ไม่สมหวังในตอนนั้น กลับเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ

คนทั่วไปพอไม่สมหวังทันทีทันใดก็มักถอดใจ พวกเขาจะเอาแต่พร่ำบ่นและไม่ยอมลงมือทำ ในขณะที่คนที่ประสบความสำเร็จจะคิดว่า สิ่งที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด และถ้าพยายามให้มากขึ้นก็จะยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม พวกเขามีความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ความกล้าที่จะฝันหรือหวังต่อไปเรื่อย ๆ แม้มันจะไม่เป็นจริงนี่แหละ คือ ตะเกียงวิเศษของอาลาดิน

ตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดทิศทางชีวิตของตัวเองให้ชัดเจน เลยใช้ชีวิตเหมือนลอยไปตามกระแสน้ำโดยไร้จุดหมาย แต่ถ้าอยากพบเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต อยากให้ชีวิตแสนวิเศษเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก็จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย จำเป็นต้องบอกให้ชัดเจนว่าอยากได้อะไร โดยกำหนดให้ชัดเจนไปทีละอย่าง เช่น อยากทำอะไร หรืออยากใช้ชีวิตแบบไหน หลังจากตั้งเป้าหมายแล้ว ถึงจะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ชีวิตในแบบที่ต้องการ เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการใช้ชีวิตแบบใด ให้เขียนรายการสิ่งที่ต้องทำแล้วลงมือทำตามสิ่งที่เขียนไว้ จากนั้นทุกอย่างที่ฝันไว้ก็จะค่อย ๆ กลายเป็นจริง

ก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าทำไมตัวเองถึงทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ จากนั้นค่อยเรียนรู้วิธีตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ซึ่งสาเหตุที่ทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จก็จะมี นำสิ่งที่คิดว่าควรทำมาตั้งเป็นเป้าหมาย ไม่มีแรงจูงใจที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ทำตามขั้นตอนที่เหมาะสม ไม่กำหนดเวลาในการลงมือทำ

กฎ 5 ข้อที่ช่วยให้ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ

  1. ตั้งเป้าหมายที่เร้าใจ
  2. ลงรายละเอียดของเป้าหมาย แล้วระบุขั้นตอนในการลงมือทำให้ชัดเจน
  3. กำหนดรางวัลสำหรับตอนที่ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ และบทลงโทษสำหรับตอนที่ล้มเหลว
  4. จินตนาการภาพตอนที่ทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ
  5. ลงมือทำ

เคล็ดลับที่ 11 ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จคือ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่น บนโลกใบนี้ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ตามลำพังได้ แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก ก็ยังคงต้องพึ่งพาคนอื่นเลย

ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับแรงสนับสนุนจากผู้คนมากมาย ไม่ใช่ลูกค้า แม้แต่พนักงานร้านก็ด้วย ถ้าพนักงานไม่มีความสุขกับการทำงาน และไม่คิดว่าอยากทำงานที่นี่ ก็ยากที่ร้านจะประสบความสำเร็จ ธนาคารเพื่อขอกู้เงิน นอกจากนี้ ยังมีผู้รับเหมาที่มาช่วยก่อสร้าง และตกแต่งภายในให้ คนจัดหาวัตถุดิบ คนขับรถส่งวัตถุดิบ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่เก็บขยะ เรียกได้ว่าต้องอาศัยความช่วยเหลือ และความทุ่มเทจากผู้คนมากมาย

มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณที่อยากช่วยเหลือคนอื่น เวลาให้ความช่วยเหลือใครจึงรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ แน่นอนว่าบางเรื่องอาจทำด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรขอความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย

รู้จักขอความร่วมมือจากผู้เชียวชาญ ต้องรู้จักนำความรู้ของผู้เชี่ยวชาญมาใช้ ผู้เชียวชาญในที่นี้หมายถึงคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ คนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุข จะคิดอยู่เสมอว่าเวลามีจำกัด จึงเลือกทำเรื่องที่สำคัญที่สุดนั่นคือ ทำสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วใช้ความสามารถที่มีอยู่ช่วยเหลือคนรอบข้าง แต่ชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยืดยาว จึงไม่ได้อาจเรียนรู้ทุกเรื่องที่จำเป็นด้วยตัวคนเดียวได้

เคล็ดลับที่ 12 เข้าใจคุณค่าของการมีคู่ชีวิต

การจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้นั้น จำเป็นต้องผูกมิตรได้กับทุกคน และรักษาความไว้วางใจให้คงอยู่ยาวนาน ความสัมพันธ์ที่มีกับคนอื่นเป็นทั้งความสุขและความทุกข์ที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นไว้ได้ ให้จริงใจกับตัวเอง ต้องมีชีวิตในแบบของตัวเอง ฟังในสิ่งที่คนอื่นพูด ให้ความสำคัญกับทุกคนที่คบหา และถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ นอกจากนี้ ต้องเข้าหาคนอื่นอย่างจริงใจทุกครั้งด้วย

ความสัมพันธ์ที่มีความรัก และความไว้วางใจให้แก่กัน ในบรรดาความสุขที่เกิดขึ้นในชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่มีความรัก และความไว้วางใจให้แก่กัน ถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสามีภรรยาเป็นปัจจัยที่สำคัญมากต่อการเป็นเศรษฐี ถ้าอยากเป็นเศรษฐีแล้วละก็ จงแต่งงานกับคนที่มั่นใจว่ารักมากที่สุด และสามารถอยู่ด้วยกันได้ชั่วชีวิต มาสเตอร์มายด์คือจิตใจคนสองคนหรือมากกว่า มีความปรารถนาหรือเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ จนสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้

กฎ 5 ข้อสู่ความสำเร็จในชีวิตคู่

  1. เมื่อมีปัญหาให้พูดคุยและแก้ปัญหาในทันที
  2. เวลาตัดสินใจทำอะไรสามีภรรยาต้องเห็นพ้องต้องกัน 100%
  3. มองว่าชีวิตคู่คือปาฏิหาริย์ในชีวิตและรู้สึกขอบคุณกันและกันอยู่เสมอ
  4. รับผิดชอบต่อความสุขของตัวเอง
  5. ตระหนักว่าสามีภรรยามีชะตาชีวิตร่วมกัน

เคล็ดลับที่ 13 สร้างจิตสำนึกเศรษฐี

คนบางคนสามารถดึงดูดเงินได้เหมือนแม่เหล็ก จิตสำนึกที่ทำให้ชีวิตมั่งคั่ง ต้องคิดว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง แล้วคนเราสามารถร่ำรวยขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึกแบบนี้ จะสามารถดึงดูดความมั่งคั่งเข้ามาหาตัวเองได้

ยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเอง ชีวิตจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของตัวเองในใจ คนที่มีความสุขจะมีภาพลักษณ์ในใจว่าตัวเองมีความสุข ส่วนคนที่เป็นทุกข์จะมีภาพลักษณ์ในใจว่าตัวเองมีความทุกข์ เรียกได้ว่ามันคือภาพของตัวเองที่เป็นคนวาดเอาไว้ในใจ วาดภาพของตัวเองในใจให้ดูดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงดูดความสุข ความสำเร็จ และความมั่งคั่งเข้ามาได้มากเท่านั้น

ชีวิตต่างระดับเพราะจิตสำนึกที่แตกต่าง คนเป็นเศรษฐีมีบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป พวกเขามีความเชื่อว่าชีวิตสามารถมั่นคงขึ้นได้ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจและสังคมในขณะนั้นจะเป็นยังไง ก็ยังเชื่อว่าตัวเองสามารถร่ำรวยได้ จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งจะดึงดูดเงินเข้าหาพวกเขา ไม่ใช่เฉพาะเงินเท่านั้น สิ่งดี ๆ ทั้งหลายจะแห่แหนไปอยู่กับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโอกาส เส้นสาย หรือความสุขสบาย

คนจนหรือคนที่มีชีวิตอยู่อย่างปากกัดตีนถีบ จะพยายามลดค่าใช้จ่ายลงให้เหลือน้อยที่สุด งกไปเสียทุกเรื่อง เวลาที่ควรจ่ายเงินก็อิดออดไม่ยอมจ่าย แต่เวลาที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายกลับใช้เอา ๆ ชีวิตของคนกลุ่มนี้จึงอยู่ห่างไกลจากความมั่งคั่ง เพราะพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่า จิตใต้สำนึกแห่งความยากจน ถ้ามีจิตสำนึกแห่งความยากจนแล้ว ถึงจะพยายามมากแค่ไหนก็ดึงดูดได้แต่ความยากจนเข้าหาตัวเท่านั้น

วิธียกระดับจิตสำนึกแห่งความมั่งคั่ง ต้องใช้ชีวิตด้วยความคิดว่าตัวเองเป็นเศรษฐี แต่ช่วงที่ยังไม่รวยไม่ได้บอกให้ทำตัวเป็นเศรษฐีแล้วใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ให้คิดว่าในอนาคตต้องเป็นเศรษฐีได้แน่นอน นั่นหมายความว่าต้องมีเงินถึง 1,000 ล้านแน่ ๆ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะมีเงินก้อนนั้นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ลองคิดอย่างนี้ดูก็ได้ ตอนนี้มีทรัพย์สินอยู่แล้ว 1,000 ล้าน เลยนำมันไปฝากประจำ 20 ปีเต็ม เพราะได้ดอกเบี้ยสูงมาก แต่จะถอนเงินออกมาใช้ไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด เท่ากับว่าไม่สามารถใช้เงินก้อนนั้นได้ แต่มันยังคงเป็นทรัพย์สินของเราเองเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงเงื่อนไขเดียวในการถอนเงินก้อนนี้ก็คือ ต้องสั่งสมความรู้แล้วนำมันไปสร้างธุรกิจขึ้นมา ระหว่างรอคอยให้ครบกำหนด 20 ปี ก็ใช้ความสามารถที่มีแล้วสนุกกับมันให้เต็มที่ ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว จิตสำนึกแห่งความมั่งคั่งจะหยั่งรากลึกในจิตใต้สำนึกอย่างแน่นอน

เคล็ดลับที่ 14 กล้าตัดสินใจและลงมือทำ

การต้องมานั่งขบคิดเรื่องชีวิตอย่างจริงจังเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ เพราะต้องพิจารณาเรื่องสำคัญมาก ๆ บางคนเลยหลีกเลี่ยงด้วยการพยายามไม่คิดถึงมัน แล้วไม่ยอมตัดสินใจสักที ไม่รู้ตัวว่าการทำแบบนั้นเป็นการตัดสินใจ ที่จะใช้ชีวิตไปเป็นวัน ๆ โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ตราบใดที่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ทั้ง 3 เรื่อง ได้แก่สุขภาพ การเงิน และความสัมพันธ์ คนประเภทนี้จะไม่ยอมย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองแบบจริง ๆ จัง ๆ พวกเขาจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่ยอมเผชิญหน้ากับอะไรทั้งสิ้น และไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง

สร้างนิสัยการตัดสินใจที่ดี

  1. ตัดสินใจทุกเรื่องอย่างแน่วแน่ เวลาเจอสิ่งที่ต้องการให้ตัดสินใจคว้าไว้ทันที
  2. จัดลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตให้ชัดเจน
  3. เวลาที่ตัดสินใจไม่ได้ให้รอจนกว่าจะหาข้อสรุปกับตัวเองให้ได้
  4. เชื่อว่าการตัดสินใจไม่มีคำว่าล้มเหลว
  5. เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องเดินหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

การลงมือทำก็คือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่เคยทำผิดพลาด หรือไม่เคยล้มเหลว ก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย และไม่มีทางพัฒนาขึ้นมาได้

เคล็ดลับที่ 15 รู้จักวิธีรับมือกับความล้มเหลว

สิ่งที่วัดว่าใครจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การไม่เคยล้มเหลว แต่คือพลังใจที่จะลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งต่างหาก ความล้มเหลวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อล้มเลิกความตั้งใจ เมื่อไหร่ที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางประสบความสำเร็จนั่นแหละคือ ความล้มเหลว

จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันก็เป็นสิ่งสำคัญ คนที่มีนิสัยคิดบวกมักจะจินตนาการถึงอนาคตมากเกินไป ส่วนพวกที่มีนิสัยคิดลบก็มัวแต่สนใจเรื่องในอดีต และนึกเสียใจว่าตอนนั้นน่าจะตัดสินใจทำอีกอย่าง สิ่งที่รับประกันความล้มเหลวได้ 100% คือ การสิ้นหวังกับอนาคต และการไม่รู้จักนำประสบการณ์ในอดีตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การจะประสบความสำเร็จได้ต้องใช้พลังมหาศาล อย่าเอาพลังงานที่มีไปจมอยู่กับอดีตหรืออนาคต เพราะสิ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วที่สุดคือ การจดจ่ออยู่กับปัจจุบันต่างหาก

เคล็ดลับที่ 16 มีความฝัน

การมีความฝัน เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการประสบความสำเร็จและมีความสุข เพราะความฝันมีพลังกระตุ้นให้คนเราลงมือทำในเรื่องต่าง ๆ ในช่วงแรกจะฝันแต่เรื่องส่วนตัวก่อนก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปต้องช่วยทำความฝันของคนอื่นให้เป็นจริงด้วย

ชีวิตจะเปลี่ยนไปเมื่อไล่ตามความฝัน สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะมีความฝันเท่านั้นเอง น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มักหลงลืมความสำคัญของมันไป คนที่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่จะรู้ดีว่า ความฝันมีพลังมากแค่ไหน นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหรือผู้นำ ก็สร้างผลงานโดดเด่นทางการเมือง ก็ใช้พลังจากความฝันกันทั้งนั้น วอลต์ดิสนีย์เองก็เป็นคนมีความฝันอยู่ตลอดเวลาเหมือนเด็ก

คนที่ไล่ตามความฝันไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงธุรกิจเท่านั้น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ฝันเห็นโลกที่ผู้คนต่างเชื้อชาติอยู่รวมกันในฐานะเพื่อนบ้าน สารของพวกเขาส่งไปถึงจิตใจของผู้คนจำนวนมากได้ เพราะพวกเขามีความฝัน ความฝันของคน ๆ หนึ่งจึงสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้ทั่วโลก

โลกที่คนเรามั่งคั่งได้ในแบบของตัวเอง โลกในตอนนี้ถือว่าน่าอยู่มาก พอย้อนมองดูเรื่องราวในอดีตแล้ว โลกในตอนนี้กลับสวยงามอย่างคาดไม่ถึง ที่แน่ ๆ มันยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่สิบปีคงมีเทคโนโลยีที่เชื่อมผู้คนทั้งโลกเอาไว้ด้วยกัน ถึงตอนนั้นมนุษย์อาจเริ่มรู้สึกว่าคนอื่น ๆ แม้จะต่างชาติ ต่างภาษา แต่ก็ล้วนเป็นเพื่อนบ้านกันก็เป็นได้

เคล็ดลับที่ 17 ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ขึ้นอยู่กับว่ามองยังไง มีหลักการหนึ่งที่เชื่อว่า ยิ่งจดจ่อกับสิ่งใดมาก สิ่งนั้นก็ยิ่งถูกดึงดูดเข้ามาหาตัว เพราะว่ามักนึกถึงสิ่งที่ตัวเองไม่อยากเจอ จนเรื่องเหล่านั้นกลายเป็นจริงในที่สุด

ทุกสิ่งจะดีหรือร้ายล้วนขึ้นอยู่กับการตีความ หลายคนอยากโชคดี แต่คนส่วนมากที่อยากให้ชีวิตมีแต่เรื่องโชคดีกลับเจอแต่โชคร้าย เพราะพวกเขาเอาแต่คิดว่าอยากโชคดี แต่ไม่เคยคิดหาสาเหตุอย่างแท้จริง ที่ทำให้ชีวิตตัวเองดูแย่คืออะไร พวกเขาจึงดึงเอาโชคร้ายเข้าหาตัวอยู่ไม่ขาด ในทางกลับกัน คนที่โชคดีจะเชื่อว่าตัวเองโชคดี พวกเขาจึงไม่เคยคิดอยากโชคดี จุดต่างเล็ก ๆ นี่แหละที่ทำให้บางคนโชคดี แต่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรที่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายอย่างสมบูรณ์ ชีวิตจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าตีความสิ่งที่เกิดยังไง และสามารถนำประสบการณ์นั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้หรือเปล่า

7 อุปสรรคที่คนอยากประสบความสำเร็จต้องเผชิญ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว ชีวิตจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วกลับพบเจอกับความผิดพลาด หลายคนจึงมักไปต่อไม่ถูก จึงจำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อประสบความสำเร็จแล้วจะมีอะไรรออยู่บ้าง คนเก่ง ๆ ที่ประสบความสำเร็จหลายคนมีชีวิตที่ล้มเหลว ผิดหวัง หรือฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เปรียบได้แล้วก็เหมือนกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เมื่อมีแสงสว่างมากตกกระทบ ก็ต้องมีเงามืดเกิดขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จและมีความสุข คือคนที่สามารถรักษาสมดุลของแสงสว่างและความมืดนี้ได้

  1. ลืมตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มมีเงินหรือมีชื่อเสียง จะกลายเป็นที่จับตามองของคนรอบข้าง ตอนนั้นแหละที่จะเกิดปัญหาขึ้น กล่าวคือคนอื่นจะมองว่าเป็นคนแบบหนึ่ง ในขณะที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบคนอีกแบบ แรก ๆ อาจไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอประสบความสำเร็จมากเข้า จะเริ่มรู้สึกว่าตัวตนของตัวเองในสายตาคนอื่น เริ่มเข้ามาแทนที่ตัวตนจริง ๆ ทำให้ตัวตนจริง ๆ หายไปทีละนิด จนกระทั่งเริ่มไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
  2. 2. สูญเสียครอบครัว คู่ชีวิต และเพื่อนสนิท สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนั้นเปราะบางมาก แค่พริบตาเดียวก็สูญเสียไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา เหมือนกับดอกไม้ถ้าไม่บำรุงรักษาให้ดีก็จะเหี่ยวเฉา การรักษามิตรภาพและความรักให้แน่นแฟ้น จำเป็นต้องอาศัยการเอาใจใส่และความอดทนอยู่ตลอดเวลา อย่าคิดว่าเอาไว้ให้ประสบความสำเร็จก่อนแล้วค่อยไปดูแล
  3. หลุมอากาศที่ซ่อนตัวอยู่ในช่วงขาขึ้นของธุรกิจ หลุมอากาศที่ว่านี้คือความเปลี่ยนแปลงในทางลบที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ตัวอย่างเช่น ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมาตลอด แต่อยู่ ๆ ยอดขายกับตกฮวบ ตลาดเปลี่ยนแปลงปุบปับ หรือพนักงานแห่กันลาออก
  4. โรคภัยหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัว และคนใกล้ตัว
  5. ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และเสียงวิจารณ์จากคนรอบข้าง
  6. การไม่เชื่อใจผู้อื่น การแข่งขัน ความอิจฉา และความกังวลเรื่องอนาคต พอประสบความสำเร็จ จะเริ่มมีความรู้สึกมากมายประดังประเดเข้ามาทุกวัน จะเริ่มไม่เชื่อใจคนอื่น คิดถึงแต่เรื่องคู่แข่ง และรู้สึกว่าต้องขับเคี่ยวกับพนักงาน แถมยังไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกอิจฉาคนที่เก่งกว่าตัวเองเอาไว้ได้อีกด้วย ทางที่ดีควรหาใครสักคนมาเป็นที่ปรึกษา ถ้าจะแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจตัวเอง ถ้าสามารถยอมรับและรักตัวเองได้ แม้ว่าจะประสบความล้มเหลว ความกลัวว่าจะล้มเหลวก็จะหายไป
  7. ความกลัวที่จะประสบความสำเร็จ นักจิตวิทยากล่าวเอาไว้ว่า ความกลัวที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตไม่ใช่ความกลัวตาย แต่เป็นความกลัวที่จะประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่กลัวความล้มเหลว แต่ถ้าเทียบกับความกลัวที่จะประสบความสำเร็จแล้ว มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย ความล้มเหลวเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด แต่ถ้าพยายามกัดฟันทนก็จะผ่านมันไปได้ ในขณะที่การประสบความสำเร็จ เป็นการเอาตัวเข้าไปรับพลังงานจำนวนมหาศาล ยิ่งพอมีเรื่องความมั่งคั่ง ความรัก และมิตรภาพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว คนส่วนใหญ่จะทนแบกรับความสำเร็จไว้ไม่ไหว แต่การประสบความสำเร็จที่แท้จริง ต้องมาพร้อมกับการยอมรับความเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ด้านให้ได้ ความสำเร็จที่แท้จริงคือการพร้อมยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งมีน้อยนักที่ทำได้

บทส่งท้ายบททดสอบสุดท้าย

ตามหาเป้าหมายชีวิต

บททดสอบสุดท้าย ในการควบคุมอารมณ์และความคิด การใช้ชีวิตด้วยความสงบนิ่งไม่หวั่นไหวกับเรื่องใด ๆ นี่แหละเป็นการเตรียมใจที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไร จงเลือกที่จะสงบนิ่งเข้าไว้ เพราะมันคือวิธีรับมือกับความเป็นจริงที่ดีที่สุด

พลังยิ่งใหญ่ที่มีในตัวของคนเรา คนหนึ่งคนจะเชื่อมโยงไปถึงคนอื่นได้ แต่นั่นไม่ใช่การเชื่อมโยงกันแค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงการเชื่อมโยงกันในเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกด้วย เวลาที่คนคนหนึ่งเศร้าโศก สิ้นหวัง หรือมีความสุข มันจะส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นคนที่เชื่อมโยงกับเขาด้วย อารมณ์ความรู้สึกเชื่อมโยงทุกคนบนโลกใบนี้เหมือนน้ำทะเล ที่เชื่อมโยงทวีปต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ถ้าคนคนหนึ่งใช้ความรุนแรง คนรอบข้างก็จะได้รับผลกระทบจนเกิดบาดแผลทางจิตใจไปด้วย เวลาที่คนคนหนึ่งมีความสุขเหมือนกัน คนรอบข้างจะได้รับอิทธิพลทำให้พลอยมีความสุขไปด้วย

ออกเดินทางไปพบตัวตนใหม่ของตัวเอง ถึงวันที่ผู้เขียนต้องลาจากอเมริกา พอรับตั๋วเครื่องบินมาและตรงไปที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัย แล้วก็ขอร้องให้คุณเกลเลอร์อวยพรให้เป็นครั้งสุดท้าย คุณเกลลเลอร์ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า เธอจะต้องล้มเหลวแน่ ๆ เขาพูดราวกับรู้สึกสนุกที่ได้เห็นผู้เขียนทำหน้าเหวอ

ต้องพบเจอความล้มเหลวมากมายแน่นอน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า จะเรียนรู้จากความล้มเหลวเหล่านั้นได้มากน้อยแค่ไหน แล้วลุกขึ้นสู้ต่อไปได้หรือเปล่า ตราบใดที่ยังไม่ยอมแพ้ ก็จะไม่แพ้ในเกมชีวิต จำไว้แค่นี้ก็พอ ไม่ว่าจะล้มลงสักกี่ครั้ง ก็ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ นอกจากนี้ต้องรักษาบุคลิกที่กล้าหาญของตัวเองไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้อีกมากมาย และถ้าประสบความสำเร็จ ก็จงให้กำลังใจคนอื่น ๆ ต่อไปด้วย

ผู้เขียนไม่สามารถอดกลั้นสิ่งที่ข่มเอาไว้ได้อีกต่อไป เข้าสวมกอดคุณเกลเลอร์โดยไม่ได้สนใจจะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา คุณเกลลเลอร์เองก็ร้องไห้เหมือนกัน แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ คุณเกลเลอร์พูดเสียงเรียบ เอาละได้เวลาแล้ว ไปเถอะ ผู้เขียนเหลียวหลังกลับไปมองหลายหน พยายามจดจำภาพสองสามีภรรยาวัยชรา ที่โบกมือให้เอาไว้ในความทรงจำ.