THE LITTLE BOOK OF CLARITY

สรุปหนังสือ THE LITTLE BOOK OF CLARITY

คุณจะคิดได้ดีที่สุด…เมื่อคุณไม่คิดอะไรเลย

หากบ่อน้ำขุ่นขลักไปด้วยโคลนไม่สามารถทำอะไรให้น้ำใสได้ แต่เมื่อปล่อยให้โคลนตกตะกอน น้ำก็จะใสขึ้นเอง เพราะความกระจ่างเป็นสภาพตามธรรมชาติของน้ำ และมันก็เป็นสภาพตามธรรมชาติของความคิดเช่นกัน หากปล่อยให้โคลนในความคิดตกตะกอน ความคิดก็กระจ่างขึ้น และพวกเขาก็จะพบว่า ตัวเองมีสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานอยู่แล้วตรงหน้า ความกระจ่าง (Clarity) คือทรัพยากรที่มีอยู่ทั่วไปประเภทหนึ่ง เมื่อสมองปลอดโปร่งจะมีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับสถานการณ์ตรงหน้า ความกระจ่างมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จทั้งภายในและภายนอก

คุณสมบัติมากมายที่ผู้คนปรารถนากันมากที่สุด และพยายามสร้างขึ้น เช่น การรู้โดยสัญชาตญาณ ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ แรงจูงใจ ความมั่นใจ และแม้แต่ความเป็นผู้นำ แท้จริงแล้วเป็นความสามารถที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันจะปรากฏขึ้นเมื่อสมองปลอดโปร่ง ความกระจ่างเป็นคุณสมบัติที่ปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว สมองมีระบบทำความสะอาดตัวเอง ที่สามารถนำกลับไปสู่ความกระจ่าง ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม เมื่อเริ่มทำความเข้าใจหลักการ ที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่างให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็จะสามารถเชื่อมโยงกับระบบทำความสะอาดตัวเองของสมองได้อีกครั้ง

ส่วนที่ 1 พื้นฐานสำคัญ

  1. ความเข้าใจผิดคือกับดักที่ซ่อนอยู่ วงล้อหนูแฮมสเตอร์ที่ซ่อนอยู่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ขัดขวางความกระจ่างซึ่งพบได้บ่อยที่สุด คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจแบบผิด ๆ และมองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด มันแยบยลและแพร่หลายมากเสียจนปรากฏอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ความเข้าใจผิดอาจทำให้เกิดความทุกข์ ความทรมาน และแม้กระทั่งความตาย แต่ทันทีที่ผู้คนเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริง อย่างที่มันเป็นอยู่ได้ดีขึ้น คุณภาพชีวิตก็อาจพัฒนาครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าภาวะสำคัญต่าง ๆ เช่น ความมั่นคงปลอดภัย ความมั่นใจ ความสงบ ความรักความสุข และความสำเร็จ ล้วนเกิดขึ้นหรือถูกคุกคามจากสถานการณ์ หรือบางสิ่งที่มองเห็นได้ ถูกวางเงื่อนไขให้เชื่อว่า มีที่ที่ต้องไปให้ถึง รวมทั้งมีจุดนั้นที่ดีกว่าจุดนี้ และจุดนั้นก็มาในรูปแบบของสิ่งเย้ายวนใจมากมาย ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้

ฉันจะ…(ภาวะสำคัญ) เมื่อฉันมี…(เหตุการณ์) ตัวอย่าง ฉันจะมีความสุข เมื่อฉันเจองานที่ใช่

มันมีรากฐานมาจากโครงสร้างที่เรียบง่ายยิ่งกว่านั้นนั่นคือ

(สถานการณ์) ก่อให้เกิด (ภาวะสำคัญ) เมื่อเริ่มทำธุรกิจก่อให้เกิดความมั่นคง

การมองทะลุความเข้าใจผิดจะทำให้ได้ผลลัพธ์เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

  1. พลังของความเข้าใจอันถ่องแท้ ทุกคนเกิดมาเป็นทั้งผู้ฟังและผู้เรียนรู้ ด้วยความสามารถโดยธรรมชาติ จึงสามารถเดินและพูดได้อย่างทุกวันนี้ แต่จากนั้นกลับถูกสอนให้อ่านฟังและเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้ว ที่จะจดจำวิธีอ่านฟังและเรียนรู้ ในแบบที่ต่างไปจากเดิม ถ้าอยากเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเข้าใจด้วยสติปัญญากับความเข้าใจอันถ่องแท้ ให้ลองจินตนาการถึงสุนัขที่ไล่งับหางตัวเองตลอดเวลา จากนั้นจินตนาการว่าสุนัขตัวนั้นจ้างให้เป็นที่ปรึกษา เมื่อถามสุนัขว่าต้องการอะไร มันก็ตอบว่า สิ่งที่ฉันต้องการมีดังนี้
  • ฉันต้องการความเร็วที่มากขึ้น เพราะสิ่งที่ฉันกำลังไล่งับนั้นรวดเร็วมาก
  • ฉันต้องการความคล่องแคล่วที่มากขึ้น เพราะเจ้าสิ่งนี้ว่องไวมาก
  • ฉันต้องการกลยุทธ์ที่ดีขึ้น เพราะไม่ว่าฉันจะทำอะไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะล้ำหน้าฉันไปหนึ่งก้าวทุกที

เราต่างรู้ว่าสิ่งที่สุนัขต้องการอย่างแท้จริงก็คือ การตระหนักว่ามันกำลังไล่งับหางตัวเองอยู่ต่างหาก แต่ถ้าบอกไปอย่างนั้นมันก็อาจตอบสนองกลับมา 2 แบบ ถ้ามันเข้าใจสิ่งที่บอกอย่างถ่องแท้และรู้เรื่องจริง ๆ ก็จะเห็นมันผ่อนคลายลงถอนหายใจหรืออาจหัวเราะเบา ๆ ด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน ถ้าสุนัขเข้าใจด้วยสติปัญญาของมัน มันไม่ได้เข้าใจจริง ๆ

ความเข้าใจอันถ่องแท้มาปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน แต่อาจคอยช่วยเหลือและให้ข้อมูลไปอีกนาน มันเป็นการทำงานโดยธรรมชาติของสมอง และมีพลังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิต ความเข้าใจอันถ่องแท้คือกุญแจสำคัญ ที่จะเชื่อมโยงเข้ากับความสามารถ ในการทำความสะอาดตัวเองของสมอง

  1. การรับรู้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรในประสบการณ์จริง ขณะตื่นสมองสร้างและรับรู้โลกไปพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง และมันทำหน้าที่ได้ดีมาก จนไม่รู้สึกเลยว่ามันกำลังทำเช่นนั้นอยู่ ความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความนี้อาจทำให้ตกตะลึง เพราะมันหมายความว่าประสบการณ์ 100% ในโลกภายนอก แท้จริงแล้วเกิดขึ้นภายใน ด้วยการรวบรวมข้อมูลที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสในระดับที่ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่น ใครสักคนอาจหลับและฝันว่า กำลังยืนเกาะขอบเวทีอยู่ในคอนเสิร์ตวงดนตรีร็อค ก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าเสียงดนตรีในฝันนั้น ดังมาจากวิทยุข้างเตียง

ในทางกลับกัน อีกคนอาจนั่งอยู่ในห้องประชุมธุรกิจ แต่กลับฝันกลางวันถึงการไปเที่ยวในวันหยุดครั้งหน้า ไม่ว่าข้อมูลจะมาจากประสาทสัมผัส ความทรงจำ หรือจินตนาการ กระบวนการสร้างประสบการณ์ที่รับรู้ก็ไม่ต่างกัน แท้จริงแล้วประสบการณ์จริง สร้างขึ้นจากสิ่งเดียวกับที่ใช้สร้างความฝัน พลังงานหลั่งไหลเข้าสู่ประสาทสัมผัสทั้งหมดพร้อม ๆ กันในรูปของวัตถุ แน่นอนว่าพลังของความคิดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประสบการณ์ด้านการมองเห็นเท่านั้น แต่ประสบการณ์ด้านเสียง กลิ่น รสชาติ และสัมผัสนั้น ก็ถูกสร้างขึ้นจากความคิดเช่นกัน รวมถึงความรู้สึกและอารมณ์ด้วย

พูดได้ว่าความคิดคือหลักการของความเป็นจริง คนเราเกิดมาในโลกของความคิดเหมือน ๆ กับที่เกิดมาในโลกของแรงโน้มถ่วง ประสบการณ์ที่รับรู้สร้างขึ้นจากสมอง 100% ตามหลักการของความเป็นจริงที่เรียกว่า ความคิด ความเป็นจริงที่รับรู้ซึ่งสร้างขึ้นโดยความคิด ดูสมจริงเสมอนั่นคือหน้าที่ของมัน อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของความกระจ่าง เกิดจากมายากลทางความคิดประเภทหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับมายากลอีกมากมาย ที่ยังคงเป็นความลับมาจนถึงทุกวันนี้

  1. พลังของหลักการ ในประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยภาพลวงตา และสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความจริงแต่ไม่ใช่ความจริง อย่างเช่น โลกแบนและโลกกลม หรือแนวคิดที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และแนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หลักการคือแหล่งกำเนิดของพลังที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลัง พลังก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น

หลักการของการบิน ผู้คนพยายามทำความเข้าใจ เกี่ยวกับความลับของการบินกันมานานหลายพันปี แม้จะเห็นนกและแมลงบิน พวกเขากลับไม่เข้าใจหลักการของมัน จนกระทั่งสองพี่น้องตระกูลไรท์ค้นพบหลักการนี้ แค่การตระหนักถึงหลักการต่าง ๆ ในระดับเบื้องต้น ก็มีผลกระทบต่อพฤติกรรมแล้ว ความกระจ่าง ความยืดหยุ่น และความสงบทางใจ คือ ค่าเริ่มต้นที่ถูกกำหนดไว้สำหรับมนุษย์ มันคือธรรมชาติที่แท้จริง และเป็นสภาพตามธรรมชาติ เวลาที่สมองปลอดโปร่ง และเป็นอิสระจากความคิดที่ปนเปื้อน เมื่อเข้าใจหลักการเหล่านี้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ จะกลับสู่ค่าเริ่มต้นได้บ่อยขึ้น ค่าเริ่มต้นเหล่านี้คือแรงขับเคลื่อนเบื้องลึก ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้คนและธุรกิจ

แม้จะรู้หลักการเหล่านี้ แต่บางครั้งก็หลงลืมข้อเท็จจริงที่ว่า หลักการต่าง ๆ เป็นสิ่งที่สร้างประสบการณ์ชีวิต การจมอยู่กับความคิดของตัวเอง และหลงเข้าไปในภาพลวงตาที่หลอกให้เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายใน โชคดีที่ทุกคนมีระบบอันปราดเปรื่อง ที่คอยเตือนเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และพากลับสู่ความกระจ่างอีกครั้ง

  1. ระบบภูมิคุ้มกันทางความคิด เป็นที่รู้กันดีว่ามนุษย์มีความสามารถอันย่ำแย่ ในการคาดการณ์ว่าจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเหตุการณ์ที่จินตนาการไว้เกิดขึ้นจริง นั่นเพราะว่ากำลังรู้สึกถึงความคิดที่ก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้น ไม่ใช่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ความคิดก็ยังคงเป็นสื่อกลางที่ทำให้มันเกิดขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทางความคิดจะเกิดขึ้น ในทำนองเดียวกับที่จะได้รับสัญญาณความเจ็บปวด เมื่อสภาพร่างกายกำลังถูกคุกคาม เมื่อในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่ปนเปื้อน ก็จะได้รับสัญญาณที่ปลุกให้ตื่นด้วยเช่นกัน

ระบบตามธรรมชาติที่ช่วยพาออกจากความคิดที่ปนเปื้อน ทุกคนเกิดมาพร้อมระบบภูมิคุ้มกันทางความคิด ที่ทำงานได้อย่างเต็มที่ ทุกคนล้วนเคยออกนอกเส้นทาง ไปสู่ความคิดที่ปนเปื้อน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ แต่เมื่อเริ่มมองทะลุความเข้าใจผิดที่ว่า สิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายใน บางสิ่งก็จะเปลี่ยนไป เมื่อเริ่มออกนอกเส้นทางจะตระหนักได้ว่า ความรู้สึกมาจากความคิดที่ก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้น นี่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการแก้ไขตัวเอง ของระบบภูมิคุ้มกันทางความคิด ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพราะกระบวนการแก้ไขตัวเองเป็นการทำงานโดยอัตโนมัติของสมอง และก็มีระบบนี้กันทุกคน

ถ้าทุกคนมีระบบที่ทรงพลังและล้ำเลิศเช่นนี้อยู่กับตัว ทำไมผู้คนมากมายถึงเสียเวลามหาศาลไปกับการขับรถทับเส้นชะลอความเร็ว ถ้าทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการค้นพบความกระจ่าง และสติปัญญาของตนเอง ทำไมความเครียด ความกดดัน และความขัดแย้ง จึงปรากฏอยู่ทุกที่ ทำไมปัญหาอาชญากรรม การหย่าร้าง การเสพติด และสงคราม จึงยังปรากฏขึ้นทุกย่อมหญ้า

ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญต่าง ๆ ในโลกเกิดจากความแตกต่างระหว่างวิถีทางธรรมชาติกับวิธีคิดของผู้คน ถ้าดูกันตามความหมายนี้แล้ว มันต้องสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจ ความสัมพันธ์ และการต่อสู้ดิ้นรนในเรื่องต่าง ๆ ได้ แล้วมันง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ

  1. รูปแบบความคิดที่คุ้นชิน ความสับสนที่พบได้ทั่วไปเกี่ยวกับความคิดนั่นคือ คนเรามักคิด พูด และทำ ราวกับว่าความคิดมีคุณสมบัติเดียวกับโลกทางวัตถุ จดหมายเลขโทรศัพท์ จดบันทึก และจดสิ่งที่ต้องทำเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าความคิดจะคงอยู่แค่เพียงชั่วครู่ อย่างไรก็ตาม กลับละเลยข้อเท็จจริงนี้ในแง่มุมอื่น ๆ ของชีวิต ความหมายแฝงแบบผิด ๆ ความคิดที่ยุ่งเหยิงก็เหมือนห้องทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ หรือส่วนที่ไม่ได้รับการดูแล

ความเป็นจริง ความคิดคือ พลังงานที่สร้างสรรค์ และรูปแบบความคิดที่สร้างขึ้นเป็นสิ่งที่จะต้องไม่ได้ ความคิดที่ปนเปื้อนที่คุ้นชิน ก็เหมือนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ บนผิวนั้น มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขวางกลั้นจากความกระจ่าง และประสบการณ์ชีวิตที่มีค่า ทว่าภายใต้พื้นผิวที่ดูเหมือนจะเป็นของแข็งนั้น แม่น้ำยังคงไหลต่อไป เช่นเดียวกับน้ำแข็งที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำที่ไหนไป ความคิดที่ปนเปื้อนที่คุ้นชิน ก็สร้างขึ้นจากความคิดอันเป็นพลังงานไร้รูปร่าง ที่อยู่เบื้องหลังประสบการณ์ชีวิต

ลึกลงไปภายใต้ความคิดที่ปนเปื้อนทั้งหมด แม่น้ำแห่งความคิดอันไร้ที่สิ้นสุดก็ยังคงไหลต่อไป โดยพัดพาแหล่งกำเนิดอันทรงพลังของความกระจ่าง ความยืดหยุ่น และความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่เกิดขึ้นสู่พื้นผิวแห่งความตระหนักรู้ จึงมีความคิดที่สดใหม่ไว้ใช้แก้ปัญหาและสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ

  1. ความเครียด : ที่มาและทางออก ต้นต่อแท้จริงของความเครียดก็คือความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ากำลังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ซึ่งก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้นว่า กำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของบางสิ่ง ที่ไม่ใช่ความคิดในทุกชั่วขณะ หรือก็คือโลกภายนอกในที่ว่าง หรือเวลาที่มีพลังความรู้สึก ความคิดคือพลังงานไร้รูปร่าง ที่สร้างรูปแบบประสบการณ์ในแต่ละชั่วขณะขึ้นมา ความคิดสามารถสร้างการรับรู้ได้ทุกรูปแบบ ความคิดสร้างความเป็นจริงที่พบเจอขึ้นโดยทันที

การเบี่ยงเบนความสนใจคือลำดับความคิดที่มีจุดเริ่มต้นบนสมมุติฐานที่ผิด เมื่อเชื่อว่าประสบการณ์ที่รู้สึกเกิดขึ้นจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ความคิด ซึ่งก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้นเท่ากับว่ายอมรับสมมติฐานที่ผิดและเชื่อไปตามนั้น นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มองความคิดและความรู้สึกแยกออกจากกัน ความคิดและความรู้สึกคือด้านที่ตรงกันข้ามของเหรียญ ซึ่งหมายความว่า คนเราไม่เคยเครียดด้วยเรื่องที่เชื่อว่าทำให้เครียด แต่แค่เครียดเพราะเชื่อว่าตัวเองกำลังรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ซึ่งก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้น

เนื่องจากสติปัญญาเป็นระบบจัดการแบบมีรูปแบบ และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ไร้รูปแบบได้ จึงต้องใช้คำอุปมาเพื่อบ่งชี้ถึงมัน คำว่าความคิด จิตสำนึก และสมอง เป็นคำอุปมาในตัวของมันเอง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงพลังงานอันไร้รูปแบบที่สร้างประสบการณ์ชีวิตขึ้นมา เมื่อหลงทางอยู่ในห้วงความคิดที่ปนเปื้อน มักจมอยู่กับรูปแบบต่าง ๆ ของชีวิต แต่เมื่อความกระจ่างปรากฏขึ้น รูปแบบเหล่านั้นก็ดูไม่สำคัญอีกต่อไป

ทางออกของความเครียดคือ ความเข้าใจอันถ่องแท้ว่า ธรรมชาติของชีวิตเกิดจากภายในสู่ภายนอก ทันทีที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ ความรู้สึกเครียดจะเริ่มลดลง และความกระจ่างก็จะเริ่มปรากฏขึ้น ความเข้าใจอันถ่องแท้จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ ในโลกที่อาการป่วยทางจิตตามกระบวนทัศน์ทางจิตวิทยา มีแต่จะขึ้นสูงขึ้นทุก ๆ ปี

  1. จุดพลิกผันสูงสุด ทุกคนล้วนถูกคาบลวงตาเดิม ๆ สะกดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต่างก็กำลังรับรู้ความเป็นจริงที่ความคิดสร้างขึ้น ผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ 4 ระดับดังนี้

ระดับที่ 1 ความเป็นจริงทางวัตถุ โลกทางวัตถุถูกผูกเข้ากับกฎบางอย่าง เช่น กฎแรงโน้มถ่วง หากใครทำอิฐตกใส่เท้าตัวเองก็อาจจะบาดเจ็บได้ หากใครออกกำลังกายเป็นประจำ กล้ามเนื้อของเขาก็จะแข็งแรงขึ้น

ระดับที่ 2 เนื้อหาของความคิด เนื้อหาความทรงจำของคนคนหนึ่ง ก่อให้เกิดประสบการณ์ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้เป็นเหมือนการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในภาพยนต์

ระดับที่ 3 โครงสร้างทางความคิด ผู้คิดค้นโปรแกรมการปลูกฝังกระบวนการคิดด้วยภาษาสมอง (NLP) ได้ข้อสรุปว่า โครงสร้างทางความคิดของคนคนหนึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการหล่อหลอมประสบการณ์ของคนคนหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างนี้เป็นเหมือนการเล่นกับการเลือกซ็อต มุมกล้อง และเสียงในภาพยนต์

ระดับที่ 4 ธรรมชาติของความคิด ความคิดสร้างภาพ ความรู้สึกที่หลากหลายของความเป็นจริงขึ้นมา หลักการของสมอง ความคิด และจิตสำนึก สร้างประสบการณ์ที่มีต่อโลกขึ้น จากภายในสู่ภายนอก การเข้าใจว้าอะไรอยู่หลังฉากของประสบการณ์อย่างถ่องแท้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง

จนกว่าคนคนหนึ่งจะเข้าใจธรรมชาติของความคิด การแทรกแซงในระดับเนื้อหาหรือโครงสร้างก็ยังดูสมเหตุสมผล แต่ทันทีที่เข้าใจธรรมชาติของความคิด การแทรกแซงในระดับเนื้อหาหรือโครงสร้างก็จะเริ่มไม่น่าดึงดูดใจอีกต่อไป ทันทีที่คนคนนั้นเริ่มเข้าใจธรรมชาติของความคิดอย่างถ่องแท้ เขาก็จะได้สัมผัสกับอิสรภาพซึ่งเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงที่ความคิดสร้างขึ้น นี่แสดงให้เห็นกระบวนทัศน์ใหม่ ในการทำความเข้าใจความคิด

ส่วนที่ 2 แรงขับเคลื่อนเบื้องต้น

  1. ความกระจ่างและความสงบทางใจที่มีมาตั้งแต่เกิด ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีที่ชีวิตดำเนินไป มีอิทธิพลต่อประสบการณ์ชีวิต และผลลัพธ์ที่ได้รับมากมายกว่าปัจจัยอื่น ๆ เนื่องจากทุกคนประพฤติตัวสอดคล้องกับสิ่งที่มองว่าสมเหตุสมผล ความกระจ่างและความสงบทางใจก็เหมือนค่าเริ่มต้นที่ถูกตั้งค่ามาจากโรงงาน แม้มันจะเป็นไปตามบริบท แต่ก็เป็นสิ่งพื้นฐานที่เกิดขึ้น เมื่อไม่มีอุปสรรคใดมาขวางกั้น จิตใจพยายามจะกลับสู่ความกระจ่างอยู่เสมอ

ความกระจ่างและความยืดหยุ่นที่มีมาตั้งแต่เกิดจะคอยส่องแสงนำทาง แม้แต่ในเวลาที่ดูจะหลงทางโดยไร้ซึ่งความหวังใด ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องฝึกฝนหรือพยายามทำ มันคือการแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง ความชาญฉลาดอันสร้างสรรค์และไร้ที่สิ้นสุดของสมอง ปรากฏขึ้นในทุกแง่มุมของประสบการณ์ที่พบเจอ และค่อย ๆ ชี้นำไปสู่ความกระจ่างและความเป็นอยู่ที่ดี สมองเป็นระบบแก้ไขตัวเอง ค่าเริ่มต้นของมันคือความกระจ่าง ความยืดหยุน และความเป็นอยู่ที่ดี ประโยชน์ของการปล่อยให้สมองหาทางกลับไปสู่ความกระจ่างเองนั้น มีมากกว่าประโยชน์ของการแทรกแซงจากภายนอกอย่างมหาศาล เพราะการแทรกแซงจากภายนอกจะขัดขวางไม่ให้ระบบแก้ไขตัวเองทำหน้าที่ของมัน

ความสามารถในการสร้างความกระจ่างเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวทุกคน และทำงานอย่างหนักเพื่อนำทางไปสู่ทิศทางชีวิตที่สร้างแรงบันดาลใจสูงสุด มีคุณค่า และประสบผลสำเร็จในเรื่องที่มีความหมาย

เมื่อใดที่เบนความสนใจออกจากความคุ้ยเคยที่มีต่อความคิดที่ปนเปื้อน จะมีที่ว่างให้กับความกระจ่างและความคิดอันสดใหม่ที่ทรงพลัง ถึงตอนนั้นจะพบว่าตัวเองกำลังมองไปในทิศทางที่เปี่ยมด้วยพลังในการริเริ่ม การสนับสนุน และทรัพยากรที่ต้องการ

  1. การคิดสร้างสรรค์ และการริเริ่มที่แหวกแนว เมื่อผู้คนมองหาทางออก พวกเขามักมองหาจากสิ่งที่รู้อยู่แล้ว แต่บ่อยครั้งคำตอบที่ต้องการไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถ้าต้องการไอเดียที่สดใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ วิธีแก้ปัญหา และการเปลี่ยนแปลง การมองหาจากสิ่งที่ไม่รู้จะช่วยให้คำตอบได้

ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่รู้และสิ่งที่ไม่รู้ สิ่งที่รู้คือฐานข้อมูลของความคิดที่คิดไว้ก่อนแล้ว รวมไปถึงวิธีคิดอันคุ้นชินเกี่ยวกับตัวเอง ชีวิต และโลก ส่วนสิ่งที่ไม่รู้คือแหล่งกำเนิดความคิดที่สดใหม่ทั้งหมด หรือพลังที่ไม้รูปแบบของความคิด เมื่อมีความกระจ่าง สมองจะเป็นอิสระจากความคิดที่ปนเปื้อน และจะสร้างพื้นที่ไว้ให้ความคิดใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามา การดูสิ่งที่รู้ในฐานข้อมูลเพื่อหาเส้นทางไปสู่อนาคต ก็ไม่ต่างอะไรจากการดูกระจกมองหลังเพื่อหาหนทางไปข้างหน้า

ปัญหาเกิดจากความแตกต่างระหว่างวิถีทางธรรมชาติกับวิธีคิดของผู้คน หากพยายามหาทางที่ต้องไปโดยใช้แผนที่ที่ล้าสมัยไปแล้ว ก็จะเจอกับปัญหา เพราะความคิดไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกับวิธีที่โลกดำเนินไป สำหรับพฤติกรรมแปลกประหลาดนี้ก็คือ พวกเขาหลงทางอยู่ในห้วงความคิดที่ปนเปื้อน และถูกความเข้าใจผิดที่ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายในสะกดไว้ จนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ความเข้าใจอันถ่องแท้ช่วยปิดช่องโหว่ระหว่างวิธีที่ชีวิตดำเนินไปกับวิธีที่คิดว่ามันดำเนินไป

ตลอดช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ แนวคิดใหม่ที่แหวกแนวที่สุดทั้งหลายนั้นมาจากสิ่งที่ไม่รู้ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของความเข้าใจอันถ่องแท้และชั่วขณะปิ๊งไอเดีย ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ไม่ว่าจะเรียกมันว่าความเข้าใจอันถ่องแท้ ความตระหนักรู้หรือชั่วขณะปิ๊งไอเดีย สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่รู้ก็มักมาพร้อมกับความรู้สึกสงบและความกระจ่าง รวมถึงความถูกต้องและการรู้ที่สดใหม่

  1. ความจริงแท้ตัวตนที่แท้จริง คือสิ่งที่กำลังสร้างประสบการณ์ขึ้น หรือก็คือพลังงานอันชาญฉลาดและไร้รูปแบบ ซึ่งอยู่เบื้องหลังชีวิตมันคือหลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่าง อันได้แก่ความคิด จิตสำนึก และสมอง มันอาจดูแปลกเมื่อคิดว่าตัวตนที่แท้จริงคือพลังงาน วิทยาศาสตร์บอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสร้างขึ้นจากพลังงาน และอะตอมที่สร้างร่างกายขึ้นนั้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ว่าง

ตัวตนที่แท้จริงหรือแก่นสารคือพลังงานไร้รูปแบบที่อยู่เบื้องหลังชีวิต ซึ่งก็คือหลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่าง นอกจากนี้หลักการของความคิด จิตสำนึก และสมอง ยังเป็นแหล่งกำเนิดของความมั่นคงปลอดภัย ความเป็นอยู่ที่ดี ความสงบ ความเบิกบาน และความสุขอีกด้วย การที่ถูกความคิดหลอกนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่สามารถตื่นขึ้นมาพบกับความเข้าใจอันกระจ่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้ในทุกขณะ ไม่ว่าจะหลับลึกแค่ไหนก็อยู่ห่างจากชั่วขณะปัจจุบันแค่เอื้อม ไม่ว่าจะติดอยู่ในความฝันของความขาดแคลน ความกังวล หรือความไม่มั่นคงมากแค่ไหน ตัวตนที่แท้จริงก็จะยังคงเป็นเช่นเดิมเสมอ

ความสงบ อิสรภาพ สติปัญญา ความกระจ่าง และความรัก เป็นสิ่งที่แสวงหามาโดยตลอด ความยืดหยุน ความคิดสร้างสรรค์ ความมั่นคงปลอดภัย ความมั่นใจ และความเบิกบาน เป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งที่ปรารถนา ซึ่งก็คือพลังงานที่อยู่เบื้องหลังชีวิตนั่นเอง เช่นเดียวกับที่คลื่นไม่อาจแยกจากมหาสมุทร ตัวตนที่แท้จริงก็ไม่อาจแยกจากพลังงานแห่งจักรวาลเช่นกัน

  1. การรู้โดยสัญชาตญาณ ให้สติปัญญานำทาง ปัจจุบันนี้มีระบบนำทางด้วยดาวเทียม GPS และเทคโนโลยีอีกมากมาย แต่ก็ยังคงพึ่งพาประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ทำผิดพลาดเมื่อพยายามใช้ระบบนำทางแบบเดียวกันนี้มานำทางชีวิต ใช้คำอุปมาของโลกทางวัตถุกับงานที่ทำจากนั้น ก็ตอบสนองราวกับว่ามันคือความเป็นจริงที่มองเห็นและจับต้องได้ ชีวิตคือการเดินทาง การต่อสู้ดิ้นรน หรือการผจญภัย แล้วก็เริ่มทำตัวราวกับว่านั่นคือเรื่องจริง

โชคดีที่มีระบบนำทางติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือเรียกอีกอย่างว่าสติปัญญา ระบบนำทางนี้เป็นไปตามบริบทปรับปรุงข้อมูลล่าสุดอยู่เสมอ และมาจากสิ่งที่มีมาก่อนความคิดที่คุ้นชินนั่นคือพลังงานอันชาญฉลาดที่อยู่เบื้องหลังชีวิต สติปัญญาที่มาพร้อมกับความกระจ่าง มักอยู่คู่กับความรู้สึกดี ๆ ซึ่งก็คือความรู้สึกสงบ เพราะรู้ว่ามันแตกต่างจากความถูกต้องอันแรงกล้าของความคิดที่คุ้นชินอย่างมาก

จำไว้ว่าสติปัญญาคือการมองหาผลประโยชน์ที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องชอบ เมื่อทำตามสติปัญญาแต่บ่อยครั้งพวกเขามักจะมองเห็นสติปัญญา ที่อยู่ในการกระทำนั้นได้ สติปัญญามักดูแจ่มชัดเมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนมักพูดทำนองว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เห็นก่อนหน้านี้ เมื่อปล่อยให้สติปัญญานำทาง ได้สร้างพื้นที่ให้กับรูปแบบชีวิตอันลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เริ่มใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจ หลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่างอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สถานการณ์ในชีวิตก็จะเริ่มสอดคล้องกับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นั่นหมายความว่า สถานการณ์ในชีวิตหลังจากนี้จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ทุกคนมีความยากลำบากที่ต้องฝ่าฟัน และความสูญเสียที่ต้องรับมือให้ได้ นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นชีวิตที่ดีในวันนี้ จะยังน่าหลงใหลอยู่อีกหรือไม่ เมื่อดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความเข้าใจอันกระจ่างที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

  1. เป้าหมายที่เป็นพิษและความปรารถนาที่แท้จริง เป้าหมายคือเครื่องมือที่มีประโยชน์ เมื่อใช้มันในการจดจ่อความสนใจ รวบรวมทรัพยากรและประเมินความก้าวหน้า แต่มันก็เหมือนกับเครื่องมืออื่น ๆ ที่หากใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจสร้างความเสียหายได้ เป้าหมายที่เป็นพิษมักมีรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

ฉันต้องการ (เป้าหมาย) ฉันจะได้ (มีความสุข / สงบ / มั่นคง / ประสบความสำเร็จ)

ฉันต้องการ (เป้าหมาย) ฉันจะได้เลิกรู้สึก (ไม่มีความสุข / ไม่มั่นคง / ไม่สบายใจ)

ฉันต้องการ (เป้าหมาย) เพราะ (ฉันคิดว่าฉันควรต้องการมัน / ฉันไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ / ฉันไม่กล้าเดินหน้าต่อเพื่อสิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ)

เป้าหมายเหล่านี้ล้วนมีรากฐานมาจากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าความรู้สึกเกิดจากสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ผู้คนมักตอบสนองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้ โดยการต่อสู้ดิ้นรน เพียรพยายาม แต่ก็ทำเป้าหมายที่เป็นพิษไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ยอมแพ้เพราะรู้สึกหงุดหงิด สิ้นหวัง หรือไม่ก็บรรลุเป้าหมายที่เป็นพิษ และรู้สึกปลื้มปิติในช่วงแรก จากนั้นจึงรู้สึกถึงความว่างเปล่าและสิ่งที่ขาดหายไป

ความแตกต่างระหว่างเป้าหมายที่เป็นพิษ และความปรารถนาที่แท้จริง เป้าหมายที่เป็นพิษเป้าหมายที่ลดทอนคุณภาพชีวิต ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตั้งเป้าหมายนั้นขึ้นมา มันส่งเสริมความเข้าใจผิดที่ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายใน และสนับสนุนให้แลกประสบการณ์อันมีค่าที่เกิดขึ้นในขณะนั้นกับความคิดที่ปนเปื้อน นั่นคือแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตในอุดมคติ ส่วนความปรารถนาที่แท้จริงคือ การแสดงถึงความกระจ่าง สติปัญญา และความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำตามความสงสัยใคร่รู้และความหลงใหล ความปรารถนาที่แท้จริงจึงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกกังวลหรือความขาดแคลน ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องต่อสู้ดิ้นรน ในเมื่อมันเป็นความปรารถนาที่แท้จริง จึงรู้ว่าจะยังสบายดีไม่ว่าจะทำมันสำเร็จหรือไม่ก็ตาม

ความยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งของความปรารถนาที่แท้จริงก็คือ มันไม่จำเป็นต้องเป็นไปได้จริง เมื่อตระหนักว่าความกระจ่าง ความมั่นคงปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งเป้าหมายหรือการบรรลุเป้าหมาย ก็จะสามารถผ่อนคลายและปล่อยให้สติปัญญานำทาง เมื่อเริ่มตระหนักว่า ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดก่อนถึงจะรู้สึกสบายดี ก็จะตระหนักด้วยว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนค้นหาความปรารถนาที่แท้จริง เพราะเมื่อถึงเวลามันจะปรากฏขึ้นมาเอง ระหว่างนั้นขอให้อยู่ในเกมต่อไป ความสำเร็จ 80 เปอร์เซ็นต์กำลังปรากฏขึ้น และความปรารถนาที่แท้จริงก็มักจะเจอในเวลา และสถานที่ที่คาดหวังไว้น้อยที่สุด

  1. พลังแห่งชั่วขณะปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันมักถูกอธิบายว่า เป็นการจดจ่อกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชั่วขณะปัจจุบัน แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ปัจจุบันคืออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น ก่อนที่ความคิดอันคุ้นชินจะปรากฏขึ้น ความคิดที่คุ้นชินออกจากชั่วขณะปัจจุบันได้ด้วยการสร้างสิ่งที่เกิดจากความคิด ซึ่งพาไปสู่อนาคตหรืออดีต สิ่งที่เกิดจากความคิดเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป

ปัจจุบันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่ อนาคตและอดีตล้วนเป็นภาพลวงตา เมื่อเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่างได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็จะอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น และมีทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมี เพื่อตอบสนองกับชั่วขณะนั้นได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ เมื่อหลุดออกจากความคิดที่ปนเปื้อนที่คุ้นชิน ก็จะทำตัวสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น

เมื่ออยู่กับปัจจุบัน ก็จะตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมทั้งมีความกระจ่างที่เกิดจากการเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความเข้าใจผิดท่าว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายในคือจอมขโมยเวลาตัวฉกาจ ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดที่ปนเปื้อน ก็คงจะค้นพบว่าในแต่ละวันคือการจับคู่กันอย่างลงตัว ระหว่างเวลากับงาน เมื่ออยู่กับปัจจุบันด้วยสมองที่ปลอดโปร่ง ย่อมมีสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานที่อยู่ตรงหน้า รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าเมื่อไหร่ต้องอยู่เฉย และเมื่อไหร่ต้องทำต่อ เมื่อไหร่ต้องหยุดพักและเมื่อไหร่ต้องเดินหน้า

เมื่อหลุดออกจากความคิดที่คุ้นชิน และกลับเข้าสู่ชั่วขณะปัจจุบัน ก็เท่ากับว่าได้ก้าวออกจากความเข้าใจผิดที่ว่า วิธีที่ชีวิตดำเนินไปเกิดขึ้นจากภายนอกสู่ภายใน แนวคิดที่ว่าความเป็นอยู่ที่ดี ถูกควบคุมโดยประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น มักลดน้อยลงและปรากฏเป็นความกระจ่าง มันอาจดูแปลก แต่จะค้นพบว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีในชั่วขณะนั้น

  1. ความยืดหยุ่น ทุกคนคงเคยฝันเรื่องที่ดูสมจริงมาก จนคิดว่ามันเกิดขึ้นจริง แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกขอบคุณและโล่งอก เมื่อฝันร้ายที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวนยอมหลีกทางให้กับความเป็นจริงในปัจจุบัน ความเป็นจริงในฝันดูสมจริงมากจนเข้าใจผิดว่า มันคือความเป็นจริงที่มองเห็นและจับต้องได้ แต่แท้จริงแล้วกำลังนอนอยู่บนเตียง หลับสนิท และปลอดภัย

คุณสมบัติหนึ่งของความกระจ่างและความสงบทางใจก็คือ การลอยตัว (buoyancy) โดยธรรมชาติเหมือนกับลูกบอลที่ถูกกดไว้ใต้น้ำ ทันทีที่ปล่อยมือมันก็จะลอยตัวขึ้นมา ความกระจ่างและความยืดหยุ่นก็เป็นผลที่เกิดจากหลักการของสมอง ความคิด และจิตสำนึก เมื่อหลงทางอยู่ในห้วงความคิดที่ปนเปื้อน บางครั้งจะรู้สึกกังวล กระวนกระวาย หรือร้อนรน และเพราะกลอุบายของสมอง จึงมักกล่าวโทษว่าความรู้สึกแย่ ๆ ดังกล่าวเกิดขึ้นจากบางสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ซึ่งก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้น

แต่เมื่อความกระจ่างปรากฏขึ้น จะตื่นขึ้นสู่ประสบการณ์ชีวิตที่ลึกซึ้ง และเชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นสิ่งที่เคยมองว่าเป็นปัญหา เพราะดูแตกต่างไปจากเดิมมันหายไปโดยพลัน เริ่มมองเห็นทางออกที่ชัดเจน รู้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะไม่เป็นอะไร และสามารถไว้วางใจให้สติปัญญานำทางได้

แน่นอนว่าในแก่นแท้ของจิตสำนึก ทุกคนล้วนมีความเข้าใจที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ในเรื่องที่ว่าธรรมชาติของชีวิตเกิดจากภายในสู่ภายนอก นั่นคือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นเราในระดับพื้นฐานที่สุด ดังนั้น ในขณะที่ยังคงมองต่อไปในทิศทางนี้ และยอมให้ความเข้าใจอันถ่องแท้เข้ามาแทนที่ความเข้าใจผิดที่ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายใน เมื่อความเข้าใจอันกระจ่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะพบว่าตัวเองมีความคิดที่กระจ่างมากขึ้นเท่านั้น

  1. ความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ การมองทุกสิ่งแยกออกจากกัน และแยกออกจากโลกของสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้จะดูแปลกแต่การแยกออกจากกันเป็นเพียงภาพดวงตา ความเป็นจริงที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างสร้างขึ้นจากพลังงานหมายความว่า ทุกคนล้วนเชื่อมโยงกันและเชื่อมโยงกับจักรวาล ที่เหลือทั้งหมดไม่จำเป็นต้องให้ใคร หรืออะไรมาทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งอยู่แล้ว และเป็นอย่างนี้เสมอมา แล้วจะเป็นเช่นนี้เสมอไป

เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิดที่ปนเปื้อน จะพบกับภาพลวงตาที่ดูเหมือนว่าแยกออกจากคนอื่นและจากชีวิต ยิ่งมีความคิดที่ปนเปื้อนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรู้สึกแยกจากสิ่งอื่นมากเท่านั้น ตัวเราเองก็เช่นกัน ประสบการณ์ที่มีต่อโลกที่มีรูปแบบและโลกที่ไร้รูปแบบคือ ภาพลวงตาที่มองเห็นได้ มันมองเห็นได้แต่ไม่ใช่เรื่องจริง หลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่าง แสดงให้เห็นความเป็นจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น มันมองไม่เห็นแต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งทำให้เกิดภาพลวงตาที่มองเห็นได้ของโลกทางวัตถุ

เมื่อคนเราหลับและฝัน สิ่งที่พบเจอไม่ว่าจะเป็นผู้คน สภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ล่วนถูกสร้างขึ้นภายในจิตสำนึก ตอนที่ตื่นก็เช่นเดียวกัน จำไว้ว่าประสบการณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกนั้น แท้จริงแล้วกำลังเกิดขึ้นภายในตัวด้วย โดยสร้างขึ้นจากส่วนที่อยู่ลึกลงไปในจิตสำนึก ซึ่งหลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่าง ก่อให้เกิดประสบการณ์ในความเป็นจริง ความคิด การรับรู้ และภาพลักษณ์เป็นเหมือนคลื่นในมหาสมุทร ทุกคนสังเกตเห็นมัน แต่มันจะเกิดขึ้นเองไม่ได้ หากแยกจากสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด

ขณะที่ความเข้าใจอันกระจ่างเพิ่มขึ้น สิ่งอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น ชีวิตเริ่มดูซับซ้อนน้อยลง และจะเริ่มมองเห็นความเรียบง่ายที่อยู่เบื้องหลัง ความท้าทายที่ผู้คนต้องเผชิญ แท้จริงแล้ว ในโลกที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาที่ซับซ้อน และดูจะแก้ไขไม่ได้ ก็ยังคงมีความตระหนักรู้ที่มอบความหวัง และทางออกที่ใช้ได้จริงให้กับคนเรา

ส่วนที่ 3 หนทางข้างหน้า

  1. ปัญหามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความเข้าใจผิดหรือความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ความคิด ที่ก่อตัวขึ้นในชั่วขณะนั้น หากคนคนหนึ่งเชื่อว่าความมั่นคงปลอดภัย ความสุข และความเป็นอยู่ที่ดีของเขา มาจากการมีเงินเก็บจำนวนมากและความมั่งคั่ง เขามีแนวโน้มกลายเป็นคนละโมบ หากคนคนหนึ่งเชื่อว่าเขารู้สึกกระวนกระวายเพราะผู้อื่น เขามีแนวโน้มจะเกิดความขุ่นเคือง ความเป็นศัตรู และปัญหาด้านความสัมพันธ์อื่น ๆ หากความคิดที่คุ้นชินของคนคนหนึ่งขวางกั้นไม่ให้เขารู้สึกถึงความสงบ และความเป็นอยู่ที่ดีได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขามีแนวโน้มจะรู้สึกไม่มีความสุข

ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากมายอะไร ก็สามารถเห็นได้ว่าหัวข้อข่าวในแต่ละวัน ส่วนใหญ่มาจากไม่กี่สาเหตุเท่านั้น เช่น ความต้องการ ความละโมบ ความวิตกกังวล ความเครียด ความโกรธ ความขุ่นเคือง การขาดสติปัญญา ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ล้วนเป็นอาการของปัญหาเพียงอย่างเดียวนั่นคือ ความคิดที่ปนเปื้อน ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดที่ว่า สิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายใน

ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ความเข้าใจอันถ่องแท้และความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เกิดการค้นพบต่าง ๆ ซึ่งสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของผู้คนนับล้าน การค้นพบยาเพนิซิลลินของ อเล็กซานเดอร์ เฟรมมิงค์ ในปี 1928 ได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลเอาไว้ แต่จะเป็นอย่างไรถ้ามีเพนิซิลลินสำหรับสมอง ที่ส่งผลอันน่าทึ่งต่อความกระจ่าง นิสัย และพฤติกรรมได้แบบเดียวกับที่ยาปฏิชีวนะส่งผลต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย

  1. เพนนิซิลลินสำหรับสมอง การทดแทนอาการอยาก ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงการรักษาผู้เสพติดด้วยวิธีดั้งเดิม คนติดบุหรี่เลิกบุหรี่แต่หันมากินช็อกโกแลต คนที่เลิกเสพโคเคนกลายเป็นคนบ้างาน คนติดเหล้าเลิกดื่มและเริ่มเข้าร่วมการประชุมแบบถี่ ๆ พฤติกรรมภายนอกเปลี่ยนแปลงไป โดยมักกลายเป็นสิ่งที่มีผลเสียน้อยกว่า แต่รูปแบบความคิดที่ค้นชิน การเปลี่ยนความคิดเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นอาการผิดปกติทางจิต บางครั้งก็ถูกจัดว่าเป็นอาการที่หายเองได้ และไม่ได้รับความสนใจอีก

ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นตัวอย่างของคุณสมบัติทางธรรมชาติ ที่ทุกคนมีอยู่แล้วนั่นคือ ความสามารถในการเพิ่มความเข้าใจอันกระจ่าง หรือการเพิ่มระดับความตระหนักรู้ให้สูงขึ้น ความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นหมายถึง ความเข้าใจอันกระจ่างที่เพิ่มขึ้นอย่างถาวร ความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเป็นเหมือนเพนิซิลลินสำหรับสมอง ที่ช่วยร่างกายรักษาอาการติดเชื้อ ด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วย

ในทำนองเดียวกันความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เชื่อมโยงกับความคิดที่ปนเปื้อนจำนวนมหาศาล เพนิซิลลินทำงานในส่วนใดก็ตามที่ร่างกายต้องการ เช่นเดียวกับความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำงานในส่วนใดก็ตามที่จิตใจของคนคนนั้นต้องการ คนที่มีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้น มักมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน เรื่องที่เคยมองว่าเป็นปัญหาก็เป็นปัญหาน้อยลง หรือแม้แต่หายไปในทันที

เมื่อใดที่หันไปมุ่งที่ความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงนี้ก็มักจะยกระดับ สิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จด้วย นี่คือสิ่งที่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น หลังจากที่เลิกหมกมุ่นกับความสำเร็จ และเริ่มมีความเข้าใจกันกระจ่างยิ่งขึ้น สิ่งที่ผู้คนเคยมองว่าเป็นปัญหา จะเป็นปัญหาน้อยลงหรือไม่ก็หายไปเลย เหมือนภูเขาที่กลายเป็นเนินดินเล็ก ๆ และพวกเขาก็พบว่าตัวเอง มีความสามารถที่จะจัดการกับสิ่งที่จำเป็นต้องจัดการอยู่แล้ว โดยมีสติปัญญาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดคอยนำทาง

  1. ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น การชี้ทิศทางที่ถูกต้องให้ตัวเอง แล้วไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นคือ การชี้ทิศทางที่ถูกต้องให้ตัวเองหมายถึง การมองไปยังสิ่งที่กำลังสร้างประสบการณ์ชีวิต หรือก็คือการมองหาแหล่งกำเนิดประสบการณ์ แทนที่จะเป็นตัวประสบการณ์ แล้วสิ่งที่สร้างประสบการณ์ชีวิตคือ หลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่างนั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับการลงมือทำ แต่เกี่ยวกับกรอบความคิดที่ทำให้เกิดการลงมือทำมากกว่า

คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตไปกับการลงมือทำจากการชี้นำที่ผิด โดยการปฏิบัติตามกรอบความคิดที่ปนเปื้อน ซึ่งมักมาพร้อมกับความรู้สึกเครียดและความเร่งรีบด้วยความไม่รู้ เมื่อไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ความกระจ่าง แล้วความเข้าใจจะส่งเสริมการลงมือทำ ซึ่งการลงมือทำจากแรงบันดาลใจจะทำให้รู้สึกดี แต่บางครั้งก็แค่ต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง

บางครั้งสิ่งที่ถูกต้องก็คือ การทำบางสิ่ง บางครั้งสิ่งที่ถูกต้องก็คือ การหยุดพัก บางครั้งสิ่งที่ถูกต้องก็คือการรอคำชี้แนะเพิ่มเติม ในระหว่างนั้นจงอยู่ในเกม เมื่อยังอยู่ในเกมโดยปล่อยให้ความคิดแก้ไขตัวมันเอง และค่อย ๆ เพิ่มความเข้าใจอันกระจ่าง โลกของความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ก็จะเริ่มเปิดทางให้

ช่วงเวลาอื่น ๆ ที่ต้องตัดสินใจทันที แต่กลับมองไม่เห็นการชี้นำที่ชัดเจนจากสติปัญญาไม่ว่าจะทางใด ในสถานการณ์เหล่านั้นตัดสินใจได้ดีที่สุดจากข้อมูลที่มีอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะช่วยได้ในขณะนั้นก็คือความกระจ่าง เมื่อปัจจัยอื่น ๆ ล้วนเท่าเทียมกัน ผู้ที่มีสมองปลอดโปร่งที่สุดก็คือผู้ที่ได้เปรียบที่สุด

  1. ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ แนวทางฝึกฝนอบรมและเปลี่ยนแปลงองค์กรแบบดั้งเดิม เป็นแนวการเรียนรู้โดยอาศัยการนำไปใช้เป็นหลัก นั่นคือสอนเทคนิค ทักษะ และวิธีการต่าง ๆ แล้วสนับสนุนให้ผู้คนนำไปใช้จริง แม้แนวทางเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับกระบวนการที่ต้องทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แบบไม่ต้องใช้ความคิด แต่ประสิทธิภาพของมันจะลดลงอย่างฮวบฮาบ เมื่อนำไปใช้กับทักษะที่ต้องใช้ความคิด มีความซับซ้อน และใช้ความคิดสร้างสรรค์

การนำไปใช้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความกระจ่างและคุณสมบัติที่มาพร้อมกับมัน โมเดลความกระจ่างอยู่บนพื้นฐานของการเรียนรู้ โดยอาศัยความหมายที่แฝงอยู่ ด้วยมุ่งเน้นไปที่หลักการพื้นฐาน ที่ขับเคลื่อนให้เกิดผลงานประสิทธิภาพสูง ในโมเดลนี้ไม่มีขั้นตอนปฏิบัติ เมื่อใครก็ตามมองเห็นสิ่งที่แฝงอยู่ในหลักการพื้นฐานเหล่านี้ การปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

การเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังความกระจ่างอย่างถ่องแท้ สามารถกำจัดความคิดที่ปนเปื้อนออกไปได้จริง และยังช่วยให้มองสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้นด้วย แหล่งกำเนิดที่แท้จริงของความเป็นผู้นำอยู่ในความกระจ่าง ซึ่งจะมอบสิ่งที่ต้องการในขณะนั้น ให้ใช้จัดการกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แน่นอนว่าบางทักษะจำเป็นต้องมีการพัฒนา และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ แต่ทักษะเหล่านั้นก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นผู้นำ ที่เป็นคุณสมบัติภายใน และวิธีพัฒนาที่รวดเร็วที่สุดก็คือ การมีความเข้าใจอันกระจ่างยิ่งขึ้น

  1. ใช้ชีวิตในแบบที่ปรารถนา ความเข้าใจผิดที่ว่า สิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายนอกสู่ภายในได้เปลี่ยนชีวิตให้กลายเป็นเกมที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าจะมีความสุขเมื่อ…และไม่มีวันมีความสุขได้ถ้า…ให้ความหวังกับว่า ความสุขความมั่นคงปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีกำลังรออยู่ข้างนอกนั่น ในที่ที่ไกลออกไปหรือในอนาคต

เมื่อมองหาความสุขความมั่นคงปลอดภัย และความสงบทางใจจากโลกภายนอก ก็เท่ากับกำลังมองไปในทิศทางที่ผิด ไม่สำคัญว่าจุดนั้นจะหมายถึงการได้ครอบครองวัตถุสิ่งของ หรือความสำเร็จส่วนตัว การพัฒนาตัวเองหรือจิตวิญญาณทันทีที่คิดว่ามีที่ที่ต้องไปให้ถึง และจุดนั้นดีกว่าจุดนี้ ก็ได้ก้าวออกจากสภาพจิตใจที่ปกติ และเข้าไปสู่เกมที่ไม่มีทางเอาชนะได้ ชีวิตก็ดูจะเป็นไปในทำนองเดียวกัน

เมื่อใช้ชีวิตด้วยความกระจ่าง และปล่อยให้สติปัญญานำทางชีวิต ก็จะเผยทุกสิ่งทุกอย่างออกมาอย่างอิสระ และสง่างามในทุกอย่าง แต่อาจช่วยจุดประกายความเข้าใจที่สำคัญกว่านั้นคือ มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องลงมือทำ ฝึกปฏิบัติ แม้หรือแม้แต่จดจำ มีทุกสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ภายในตัวแล้ว  ปัจจัยเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยหลักการเพียงอย่างเดียวนั่นคือ หลักการแรงโน้มถ่วง คุณสมบัติการลอยตัวทำงานแบบเดียวกันกับทุกคน เพราะแรงโน้มถ่วงไม่เลือกที่รักมักที่ชังนั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวและไม่มีข้อยกเว้น

ในทำนองเดียวกัน หลักการที่ทำให้เกิดความกระจ่าง ความมั่นคงปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดี ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็ทำงานแบบเดียวกันกับทุกคน มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวและไม่มีข้อยกเว้น หากนี่คือกระบวนทัศน์ใหม่อย่างแท้จริง มันจะมีความหมายต่อโลกธุรกิจ และการทำงานในปีต่อ ๆ ไปที่กำลังจะมาถึง มันจะมีความหมายกับแต่ละคน

  1. ตักตวงผลประโยชน์จากความยุ่งเหยิง ความซับซ้อน และความไม่แน่นอน โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่เคย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากมีรูปแบบที่ใหญ่กว่านั้นอยู่เบื้องหลัง ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเผชิญอยู่ คลื่นลูกที่ 1, 2 และ 3 ต่างถูกขับเคลื่อนโดยความเข้าใจอันถ่องแท้ เกี่ยวกับจุดพลิกผันที่สำคัญของคลื่น ยิ่งเข้าใจจุดพลิกผันภายในคลื่นนั้นลึกซึ้งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังที่จะสร้างคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น คุณค่าของเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประสบการณ์ของคน ๆ นั้น

คุณภาพของประสบการณ์ที่แต่ละคนมี ขึ้นอยู่กับระดับความกระจ่างในขณะที่สัมผัสประสบการณ์นั้น นี่คือเหตุผลที่การทำความเข้าใจธรรมชาติของความคิด เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ ที่เน้นการสัมผัสประสบการณ์ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เน้นการสัมผัสประสบการณ์อย่างในปัจจุบัน ธุรกิจต่าง ๆ ต้องรับผิดชอบจัดการมุมมองภายนอก ในเรื่องประสบการณ์ของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ความเป็นจริงของธรรมชาติของชีวิต ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เกิดจากภายในสู่ภายนอก มีพลังที่จะสัมผัสตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก็คือแก่นสารหรือจิตวิญญาณนั่นเอง และในขณะที่ตื่นขึ้นก็ค้นพบว่า สิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงที่สุดให้กับชีวิตได้นั้น ยังสามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ โลก และทุกชีวิตได้อย่างลึกซึ้งที่สุดด้วย

  1. ศิลปะของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากหนอนผีเสื้อเป็นผีเสื้อ เป็นคำอุปมาที่เหมาะจะนำมาใช้เปรียบเทียบ กับการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลและส่วนรวม เมื่อตระหนักได้ว่าประสบการณ์ชีวิตสร้างขึ้นจากภายในสู่ภายนอก ก็จะเกิดความเข้าใจตามมาว่า ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริง จากประสบการณ์เฉพาะตัวที่ความคิดสร้างขึ้น ไม่มีทางที่คนสองคนจะใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริงจากประสบการณ์แบบเดียวกัน และความเป็นจริงของแต่ละคนก็ดูสมจริงสำหรับพวกเขาเอง

เมื่อความเข้าใจกระจ่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะมองเห็นความไม่ประสีประสาทางจิตใจ ทั้งในตัวเองและคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนกำลังพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จากระดับความเข้าใจที่พวกเขามีอยู่ หากคิดแบบที่พวกเขาคิด ก็จะทำเหมือนที่พวกเขาทำ แต่เมื่อมีความเข้าใจอันกระจ่างยิ่งขึ้น ก็จะทำตามระดับความเข้าใจนั้น

ทุกคนต่างเผชิญกับวิวัฒนาการส่วนบุคคลและส่วนรวมร่วมกัน แต่ละคนมีบทบาทในชีวิตที่กำลังเผยสิ่งต่าง ๆ ออกมา เหนือสิ่งอื่นใดจำไว้ว่าทุกคนเป็นมนุษย์ ทุกคนมีช่วงขาขึ้นและขาลง ที่กำลังสร้างประสบการณ์จริงขึ้นจากภายในสู่ภายนอกโดยใช้พลังความคิด และถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเลือกช่วงเวลาได้ แต่ความคิดใหม่ ๆ ก็อาจปรากฏขึ้นได้ตลอดเวลา และเมื่อความคิดใหม่เดินทางมาถึง โลกก็จะเปลี่ยนแปลงไป

  1. การลงมือทำจากแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจมักปรากฏขึ้นเมื่อกำลังง่วนอยู่กับการทำสิ่งอื่น ดังนั้น จงปรากฏตัว รวบรวมความกล้า เดินเข้าสู่เกม อยู่ในเกม เข้าไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ และทดลองต่อไปเรื่อย ๆ หยุดพักสักครู่และใคร่ครวญเป็นระยะ ค้นหาวิธีให้พบในขณะที่ก้าวต่อไป

จำไว้ว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่กับการรู้สึกถึงความคิดในชั่วขณะนั้น เมื่อสติปัญญาเตือนเรื่องนี้จงผ่อนคลาย ระบบจะแก้ไขตัวเอง ถ้าพบว่าถูกชักจูงให้ก้าวไปในทิศทางที่ผิด จงปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น จงเต็มใจทำผิดพลาดและเรียนรู้จากมัน เพิ่มความเข้าใจอันกระจ่าง มีศักยภาพยิ่งกว่าที่คิด เพราะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่คิด

ค้นพบเส้นทางด้วยการเดินไปตามทางนั้น และขอบคุณช่วงเวลาที่สงบสุข เชิดหน้าอย่างสง่างามในช่วงเวลาที่เลวร้าย และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อมีความสุขกับตัวเอง ในทุกก้าวย่างบนเส้นทางนั้น ยึดมั่นอยู่กับความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับวิธีที่ระบบดำเนินไป.