สรุปหนังสือ THE ART OF PEOPLE ศิลปะการอยู่กับคน
เรื่องคนเป็นเรื่องสำคัญ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น ผู้เขียนได้เรียนรู้บทเรียนที่ไม่อาจประเมินค่าได้ เกี่ยวกับชีวิตตัวเขาเองและมนุษย์โดยรวม นั่นคือคนเราไม่อาจมีความสุขหรือประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสายสัมพันธ์ที่สร้างไว้กับผู้คนรอบตัว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะคิดการใหญ่แล้ว สิ่งที่จะช่วยให้ได้ทุกสิ่งที่ต้องการจากอาชีพการงานและชีวิต หนังสือเล่มนี้แบ่งปันเทคนิคที่นำไปสู่ความสำเร็จ พรสวรรค์ โชค ความทุ่มเท ความกล้า ความทรหด ความมานะบากบั่น และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วแก่นของสิ่งเหล่านี้ก็คือเรื่องคน ถ้าเข้าใจคนอื่น สื่อสารกับคนอื่น และโน้มน้าวให้คนอื่นทำสิ่งที่อยากให้พวกเขาทำได้เก่งแค่ไหน เรื่องคนเป็นเรื่องสำคัญ ความสัมพันธ์ที่มีกับผู้อื่นเป็นปัจจัยที่กำหนดว่า จะเจอทางตันในอาชีพการงาน และมีชีวิตที่ว่างเปล่าแบบที่ผู้เขียนเคยเจอในลอสแองเจลิส หรือจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ และสร้างธุรกิจที่รุ่งโรจน์อย่างที่เขาทำอยู่ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับศิลปะเรื่องคน
ปัจจุบันทักษะเรื่องคนสำคัญมากกว่ายุคไหน ๆ มันคือกุญแจที่จะช่วยให้ได้สิ่งที่ต้องการทั้งในและนอกที่ทำงาน เชื่อมโยงกันถึงกันตลอดเวลา facebook twitter linkin และสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ กลายเป็นช่องทางหลักที่ใช้สื่อสารกับคนอื่น แถมในโลกทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยการแสดงความคิดเห็นมากมาย ดูจะไว้ใจคำแนะนำจากคนที่รู้จักมากกว่าที่เคยเมื่อเลือกซื้อสินค้าและบริการ ช่วงเวลาที่ให้ความสนใจสิ่งหนึ่ง ๆ ก็สั้นมาก จึงฟังคนที่ดึงดูดใจและคนที่ไว้ใจเป็นหลัก ดังนั้น หากอยากชักจูงสำเร็จและได้สิ่งที่ต้องการต้องเป็นคนที่คนอื่นชื่นชอบ เคารพ และไว้ใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับศิลปะเรื่องคนทั้งสิ้น
บทที่ 1 เข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่น
แบบประเมินไมเออร์ส-บริกก์สสู้สิ่งนี้ไม่ได้หรอก แบบประเมินที่ชื่อว่าเอ็นเนียแกรม มันอาจเป็นที่รู้จักน้อยกว่าแบบประเมินบุคลิกภาพไมเออร์ส-บริกก์สหรือดิสก์ (DISC) แต่ความจริงแล้วมันน่าเชื่อถือมากกว่าแบบประเมิน 2 อย่างนั้นอีก มีคนใช้และส่งต่อกันมานานหลายร้อยปีได้ ข้อมูลมหาศาลเกี่ยวกับตัวเอง และวิธีที่คนอื่นจะใช้สื่อสารได้ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งจูงใจหลัก ๆ 9 อย่างและวิธีที่ใช้สื่อสารกับทุกคนได้ดีที่สุด โดยอิงกับบุคลิกภาพตามหลักเกณฑ์ทั้ง 9 แบบ
เอ็นเนียแกรมและพลังของมันช่วยให้เข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้มากขึ้น การรู้จักตัวเองคือรากฐานของศิลปะ เรื่องคนไม่อาจเข้าใจและชักจูงผู้อื่นได้จนกว่าจะเข้าใจตัวเองอย่างสมบูรณ์และลึกซึ้ง ในทำนองเดียวกับแบบประเมินบุคลิกภาพอื่น เอ็นเนียแกรมไม่ได้สมบูรณ์แบบ ระบบใดก็ตามที่แบ่งผู้คนออกเป็นแค่ 9 แบบอย่างชัดเจน ย่อมมีข้อจำกัดในตัวของมันเองอยู่แล้ว ผลลัพธ์ของเอ็นเนียแกรมจะไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา มันจะบอกว่าอะไรจูงใจมากที่สุด อะไรที่ต้องระวัง และคนอื่นจะสื่อสารได้ดีที่สุดอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงเสมอจนหน้าทึ่ง
การเข้าใจตัวเองซึ่งเป็นก้าวแรกในการเรียนรู้ วิธีที่จะชักจูงคนได้เก่งขึ้น เพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการทั้งในอาชีพการงานและในชีวิต การเข้าใจตัวเองคือการตระหนักถึงแรงจูงใจในระดับจิตใต้สำนึก สิ่งที่ทำให้มีแรงตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สิ่งที่กระตุ้นและวิธีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีที่สุด ยิ่งเข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ จะยิ่งเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และทำให้พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น
ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงทุกคน (แม้แต่คนที่ไม่ชอบ) ก้าวแรกในการชักจูงใครสักคนคือ การเข้าใจคนคนนั้น ทุกคนย่อมรู้จักใครสักคนที่เข้าไม่ถึงในตอนแรก หรือเข้าไม่ถึงเลย มนุษย์ทุกคนแตกต่างกัน บางครั้งจึงยากที่จะเข้าใจคนที่ต่างจากมาก ๆ หลายครั้งนี่อาจไม่เป็นปัญหาถ้าไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เข้าไม่ถึง แต่บ่อยครั้งที่มันจำเป็น ถ้าอยากหรือจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือลูกพี่ลูกน้องในวันรวมญาติ เชื่อเถอะว่าการหาทางเข้าถึงคน ๆ นั้นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า จะไม่มีวันได้สิ่งเหล่านี้หากถอดใจตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าไม่อาจเข้าถึง ก้าวแรกคือการยืนการว่าจะต้องเข้าถึงคนนั้นให้ได้ ส่วนก้าวต่อไปคือการลงทุนเวลาเพื่อไปนั่งดื่มกาแฟกับคน ๆ นั้น อาจไม่ได้เดินออกมาจากร้านกาแฟพร้อมกับเข้าใจเขาอย่างเต็มที่ หรือไม่แม้จะกระทั่งจะชอบเขามากกว่าเดิม แต่ก็มีแนวโน้มสูงที่มันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ได้พัฒนาความสัมพันธ์ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น
จงสนใจคนอื่นแทนที่จะทำตัวให้คนอื่นสนใจ มนุษย์ชอบพูดคุย และเมื่อไหร่ที่ได้คุยกันแบบตัวต่อตัว แทบทุกคนจะชอบพูดถึงเรื่องของตัวเองมากกว่าฟังอีกฝ่าย นี่ไม่ใช่การกระทำที่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้คนจะสนใจเรื่องของตัวเองและครอบครัวมากกว่าเรื่องของคนอื่น ขอย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิด และไม่แม้แต่จะน่าแปลกใจ มันเป็นเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งยอมรับได้เร็วเท่าไหร่ว่า แทบไม่มีคนแปลกหน้าคนไหนสนใจหรือสิ่งที่พูดมากเท่ากับที่พวกเขาสนใจตัวเองและสิ่งที่ตัวเองพูด จะยิ่งสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนและชักจูงพวกเขาได้เก่งขึ้นเท่านั้น
เครื่องบินเป็นสถานที่ที่เหมาะจะฝึกทักษะนี้ที่สุด ลองหันไปหาคนที่นั่งข้าง ๆ แล้วเริ่มตั้งคำถามจากนั้นก็ฟัง ฟัง ฟัง และฟังให้มากขึ้น ใช้ประโยคคำพูดอย่าง “ขยายความเรื่องนั้นอีกหน่อยได้ไหม” แล้วจะตกใจเมื่อเห็นว่าการปล่อยให้คน ๆ นั้นพูดถึงตัวเอง ช่วยให้รู้จักเขาได้เร็วและลึกซึ้งมากแค่ไหน ประโยชน์ของเคล็ดลับนี้ไม่ใช่แค่การได้เพื่อนใหม่เท่านั้น มันยังเพิ่มโอกาสที่จะได้รับบางสิ่งจากความสัมพันธ์ดังกล่าวด้วย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นับจากตอนที่เริ่มสนทนากับคน ๆ หนึ่ง การสนทนาครั้งนั้นก็จะยังทำให้อยู่ในจุดที่สามารถขอความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำ หรือทำธุรกิจกับอีกฝ่ายได้เสมอ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนั่งฟังพวกเขาเท่านั้น การหุบปากและฟังจะช่วยให้เข้าใจคนแปลกหน้า รวมถึงเพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงานได้ดีขึ้น
คนส่วนใหญ่ขี้เหงา ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่ามีใครสักคนรับฟัง เพื่อทำความเข้าใจ พยายามเข้าถึงใจของพวกเขา และช่วยให้พวกเขารู้สึกเดียวดายน้อยลง แล้วจะพบว่าสามารถชักจูงพวกเขาได้มากขึ้น ต้องทำด้วยความจริงใจ อย่าช่วยใครให้รู้สึกเดียวดายน้อยลงเพื่อที่จะชักจูงพวกเขา แต่จงช่วยเพราะมันเป็นสิ่งที่สมควรทำ แม้กระทั่งคนที่ปรับตัวเก่งและมีสุขภาพจิตที่ดีที่สุด ก็ต้องเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกเดียวดาย และหวังว่าจะมีใครสักคนสนใจพวกเขา หากเข้าหาคนเหล่านี้ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าใจ และเข้าถึงพวกเขาให้มากขึ้น จะแตกต่างจากคนจำนวนมากบนโลกใบนี้ที่ไม่สนใจใคร หรือมัวแต่ยุ่งกับปัญหาของตัวเองจนไม่มีเวลาสนใจผู้อื่น เมื่อสนใจและช่วยให้พวกเขาไม่รู้สึกเดียวดาย โลกแห่งโอกาสก็จะเปิดกว้างให้
บทที่ 2 พบคนที่เหมาะสม
รองเท้าสีส้ม : กุญแจอันเรียบง่ายในการสร้างเครือข่ายที่ไม่มีใครพูดถึง เดฟ แมคเคลอร์ เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งกองทุน 500 สตาร์ทอัพ ที่ได้รับการยกย่องอย่างมาก ซึ่งตั้งอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ และมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วโลก ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยผู้ประกอบการและนักลงทุน ผู้เขียนคิดว่าจะไปหาเครื่องดื่มสักแก้วที่บาร์ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ผมต้องคุยกับผู้ชายที่สวมรองเท้าบ้า ๆ คู่นั้นให้ได้” ผู้เขียนเงยหน้ามองและเห็นเดฟในห้องที่จุคนกว่า 300 คนที่ผู้เขียนอยากคุยด้วยมากที่สุด ดูแล้วอยากคุยกับเขาด้วย
รองเท้าสีส้มเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้รับเงินลงทุนก้อนนั้นหรือ แน่นอนมันเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้พูดคุยกับเขาในตอนแรก ในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พยายามดึงความสนใจจากคนที่ยุ่งมาก สิ่งเดียวที่ต้องทำคือโดดเด่นจากฝูงชน สามารถสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่จะช่วยให้โดดเด่นในงานสัมมนาและที่อื่น ๆ ทั้งยังช่วยให้ได้รู้จักผู้คนมากขึ้นด้วย สำหรับผู้เขียนเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นคือรองเท้าสีส้ม สำหรับคุณมันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ เพียงแต่มันต้องดึงดูดความสนใจ และให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเองจริง ๆ ถ้าไม่ใช่รองเท้าก็อาจเป็นผ้าพันคอ ต่างหู กระเป๋าใส่เอกสาร เนคไท นาฬิกา หมวก หรือกำไลข้อมือ ลองค้นหาดูว่าอะไรสื่อถึงความเป็นตัวเองได้ดีที่สุด เวลาไปงานสัมมนาหรือที่อื่น ๆ จะโดดเด่นขึ้นได้อย่างไร และต้องโดดเด่นแบบไหนถึงจะดึงดูดผู้คนให้เข้ามาหา
วิธีนัดพบใครก็ตาม แซลลี่ ครอว์เซ็ก อดีต CEO สุดแกร่งแห่งเมอร์ริลล์ ลินซ์ คนในวงการรู้กันดีว่าครอว์เซ็กคือผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดใน wall street ผู้เขียนชื่นชมเธอ จึงตัดสินใจพึ่งสื่อสังคมออนไลน์ที่พอจะมีช่องทางติดต่อกับผู้นำมากมายจากทั่วโลก ช่องทางที่เขาเลือกก็คือสื่อสังคมออนไลน์ที่สร้างขึ้นเพื่อคนทำงานระดับโลก อย่าง linkin หลังจากได้รายชื่อคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักทั้งคู่ เขาก็เลือกติดต่อเซอร์จิโอเพื่อนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของเจนเนอรัล อิเล็คทริค เพื่อขอให้เขาช่วยแนะนำ ซึ่งผู้เขียนเคยจัดสัมมนาให้เขาฟรีเมื่อหลายปีก่อน
เวลามองหาคนกลางให้ช่วยแนะนำบนเว็บไซต์ linkin มักมองหาคนที่เคยช่วยเหลือมาก่อน และมีแนวโน้มที่จะชักจูงคนที่เขาอยากเจอได้ จึงรีบพิมพ์ขอให้เซอร์จิโอช่วยแนะนำทันที ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาผู้เขียนก็ได้รับอีเมลที่ระบุว่า ผู้เขียนกับครอว์เซ็กเชื่อมต่อกันบนลิงก์อินแล้ว จึงส่งข้อความไปบอกเธอว่า เขาเป็นแฟนตัวยงของเธอพร้อมเสนอว่าอาจได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายหากนัดพบกันสักครั้ง สัปดาห์ต่อมาก็นั่งอยู่ด้วยกันในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ครอว์เซ็กกับผู้เขียนคุยกันเรื่องธุรกิจ ความเป็นผู้นำ ลิงก์อิน และอีกสารพัด ตั้งแต่นัดครั้งแรกก็ได้เจอเธออีกหลายครั้ง
ประเด็นสำคัญคือผู้เขียนชื่นชมเธอ และอยากพบเธอ แล้วก็ทำสำเร็จเพราะขอความช่วยเหลือถูกคนและถูกจังหวะ ผ่านการคลิกไม่กี่ครั้งบนเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือสูตรลับสู่ความสำเร็จบนสื่อสังคมออนไลน์ที่สำคัญที่สุดในโลก
- กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบถ้วน ระบุชื่อทุกสถาบันที่เคยเรียน ทุกบริษัทที่เคยทำงาน และทุกสมาคมที่เคยเข้าร่วม ยิ่งกรอกข้อมูลมากก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้น ที่จะมีสิ่งที่ตรงกับคนที่อยากติดต่อด้วย วิธีเกริ่นแนะนำตัวทางอีเมล์มีไม่กี่วิธีหรอกที่ดีไปกว่าการเอ่ยถึงประสบการณ์ หรือสิ่งที่มีร่วมกัน
- 2. ติดตามเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงานทุกคน นี่จะช่วยขยายเครือข่ายให้ ที่สำคัญกว่านั้นคือมันจะช่วยขยายจำนวนเพื่อนของเพื่อนด้วย
- เมื่อไหร่ที่อยากนัดพบใครสักคน ลองเข้าไปดูโปรไฟล์ของคน ๆ นั้นบนลิงค์อินว่ามีเพื่อนของคุณคนไหนรู้จักเขาบ้าง จากนั้นก็เขียนหาเพื่อนและขอให้ช่วยแนะนำกับบุคคลดังกล่าว ถ้าเพื่อนไม่รู้จัก เพื่อนของเพื่อนอาจรู้จักก็ได้ นี่อาจลำบากขึ้นอีกนิด แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่
- พอติดต่อได้แล้วก็นัดพบเพื่อนใหม่เลย
ถ้ากระบวนการนี้ฟังดูเรียบง่าย นั่นเป็นเพราะมันเรียบง่ายจริง ๆ แม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลทุกครั้ง แต่ก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยให้ได้นัดพบ แทบทุกคนที่อยากเจอบนโลกใบนี้
ตั้งคณะที่ปรึกษาส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่พยายามหาทางว่าจะทำอะไรกับชีวิตต่อไป เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่ไต่เต้าได้อย่างรวดเร็ว หรือเป็นครูวัย 55 ปีที่กำลังคิดจะเปลี่ยนงาน ก็ต้องสมควรมีคณะที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นใครหรือประกอบอาชีพใด คณะที่ปรึกษาที่ดีจะช่วยให้เติบโตขึ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและในอาชีพการงาน พวกเขาสามารถท้าทาย ให้แนวทาง และสอนได้
พบว่าสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการมีคณะที่ปรึกษาคือ ผลลัพธ์แบบทวีคูณ ปกติแค่มีคนฉลาดเพียงคนเดียวคิดหาทางช่วยเหลือก็พิเศษมากแล้ว ถ้ามีคนฉลาดมากกว่า 1 คนปรึกษากันเพื่อพยายามช่วยเหลือ ผลลัพธ์ก็จะทรงพลังกว่าเดิม พวกเขาจะคิดไอเดียใหม่ ๆ และสร้างเครือข่ายที่ไม่มีทางสร้างได้ด้วยวิธีอื่น สุดท้ายก็จะได้ประโยชน์กันทุกคน ถ้าจัดการดี ๆ คุณค่าที่คณะที่ปรึกษาได้รับ จะมากเสียจนไม่อาจจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนเป็นเงินด้วยซ้ำ
จำไว้ว่าสามารถจัดตั้งคณะที่ปรึกษาเพื่อจุดประสงค์ใดก็ได้ และนานเท่าไหร่ก็ได้ สิ่งสำคัญคือการค้นหาและเชิญชวนคนที่มีประสบการณ์ในด้านที่อยากมุ่งมั่น ตัวอย่างเช่น ถ้ากำลังจะเริ่มสร้างธุรกิจ ให้รวบรวมคณะที่ปรึกษาจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ถ้าอยากเลื่อนขั้นเป็นหุ้นส่วนอาวุโสที่บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ให้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยที่ปรึกษาด้านกฎหมายอาวุโส และลูกความที่เคยปรึกษาเรื่องที่สนใจ ถ้ากำลังมองหาหนทางว่าจะทำอะไรต่อไปในชีวิตดี ให้ตั้งคณะที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยผู้คนที่รู้จักตัวเองจริง ๆ และมีประสบการณ์แตกต่างกันไป ทุกคนสมควรมีพี่เลี้ยง และทุกคนมีพี่เลี้ยงได้ ขอแค่ลงมือจัดตั้งคณะที่ปรึกษาด้วยตัวเอง
จ้างให้ช้า ไล่ออกให้ไว ทั้งในที่ทำงานและในชีวิต จ้างให้ช้าไล่ออกให้ไวเป็นคำพูดติดปากในแวดวงธุรกิจ เพราะผู้นำที่เก่งกาจรู้ดีว่า การวางตัวคนผิดตำแหน่งอาจเป็นภัยต่อองค์กรได้ จึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อหาคนที่ใช่ และทุ่มเทเวลาให้กระบวนการว่าจ้างอย่างเต็มที่ เมื่อไหร่ที่สัญชาตญาณบอกว่าคนคนนั้นไม่น่าใช่ก็ต้องคัดเขาออกทันที แนวคิดนี้ไม่เพียงใช้ได้ในด้านธุรกิจ แต่รวมถึงด้านอื่น ๆ ด้วย มนุษย์ไม่ชอบยอมรับเวลาทำผิดพลาด แทนที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย นี่เป็นผลมาจากสิ่งที่เรียกว่าความขัดแย้งทางความคิด (cognitive dissonance)
นอกจากในที่ทำงานแล้ว การจ้างให้ช้าและไล่ออกให้ไวนั้นสำคัญเป็นพิเศษต่อชีวิตนอกที่ทำงานเช่นกัน ความหมายก็คือ จงระวังเวลาคบหาใคร ไม่ว่าจะเป็นการคบหาแบบคนรัก แบบเพื่อน หรือแบบอื่น อย่ามอบความไว้วางใจหรือหัวใจให้กับคนที่เพิ่งพบเจอ ถ้าเริ่มสังหรณ์ใจเมื่อไหร่ว่า ความสัมพันธ์นี้ดูจะไม่ใช่มันย่อมมีเหตุผล การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก ความขัดแย้งทางความคิดเป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังมาก แต่อย่าลืมว่าทุกนาทีที่ใช้ไปกับเพื่อน หุ้นส่วน พนักงาน หรือใครก็ตามในชีวิตที่เป็นพิษเป็นภัย มันเป็นนาทีที่จะไม่มีวันได้คืนกลับมา และเป็นนาทีที่สามารถใช้ได้ดีกว่าเดิม หากปราศจากบุคคลนั้น
บอกปัดคนที่ควรบอกปัด การบอกปัดใครสักคนเป็นเรื่องง่าย ถ้าไม่แน่ใจว่าคน ๆ นั้นจะมีค่าแค่ไหน ทำไมต้องสละเวลาให้ด้วย แต่สิ่งที่ง่ายกว่านั้นคือ การยอมสละเวลาอันมีค่าให้กับคนที่ร้องขอ ทุกคนล้วนอยากเป็นที่ชื่นชอบ จึงมีแนวโน้มที่จะสละเวลาให้อย่างที่คนอื่นต้องการ ถึงจะง่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด บางทีวิธีที่ดีที่สุดอาจเป็นการบอกปัดโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าถูกปฏิเสธจะดีกว่า พิจารณาให้แน่ใจว่าทุกนาทีที่ใช้ไปกับแต่ละคนนั้นคุ้มค่า จะดีกว่าถ้ายุติการประชุมหรือจบบทสนทนาโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ทำให้อีกฝ่ายเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากแต่คุ้มค่า การจัดลำดับความสำคัญแบบเด็ดขาดทำออกเป็น 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่สามารถใช้บอกปัดคนอื่นได้ทันที
- ปฏิสัมพันธ์ทางกาย (จับมือ) เพื่อบ่งบอกถึงการเริ่มและจบบทสนทนา
- บทสนทนาที่จริงใจ ตรงไปตรงมา และตรงประเด็น
- หยิบยื่นประโยชน์ให้อีกฝ่ายก่อนจบบทสนทนา
ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้คือกระบวนการบอกปัดในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเปลี่ยนเวลา 30 นาทีที่สูญเปล่าของทั้งสองฝ่าย ให้กลายเป็น 8 นาทีที่ได้ประโยชน์กันทั้งคู่ แต่ละฝ่ายจึงสามารถนำเวลา 22 นาทีที่เหลือไปใช้ชีวิต ทำงานสร้างสรรค์ หรือสนุกกับเรื่องอื่นได้
การใช้หลักการนี้ จะช่วยให้ลดระยะเวลาในการประชุม กับทั้งคนที่ใช่และไม่ใช่ รวมถึงช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น คนที่คุยผ่านอีเมล์ ข้อความ หรือ twitter มีคนมากมายที่ต้องการเวลา บางคนก็คู่ควรและให้อะไรบางอย่างได้ บางคนก็ไม่คู่ควรควร จะบอกปัดอย่างไรจึงจะสำเร็จ หากอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ค่อยได้
- 1. กรณีที่มีคนเดินเข้ามาหาระหว่างเดินอยู่ ให้เดินต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อไหร่ที่มีใครเข้ามาทักและขอคุยด้วย จะเริ่มเสียเวลาอันมีค่าถ้าไม่อยากคุยนาน วิธีที่ดีที่สุดคือการเดินต่อไปเรื่อย ๆ สามารถยิ้มและพยักหน้าได้ตลอดทาง ที่เดินไปยังลิฟต์ บันได หรือที่ไหนก็ตามที่กำลังไป
- กรณีที่มีคนส่งอีเมล ข้อความ หรือ twitter มาตอบให้ช้าและกระชับเท่าที่จะทำได้ บางครั้งอาจจำเป็นต้องตอบทันที แต่ถ้าเป็นไปได้ควรส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่า ตอนนี้กำลังติดธุระเร่งด่วนอยู่ อย่าเพิกเฉยใครแต่ต้องตอบให้กระชับเข้าไว้ ไม่ว่าจะตอบทันทีหรือตอบทีหลังก็ตาม
ถ้าหวังดีและมีใจช่วยเหลือ ความยาวของคำตอบไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย ทุกคนอยากถูกมองว่าเป็นคนดี และอยากเป็นที่ชื่นชอบ แต่จำไว้ว่าทุกนาทีที่ใช้ไปกับคนที่ไม่ช่วยให้สมปรารถนา คือนาทีที่หายไปจากคนที่อาจช่วยให้สมหวัง ทั้งยังเป็นนาทีที่เขาคนนั้นใช้ไปกับคนที่ไม่ได้อยากใช้เวลากับเขาจริง ๆ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือการปัดออกไป สามารถใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุดได้
บทที่ 3 อ่านใจคน
เลิกรอที่จะพูด หัดเริ่มที่จะฟัง อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วคนอื่นมักไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างแท้จริง พวกเขากำลังรอที่จะพูด และกำลังคิดว่าจะทำอะไรต่อหลังจากนี้ หรือจะพูดอะไรดี เรียกได้ว่าในหัวมีทุกสิ่ง ยกเว้นสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังพูด การฟังจำเป็นต้องมีสมาธิอยู่ตลอด ทว่าคนส่วนใหญ่มักไม่มีหรือไม่ใช้มัน นิยามการฟังว่าหมายถึงการได้ยินบางสิ่งด้วยความเอาใจใส่ การรับมาพิจารณา พูดอีกอย่างคือการฟังเป็นมากกว่าแค่การได้ยิน มันคือการเอาใจใส่อีกฝ่ายอย่างมีสติ และพยายามที่จะทำความเข้าใจหรือพิจารณา
กระบวนการฟังต้องอาศัยการนึกถึงสิ่งที่สำคัญกับอีกฝ่ายมากกว่านึกถึงสิ่งที่อาจสำคัญ มันคือการใส่ใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากกว่าสิ่งอื่นใด ในชั่วขณะหนึ่ง การฟังเป็นเรื่องยากกว่าที่คิดมาก จำเป็นต้องฝึกรับฟังก่อนที่จะเรียนรู้วิธีอ่านใจคน และทำความเข้าใจพวกเขา ทักษะการฟังที่ยอดเยี่ยมนั้นทรงอิทธิพล เวลาตั้งใจฟังอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ได้รับความเคารพ มีความสุข และมีประสิทธิภาพ พวกเขาจะรู้สึกมีแรงจูงใจและแรงบันดาลใจมากขึ้น ทั้งนี้จะแก้ปัญหาและสร้างผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นด้วย เขายังพูดถึงผลเสียของการมีทักษะการฟังที่แย่ ว่าเวลาที่ไม่ฟังอีกฝ่ายจะรู้สึกเจ็บปวด ราวกับถูกปฏิเสธ ถูกลดทอนคุณค่า และไม่ได้รับความเคารพ ทั้งยังจะหมดแรงจูงใจด้วย
พูดง่าย ๆ คือทักษะการฟังสามารถสร้าง หรือทำลายปฏิสัมพันธ์ในแง่ธุรกิจ หรือในแง่ความสัมพันธ์ส่วนตัวได้ จินตนาการว่าตัวเองกำลังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ เพียงแต่หน้าจอที่ว่านี้คือบุคคลที่อยู่ตรงหน้า การตั้งใจฟังทำได้โดยอาจเอนตัวเข้าหาเขา และปล่อยแขนแนบข้างลำตัวด้วยก็ได้ เมื่อไหร่ที่รู้ตัวว่าสมาธิหลุดจากสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด ให้กลับมาสนใจฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง ขอย้ำว่าอย่าฟังเพื่อหาจังหวะโต้ตอบ หรือฟังเพื่อที่จะพูด จงฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด และสาเหตุที่เขาพูดแบบนั้น แล้วปล่อยให้อย่างอื่นที่เหลือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
คำพูดไม่สำคัญมากนัก จงฟังด้วยตาไม่ใช่ด้วยหู สิ่งที่สำคัญกว่าการฟังถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดคือ การฟังน้ำเสียงของพวกเขา และการอ่านสิ่งที่เรียกกันว่าภาษากาย หรือท่าทางที่แสดงออกมา ดังนั้น เวลาฟังใครสักคน แค่ฟังคำพูดยังไม่พอ จำเป็นต้องอ่านภาษากายของพวกเขาด้วย
การแสดงสีหน้า ใบหน้าของมนุษย์เป็นส่วนที่มีการแสดงออกมากที่สุด และสามารถสื่ออารมณ์ได้นับไม่ถ้วน โดยไม่ต้องปริปากพูดสักคำ โดยสื่อความหมายเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนจากพื้นที่ใดในโลก ทั้งสุข เศร้า โกรธ แปลกใจ กลัว และขยะแขยง ล้วนไม่ต่างกันไม่ว่าจะในสังคมไหน
ท่าทางและการเคลื่อนไหวร่างกาย วิธีที่คนเรานั่ง ยืน เดิน และขยับตัว ตำแหน่งคอและศีรษะรวมถึงท่าทางต่าง ๆ ล้วนสื่อข้อมูลมหาศาล การสื่อสารด้วยภาษาที่ไม่ใช้คำพูดรูปแบบนี้ ประกอบไปด้วยท่าทาง ท่าที ท่วงท่า ไปจนถึงการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย
อากัปกริยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน โบกมือ ชี้ กวักมือ และใช้มือประกอบท่าทางเวลาพูด หรือถกเถียงอย่างออกรส บ่อยครั้งก็แสดงอากับกิริยาออกมาโดยไม่ได้คิด จึงจำเป็นต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด
การสบตา เนื่องจากการมองเห็นเป็นประสาทสัมผัสที่คนส่วนใหญ่ใช้บ่อยที่สุด การสบตาจึงเป็นการสื่อสารด้วยภาษาที่ไม่ใช้คำพูดที่สำคัญมากเป็นพิเศษ วิธีที่คนอื่นมองสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง
การสัมผัส คนเราสื่อสารผ่านการสัมผัสบ่อยมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการจับมือแบบพอเป็นพิธี แตะไหล่แบบเขินอาย สวมกอดอย่างอบอุ่น จงใส่ใจวิธีที่คนอื่นสัมผัสในช่วงต้นของบทสนทนา
ท้ายที่สุดแล้ว การจะอ่านภาษากายได้เก่งขึ้นนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการเอาใจใส่ และหมั่นฝึกฝนในระหว่างการสนทนา ข้อมูลลับทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ฟังและโน้มน้าวคนได้เก่งขึ้น
รับเครื่องดื่มเสมอ เมื่อเป็นฝ่ายได้รับข้อเสนอเครื่องดื่ม ก่อนการประชุมจงรับมันไว้เถอะ ถึงแม้จะไม่กระหายน้ำก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายเสนอกาแฟแต่ไม่ดื่มกาแฟ ให้ขอเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าแทน การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ จะช่วยให้คนที่นัดพบรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านที่ดีและสบายใจ ทั้งยังทำให้พร้อมที่จะอ่านใจเขาได้ดีขึ้น และชักจูงเขาได้ด้วย จำไว้ว่าการเป็นที่ชื่นชอบเป็นเรื่องของการทำให้คนอื่นรู้สึกดี และการรับเครื่องดื่มจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี เพียงแต่มีข้อควรระวัง 2 อย่าง
อย่างแรกคือถ้าอีกฝ่ายไม่ได้เสนอเครื่องดื่มอย่าขอ นั่นอาจส่งผลตรงกันข้ามได้ โดยทำให้เขารู้สึกแย่ที่ไม่มีอะไรจะมอบให้
อย่างที่ 2 คือ หากมีการเสนออาหารควรปฏิเสธอย่างสุภาพ เว้นแต่จะประชุมกันระหว่างมื้อกลางวัน อาหารเป็นตัวการทำให้เสียสมาธิได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในยามที่อยากจะทำให้ดีที่สุด
เกทับเฉพาะตอนเล่นไพ่โป๊กเกอร์ ในทุกที่ยกเว้นโต๊ะไพ่โป๊กเกอร์ การเกทับมักใช้ไม่ได้ผล การเล่นไพ่โป๊กเกอร์ถูกออกแบบมาเพื่อเปิดโอกาสให้คนเกทับกัน เมื่อคำนวณความเสี่ยงอย่างรอบด้านแล้ว และตัดสินใจเกทับ บางครั้งมันก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แถมคู่ต่อสู้ยังไม่มีวันรู้ด้วยว่าเกทับ เพราะมั่นใจจริง ๆ หรือแค่บลัฟฟ์ แต่ในเกมชีวิตการเกทับนั้นเสี่ยงเกินไป จริงอยู่ว่าถ้ามองในแง่ดีการเกทับ อาจช่วยให้จูงใจคนอื่นให้ยอมทำงานด้วยค่าแรงที่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ ยอมจ่ายเงินมากขึ้นให้กับสิ่งที่เสนอ หรือยอมช่วยให้บรรลุเป้าหมายอื่น ๆ ถ้ามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าการเกทับบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจกัน คนที่เกทับไม่จริงใจกับการกระทำของตัวเอง แถมยังทำลายความสัมพันธ์ในระยะยาวด้วย อันที่จริงการเกทับเป็นเรื่องปกติในโลกธุรกิจ การหัดตรวจจับมันให้ได้ คือทักษะหลักที่จำเป็นต่อการอ่านใจ และเข้าใจคน
บทที่ 4 เชื่อมโยงกับผู้อื่น
รับรู้และเข้าใจ เทคนิคกระจกเงาเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม ที่จะช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่ามีคนรับฟัง แต่การรับรู้และเข้าใจช่วยยกระดับเทคนิคนี้ขึ้นไปอีกขั้น ลองคิดว่าเป็นอีกฝ่ายดู นอกจากทวนทุกคำที่เขาพูด ให้พูดบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเข้าใจว่าเขาน่าจะกำลังรู้สึกอย่างไร ถ้าทำออกมาได้ดี ผลลัพธ์จะทรงพลังสุดขีด จะสามารถสลายความรู้สึกลบ เพิ่มความรู้สึกบวก รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยั่งยืนได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที ข้อควรระวังก็คือการรับรู้และเข้าใจ มีความเสี่ยงมากกว่าเทคนิคกระจกเงา
สำหรับเทคนิคกระจกเงาแค่พูดทวนสิ่งที่ได้ยินทุกคำ และตั้งใจฟังให้ดี ก็จะไม่มีทางพลาด ทว่าในการรับรู้และเข้าใจนั้น กำลังตีความความรู้สึกที่คิดว่าได้ยิน หากตีความผิดอาจพลาดเต็มประตู และก่อให้เกิดผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่ต้องการได้ การรับรู้และเข้าใจเป็นวิธีที่ทรงพลังมากที่สุดเพียงวิธีเดียว ในการเชื่อมโยงกับผู้อื่น แน่นอนว่าวิธีนี้จะทำได้ยาก หากไม่เห็นด้วยกับคนที่กำลังรับรู้และเข้าใจ หรือถ้าไม่ได้รู้สึกเหมือนอีกฝ่าย แต่จำไว้ว่าการรับรู้และเข้าใจไม่ใช่การเห็นด้วย การยินยอม การยอมแพ้ หรือการยอมรับว่าผิด มันแค่เป็นการแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเข้าใจสิ่งที่เขาเผชิญและห่วงใยด้วยใจจริง เมื่อมีข้อขัดแย้งหรือความเห็นไม่ตรงกัน แทนที่จะปกป้องตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำ การรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย รวมถึงการทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกันมากขึ้น จะก่อให้เกิดทางออกที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกฝ่าย
ตัวตนบนโลกออนไลน์คือตัวตนในชีวิตจริง บล็อกและอินเตอร์เน็ตอาจดูน่ากลัว แต่สามารถใช้มันสร้างจุดเด่นได้ด้วยการแสดงตัวตนที่ซื่อสัตย์ เปราะบาง และเป็นตัวของตัวเอง มีบล็อกเป็นร้อยล้านบนโลกใบนี้ แต่มีเพียงบล็อกเดียวเท่านั้นที่แสดงเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร แน่นอนว่าผลลัพธ์อาจเป็นตรงกันข้าม การโพสอย่างนั้นอาจทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ และเลือกที่จะไม่ทำธุรกิจได้เช่นกัน ในเรื่องนี้ทำให้เข้าใจบทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่ง ตัวตนบนโลกออนไลน์คือตัวตนในชีวิตจริง ไม่จำเป็นต้องแยกรูปแบบการเขียนให้เหมาะกับสื่อต่าง ๆ
หนังสือธุรกิจและที่ปรึกษาด้านอาชีพส่วนใหญ่ มักแนะนำให้ซ่อนสิ่งใดก็ตามที่เป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ เพราะกลัวว่าอาจถูกว่าที่เจ้านาย หรือเจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากรเห็น และเป็นภัยต่อโอกาสในอาชีพการงาน คนที่กำลังจะจ้างใครสักคนก็อยากดูว่า เขากล้าเปิดเผยความเป็นตัวเอง เพื่อนฝูง ครอบครัว และชีวิตส่วนตัวหรือเปล่า หากเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้ ข้อสรุปก็มีอยู่แค่ 2 อย่างคือ เขาเป็นหุ่นยนต์หรือไม่ก็มีบางอย่างที่ต้องปิดบัง
คนที่ว่าที่เจ้านายอยากได้มาทำงานด้วยคือคนที่เต็มใจเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น สื่อสังคมออนไลน์มอบโอกาสที่ดี ที่จะได้แสดงตัวตนที่แท้จริง และสร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะสำหรับผู้นำธุรกิจทุกวันนี้ ลูกค้าที่ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลักมักดูในสื่อสังคมออนไลน์ว่า บริษัทต่าง ๆ เป็นใครและมีจุดยืนอย่างไร แต่แค่มีสื่อสังคมออนไลน์นั้นยังไม่พอ ต้องใช้ช่องทางเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย โดยเริ่มต้นจากการเป็นตัวตนที่เป็นอย่างแท้จริง ขณะที่สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ จงแน่ใจว่าแสดงความเป็นตัวเองในชีวิตจริงลงไปด้วย แทนที่จะพยายามขีดเส้นแบ่งระหว่างเพื่อส่วนตัวกับเรื่องงานและชีวิตจริงกับโลกออนไลน์ ลองผสมผสานมันเข้าด้วยกัน ค้นหาและส่งเสียงที่แท้จริงออกมา
กฎแพลตตินัมเหนือกว่ากฎทอง ทุกคนได้เรียนรู้กฎทองข้อหนึ่งที่เรียบง่าย และทรงพลังนั่นคือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติ นี่เป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่าคนเราล้วนแตกต่างกันในหลายกรณี สิ่งที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัตินั้นต่างจากสิ่งที่พันธมิตร พนักงาน ลูกค้า นักลงทุน ภรรยา หรือลูกอยากให้ปฏิบัติต่อพวกเขา พอคิดได้อย่างนี้แล้วผู้เขียนก็คิดกฎแพลตตินัมขึ้นมาทันที นั่นคือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่พวกเขาอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อพวกเขา กฎแพลตตินัมยากกว่ากฎทองอย่างไม่ต้องสงสัย คนเรารู้ได้อย่างง่ายดายว่าตัวเองต้องการอะไร ทว่ากลับไม่ง่ายเลยที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย
ถึงกฎแพลตตินัมนี้จะยากแต่ก็ทรงพลังกว่า ทั้งในทางธุรกิจและในชีวิตส่วนตัว กฎทองอาจจะดีทว่าก็ยังมีข้อจำกัด เพราะทุกคนและทุกสถานการณ์ย่อมแตกต่างกันไป ขณะที่การทำตามกฎแพลตตินัมนั้นหมายความว่า กำลังทำสิ่งที่อีกฝ่ายอยากให้ทำ ผลลัพธ์จึงย่อมออกมาดีกว่า
บทที่ 5 ชักจูงคน
ทำให้แนวคิดของคุณกลายเป็นของพวกเขา จากที่เคยมองโลกในแง่ร้ายสุด ๆ กับแนวคิดที่เสนอให้ลูกค้าไป กลับเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นสุดขีดได้ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็เพราะภายใน 24 ชั่วโมงนั้น ลูกค้าเกิดเข้าใจว่าแนวคิดทั้งหมดเป็นของตัวเอง ผู้เขียนแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายเชื่ออย่างนั้น เพื่อเพิ่มแนวโน้มที่ใครสักคนจะทึกทักว่าแนวคิดเป็นของตัวเองดังนี้
1.อย่าพูดว่า ผมมีแนวคิดจะเสนอ ถ้าจะนำหลักการนี้ไปใช้ตัดสรรพนามออกไป
2.ให้บรรยายภาพกว้าง ๆ ของสิ่งที่คิด หรือผลลัพธ์ของแนวคิดดังกล่าว แล้วปล่อยให้คนที่พยายามชักจูงเป็นคนแต่งเติมเสริมมัน และนึกภาพที่เหลือด้วยตัวเอง
3.อีกทางหนึ่งคือ การบรรยายภาพของสิ่งที่ตรงข้ามกับแนวคิด อะไรคือผลกระทบเชิงบลของการไม่อ้าแขนรับแนวคิดนั้นไว้ หรืออีกฝ่ายเห็นภาพเชิงลบของการไม่นำแนวคิดไปใช้ เขาจะได้ทางออกที่ป้องกันไม่ให้ภาพเชิงลบนั้นเกิดขึ้น
4.เวลาใครสักคนพูดอะไรที่ใกล้เคียงกับแนวคิด จงอ้าแขนรับมันเต็มที่ชื่นชมแนวคิดของอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น
5.ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่ต้องการ ให้แนะนำเพิ่มเติมหรือบอกปัดแนวคิดของอีกฝ่ายแบบเนียน ๆ โดยบอกว่าแนวคิดนั้นยอดเยี่ยมมาก และอาจจะยอดเยี่ยมได้มากกว่านั้นอีก ผู้เขียนมั่นใจว่าจะพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่แนวคิดของตัวคุณเองก็ตาม
มีความหลงใหลไปก็เท่านั้นถ้าไร้ความบากบั่น ความแตกต่างข้อใหญ่ที่สุดข้อหนึ่ง ระหว่างคนที่ชักจูงคนอื่นได้กับคนที่ทำไม่ได้คือ ความบากบั่น หลายคนพูดถึงความหลงใหล แน่นอนว่าความหลงใหลที่มีให้กับแนวคิดผลิตภัณฑ์ หรือความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ แต่คนที่มีความหลงใหลก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย ทั้งยังมีจำนวนมากกว่าคนที่มีความบากบั่นเยอะทีเดียว ความจริงข้อนี้พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่พนักงานขาย ผู้ประกอบการ และใครก็ตามที่กำลังไล่ตามบางสิ่งหรือบางคน เมื่อเป็นเรื่องของศิลปะเรื่องคนแล้ว ความบากบั่นคือสิ่งที่ช่วยสร้างความแตกต่าง โดยนิยามแล้วความบากบั่นคือการกระทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นหรือดื้อดึง แม้จะยากลำบากหรือมีการต่อต้านก็ตาม พูดอีกอย่างคือเมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มยุ่งยากจะยังคงพยายามทำต่อไป แต่ความบากบั่นไม่ใช่การพยายามแค่ 2 ครั้ง 3 ครั้งหรือ 4 ครั้ง มันคือการพยายามจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ หรือถึงจะแพ้ก็ไม่เลิก ความบากบั่นจะยังคงอยู่จนกว่าจะมั่นใจแบบไร้ข้อกังขาว่า ถึงเวลาต้องเดินหน้าต่อ และเก็บความล้มเหลวเป็นบทเรียน ความบากบั่นคือการพยายามจนกว่าจะหมดแรง
อย่าขายให้เล่าเรื่องแทน พลังของการเล่าเรื่อง ไม่มีใครอยากฟังคนขายของ แต่ทุกคนชอบฟังเรื่องราวดี ๆ กันเล่าเรื่องช่วยจูงใจ จับใจ และโน้มน้าวความรู้สึกของผู้คนในแบบที่ไม่มีสิ่งอื่นทำได้ การเล่าเรื่องเป็นเครื่องมือสื่อสารที่เหนือชั้นกว่าการขายมาก การเล่าเรื่องช่วยขายสินค้าบริการและแนวคิดได้ดีกว่าที่การขายจะทำได้ โชคดีที่ทุกวันนี้มีโลกออนไลน์ ทุกคนสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์บอกเล่าเรื่องราวได้ ยิ่งไปกว่านั้นสื่อสังคมออนไลน์ยังทำให้เล่าเรื่องได้ในวงกว้าง และมีศักยภาพที่จะเข้าถึงผู้คนมากกว่าแต่ก่อนแบบทวีคูณ หรือต่อให้ไม่ใช้ช่องทางออนไลน์แต่คุยกันแบบตัวต่อตัว หรือพูดในห้องประชุมที่มีคน 4-6 คน การเล่าเรื่องก็จับใจคนได้ในแบบที่ไม่มีวิธีไหนทำได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ การเล่าเรื่องนั้นชักจูงคนได้จริง
วิธีชักจูงที่ดีที่สุดคือการหุบปาก ประเด็นที่ต้องจำไว้คือ ถ้าจะชักจูงผู้อื่นต้องรู้ว่าเมื่อไหร่จะหุบปากและฟัง ไม่ว่าจะอยากพูดนำเสนอ ขายของ หรือโน้มน้าวใครสักคน วิธีที่ได้ผลกว่าคือการแสดงความสนใจในตัวอีกฝ่ายอย่างแท้จริงและจริงใจ ด้วยการฟังและตั้งคำถาม จากนั้นก็ฟังให้มากกว่าพูด แน่นอนว่าสุดท้ายต้องพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น พูดถึงผลิตภัณฑ์ หรือโต้แย้งด้วยเหตุผล แต่ถ้าวางรากฐานมาดีด้วยการรับฟัง การพูดจะง่ายขึ้นอย่างน่าประหลาด
จะไม่มีวันได้สิ่งที่ไม่ขอ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดถ้าไม่ขอย่อมไม่ได้ หลายคนกลัวจะไม่ได้มากเสียจนไม่ยอมขอเพื่อที่จะได้ สิ่งที่น่าขันก็คือพวกเขาไม่มีทางได้แน่ ๆ ถ้าไม่ยอมขอ จงอ้าแขนรับความกลัวที่จะไม่ได้แล้วขอเพื่อที่จะได้ดู นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การขอบางสิ่งช่วยให้ได้สิ่งที่ต้องการง่ายดายแค่ไหน ในปี 2005 หลังจากที่แครี่กับผู้เขียนหมั้นกันได้ไม่นาน เขาและเธออยากจัดงานแต่งงานแบบใหญ่โต โดยเชิญทุกคนที่รู้จักมาร่วมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุข แต่แครี่กับผู้เขียนไม่มีเงินมากพอที่จะจัดพิธีแต่งงานแบบนิวยอร์กดั้งเดิม และเชิญทุกคนที่รู้จักมาร่วมงานได้
แคลอรี่เป็นนักการตลาดโดยอาชีพและนิสัย เธอจึงผุดแนวคิดนอกกรอบที่วิเศษมากขึ้นมา พวกเขาจะติดต่อทีมเบสบอลในไมเนอร์ลีก และเสนอว่าจะใช้งานแต่งงานช่วยโฆษณาทีม นอกจากนี่ยังหาสปอนเซอร์และหาคนมาช่วยออกค่าจัดงานแต่งงาน ในสนามเบสบอลที่สามารถเชิญแขกนับพันมาร่วมงานได้ สปอนเซอร์จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากงานนี้ ซึ่งบางทีอาจสร้างกระแสและเรียกความสนใจจากสื่อ ส่วนผู้เขียนก็ได้งานแต่งงานสุดอลังการ โดยไม่ต้องออกเงินเองแม้แต่น้อย จึงได้เสนอแนวคิดนี้ให้กับทีมบรูกลีน ไซโคลนส์ ทีมในเมเจอร์ลีกที่เป็นพันธมิตรของทีมเมเจอร์ลีกอย่างนิวยอร์ก เมตส์ สตีฟ โคเอน ผู้จัดการทั่วไปของทีมชอบแนวคิดนี้มากพอที่จะกล้าลอง ต่อมาจึงติดต่อกับบริษัท 1-800-Flowers.com เพื่อขอให้เป็นสปอนเซอร์ดอกไม้ ติดต่อสเมอร์นอฟเพื่อขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขอของว่างจากเอ็นเทนแมนน์ส และขอชุดทักซิโด้จากอาฟเตอร์ ฮาวส์ นอกจากนี้ยังมีร้านค้าในท้องถิ่น และบริษัทระดับชาติอีกหลายแห่ง รวมแล้วคิดเป็นมูลค่าทางการค้าถึง 100,000 ดอลลาร์ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังขอให้สปอนเซอร์ช่วยบริจาคเงินสดให้กับมูลนิธิเดวิด ไรท์ ด้วย งานนี้เลยสามารถระดมทุน 20,000 ดอลลาร์ให้กับสมาคมผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งแห่งชาติ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2006
ผู้เขียนแต่งงานกับผู้หญิงที่รักต่อหน้าสักขีพยานอย่างเพื่อน และสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 500 คน กับคนแปลกหน้าอีก 5,000 คน ในสนามเบสบอลแทนที่จะเดินตามทางเดินในโบสถ์ กลับเดินลอดซุ้มไม้เบสบอลที่ทางทีมบรูกลิน ไซโคลนส์เป็นผู้ถือมัน เป็นงานแต่งงานที่น่าประทับใจมาก งานนี้กลายเป็นการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ให้กับพันธมิตรและสปอนเซอร์ได้อย่างน่าทึ่ง พันธมิตรตื่นเต้นมากกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนครั้งนี้
บทที่ 6 เปลี่ยนใจคน
สบายใจดีกว่าเป็นฝ่ายถูก คนเราไม่แทบไม่มีทางเปลี่ยนใจใครได้ เดล คาร์เนกี้ บอกไว้ว่า ถึงแม้ผู้คนจะถูกโน้มน้าวแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยนใจ การโต้เถียงรังแต่จะช่วยให้อีกฝ่ายยืนกรานที่จะอยู่ฝั่งตรงข้าม ในทางกลับกันการพูดสิ่งที่อยู่ในใจ แล้วเปลี่ยนกรอบความคิดของตัวเองนั้นง่ายกว่าเยอะ นี่คือการเลือกที่จะสบายใจ และปล่อยให้อีกฝ่ายทบทวนสถานการณ์ จนกว่าเขาจะหันมาเชื่อจุดยืนด้วยตัวเอง ถ้าอยากชักจูงใครอย่าเปลี่ยนใจเขา ให้เปลี่ยนกรอบความคิดของตัวเองจะดีกว่า
บริหารเจ้านายเสมอ เทคนิคนี้เหมาะจะใช้เมื่อไหร่ มันมีประโยชน์มากที่สุดเวลาที่ใครบางคนมีปัญหากับตัวคุณหรือสิ่งที่คุณทำ โดยเฉพาะถ้าเขาคนนั้นคือเจ้านาย จงดึงความสนใจออกไปจากตัวคุณเอง และความผิดใดก็ตามที่กำลังทำอยู่ ค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วมอบสิ่งนั้นให้กับเขา ก่อนจะปล่อยให้เขาตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องเอง จำไว้ว่าการบริหารเจ้านายไม่ใช่การประจบประแจง หรือทำตามที่เจ้านายต้องการทุกอย่าง ทว่าหมายถึงการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อะไรคือสิ่งที่สำคัญต่อเจ้านายและผู้บริหาร แล้วมอบสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษให้กับพวกเขา จงมองว่าการบริหารเจ้านายเป็นกฎแพลตตินัมสำหรับองค์กร คิดให้เหมือนเจ้านายแล้วจะได้สิ่งที่ต้องการ ในยามที่ต้องการมันมากที่สุด
เลิกแกล้งถ่อมตัว ในเรื่องนี้มีคำเตือนอยู่ 2 ข้อได้แก่ 1.อย่ากลัวและต้องจริงใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาโพสเกี่ยวกับความสำเร็จบนสื่อสังคมออนไลน์ 2.ชื่นชมผู้อื่นด้วยใจจริงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แนวคิดเบื้องหลังคำเตือนข้อแรกนั้นเรียบง่ายมาก ถึงอย่างไรก็จะถูกคนอื่นตัดสินอยู่ดี ดังนั้น แค่เป็นตัวของตัวเอง และยืนหยัดกับความจริงข้อนั้น ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรก็ตาม สำหรับคำเตือนข้อที่ 2 การชื่นชมผู้อื่นด้วยใจจริง ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดี และสบายใจมากขึ้นที่จะแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จ ที่สำคัญที่สุดคือมันแสดงให้โลกเห็นว่าไม่ได้หมกมุ่นแต่กับตัวเอง และมีแนวโน้มที่จะยกย่องผู้อื่นมากพอ ๆ กับยกย่องตัวเอง
ศิลปะแห่งการโปรโมทตัวเองเป็นสิ่งที่จำเป็นและท้าทายเสมอ แถมสื่อสังคมออนไลน์ยังทำให้มันยิ่งจำเป็น และท้าทายมากขึ้นด้วย เมื่อ 80 กว่าปีก่อน เดล คาร์เนกี เขียนไว้ว่า สูตรลับแห่งความสำเร็จคือการไม่พูดจาให้ร้ายใคร และพูดถึงแต่เรื่องดี ๆ ของทุกคน ถ้อยคำเหล่านี้เป็นจริงอย่างที่สุดในยุคนี้ เมื่อเปิด facebook twitter หรือลิงค์อิน จะเห็นข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา ทั้งนักการตลาดและนักโปรโมทตัวเองต่างแข่งกันเต็มไปหมด การลงสนามแข่งด้วยอาจเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงการทำมันในแบบอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด หรือไม่หมกมุ่นกับตัวเองจนเกินไปเลย ทว่าคำเตือน 2 ข้อข้างต้นช่วยได้แน่
ทำให้เวลาเป็นเพื่อน เวลาเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด และแม้ว่าทุกคนจะอยากได้เวลาของเรา ก็เลยจำเป็นต้องหวงแหนมันอย่างจริงจัง ถ้าตัวเราอยากประสบความสำเร็จ เพราะคนส่วนใหญ่มักอยากได้เวลาของเรามากเกินกว่าที่จะให้ได้เสมอ ผู้เขียนจึงทำการตัดสินใจเริ่มกำหนดเวลาทำการ โดยทุกวันพฤหัสบดีของแต่ละสัปดาห์ ผู้เขียนจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงพบกับคนที่ติดต่อเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ และให้เวลาแต่ละคนแค่ 15 นาที วิธีนี้ทำให้เขาปฏิเสธผู้คนได้ง่ายขึ้น หรืออย่างน้อยก็บอกพวกเขาได้ว่า ต้องรอจนกว่าเวลาทำการจะว่างอีกที แน่นอนว่าไม่ต้องสร้างระบบเวลาทำการ และพบปะทุกคนที่ต้องการเวลา แต่จำเป็นต้องหาวิธีจัดลำดับความสำคัญให้กับเวลาอันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด
ระบบเวลาทำการของผู้เขียนทำให้บางคนต้องรอสักพักทีเดียวกว่าจะได้คุย แต่ถ้าพวกเขาเต็มใจรอ พวกเขาจะได้คุยเต็มที่ในระหว่างช่วงเวลา 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ที่สำคัญกว่านั้นปฏิทินตอนนี้เริ่มสะท้อนให้เห็นสิ่งที่ให้ความสำคัญมากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ ระบบนี้ทำให้เขามีเวลาให้กับคนที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตอย่างภรรยา ครอบครัว และเพื่อนสนิท แถมยังมีเวลาว่างอีกเล็กน้อย สำหรับใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ และเขียนงานด้วย
บทที่ 7 สอนคน
ทำเป็นตัวอย่าง ถึงแม้พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นครู แต่ทุกคนต้องสวมบทบาทครูในทางใดทางหนึ่งทุกวัน ไม่ว่านักเรียนจะเป็นใคร จงจำไว้ว่าการบอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไรนั้น แตกต่างจากการแสดงวิธีทำให้พวกเขาเห็นมากทีเดียว เมื่อไหร่ที่ต้องสอนใครสักคน ไม่ว่าจะสอนลบเลขให้กับเด็ก 6 ขวบ หรือสอนงานให้เพื่อนร่วมงาน วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้ครบทุกขั้นตอน โดยต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่ารู้วิธีทำแต่คนอื่นไม่รู้ นี่ดูจะเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่หลายคนที่ต้องสอนบางอย่างให้กับบางคนกลับหงุดหงิดเร็วมาก เวลาที่นักเรียนของพวกเขาไม่เข้าใจในทันที ให้นึกว่าตัวเองเป็นนักเรียน ถ้ายังทำไม่ได้ในตอนแรกย่อมอยากให้มีคนแสดงวิธีทำให้ดูอีกครั้งและอีกครั้ง โดยไม่ตัดสิน ความอดทนคือกุญแจสำคัญสำหรับการสอน ครูที่เก่งที่สุดมักเป็นคนที่อดทนมากที่สุด พวกเขาทำเป็นตัวอย่างทีละขั้นตอน แยกงานออกเป็นส่วน ๆ และอธิบายแต่ละส่วนให้เข้าใจง่าย สามารถสอนเรื่องอะไรให้กับใครก็ได้ แค่นึกภาพว่านักเรียนเป็นเด็กเกรด 1
เสริมจุดแข็ง การเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง และใช้มันสอนผู้อื่น รวมถึงช่วยให้ผู้อื่นค้นพบจุดแข็งของพวกเขา และสอนพวกเขาโดยคำนึงถึงจุดแข็งดังกล่าว กี่ครั้งแล้วที่ต้องสอนบางสิ่งให้กับคนที่ไม่เต็มใจจะเรียน กี่ครั้งแล้วที่ตัวเองก็ไม่อยากจะสอนบางเรื่องเพราะไม่ได้มีความมั่นใจ หรือรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถไม่เต็มร้อยในเรื่องที่ต้องสอน การสอนคงไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าไม่ใช่ครูที่เหมาะจะสอนเรื่องนั้น และคนที่สอนก็ไม่เหมาะกับทักษะหรืองานนั้น แน่นอนว่าบางครั้งทุกคนจำเป็นต้องเรียนสิ่งที่ไม่อยากเรียน แต่หลายครั้งสามารถกำหนดให้แต่ละคนสอนหรือเรียนสิ่งที่เหมาะกับพวกเขา และพวกเขาจะได้ใช้จุดแข็งที่มีอย่างเต็มที่กว่าเดิม จำไว้ว่าแต่ละคนล้วนมีที่ทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ทุกคนสามารถเรียนรู้และประสบความสำเร็จได้ เมื่อพวกเขาใช้จุดแข็งที่มีอยู่
อย่าเป็นครู จงเป็นโค้ช ในที่ทำงานพวกเราหลายคนอาจได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการหรือครูทั้งที่ไม่ได้รับการอบรมมามากพอ และอาจเผลอพยายามควบคุม บริหารงานแบบจู้จี้จุกจิก และชอบวิพากษ์วิจารณ์เกินจำเป็น เหตุผลไม่ใช่แค่เพราะยอมไม่อยากให้ทีมงานและพนักงานเกลียด แต่ยังเพราะมันไม่ได้ผลด้วย แทนที่จะมองว่าตัวเองเป็นครูหรือผู้จัดการ ลองเปลี่ยนไปมองว่าตัวเองเป็นโค้ชดู โค้ชที่เก่งจะคอยให้กำลังใจไปพร้อมกับสอน พวกเขาจะช่วยให้ชนะและประสบความสำเร็จ รวมถึงคอยสนับสนุนด้วย โค้ชที่ทำแบบนี้ได้ไม่เพียงทำให้ทุกคนมีความสุขมากขึ้น แต่ยังช่วยให้ตัวเองสอนและบริหารจัดการได้ดีขึ้นด้วย ส่วนโค้ชที่ไม่เก่งมักนำไปสู่ความหวาดกลัว โค้ชหลายคนตะโกนใส่หน้านักกีฬาและชอบข่มขู่ โค้ชเก่ง ๆ จะไม่ทำแบบนั้น โดยจะคอยสนับสนุนและรับผิดชอบนักกีฬาของตัวเอง พวกเขารู้ดีว่าเวลาไหนควรสอน แล้วเวลาไหนควรให้กำลังใจ โค้ชที่ดีจะอยู่กับนักกีฬาตั้งแต่ต้นจนจบ และนั่นส่งผลให้นักกีฬาประสบความสำเร็จ จงเปิดใจที่จะเรียนรู้ไปกับนักเรียนหรือลูกน้อง นำพาพวกเขาไปในทิศทางที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน ทุกคนคือผู้ชนะ
อย่ารับผิดชอบตัวเอง หนังสือธุรกิจนับล้านเล่มอ้างว่า ควรรับผิดชอบตัวเองและประสิทธิภาพของตัวเองทั้งในและนอกที่ทำงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วควรปล่อยให้คนอื่นรับผิดชอบ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จและหรือความล้มเหลว ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น นั่นก็เพราะเวลาที่อยู่ในความรับผิดชอบของใครสักคนที่เคารพและไว้ใจ จะอย่าพยายามให้หนักขึ้นเพื่อทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังจะเลิกหาเหตุผลและข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการหรือไม่ การสอนผู้คนให้รู้ถึงพลังของเป้าหมาย และพลังของคู่หูที่ร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงการหาคู่หูให้พวกเขา และช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการให้คำปรึกษากับรายงานผล ย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาล โดยจะพบว่าพวกเขาทำงานสำเร็จมากขึ้น และมั่นใจขึ้น 3 ขั้นตอนสำหรับกระบวนการดังกล่าวมีดังนี้ 1.หาคู่หูที่เคารพและไว้ใจกัน 2.ร่วมกันตั้งเป้าหมายตามหลักการ SMART 3.รายงานผลอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งถ้าเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งได้ก็จะดี หากสามารถสอนกระบวนการนี้ให้กับตัวเองและผู้อื่นได้ จะพบว่าทุกคนทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
บทที่ 8 นำทางผู้คน
เป็นผู้นำให้เป็น คนที่ได้เรียนหลักสูตรความเป็นผู้นำนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง ทว่ากลับมีคนจำนวนมากที่ถูกขอให้ขึ้นเป็นผู้นำ ในจุดหนึ่งของชีวิตย่อมมีโอกาสถูกเลือกหรือถูกขอให้เป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำหมายถึงการนำแบบทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง มันหมายถึงการเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น มันยังหมายถึงการทำสิ่งที่ถูกต้องอีกด้วย ความเป็นผู้นำหมายถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด มันยังอาจหมายถึงอีกหลายสิ่งตามแต่คนจะนิยามด้วย ความเปิดกว้างเช่นนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มี 3 สิ่งและแค่ 3 สิ่งนี้เท่านั้นที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ต้องมุ่งเน้นนั่นคือ 1.กำหนดและสื่อสารวิสัยทัศน์โดยรวมให้กับทีม 2.กำหนดคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าในทีม 3.หาทรัพยากรและเงินให้มากพอที่จะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ สิ่งที่น่าสนใจก็คือถ้าทำทั้ง 3 สิ่งนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ก็เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมได้ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของคน 1 คน 10 คนหรือพันคน สามารถนำ 3 สิ่งนี้ไปประยุกต์ใช้ในทีมหรือองค์กรได้อย่างง่ายดาย
เซลล์กระจกเงากับเหตุผลที่ความอารมณ์ดีพาไปได้ไกล สมองของเราทุกคนมีเซลล์กระจกเงาซึ่งจะลอกเลียนความรู้สึกของคนที่กำลังคุยด้วย เซลล์นี้ถูกกระตุ้นทั้งตอนที่ทำพฤติกรรมหนึ่ง และตอนที่สังเกตเห็นคนอื่นทำพฤติกรรมเดียวกัน โดยเซลล์กระจกเงาจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมของอีกฝ่าย อยู่ในสมองราวกับเป็นผู้กระทำเอง ดังนั้น ถ้าเป็นนักพูดและขึ้นเวทีตอนอารมณ์ไม่ดี ผู้ฟังมีแนวโน้มที่จะรู้สึกได้และกลายเป็นผู้ฟังที่ไม่ดี ในทางตรงกันข้ามถ้าขึ้นเวทีตอนอารมณ์ดี เซลล์กระจกเงาของผู้ฟังจะรู้สึกอย่างนั้นด้วย แล้วพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฟังที่ดี หน้าที่ในฐานะผู้นำคือ การทำให้คนอื่นได้แสดงฝีมือออกมาให้มากที่สุด และบางครั้งนั่นก็หมายถึงการกำจัดอารมณ์แง่ลบ ที่ซุกซ่อนอยู่ออกไปจนหมด ตอนนี้รู้เรื่องเซลล์กระจกเงาแล้ว ทั้งยังรู้ว่าอารมณ์มีอิทธิพลมากแค่ไหน ในแต่ละครั้งและทุกครั้งที่พูดคุยกับทีมงาน ลองพิจารณาดูว่าจะคงทัศนคติเชิงบวกเอาไว้ พลางเน้นย้ำวิสัยทัศน์กับภาพรวมได้อย่างไร
คำที่ทำให้ทุกคนอยากอยู่ใกล้ คำว่า วิเศษสุด ๆ ช่วยดึงดูดคนที่กำลังพูดคุยด้วย คน ๆ นั้นจะอยากอยู่ใกล้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร พวกเขาย่อมคิดว่าการรู้สึกวิเศษสุด ๆ นั้นย่อมดีกว่า ใครจะไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการบอกว่ารู้สึกพิเศษสุด ๆ พร้อมฉีกยิ้มกว้างจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นในพริบตา และอารมณ์ดังกล่าวจะส่งต่อไปถึงคนอื่นด้วย คำว่า จินตนาการดูสิ ก็เป็นคำที่ทรงพลังอีกคำหนึ่ง เพราะมันทำให้ผู้คนวาดฝันถึงสิ่งที่อาจเป็นไปได้ ทุกคนชอบจินตนาการอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาจินตนาการโดยใช้คำนี้ พวกเขาจะรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง จงเพิ่มคำว่าวิเศษสุด ๆ กับจินตนาการดูสิเข้ามาในคลังคำที่ใช้บ่อย แล้วจะรู้สึกทึ่งมากที่เห็นว่าคนอื่นมีปฏิกิริยาอย่างไร
จงเป็นผู้แจ้งข่าวร้ายเสมอ คำแนะนำที่ว่าให้แจ้งข่าวร้ายเสมออาจฟังดูขัดแย้งกับคำแนะนำเกี่ยวกับการกระจายพลังบวก แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคำแนะนำนี้สอดคล้องกันอย่างยิ่ง นั่นก็เพราะถึงแม้ผู้คนมักชอบรายล้อมในช่วงเวลาดี ๆ แต่จะชักจูงคนอื่นได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อสามารถทำให้ผู้คนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาแย่ ๆ ถ้าโปร่งใสอยู่เสมอ พวกเขาจะรู้ว่าไม่มีวันปิดบังความจริง แล้วพวกเขาก็จะเชื่อใจและพร้อมสู้ไปด้วยอย่างเต็มที่ ความไว้วางใจที่เกิดขึ้นจากความโปร่งใส เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างทีมและบริษัทให้เติบโต
ทำให้ตัวเองอารมณ์ดีก่อนเข้าประชุม การขอบคุณเป็นวิธีที่ทรงพลังในการเปลี่ยนกรอบความคิด ผู้นำที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากค้นพบประโยชน์ของการหมั่นฝึกขอบคุณ ตัวอย่างเช่น แครี่ เซสซิก ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของ Restaurant.com เคยสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองด้วยการเขียนถึง 5 สิ่งที่เขารู้สึกขอบคุณในแต่ละวัน ซอว์น เอเคอร์ นักพูดและนักเขียนหนังสือขายดีเรื่อง The Happiness Advantage ฝึกฝนการขอบคุณทุกวันเพื่อให้สมองมองโลกในแง่บวกมากขึ้น เซลดอน เยลเลน CEO ของบริษัทเบลฟอร์ที่มีมูลค่าพันล้านส่งการ์ดขอบคุณ หรือการ์ดวันเกิดให้พนักงานทุกวัน ศรีกุมาร ราโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสุข นักเขียนและอาจารย์จากโรงเรียนธุรกิจโคลัมเบีย เคยเขียนถึงความสุขที่ได้จากการขอบคุณบางอย่างก่อนนอนทุกคืน ความสุขที่ได้จากการรู้สึกขอบคุณนั้นอัศจรรย์และดีมาก จำเรื่องเซลล์กระจกได้ไหม การรู้สึกขอบคุณส่งผลให้อารมณ์เป็นไปในทางบวก และอารมณ์ก็จะส่งผลต่อผู้คนรอบตัวอีกทอดหนึ่ง สามารถทำให้แต่ละวัน แต่ละการประชุม หรือแม้กระทั่งแต่ละการปฏิสัมพันธ์ เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ ความหวัง และความรู้สึกขอบคุณได้ ถ้าเต็มใจที่จะทำอย่างนั้น
บทที่ 9 คลี่คลายความขัดแย้งกับผู้คน
ถ้าพร้อมเป็นผู้ช่วยเหลือก็จะหาทางออกที่ดีที่สุดได้ คำถามที่สำคัญที่สุดในการเริ่มความสัมพันธ์กับใครสักคนคือ มีอะไรที่จะช่วยได้บ้าง ในการคลี่คลายความขัดแย้งคำถามที่สำคัญที่สุดคือ จะช่วยแก้ปัญหานี้อย่างไรเพื่อให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ ถึงแม้การหาคำตอบให้กับคำถามที่ 2 มักต้องมีการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอม แต่การพิจารณาว่าจะช่วยได้อย่างไรก็คลี่คลายสถานการณ์ได้ดีกว่า การพิจารณาว่าจะลงโทษอย่างไรดี จะเป็นฝ่ายถูกได้อย่างไร หรือจะแสดงให้พวกเขาเห็นได้อย่างไร เพราะคำถามที่ว่าจะช่วยได้อย่างไรนั้น แฝงไว้ด้วยคำถามที่ว่าจะช่วยให้รู้สึกว่ามีคนรับฟังได้อย่างไรเสมอ การทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามีคนรับฟังเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ทำให้ได้รับความเคารพและมีอิทธิพล ทัศนคติของคนที่มีต่อการคลี่คลายความขัดแย้ง เป็นปัจจัยที่สร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง การพยายามคลี่คลายความขัดแย้งด้วยทัศนคติของผู้ช่วยเหลือ จะทำให้ทุกฝ่ายสบายใจและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ในความขัดแย้งใดก็ตามทุกคนย่อมอยากมีคนรับฟัง ช่วยเหลือ และช่วยแก้ปัญหา
อย่าหัวร้อน ไม่มีทางคลี่คลายความขัดแย้งได้ถ้ายังมีโทสะ หรืออยู่ในภาวะอารมณ์ที่ไม่มั่นคง อย่าพยายามแก้ไขปัญหาในช่วงนั้น ไม่ว่าจะอยากให้คลายความขัดแย้งในทันทีมากแค่ไหน วิธีที่ดีที่สุดคือการรอให้ใจเย็นลง ถ้าเป็นฝ่ายที่อารมณ์ไม่มั่นคง จำเป็นต้องอธิบายให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างใจเย็น เช่น ตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่มั่นคงเอามาก ๆ จะขอขอบคุณจริง ๆ ถ้าหาทางแก้ไขปัญหานี้กันทีหลัง การอธิบายอย่างใจเย็นในขณะที่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์นั้นไม่ง่ายเลย แต่ก็จำเป็นต้องทำ ถ้าเป็นฝ่ายรับมือกับคนที่อารมณ์ไม่มั่นคง จำเป็นต้องให้เวลาเขาก่อนที่จะพยายามคลี่คลายความขัดแย้ง ถึงแม้จะอยากแก้ไขปัญหาให้ไวที่สุด แต่สถานการณ์ไม่มีทางดีขึ้นได้ จนกว่าทั้งคู่จะสงบอารมณ์ใจเย็นลงและมีสติมากขึ้น อย่าเสียเวลาและเสียแรงกับสถานการณ์นั้น ถ้ามองออกว่าอีกฝ่ายยังไม่ยังโมโหอยู่ หายใจเข้าลึก ๆ ให้เวลากับเขา แล้วค่อยคลี่คลายความขัดแย้งกันทีหลัง ในหลายสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนมากมาย 1 ฝ่าย เช่น การคลี่คลายความขัดแย้งทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เวลาเป็นทรัพย์สินที่มีค่า จงหลีกเลี่ยงความปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาในทันที ให้เวลากับสถานการณ์นั้น แล้วทั้งสองฝ่ายอาจกลับมาคุยกันอย่างใจเย็น และมีเหตุผลมากกว่าเดิม ส่งผลให้ทุกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
ปล่อยวางเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ถ้าเจอความขัดแย้งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ก็แค่ต้องปล่อยวาง ปล่อยวางการควบคุม ปล่อยวางผลลัพธ์ ปล่อยวางทุกอย่าง แน่นอนว่าการปล่อยวางเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ยิ่งอยากได้อะไรสักอย่างหรือใครสักคนมากแค่ไหน ก็ยิ่งปล่อยวางยากเท่านั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเครียดแค่ไหน ไม่ว่าความขัดแย้งจะสร้างความกังวล และทำให้ปราสาทเสียแค่ไหน ไม่ว่าจะรู้สึกอับจนหนทางมากขนาดไหน ความจริงแล้วย่อมมีทางเลือกอีกมากมาย เลือกได้ว่าจะปล่อยวาง และดูแลตัวเองให้ดีในวันที่ชีวิตคู่ดูมืดมน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งสามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้แบบสบาย ๆ บางครั้งก็ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย หากยอมสละเวลารับฟัง ใช้เทคนิคกระจกเงารับรู้และเข้าใจ รวมถึงมีความอดทน จะอยู่ในจุดที่ว่าจะคบหากับใครก็ไปกันรอด แต่บางความขัดแย้งก็ไม่อาจคลี่คลายได้ในสถานะการแบบนั้น วิธีที่ดีที่สุดและวิธีเดียวที่ทำได้คือ การตัดสินใจปล่อยวาง จงยอมจำนนให้กับสิ่งที่ไม่อาจควบคุมทได้ และควบคุมสิ่งที่ทำได้ ดูแลความคิด ร่างกาย และหัวใจให้ดี มีความขัดแย้งมากมายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถ้าตระหนักรู้ได้ไว ปล่อยวาง และเดินหน้าต่อหรือเดินออกไปจากตรงนั้น ก็จะรู้สึกปลอดโปร่งในไม่ช้า
บทที่ 10 สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน
จำไว้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ผู้คนชอบฟังเรื่องราวความสำเร็จ พวกเขาชอบความสำเร็จของพวกเขา ถ้าอยากสร้างแรงบันดาลใจต้องปล่อยให้พวกเขาคิดเกี่ยวกับตัวเอง และภาพอนาคตของพวกเขาเอง ผู้คนมักหลงคิดไปว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง หรือผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ถ้าเป็นพนักงานขาย ผู้ประกอบการ หรือผู้นำประเภทใดก็ตาม อย่าเคยชินกับการเป็นจุดเด่น หรือมองว่าผลิตภัณฑ์ที่ขายเป็นจุดเด่น แต่ไม่ว่าความคิดนั้นจะเป็นจริงแค่ไหน ก็จำเป็นต้องถ่อมตัว และดำเนินบทสนทนาโดยมุ่งเน้นอีกฝ่ายไม่ใช่ตัวเอง
ไม่ต้องคิดเอง ไม่ว่าจะอยากพูดอะไรก็เคยมีคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าพูดมาก่อนทั้งนั้น แถมพูดได้ดีกว่าด้วย คิดว่าแนวคิดนี้ฉลาดดี อย่างน้อยก็คุ้มค่ากับการเสียเวลา อันที่จริงมันเข้าท่ามาก โลกนี้เหลือข้อคิดที่ไม่เหมือนใครอยู่น้อยมาก ดังนั้น ทำไมถึงไม่ใช้ประโยชน์จากความคิดฉลาด ๆ ของคนสมัยก่อน จงยืมถ้อยคำที่พวกเขาเคยใช้สื่อสาร สิ่งที่คิด และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมาใช้ ทำไมต้องคิดสิ่งที่เคยมีคนคิดค้นมาก่อนด้วย สิ่งที่คำคมทั้งหมดมีเหมือนกันคือ มันสรุปแนวคิดที่อาจอยากนำไปพูดได้อย่างทรงพลัง อีกทั้งทุกคำคมล้วนสร้างแรงบันดาลใจด้วย คำคมอย่างเดียวนั้นคงไม่พอต้องเพิ่มคำพูดของตัวเองลงไปด้วย แต่การเปิดการประชุมและบางครั้งก็รวมถึงการปิดการประชุมด้วย โดยใช้คำคมที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีม ทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน และเตรียมพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ข้อความที่โพสต์ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ การหยิบยกคำคมขึ้นมาพูดหรือโพสต์ ไม่เพียงถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณ แต่ยังทรงพลัง สร้างแรงบันดาลใจ และมีประโยชน์ด้วย ผู้คนชอบแสวงหาแรงบันดาลใจไม่ว่าจะในช่วงเวลาไหนของวัน ถ้าพบคำคมที่พูดถึงสิ่งที่กำลังคิดหรือรู้สึกได้ กระชับ ชัดเจน และทรงพลังลองพิจารณาที่จะส่งต่อคำคมนั้น พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา ให้กับทีมงานและโลก
คนไร้บ้านคือยาแก้อารมณ์เสียที่เห็นผลทันตา การสุ่มทำความดีเป็นยาแก้อารมณ์เสียที่เห็นผลทันตา ไม่ต้องแจกเงินให้คนไร้บ้านก็ได้ อาจเก็บขยะ โทรหาคุณยาย ช่วยเปิดประตูให้คนอื่น หรือสุ่มช่วยโปรโมทคนอื่น ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เลิกนึกถึงตัวเอง ให้เวลาหรือใส่ใจใครสักคนที่เดือดร้อนกว่าอย่างเต็มที่สักครู่ นี้เป็นการกระทำที่ทั้งเห็นแก่ผู้อื่น และเห็นแก่ตัวเองไปพร้อมกัน เพราะจะรู้สึกดีขึ้นหลังแสดงความมีน้ำใจ ส่งผลให้พร้อมที่จะเป็นผู้นำที่ดีที่สุด รวมถึงพร้อมจะต่อสู้กับโลกและเรื่องท้าทาย
อย่าปล่อยให้คำพูดแย่ ๆ แค่คำเดียวทำลายคำชมตลอดหลายปี มนุษย์ชอบคำชม ไม่มีวันชมใครมากเกินไป เมื่อขึ้นเป็นผู้นำหรือต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีม ทรัพยากรอันดับ 1 ที่มีคือคำชม แต่อย่าชมแค่คนเก่ง ให้ชมทุกคนที่ทำงานสำเร็จ ไม่ว่างานนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม คำชมจะทำให้พวกเขารู้สึกดี ยิ่งถ้าชมต่อหน้าคนอื่น คนที่ถูกชมจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ มีเกียรติ และยินดี แถมยังทำให้คนอื่นในห้องอยากทำตามด้วย ไม่ว่าจะกำลังบริหารทีมงานหรือรับมือกับลูก ๆ ที่บ้าน จำไว้ว่าคำชมเป็นสิ่งที่ทรงพลัง แพร่หลายกระจายได้รวดเร็ว และสร้างแรงบันดาลใจได้เต็มร้อย จำไว้จงเอ่ยปากชมชมและชมให้มากขึ้น การชมอย่างจริงใจไม่มีข้อเสียแม้แต่น้อย ถ้าจำเป็นต้องติให้ทำเป็นการส่วนตัว แล้วกลับออกมาชมต่อ
บทที่ 11 ทำให้ผู้คนมีความสุขเสมอ
เขียนการ์ดขอบคุณ การเขียนและส่งการ์ดขอบคุณ ทำให้รู้สึกดีไม่ว่ามันจะสร้างผลตอบแทนในแง่ของมูลค่าทางธุรกิจได้ทันทีหรือไม่ มันก็ส่งผลทันตาในแง่ของความสุขทางใจ จะรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอย่างแท้จริง ขณะเขียนการ์ดขอบคุณแต่ละใบ มันช่วยพาไปยังจุดที่ทำให้คนรอบตัวมีความสุข ทั้งยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจด้วย การสนับสนุนให้ส่งการ์ดขอบคุณอาจทำให้ดูเซย แต่ความเซยและความล้าสมัยนี้แหละคือ สิ่งที่ทำให้การเขียนและส่งการ์ดขอบคุณเป็นเรื่องพิเศษ
แนะนำวันละนิดส่งผลมหาศาล การแนะนำให้คนรู้จักกันก็เป็นกิจกรรมที่ทรงพลังมากที่สุดที่ควรทำทุกวัน ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาทีจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของคนสองคน รวมถึงเพิ่มมิตรไมตรีครั้งใหญ่ให้กับตัวเอง และเครือข่ายที่กำลังสร้างขึ้นมา การแนะนำทำหน้าที่หลักสองอย่าง อย่างแรกมันช่วยรับรองให้คนทั้งสองฝ่ายแน่ใจว่าการติดต่อครั้งนี้จะคุ้มค่า อย่างที่ 2 มันให้ข้อมูลว่าทำไมคนสองคนถึงควรรู้จักกัน ถ้าแนะนำได้ดีทั้งคู่จะได้ประโยชน์ และตัวเองก็จะได้ประโยชน์ด้วย เพราะพวกเขาจะซาบซึ้งที่นึกถึง และนำพาพวกเขาให้มารู้จักกัน แถมการแนะนำยังใช้เวลาไม่นานด้วย เรียกเครื่องมืออันทรงพลังนี้ว่า น้ำใจใน 5 นาที แน่นอนว่าการช่วยแนะนำเวลาที่มีคนร้องขอนั้นเป็นเรื่องดี แต่การแนะนำจะมีความหมายมากขึ้นเมื่อทำโดยไม่มีใครร้องขอ การแนะนำยังทำให้คนสำคัญในเครือข่ายนึกถึงเป็นคนแรก ๆ และสามารถพลิกชีวิตที่แนะนำได้ โดยใช้เวลาวันละแค่ไม่กี่นาที
ทำอย่างไรให้เป็นที่หนึ่งในใจคนนับพัน ทุกวันนี้สื่อสังคมออนไลน์เริ่มมีข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ แบรนด์ธุรกิจขนาดเล็กและบุคคลทั่วไป เริ่มแบ่งปันเนื้อหามากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเข้าหาลูกค้า ผลลัพธ์จึงกลายเป็นสิ่งที่ มาร์ก เซฟเฟอร์ เพื่อนนักเขียนเรียกว่า ภาวะช็อกข้อมูล กล่าวคือมีข้อมูลมากเกินไป ขนาดที่ผู้คนมีเวลาไม่มากพอที่จะดูมันทั้งหมด ข่าวดีก็คือแทนที่จะทำตัวเป็นโรงงานผลิตเนื้อหาที่ให้ความบันเทิง ให้ความรู้ และให้แรงบันดาลใจ สามารถเป็นนักคัดสรรที่ยอดเยี่ยมได้ เนื้อหามีอยู่กลาดเกลื่อน ทั้งหมดที่ต้องทำก็แค่คัดสรรเนื้อหาที่สะท้อนความเป็นตัวเองได้ดีที่สุด และตรงใจกลุ่มเครือข่ายแล้วเผยแพร่มันออกไป
ความลับเล็ก ๆ เกี่ยวกับสื่อสังคมออนไลน์ว่ารับข้อมูลนั้นมาจากไหน แน่นอนว่าควรระบุแหล่งที่มาของข้อมูลเสมอ และแน่นอนว่าการเขียนเนื้อหาด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด มันแค่ใช้เวลามากเท่านั้นเอง หนทางที่ง่ายกว่าคือการเป็นสุดยอดนักคัดสรร ที่หาข้อมูลดี ๆ มาเตรียมไว้ล่วงหน้า สื่อสังคมออนไลน์ที่ควรใช้สำหรับทำแบบนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย สำหรับการคัดสรรและกำหนดเวลาในการโพสต์เนื้อหาที่ยอดเยี่ยม อาจใช้เครื่องมือช่วยก็ได้มีเครื่องมือฟรีอยู่มากมายทีเดียว เมื่อแบ่งปันเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมบนสื่อสังคมออนไลน์ ก็จะได้อยู่อันดับต้น ๆ บนหน้าสื่อสังคมออนไลน์ของผู้คน และเป็นหนึ่งในใจของพวกเขา
เนื้อหาประกอบด้วยบทความที่มีคุณค่าและให้ความรู้ คำแนะนำที่พบ วีดีโอเพื่อความบันเทิง ภาพ infographic รวมถึงคำคม และเรื่องราวให้แรงบันดาลใจที่พบเจอ สิ่งเหล่านี้เป็นเนื้อหาซึ่งสามารถให้ได้ที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นสิ่งที่คัดสรรมาอย่างรอบคอบเพื่อผู้ชม ส่วนที่ดีที่สุดเกี่ยวกับสื่อสังคมออนไลน์คือ เหมือนขยายวงได้กว้างมาก บทความดี ๆ 1 เรื่องอาจถูกส่งต่อ อ่าน และสร้างคุณค่าให้กับผู้คนนับร้อยนับพัน
ในอดีตสุดยอดนักขายและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เข้าถึงลูกค้าได้ด้วยจดหมายหรือการโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์หรือวิทยุ ปัจจุบันเนื้อหาในจดหมายที่เคยใช้เพื่อเข้าถึงคนคนเดียว สามารถเข้าถึงคนนับพันนับหมื่นหรือกระทั่งนับล้านได้ โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนหรือแรงกายเลย แน่นอนว่าสามารถใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีนี้ เพื่อเข้าถึงผู้คนแบบเป็นการส่วนตัว และเป็นที่หนึ่งในใจพวกเขาได้เช่นกัน การทำให้ผู้คนมีความสุขไม่ใช่เรื่องง่าย การทำให้ผู้ติดตามจำนวนมากมีความสุขนั้นยากยิ่งกว่า อย่างไรก็ตามคนที่กำลังสร้างแบรนด์ให้ตัวเอง เพียงแค่ต้องรู้ว่าจะหาเนื้อหาดี ๆ ได้จากที่ไหน และจะเป็นนักคัดสรรชั้นยอดในเครือข่ายได้อย่างไรเท่านั้นเอง
บทสรุป
อยากได้ทุกสิ่งที่ต้องการก็ต้องเข้าใจเรื่องคน
และสิ่งที่ย้อนแย้งกันที่สุด
ถ้าอยากได้สิ่งที่ต้องการทั้งในที่ทำงานและในชีวิตส่วนตัว ต้องปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างดีและอย่าพยายามไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ นัดพบลคนที่ใช่ ตั้งใจฟัง เข้าถึง และสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา แล้วพวกเขาจะให้ทุกสิ่งที่ต้องการเอง พวกเขาจะอยากทำอย่างนั้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องร้องขอเลยด้วยซ้ำ ยุคของการบังคับหรือขัดขากันเพื่อปีนขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุดนั้นจบลงแล้ว พวกจอมโวยวาย ก้าวร้าว และพร้อมลุยแบบสุดโต่งไม่ได้เป็นผู้ชนะในโลกธุรกิจและในชีวิตอีกต่อไป พวกเรื่องมาก ชอบโอดครวญ และจอมตื้ออาจเคยประสบความสำเร็จในอดีต และอาจประสบความสำเร็จชั่วคราวในปัจจุบัน แต่จะไม่ใช่ผู้ชนะในอนาคต ผู้ชนะคือคนที่เข้าใจตัวเอง เข้าถึงผู้อื่น และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี
ตลอดหนังสือเล่มนี้คุยกันเกี่ยวกับวิธีเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น ฟังให้เก่งขึ้น เชื่อมโยงกันในระดับที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และชักจูงคน ยังได้คุยเรื่องความขัดแย้ง และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นด้วย แล้วยังคุยกันเกี่ยวกับวิธีสอน และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น รวมไปถึงวิธีทำให้คนรอบตัวมีความสุข ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน และในเครือข่าย แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จในทันที แต่มันจะพาไปอยู่ในจุดที่ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้ รู้จัก ชื่นชอบ ไว้ใจ และอยากช่วยให้ประสบความสำเร็จ ลองทำตามคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้ แล้วผู้อื่นจะอยากช่วยให้ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ ทั้งในที่ทำงานและในชีวิต ศิลปะเรื่องคนก็มีแค่นี้ เรื่องคนเป็นศิลปะและไม่ใช่ศาสตร์เสมอไป.