WEALTHINKING : รวยมาตั้งแต่จิตใต้สำนึก
ผู้เขียน : เคลลี ชเว
สำนักพิมพ์ : Amarin how-to
ตอนที่ 1 : เมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่งที่งอกออกมาจากก้นบึ้งของชีวิต
คุณเดินโดยไม่ล้มไม่ได้
ตอนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยในปารีส ฉันมีเพื่อนมากมายทั้งชาวเกาหลีและฝรั่งเศส ทุกครั้งที่พบเพื่อนชาวเกาหลี พวกเขาจะถามฉันว่า ฉันปรับตัวให้เข้ากับสังคมฝรั่งเศสได้อย่างไร ฉันตอบเคล็ดลับที่รู้ให้กับทุกคนที่ถาม แต่แทบไม่มีใครทำตาม เคล็ดลับของฉันคือ ทำความเข้าใจวัฒนธรรมของฝรั่งเศสแล้วกล้าพูดอย่างมั่นใจในทุกๆที่ที่ไป แม้ว่าจะยังสนทนาไม่คล่องก็ตาม บางครั้งฉันก็พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์ และยังเคยบอกข้อมูลผิดๆออกไปด้วย แต่ฉันไม่กลัวความผิดพลาด เมื่อมาที่ฝรั่งเศสใหม่ๆ มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเล็กเพราะคิดว่าเลือกเดินผิดทาง จุดนึงก็คิดได้ว่าความคิดแบบนั้นไม่ได้ทำให้เราเติบโตเลยจึงตัดสินใจจะไม่แคร์สายตาที่ดูหมิ่นและจะไม่ทำตัวเล็กอีกต่อไป
ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญและมีความสามารถพิเศษใดๆเหมือนคนอื่น นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเผชิญกับความล้มเหลวอยู่หลายสิบครั้ง ต้องขอบคุณสิ่งนี้ที่ทำให้ฉันไม่เกรงกลัวความล้มเหลวอีกเลย เมื่อเข้าไปอยู่ในเปลวเพลิงและโดนต้อนเข้าเรื่อยๆ ฉันก็ค่อยๆแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่ต้องไปให้ได้ ไม่มีเวลามาคร่ำครวญถึงความล้มเหลวอีกแล้ว
คุณควรระวังไม่ให้มีทัศนคติที่กลัวความล้มเหลวจนไม่กล้าเริ่มทำอะไร แล้วเหนือสิ่งอื่นใดฉันไม่อยากให้คุณลืมความจริงที่ว่า ในวันหนึ่งคุณจะได้พบโอกาสแห่งความสำเร็จ ต่อเมื่อสะสมความล้มเหลวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ทิ้งนิสัยไม่ดี 3 อย่าง
ความจริงที่ว่า การกังวลว่าจะไม่ได้ทำอะไร มีประโยชน์กว่า การกังวลว่าจะต้องทำอะไร ฉันจึงตัดสินใจเลิกทำสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลินในชีวิตประจำวัน จนกว่าบรรลุความมั่งคั่งในระดับน่าพอใจ เพราะนิสัยที่ดีและไม่ดีย่อมให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน นิสัยแย่สามอย่างที่ต้องเลิกทำให้ได้ แต่ถึงจะคิดมาดีแค่ไหนก็คงไม่เกิดประโยชน์หากไม่ลงมือทำอย่างจริงจัง
ทิ้งนิสัยการดื่มเหล้าที่ทำให้สติกระเจิง เหตุผลที่ฉันตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ดื่มอีก ไม่ใช่เพราะดื่มแล้วเผลอทำอะไรที่ผิดพลาด แต่เหตุผลคือฉันเสียดายเวลาที่ถูกแย่งไป ซึ่งการดื่มในแต่ละครั้งใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมง หากดื่มอาทิตย์ละสามวันก็ต้องเปลืองเวลาไปถึงหกชั่วโมง หลังจากตัดสินใจเลิกดื่มแล้วฉันก็ไม่ดื่มมันอีกเลยแม้แต่หยดเดียว เหนือสิ่งอื่นใดฉันคิดว่าต้องไม่ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองเป็นอันขาด หากยังไม่ประสบความสำเร็จก็ยังดื่มไม่ได้ การตั้งกฎว่าจะไม่ดื่มไม่ใช่สิ่งที่พิเศษ แต่ฉันก็ได้เวลากลับคืนมามากมาย
ทิ้งการเล่นสนุกที่กัดกร่อนชีวิตที่ละเล็กที่ละน้อย ฉันคุณคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะได้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้คนที่ประสบความสำเร็จจะอ่านหนังสือและใช้เวลาว่างของตัวเองอย่างพิถีพิถัน วิธีเล่นสนุกในชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะแตกต่างจากของฉัน การจัดการตัวเองคือพื้นฐานเพื่อให้ประสบความสำเร็จ และพื้นฐานของการจัดการตัวเองคือการใช้เวลาในการพัฒนาตัวเอง โดยลดการใช้เวลาที่ไม่จำเป็นลง
ทิ้งปาร์ตี้ที่ปล้นเวลาชีวิต หัวใจสำคัญคือการพบปะ การจัดและรักษาคอนเนคชั่นระหว่างบุคคล การที่คนมารวมตัวกันจึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดในการสร้างพลังงานใหม่ๆและการเปิดโอกาส แต่ในจุดหนึ่งฉันกลับคิดว่า เราต้องเข้าไปร่วมพบปะสังสรรค์คือปัจจัยที่ขัดขวางความสำเร็จ เพราะเวลาปกติแล้วงานปาร์ตี้จะกินเวลาทั้งคืนถึงแม้สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าได้กับในสังคมต่างๆ แต่เมื่อเผชิญกับความล้มเหลวครั้งใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็คิดว่าการเข้าสังคมไม่ได้มีความหมายมากมายในชีวิต หากเป็นงานปาร์ตี้ทั่วไปไม่ใช่ของเพื่อนสนิทหรือครอบครัวฉันก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาอันมีค่า นี่คือหลักการที่ยังคงยึดมั่นไว้แม้จะประสบความสำเร็จอย่างตอนนี้แล้วก็ตาม
หากเลิกนิสัยที่ไม่ดีทั้งสามอย่างนี้ได้แล้วเราต้องสร้างนิสัยที่ดีขึ้นมาใหม่สามอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราควรใช้เวลาไปกับสิ่งที่ทำให้เราเติบโต สำหรับฉันแล้วคือความสุขที่ได้มาซึ่งเวลาที่จะทำให้ตัวเราในวันนี้ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ครูทั้ง 1,000 คน
ฉันไม่คิดว่าคำแนะนำของคนอื่นจะสำคัญ จนกระทั่งธุรกิจล้มเหลว ที่จริงแล้วฉันโง่เขาเสียจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังคำแนะนำจากใคร ฉันจึงคิดว่าแค่ตัวเองพยายามอย่างเต็มที่ก็จะประสบความสำเร็จได้ แต่ตอนนี้ฉันคิดได้แล้วว่าคำแนะนำเป็นสิ่งที่สำคัญ การก้าวสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จเป็นเรื่องง่ายแต่ปัญหาคือความต่อเนื่องและการแก้ไขปัญหา หากเราควบคุมความปรารถนาที่จะยอมแพ้ซึ่งเข้ามาเป็นระยะระยะ แล้วความคิดต่างๆที่ทำให้เกิดในช่วงเวลาสำคัญไม่ได้ เราก็จะไปไม่ถึงจุดหมาย
ดังนั้นการหาเมนเทอร์ในชีวิตแล้วขอคำแนะนำจากพวกเขารวมถึงทำความเข้าใจเคล็ดลับความสำเร็จของพวกเขาเหล่านั้น จึงเป็นเส้นทางลัดไปสู่จุดหมาย เรามีวิธีเรียนรู้จากพวกเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันโดยตรง คนที่ประสบความสำเร็จมากมายใช้วิธีนี้กันอยู่แล้ว
จงหาครูจากหนังสือ จงอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับคุณ ไม่ใช่แค่อ่านให้จบแต่ต้องศึกษาเสียงสะท้อน แล้วลงมือปฏิบัติจริงด้วย แต่คุณต้องไม่ลืมว่า อย่าด่วนตัดสินชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จแต่ให้คิดจากมุมมองของพวกเขาแล้วนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของคุณเอง
จงติดตามผลงานของครู จงรวบรวมเนื้อหาการบรรยาย ข่าว บทสัมภาษณ์ บันทึกลงในสมุดแล้วนำมาศึกษา หากมีกูรูที่เราอยากเจริญรอยตาม ให้ฟังการบรรยายของคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือวิธีที่ปรมาจารย์ต่างใช้
จงฝึกคิดอย่างครู เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ ควรจินตนาการว่า เมนเทอร์ของเราจะเลือกและตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์นั้น หากเราได้ศึกษาวิธีการทำงานของพวกเขามาพอสมควรแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ฟ้า
กุญแจสำคัญของการบรรลุเป้าหมายคือความต่อเนื่องและการแก้ไขปัญหาเราจะไปถึงเส้นชัยหากไม่ยอมแพ้และไม่หนีปัญหา ทว่าเส้นทางนี้จะยากและเปล่าเปลี่ยวเมื่อเราอยู่เพียงลำพัง คนที่เคยประสบความสำเร็จจึงต้องมีครูผู้ยิ่งใหญ่อยู่ข้างกายเสมอ
เป็นดั่งน้ำที่ใช้ล่อน้ำ
ฉันใช้ชีวิตอย่างหนักใจอยู่ทุกวันเพราะตอนนั้นยังใช้หนี้พันล้านไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะรักตัวเองในแบบที่เป็นแล้วจะมีความสุขขึ้นให้ได้จึงเริ่มทำในสิ่งที่สามารถทำได้ และพยายามหาสิ่งที่ทำให้สุขใจได้ในทุกวัน
ฉันต้องเผชิญสถานการณ์วิกฤตเหมือนเดิม แต่ฉันเปลี่ยนทัศนคติและมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างแข็งขันอีกครั้ง เมื่อปรับทัศนคติและความตั้งใจ จึงไม่เกรงกลัววิกฤต แต่กลับกลายเป็นเฝ้ารอโอกาสที่จะเกิดขึ้นหลังจากวิกฤติสิ้นสุดลงเสียด้วยซ้ำ นี้คือช่วงเวลาที่ฉันตระหนักได้ว่าการเปลี่ยนความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญเพียงใด จากนี้วิกฤตจะไม่ใช่วิกฤตสำหรับฉันอีกต่อไป เพราะมันจะเป็นดั่งน้ำที่ใช้ล่อน้ำ เพื่อการเติบโตไปอีกขั้น
น้ำที่เติมไปเพื่อล่อน้ำทำให้วิกฤติกลายเป็นโอกาส สิ่งนี้เองคือความคิดที่เปิดกว้างซึ่งฉันใช้ชื่อ WEALTHINKING พลังที่แท้จริงของมันออกมาจากแรงจูงใจที่ดี เมื่อความแน่วแน่ที่มาจากแรงจูงใจมาพบกับความฝันจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อทัศนคติและความตั้งใจที่มีต่อวิกฤติเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อนั่นคุณจะได้พบกับครูหรือที่ปรึกษาแห่งชีวิต
ใครๆก็รู้ได้ เพียงปฏิบัติจริง 100 วัน
วิธีปฏิบัติที่ฉันค้นพบระหว่างซึมซับวิถีของคนที่ประสบความสำเร็จเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการสร้างรากเหง้าของ WEALTHINKING ฉันขอสรุปว่ามันคือนิสัยที่พูดประสบความสำเร็จมีร่วมกัน หากนำนิสัยเหล่านี้มาใช้ในชีวิตจริงของตัวเองไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใกล้ความสำเร็จได้แน่นอน
- ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่สามารถพูดออกมาได้ในประโยคเดียว หากได้คิดทบทวนเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่บ่อยๆเมื่อถึงจุดหนึ่งเป้าหมายนี้จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อมั่น
- ขีดเส้นตาย ฉันคิดว่าฉันกำลังเข้าใกล้กันเป็นคนรวยมากขึ้นเรื่อยๆเพราะความปรารถนาที่จะเป็นคนรวยนั้นแล้งกล้ามากและฉันไม่หยุดที่จะพยายาม ฉันพยายามสุดความสามารถเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายภายในระยะเวลาที่กำหนด
- จินตนาการอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากขีดเส้นตายแล้วฉันจินตนาการว่า รูปร่างของฉันแผนงานในอีกห้าปีต่อไป จะเป็นอย่างไร ฉันจินตนาการถึงขนาดที่ว่าตอนนั้นบริษัทของฉันจะมีพนักงานกี่คนแล้วจะมีคนแบบไหนมาทำงานบ้าง นี่เรียกได้ว่าเป็นการฝึกสร้างมโนภาพ
- กำหนดแผนปฏิบัติงาน แล้วสามารถเริ่มได้ทันทีจากเรื่องที่ง่ายที่สุดที่เราทำได้และนี่คือแผนปฏิบัติงานที่สามารถลงมือทำได้ทันทีหลังจากนั้นจึงค่อยท้าทายตัวเองด้วยแผนการปฏิบัติงานที่ยากขึ้น ผู้คนส่วนมากมักใช้เวลาไปกับการกังวลว่าจะออกมาได้ผลหรือไม่ หากเราลงมือทำสิ่งเล็กๆไปเรื่อยๆจะได้คำตอบเองว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผลฉะนั้นอย่ามัวแต่จะคิดจงลงมือทำทันที
- ทิ้งนิสัยไม่ดี นิสัยไม่ดีสามอย่างของฉันคือการดื่มเหล้า การเล่นสนุกที่ทำให้เสียเวลา ในการไปงานสังสรรค์ ฉันใช้เวลาที่ได้มาจากกิจกรรมเหล่านั้นมาอ่านหนังสือ และทำให้ฉันมีความสามารถในมุมมองธุรกิจด้วยสายตาที่กว้างไกลขึ้น
- เขียนความฝันหนึ่งประโยคในทุกที่ที่มองเห็น หากเขียนประโยคที่ว่าความฝันจะบรรลุความสำเร็จตอนไหนไว้ในทุกที่ที่มองเห็น คุณจะนึกถึงความฝันและเส้นตายของความฝันขึ้นมาเองทำให้เป้าหมายอยู่ถูกฝังในจิตใต้สำนึกมากขึ้น
- ตะโกนความฝันอย่างน้อยวันละหนึ่งร้อยครั้ง ฟังดูเหมือนการเล่นของเด็กๆแต่ฉันไม่เคยหยุดทำเพราะต้องการลำดับความสำคัญในชีวิตให้ชัดเจน แล้วการทำเช่นนี้ยังเป็นการย้ำเตือนความฝันลงไปในจิตใต้สำนึกอีกด้วย
เมื่อเงิน การสร้างประโยชน์และความเป็นมนุษย์มาบรรจบอย่างสมบูรณ์แบบ
คนที่เต็มใจจะถ่ายทอดเคล็ดลับความสำเร็จของตัวเองให้คนอื่นไม่ใช่คนที่รวยที่มีแค่เงินมหาศาล แต่หากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คนเหล่านี้รู้ดีว่าจำนวนเงินไม่ใช่ตัวเลขตัดสินความสุข แม้การได้เป็นอิสระทางการเงินจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากไม่แบ่งปันความมั่งคั่งที่ได้จากเงินแก่ครอบครัว เพื่อนฝูง แล้วเพื่อนร่วมโลก เราก็จะเป็นมนุษย์เหงาเหงาไม่ว่าจะมีเงินมากมายเพียงใดก็ตาม
มนุษย์วิวัฒนาการและพัฒนาประหยัดต่อเนื่องโดยคนที่อยากเป็นเจ้าของความมั่งคั่งเพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่น หากโลกนี้คับคั่งไปด้วยคนที่สะสมความมั่งคั่งเพียงเพื่อตัวเองโดยไม่คิดถึงผู้อื่นเลย มนุษย์ก็คงไม่พัฒนาได้เฉกเช่นนี้ ฉันหวังว่าคุณจะสร้างแนวคิดแห่งความมั่งคั่งที่แท้จริงแล้วก้าวออกไปยังสถานที่ที่ต้องการได้
เปิดร้านก่อน แล้วค่อยหาเงินมาคืนแล้วกันค่ะ
ในช่วงแรกฉันยอมรับว่าการไม่มีสำนักงานก็ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน แต่ข้อดีมีมากกว่าข้อเสียฉันจึงยังคงรักษานโยบายแบบนี้ไว้ ในตอนที่ยังไม่เปิดเคลลี่เดลิ ฉันถูกหลายคนมองด้วยสายตาเคลือบแคลงแต่ตอนนี้คนที่มองในแง่บวกว่าเราคือบริษัทที่ประหยัดค่าใช้จ่ายประจำ แล้วนำมาตอบแทนให้พนักงานและเจ้าของร้านกลับมีมากกว่า ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับคำชมว่าเป็นบริษัทในยุโรปที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม
เราสามารถคาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าความคิดที่แตกต่างกันของคนรวยกับคนจนจะสร้างผลลัพธ์แบบไหน การมีวิสัยทัศน์ที่ดีของมนุษย์คือการที่อยากจะช่วยคนที่จริงใจและมีมิตรไมตรี แม้ตัวเองจะไม่มีเงินก็ตามคนแบบนี้จะได้รับโอกาสอย่างแน่นอน
1 ปีบนมหาสมุทรแอตแลนติก
ทุกคนต่างห้ามเราไว้ตอนที่เราบอกว่าจะฝากบริษัทไว้กับพนักงานเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วจะไปล่องเรือยอร์ชท่องเที่ยว ตอนแรกที่ฉันได้ฟังเจโรมสามีของฉันพูดแบบนั้น ฉันก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน เจโรมลาออกจากบริษัทระดับโลกที่กำลังไปได้ดีและมาทำธุรกิจกับฉัน สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ตัดสินใจที่จะออกล่องเรือยอร์ชเพื่อเดินทางไปเที่ยวรอบโลกพร้อมกับลูกสาว
เมื่อกลับมาจากการล่องเรือยอร์ชฉันรู้สึกได้ว่าฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เหนือสิ่งอื่นใดโลกดูต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะฉันตระหนักรู้เกี่ยวกับความมั่งคั่งครั้งใหม่ มันคือการตระหนักรู้ว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีเงินมากมายเพียงแค่ไหน หากฉันแล้วเจโลไม่ได้ออกไปล่องเรือยอร์ชและเอาแต่ทำงานแบบไม่หยุดพักเหมือนแต่ก่อน ทรัพย์สินของเราอาจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่จะไม่ได้ความผูกพันที่แน่นแฟ้นในครอบครัว และอาจไม่ได้ความไว้วางใจที่แข็งแกร่งระหว่างพนักงานกับเจ้าของกิจการก็เป็นได้
การข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกคือโอกาสสำคัญในการบุกเบิกเส้นทางชีวิตใหม่อย่างเด็ดเดี่ยว ตั้งแต่นั้นมาฉันก็จะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์โดยเนื้อแท้อย่างที่สุด ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเอาแต่แสวงหาเงินทั้งชีวิต เนื้อแท้นั้นคือการร่วมเดินทางและแบ่งปัน
คุณอคติกับคนรวยหรือเปล่า
ชีวิตจะมั่งคั่งได้อย่างต่อเนื่องเมื่อปัจจัยหลายๆด้านมีความสมดุล แต่การมีเงินมากมายมหาศาลไม่ได้หมายความว่าเราจะมีความสุข การที่ครอบครัวปรองดองกันก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะไร้กังวล เราต้องมีทุกองค์ประกอบอย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุนี้เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ต่างจากปัจจัยอื่นเลย
ทัศนคติเชิงลบที่มีต่อคนรวยมาจากไหนกัน เราเรียนรู้ทัศนคติเหล่านี้มาด้วยวิธีที่ง่ายมากจนน่าตกใจ โดยเรียนรู้และซึมซับจากในละครภาพยนตร์ ข่าว และอื่นๆ เมื่อภาพลักษณ์ในแง่ลบของคนรวยถูกเสนอออกมาผ่านสื่อต่างๆ เราก็จะคิดว่าเงินคือบ่อเกิดแห่งความชั่วร้าย แต่สิ่งที่น่าสงสัยเอามากๆก็คือแหม่คนรวยจะถูกนำเสนอผ่านภาพลักษณ์แบบนั้น หลายคนก็ยังคงอยากเป็นคนรวยอยู่ดี
คุณคิดในใจใช่ไหมว่าหากรวยได้ก็คงไม่หวังอะไรอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องลบทิ้งภาพคนรวยและเงินแบบลบลบที่ได้เรียนรู้มาให้หมด ฉันเองก็คิดว่าคนรวยและเงินเป็นแบบนั้น แต่ก็หลุดได้จากบัวแง่ลบทั้งหมดด้วยวิธีการแบบ WEALTHINKING
คนรวยในความคิดของฉันคือ คนดี คนที่ช่วยเหลือคนอื่น คนที่รู้จักรักและรู้จักรับความรัก คนที่ได้รับความเคารพ
เงินในความคิดของฉันคือ สิ่งที่ต้องมีมากๆ วิธีที่สามารถช่วยคนอื่นได้ สิ่งที่มีแล้วสะดวก เป็นวิธีแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่
นี่คือความคิดที่ฉันมีต่อคนรวยและเงิน ไม่มีความคิดในแง่ลบแม้แต่น้อย ความคิดเชิงบวกที่มีต่อคนรวยและเงินซึมซาบอยู่ในจิตใต้สำนึกจนทำให้ฉันมีวันนี้ คุณอยากเป็นคนรวยทั้งที่เกลียดคนรวยและเงินอย่างนั้นหรือ จะคิดแบบนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง คุณจะได้ฟังเรื่องราวดีๆของคนรวยจากคนรวย มีคนรวยที่ทำเรื่องดีๆและถูกต้องอีกมากมายทีเดียว
หากได้ฟังเช่นนี้แล้วยังอคติกับคนรวยคุณก็น่าจะเป็นคนรวยได้ยาก เพราะจิตใต้สำนึกยังรั้งไว้ไม่ให้คุณเป็นคนรวยได้ หากต้องการความรวยอย่างแท้จริง จงอย่าเกียจความรวย จงขจัดอคติเกี่ยวกับความร่ำรวยออกไป แล้วคิดแบบ WEALTHINKING เพื่อเงินของคุณ
คุณมีเชื้อไฟแห่งความสำเร็จอยู่แล้ว
คนส่วนใหญ่ต้องการรายได้มากขึ้นเพื่อเอาชนะสถานการณ์และเพื่อใช้ชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้จะมีรายได้มากขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนรวยได้ เหตุผลง่ายๆที่ความจริงแล้วรวยหรือจนไม่เกี่ยวกับการหาเงินได้มากๆ เพราะทหารเงินได้มากก็ยอมใช้จ่ายมากตามไปด้วย หากจะดูว่าเป็นคนรวยจริงหรือไม่ต้องดูว่าทรัพย์สินสุทธิที่เหลือจากการใช้เงินมีอยู่มากแค่ไหน
ฉันมองว่าการควบคุมค่าใช้จ่ายคือประตูสู่ความเป็นคนรวย หลายคนที่พยายามทำให้ตัวเองดูรวย ด้วยการนั่งรถหรูและสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมจะไม่ค่อยมีทรัพย์สินเท่าไหร่นัก คนเหล่านี้ต้องทำแต่งานเพื่อโครงการใช้ชีวิตเช่นนี้ไว้ แต่ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการออมและสร้างเงินทุนตั้งต้น เพื่อเอาไปลงทุนในสิ่งที่เงินจะงอกเงยขึ้นมาได้ ไม่ควรใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายเพื่อกำจัดกิเลสในขณะนั้น และไม่ควรเข้าใจผิดว่าการบริโภคคืออำนาจทางเศรษฐกิจและทรัพย์สินด้วย
หากต้องเลือกธุรกิจที่จะสร้างระบบเงินได้ด้วย WEALTHINKING คุณต้องมีความตั้งใจจริง 4 ประการต่อไปนี้
- คุณต้องรู้ว่าสิ่งที่จะทำให้คุณเป็นคนรวยไม่ใช่รายได้แต่เป็นการใช้จ่าย
- คุณต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างเงินให้มีมูลค่ามากพอที่จะเริ่มทำธุรกิจที่ท้าทาย
- หนึ่งในวิธีหาเงินให้ได้จำนวนมากคือการทำธุรกิจหรือการลงทุนกับนักธุรกิจ
- จงเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของคุณก่อน
ความลับทั้งหมดอยู่ใน WEALTHINKING
ความมั่งคั่งคือแบบแผนอย่างหนึ่ง พูดง่ายๆคือวิธีการหาเงินที่ทำซ้ำและความชำนาญรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นหากรู้วิธีแล้วไม่ว่าใครก็สามารถเป็นคนรวยได้ ถึงเราจะมีบาดแผนการบรรลุความมั่งคั่งแต่ก็ยังมีหนึ่งสาเหตุที่แบ่งแยกระหว่างคนรวยกับคนจน สิ่งนั้นคือทัศนคติในการเป็นเจ้าของความรวย
คนรวยมีปรัชญาและหลักการเงินแจ่มแจ้ง พวกเขาไม่มองว่าเงินเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้รอดชีวิต แต่จะคิดพิจารณาทั้งมุมแคบและมุมกว้างอย่างทั่วถึง คนพวกนี้ต่างมีเหตุผลของตัวเองว่าทำไมต้องเป็นคนรวยให้ได้ การเดินทางไปสู่ความรวยไม่ต่างจากการเดินบนถนนลูกรัง หากคุณเอาแต่หาเงินโดยปราศจากแนวคิดและเป้าหมาย คุณก็จะสะดุดขวดล้มได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องมีเวลาคิดทบทวนเรื่องเงินมากพอ แต่หากถึงเวลาที่ต้องหาเงิน ก็ต้องหยุดความคิดและลงมือทำทันที
ความมั่งคั่งจะไล่ไปหาคนที่เห็นค่าของเงินมากที่สุด เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเงินต้องมองเงินให้เป็นบุคคลแล้วให้ความรักเหมือนกับที่ทำกับคนรัก ถ้ามองในมุมของเงินแล้วระหว่างคนที่รอให้เงินมาหาโดยไม่ทำอะไรกับคนที่เขาหาเงินอย่างจริงใจ เงินจะเรียกเปิดประตูให้ใครกัน
โดยสรุปแล้วเราไม่ใช่ผู้ที่เลือกเงิน แต่เงินจะเลือกคนที่เป็นคนรวย เงินคือสิ่งที่สำคัญในชีวิต หากเราไม่สานสัมพันธ์กับเงินเราก็จะไม่หายเครียดเรื่องเงิน หากคุณใช้จ่ายซื้อสุร่ายและติดจนเป็นนิสัย การชี้นิ้วด่าทอตามความรู้สึกว่าทำไมเงินยังไม่มาหาคุณเสียที คุณคิดว่าเงินจะมาหาคุณไหม
ตอนที่ 2 : WEALTHINKING รากเหง้าของความคิดที่สร้างความมั่งคั่ง
รากเหง้าของความคิด พื้นฐานแห่งความมั่งคั่ง 1
ในเวลาแบบใดก็ตาม หากเราไม่ถอดใจจนเอาชนะอุปสรรคนั้นได้ในที่สุด คนๆนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตน่ามหัศจรรย์ แน่นอนว่าประเด็นอยู่ที่ระบบความคิดแบบได้ลงในจิตใจ การปลูกความคิดคือสิ่งแรกที่เราต้องทำ คำกล่าวที่ว่าหากปลูกถั่วเขียวก็จะได้ถั่วเขียว ถ้าปลูกถั่วแดงก็จะได้ถั่วแดง คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตไม่มีทางหลอกลวงคุณอย่างแน่นอน
ในตอนแรกจะดูเหมือนว่าคนคือผู้สร้างนิสัย แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สร้างคนคือนิสัยนั่นเอง ดังนั้นหากคุณต้องการบรรลุความมั่งคั่งที่แท้จริง คุณต้องวางรากเหง้าของนิสัยที่เหมาะสมเสียก่อน ชีวิตของคุณจึงจะมั่นคงและไม่สั่นคลอน
รากเหง้าที่ 1 ค่านิยมหลัก
หากคุณรู้ว่าคุณค่าของตัวเองคืออะไร การตัดสินใจบนเส้นทางชีวิตคงไม่มีปัญหาดังนั้นคุณต้องหาค่านิยมหลักที่แท้จริง ที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจให้เจอ หลังจากกำหนดค่านิยมหลักแล้ว การตัดสินใจเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายจะไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ เมื่อใดที่ตระหนักรู้ถึงค่านิยมหลักของชีวิต เมื่อนั้นเราจะกล้าปฏิเสธสิ่งที่มาทำให้เนื้อแท้ของชีวิตเราเลือนราง และทำลายความหมายของการดำรงชีวิตอยู่ของตัวเรา แล้วชีวิตจะต่างออกไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้หากค้นพบค่านิยมหลักของชีวิต เราจะประหยัดเวลาและความกระหายระหว่างไปให้ถึงเป้าหมายอย่างมาก เพราะฉะนั้นจงตระหนักไว้ว่าต้องหาตัวของคุณเองให้เจอ
เมื่อคุณกำหนดค่านิยมหลักที่ชัดเจนก็ตัดสินใจเรื่องต่างๆง่ายขึ้น แล้วก่อให้เกิดพื้นฐานที่จะช่วยให้พัฒนาต่อไปได้อีกหลายด้านอีกด้วย ตอนนี้คุณรู้ค่านิยมหลักของตัวเองอย่างชัดเจนแล้วสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการกำหนดเป้าหมายและความฝัน เป้าหมายคือเครื่องมือที่จะนำทางเราไปยังโลกแห่งความสามารถอันที่ไม่มีสิ้นสุดซึ่งเกินข้อจำกัดของเรา เราจะกำหนดเป้าหมายอย่างลอยๆไม่ได้ เราต้องกำหนดให้สามารถปฏิบัติได้จริงตามหลักหกประการ
- อย่าคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้
- ต้องมีเป้าหมายชัดเจน
- ก็ต้องประเมินได้
- ก็ต้องยิ่งใหญ่เข้าไว้
- ต้องปฏิบัติได้จริง
- ต้องกำหนดเส้นตาย
รากเหง้าที่ 2 ความสามารถในการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ตอนนี้คุณคงได้ตั้งเป้าหมายที่มีพื้นฐานจากค่านิยมหลักไว้แล้ว ต่อไปเวลาที่คุณจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่มีข้อแก้ตัว ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับคนที่ลงมือทำ จงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในตอนนี้เลย อย่าไปโฟกัสกับปัญหาที่จะทำให้เราเป็นทุกข์และเจ็บปวด แต่จงโฟกัสไปกับวิธีการแก้ปัญหานั้น แล้วตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะทำอะไรให้เป็นรูปธรรม ทางตัดสินใจแล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติจริง
คนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มีวิธีการคิดให้คุณค่าสิ่งต่างๆชัดเจน และมีเป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจนเช่นกัน เมื่อตัดสินใจได้แล้วพวกเขาจึงลงมือทำได้ทันที จงอย่าลืมว่าการตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวก็เป็นการลงมือทำอย่างหนึ่ง หากคุณตัดสินใจจะทำอะไรอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว คุณก็ควรมีทัศนคติที่ยืดหยุ่นเพื่อขยายทางเลือกให้ตัวเองด้วย เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราต้องการคือผลลัพธ์ ไม่ใช่การทำทุกขั้นตอนให้สำเร็จลุล่วง
รากเหง้าของความคิด พื้นฐานแห่งความมั่งคั่ง 2
รากเหง้าที่ 3 การประกาศความตั้งใจ
ไม่ว่าการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเพียงใด แต่หากอยู่แค่ในหัวก็คงไม่ต่างจากการไม่มีหยุดเลย ดังนั้นจงประกาศออกมาอย่างชัดเจน ผู้ที่จะผลักดันชีวิตของตัวเองให้ก้าวหน้าต้องประกาศออกมาให้ได้ เพื่อไม่ให้ล้มเลิกหลังจากตัดสินใจไปแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการประกาศสิ่งนั้นกับตัวเอง การประกาศออกมาเป็นสิ่งที่ทำให้เราไปสู่เป้าหมายโดยไม่ออกนอกเส้นทาง หากคุณอยู่ในตำแหน่งผู้นำที่ต้องเป็นตัวอย่างให้คนอื่น คุณต้องประกาศความสำคัญกับการประกาศความตั้งใจให้มากขึ้น ในกลุ่มคนที่ไม่ประกาศความตั้งใจออกมาย่อมไม่มีผู้นำที่แท้จริง
ในช่วงเวลาที่อยากล้มเลิกการประกาศออกมาคือพลังที่จะทำให้เราตระหนักรู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะการประกาศคือคัมภีร์ที่ทำให้เรารับรู้ว่าไม่ได้ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนถนนแห่งการมีเป้าหมายที่ได้ตัดสินใจและประกาศออกไปแล้ว
รากเหง้าที่ 4 ความเชื่อ
ทุกความสำเร็จมาจากการรักตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเราต้องรักตัวเองและรักในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เราเห็นวิธีการแก้ปัญหา คนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อาจมีความฝันที่เหลวไหลในสายตาของคนอื่น แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นทำความฝันให้เป็นจริงโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย พวกเขาเหล่านี้เชื่อว่าจะสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายามอย่างนั้นหรือ คำตอบคือไม่ใช่ พวกเขาตัดสินใจที่จะเชื่อแล้วทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อทำให้เป้าหมายเป็นจริงขึ้นมา หากคุณต้องการประสบความสำเร็จก็ต้องตระหนักถึงพลังของความเชื่อนี้
เขาทำได้เราก็ทำได้ คุณคิดว่าอนาคตไม่มีทางดีขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาแล้วคุณล้มเหลวมาตลอดและไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิดเลยใช่ไหม จงจินตนาการถึงภาพฝันของอนาคตที่คุณคิดแล้วเชื่อในชีวิตที่เหลือ แล้วความเชื่อนั้นจะพาคุณไปอยู่ในที่ที่ต้องการฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ
รากเหง้าที่ 5 ความศรัทธา
เพื่อให้ประสบความสำเร็จต้องศรัทธาก่อนว่าคุณสามารถทำได้ ความเชื่ออยู่ในจิตสำนึก ส่วนความศรัทธาจะอยู่ในจิตใต้สำนึก สิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่สิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกจะไม่เปลี่ยนแปลง่ายๆ ความเชื่อในจิตสำนึกจะให้เกิดและหายไปตามความตั้งใจจริงของคุณ ทว่าความศรัทธาในจิตใต้สำนึกจะแสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจ
หากต้องการทำให้ความเชื่อในจิตสำนึกไปอยู่ในจิตใต้สำนึกจนเกิดเป็นความศรัทธา สิ่งที่สำคัญคือต้องทำซ้ำๆซ้ำๆอยู่เรื่อยๆเช่นเดียวกับการเปลี่ยนนิสัยสักอย่าง ที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงช่วยให้ชีวิตพัฒนาได้อย่างมหาศาล และยิ่งมีความสุขเมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังพัฒนา
รากเหง้าแห่งความคิด พื้นฐานแห่งความมั่งคั่ง 3
รากเหง้าที่ 6 ความมั่นใจ
ความมั่นใจอย่างแรงกล้าจะออกมาจากรากเหง้าแห่งความศรัทธา ดังนั้นหากเราไม่มั่นใจก็ต้องพิจารณาสภาพความศรัทธาไหม แล้วฝึกตัวเองให้ไปในทิศทางที่ต้องการ สาเหตุที่ความศรัทธาไม่ก่อเกิดเป็นความมั่นใจ เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกไม่ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ หากความเชื่อและศรัทธาของเราสมบูรณ์พร้อม เราก็จะมั่นใจได้ ทว่าคนส่วนใหญ่ล้มเหลวในขั้นตอนนี้
อย่าดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญคือการแก้ไขนิสัยเล็กๆน้อยๆที่กีดขวางชีวิต แล้วลองลิ้มรสชาติหอมหวานของความสำเร็จ เราต้องรู้สึกถึงพลังในการทำบางอย่างสำเร็จอย่างเต็มที่เสียก่อน หากแก้ไขนิสัยเล็กๆน้อยๆได้จนได้ยินเสียงก้องกังวานอันลึกซึ้งของความสำเร็จบ่อยครั้ง ความศรัทธาแรงกล้าก็จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา
รากเหง้าที่ 7 คำถาม
เสน่ห์ที่แท้จริงของคำถามคือการที่เราถามตัวเองได้ ดังนั้นคำถามจึงเป็นรากเหง้าสุดท้ายที่จะช่วยให้เราบรรลุความมั่งคั่ง มันมีพลังมากมายจนเปลี่ยนชีวิตได้อย่างสิ้นเชิง นิสัยตั้งคำถามกับตัวเองไม่ว่าจะทำอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ไม่เพียงแค่คิดคำถามอยู่ในหัวเท่านั้น แล้วต้องมีกระบวนการตอบคำถามนั้นด้วย แล้วสิ่งนี้จะส่งเสริมความเป็นผู้ใหญ่จากภายในและเป็นแกร่งของรากเหง้าที่จะทำให้คุณบรรลุความมั่งคั่ง
รูปแบบการตั้งคำถามมีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของเราอย่างมาก คำถามที่ไม่ชัดเจนก็ไม่ต่างกับการไม่ถามอะไรเลย หากต้องการหาคำตอบให้กับปัญหา คุณต้องตั้งคำถามชัดเจนจนเป็นนิสัย ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้คำตอบที่จะใช้จัดการกับความยากลำบาก แต่ฉันก็หวังว่าคุณจะเชื่อว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ หากฝึกเปลี่ยนคำถามแล้วตอบคำถามนั้นด้วยความเชื่อมั่นคุณก็จะพบคำตอบอย่างแน่นอน คำตอบที่มาง่ายๆจะไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชีวิต หรือทำให้หัวใจคุณสั่นไหว
แก่นแท้ของ WEALTHINKING คือการสร้างมโนภาพ
การทำความฝันให้เป็นความจริงต้องใช้จิตสำนึกสิบเปอร์เซ็นต์และจิตใต้สำนึกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ จิตใต้สำนึกมีผลต่อชีวิตมากกว่าจิตสำนึก มนุษย์เหมือนจะใช้ชีวิตด้วยจิตสำนึก แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น การคิดด้วยจิตสำนึกมีขอบเขตจำกัด แต่ความคิดที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกนั้นไร้ขอบเขตและจำนวนมหาศาล ดังนั้นหากใช้จิตสำนึกให้เกิดประโยชน์เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายและไปให้ถึงความสำเร็จได้ เราใช้จิตสำนึกไปกับสิ่งที่ควบคุมได้ และใช้จิตใต้สำนึกทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อให้บรรลุความฝันของตัวเอง
จิตใต้สำนึกจะทำงานอย่างแข็งขันตอนที่จิตสำนึกเลือนราง นั่นคือช่วงเวลาก่อนหลับสิบนาที แล้วสิทธินาทีแรกหลังลืมตาตื่นในตอนเช้า นี่เป็นเวลาที่จิตใต้สำนึกทำงาน ในตอนนี้ฉันจะพูดในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ หากฝึกฝนจิตใต้สำนึกด้วยวิธีนี้ ความฝันของคุณก็จะกลายเป็นความเชื่อ และความเชื่อก็จะกลายเป็นศรัทธา
เราจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อคิดถึงอนาคตอย่างจริงจัง ซึ่งการฝึกทำสมาธิจะช่วยได้มาก เพราะการทำสมาธิได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยผ่อนคลายความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาจิตใจ จากนี้ไปฉันจะแบ่งปันวิธีทำสมาธิเพื่อควบคุมและใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกอย่างละเอียด
ฝึกสร้างมโนภาพ หากคุณถามฉันว่าปัจจัยที่สำคัญในการทำให้ประสบความสำเร็จคืออะไร คำตอบที่ฉันจะไม่ลังเลก็คือการสร้างมโนภาพ มันคือวิธีการจินตนาการถึงชีวิตในอุดมคติและฟังภาพนั้นไม่จิตใต้สำนึก แน่นอนว่าฉันเองก็จินตนาการภาพความสำเร็จทุกวันเพื่อให้บรรลุความมั่งคั่งเช่นกัน
6 วิธีสร้างมโนภาพแบบ WEALTHINKING
คำว่ากฎแห่งแรงดึงดูดที่เป็นที่รู้จักกันช่างเป็นคำที่น่า หลงใหลอย่างไรก็ตาม หากนำกฎแห่งแรงดึงดูดมาใช้ไปเรื่อยเรื่อย บางครั้งเราอาจจะรู้สึกแย้งอยู่ในใจ ฉันเองก็เคยใช้กฎนี้แล้วรู้สึกแบบนั้นในบางครั้งเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงคิดค้นวิธีสร้างมโนภาพที่เหมาะสมกับตัวเองขึ้นมาและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การสร้างมโนภาพมีสองกระบวนการใหญ่ๆคือการเติมเข้าและการเอาออก การเติมเข้าคือกระบวนการจินตนาการถึงสิ่งที่อยากได้ แล้วป้อนสิ่งนั้นลงในจิตใต้สำนึก โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะป้อนอนาคตที่ตัวเองใฝ่ฝันผ่านการสร้างมโนภาพแบบเติม แต่กลับไม่ได้ทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือการเอาออก การเอาออกคือการรบทุกสิ่งที่ขัดขวางคุณไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรืออารมณ์ในอดีต เพื่อช่วยให้อัลกอริทึมของจิตใต้สำนึกทำงานดียิ่งขึ้น
- การสร้างมโนภาพด้วยการ สร้างภาพร่างเมื่อประสบความสำเร็จ การใส่ช่วงเวลาที่ต้องการมากที่สุดเมื่อคุณบรรลุความฝันในระยะเวลากลางและระยะยาว ลงในหนึ่งภาพ นี่คือการสร้างมโนภาพโดยดึงเอาความฝันที่แท้จริงออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
- การสร้างมโนภาพแบบผู้กำกับภาพยนตร์ การเขียนบทภาพยนตร์ชีวิตโดยมีคุณเป็นตัวละครหลัก นี่คือการสร้างกระบวนการฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อไปสู่ความสำเร็จ หัวใจของการสร้างมโนภาพแบบนี้คือการสลับวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อก้าวข้ามความท้าทายและความยากลำบากมากมายที่ต้องเจอในชีวิตลงในจิตใต้สำนึกของตัวเอง
- การสร้างมโนภาพตอนเช้าด้วยการจินตนาการถึงวันในอุดมคติ วิธีนี้คือการสร้างมโนภาพทันทีที่ลืมตาตื่นคุณต้องเข้าใจง่ายๆ มองว่าการสร้างมโนภาพในตอนเช้าคือการติดกระดุมเม็ดแรกของวัน เพื่อให้ใช้ช่วงเวลาของวันให้ตรงตามอุดมคติที่สุด เมื่อลืมตาตื่นแล้วจะจินตนาการถึงตัวเองในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวัน หัวใจสำคัญของการสร้างมโนภาพตอนเช้าคือการเปิดรับปัจจัยที่จำเป็นต่อการบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างจิตใต้สำนึกเชิงบวก ปิดกั้นปัจจัยที่ขัดขวางเป้าหมายแล้วเติมชีวิตให้เต็มไปด้วยพลังงานที่แข็งแกร่ง
- การสร้างมโนภาพแบบไม่ปล่อยวางจิตใจ การเติมแบบสุดท้าย คือการสร้างมโนภาพแบบไม่ปล่อยวางจิตใจซึ่งเป็นจินตนาการภาพเหตุการณ์หนึ่งหนึ่งให้เป็นไปตามที่เราต้องการ เมื่อรู้สึกเครียดหรือมีเรื่องสำคัญมากๆที่เกิดขึ้นเราจะจินตนาการให้เห็นว่าภาพความฝันของเราเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไรและต้องดำเนินการไปในทิศทางใด
- การสร้างมโนภาพแบบหลุมดำ ถึงเวลาของการเอาออกแล้ว หากเปลี่ยนอัลกอริทึมเชิงลบนี้ไม่ได้หนทางสู่จุดมุ่งหมายก็ยากเย็นแสนเข็ญ หัวใจสำคัญของการสร้างมโนภาพแบบนี้จึงเป็นการทำให้อัลกอริทึมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีปัจจัยต่างๆเข้ามาขัดขวางเส้นทางในเวลาที่คุณต้องจดจ่อเราจะสร้างมโนภาพแบบหลุมดำ เราต้องรู้ความทรงจำและความรู้สึกตามไว้ให้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะลบได้ด้วยการสร้างมโนภาพแบบหลุมดำเพียงครั้งเดียว แต่หากลงมือทำไปเรื่อยๆภาพที่ซ่อนอยู่ลึกๆภายใต้ผืนก็จะผุดขึ้นมาแล้วคุณก็จะรู้ด้วยตัวเองว่าทำไมถึงมีนิสัยแบบนี้ ดังนั้นยิ่งทำบ่อยๆก็จะยิงทิ้งทุกปัจจัยที่ขวางชีวิตได้
- การสร้างมโนภาพตอนเย็น หากนิยามการสร้างมโนภาพแบบหลุมดำเป็นการรุกความคิดไร้สาระทั้งหมดของชีวิตที่ผ่านมา การสร้างมโนภาพตอนเย็นคงเรียกได้ว่าเป็นการลบทุกความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณในหนึ่งวันนั้นๆ หากได้สร้างมโนภาพตอนเย็นทุกๆวันแล้วตื่นมาสร้างมโนภาพตอนเช้าเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดในวันนั้น คุณจะยิ่งเข้าใกล้ชีวิตที่ต้องการมากขึ้น
คนรวยที่ฉันได้พบคือปรมาจารย์แห่งการยืนยัน
ไม่มีชีวิตใดที่มีเส้นทางราบรื่นไร้ลูกรัง ความโชคร้ายที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมคำซุบซิบนินทาก็ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาไม่เป็นที่ยอมรับ แม้เราจะอดกลั้นได้สบายๆในสองครั้งแรก แต่หากสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณก็สูญเสียความตั้งใจ
ยิ่งเป็นแบบนี้เราต้องยิ่งลักษณ์ชีวิตของเราให้มากยิ่งขึ้น ยอมรับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้อย่างนอบน้อม และเตรียมก้าวต่อไปให้ได้ คนที่ตั้งใจจะมีชีวิตต่ออย่างแรงกล้าล้วนมีพลังที่น่าทึ่งทั้งนั้น คนรวยที่ฉันได้พบล้วนเป็นปรมาจารย์แห่งการยืนยัน พวกเขาใช้การกล่าวยืนยันเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความเชื่อและบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คนรวยที่ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาวจะออกกำลังกายเพื่อทำสมาธิ อ่านหนังสือหรือไม่ก็เขียนบันทึก
ถึงจะรู้ว่าคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ง่ายๆ แต่ในใจลึกๆเราก็หวังให้มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่การคาดหวังให้สถานการณ์หรือเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยภายนอก แล้วก็ไม่ต่างจากการหวังให้เกิดโชคโดยบังเอิญทั้งที่ไร้ซึ่งความพยายามใดๆ หากเรากล่าวยืนยันในเชิงบวกก่อนจะเริ่มใช้ชีวิตในแต่ละวัน เราจะไม่สั่นไหวต่ออิทธิพลเชิงลบภายนอก เพราะเมื่อเราเริ่มต้นวันหลังจากทำจิตใจให้อยู่ในสภาพที่เป็นบวกแล้ว เราจะรู้สึกว่าทุกกระบวนการของการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ในชีวิตของคุณต้องมีช่วงเวลาที่คุณจะเป็นคนรวยได้ เพียงแต่ในตอนนั้นคุณไม่รู้ว่ามันจะเป็นโอกาสจึงปล่อยผ่านไปเฉยๆ บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสที่คุณจะได้เป็นคนรวยเช่นกัน เพราะคำยืนยันเชิงบวกจะทำให้ชีวิตของคุณสมดุลและสุขภาพดี แหมเป็นคำยืนยันแทรกซึมอยู่ภายในจิตใต้สำนึกมากเขา การได้เป็นคนรวยก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
จงประกาศให้ชัดเจน
งานวิจัยเกี่ยวกับความสำคัญของการเขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เดิมทีแล้วเป็นการวิจัยเพื่อตรวจสอบเรื่องราวที่แพร่หลายในการบรรยายหรือหนังสือนะมอบแรงบันดาลใจ แต่กลับได้ผลที่มีความหมายมากกว่านั้น พวกเขาได้ข้อสรุปว่าเป้าหมายที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมีประสิทธิภาพในการบรรลุความสำเร็จมากกว่าเป้าหมายที่ไม่มีการเขียนไว้
จะเน้นย้ำความสำคัญของการเขียนในกระบวนการบรรลุเป้าหมายอย่างมาก การไม่เขียนเป้าหมายแล้วพยายามแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ต่างจากกัปตันเรือที่ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย แต่กลับออกเรือโดยไม่มีแผนการใดๆ คุณคิดว่ากัปตันที่ทำแบบนี้จะบรรลุถึงจุดหมายได้หรือไม่ ฉันมั่นใจว่าเราต้องเป็นการเดินทางที่ยากลำบากเลยทีเดียว
การเขียนก็เหมือนการฝึกกล้ามเนื้ออย่างหนึ่งยิ่งเขียนไปเรื่อยเรื่อยกล้ามเนื้อที่ใช้งานจะยิ่งทำได้ดี เพราะฉะนั้นจงลงมือเขียนก่อนไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม การเขียนแบบอิสระคือวิธีการเขียนที่ไม่ต้องใส่ใจลายมือหรืออักขรวิธี สิ่งนี้มีบริบทคล้ายคลึงกับการระดมสมอง เพราะเป็นการเขียนความคิดและความรู้สึกที่ออกมาจากสมองอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่มีรูปแบบ
เมื่อการเขียนทำให้คุณใจนิ่งแล้วต่อไปก็ถึงเวลาการทำบอร์ดความฝัน บทความฝันคือเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณบรรลุความฝันและเป้าหมายโดยการรวบรวมข้อมูลข้อความ บอร์ดความฝันมีความสำคัญเพราะเราสามารถทำอะไรให้หลายๆเป้าหมายที่อยู่ในสมองและจิตใจเด่นชัดเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ เมื่อทำบอร์ดความฝันสมบูรณ์แล้ว ให้คุณทำความเข้าใจเส้นทางชีวิตของคุณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ได้นำบอร์ดนี้ไปวางในตำแหน่งที่เห็นได้บ่อยๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จัดการได้ตรวจดูเส้นทางความฝันของตัวเองอย่างต่อเนื่องแม้ระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน จะยิ่งทำให้เป้าหมายฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกมากขึ้น
การประกาศเป้าหมายของตัวเองจึงเป็นการระดมพลังทั้งหมดที่กระจัดกระจายทั่วจักรวาลมาที่ตัวเรา เมื่อเป็นเช่นนี้คุณจะล้มเหลวได้อย่างไรกัน ดังนั้นจงประกาศและประกาศออกไปอีก
ฉันอยากเป็นเมนเทอร์เพื่อผู้หญิง
ฉันเคยพยายามตามหาเหล่าเมนเทอร์ระดับโลกเพื่อเรียนรู้และเอาเคล็ดลับของพวกเขามาใช้ ความกังวลที่ว่าฉันควรลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัวหรือไม่ นี่คงไม่ใช่ปัญหาที่ฉันต้องเผชิญคนเดียว แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกทุกคนต้องเผชิญปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามศาสตร์แห่งความสำเร็จที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เขียนไม่มีวิธีที่จะทำให้คนเป็นแม่สามารถเลี้ยงลูกและบรรลุความสำเร็จส่วนตัวไปพร้อมกันได้ เบื้องหลังของผู้ที่ประสบความสำเร็จ และรับบทบาทเป็นผู้นำ คือความเสียสละอย่างมากของผู้หญิงในชีวิต และเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้หญิง
ฉันคิดว่าปัจจัยสำคัญที่สุดที่ขัดขวางความสำเร็จของผู้หญิงคือตัวผู้หญิงเอง มีผู้หญิงจำนวนมากเหลือเกินที่คิดว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างครอบครัวกับการทำงาน เพราะเราได้เห็นตัวอย่างและเรียนรู้จากผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จทางสังคมซึ่งเลือกจะไม่มีครอบครัวหรือไม่เลี้ยงลูก แต่ทางเลือกนี้ย่อมทำให้เสียใจภายหลังแน่นอน เมนเทอร์หญิงที่ฉันได้พบคือผู้บริหารมืออาชีพวัยห้าสิบปีจากบริษัทยาต่างชาติ เธอคิดตรึกตรองอยู่นานจนตัดสินใจว่าจะดูแลทั้งลูกและงานได้ดีด้วยวิธีการต่อไปนี้
ต่อไปต้องเลิกงานตอนหกโมงเย็นโดยไม่มีข้อแม้ เธอได้รับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวและลูกลูก เธอบอกกับฉันว่าการตัดสินใจของเธอในวันนั้นทำให้เด็กๆมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น
ปล่อยไปตามธรรมชาติ ให้พยายามสุดความสามารถแต่ต้องทำอย่างสมเหตุสมผลด้วย ชีวิตที่ก้าวไปสู่เป้าหมายเพียงอย่างเดียวหรือการเอาแต่ดูแลครอบครัวอย่างเดียวไม่ใช่ชีวิตที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจในแต่ละสถาณการณ์และในความสัมพันธ์นั้นอย่างชาญฉลาด
ตัดสินใจจะเป็นที่สุด เมื่อเราทำสิ่งใดอยู่แล้วจะต้องจดจ่อเพียงสิ่งนั้นแล้วเพิ่มคุณภาพของสิ่งที่ทำมากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ที่ทำงานนานขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ได้อยู่กับลูกนานกว่าที่เคยก็ตาม การใช้เวลาในเชิงปริมาณทำทั้งสองอย่างเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากใช้เวลาในเชิงคุณภาพผลที่ได้จากกระบวนการนั้นจะแตกต่างกันอย่างแน่นอน นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมการตั้งใจและจดจ่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ต้องได้รับความร่วมมือจากคนรอบข้าง เราต้องทำให้สามีหรือครอบครัวมาอยู่เคียงข้างเรา การร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายเพื่อช่วยกันเลี้ยงลูกและทำงานคือจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหา หากครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดไม่ยื่นมือมาช่วย การลงมือทำทั้งสองอย่างคงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้จงอย่าเครียดกับทุกอย่างและยังโหมทำงานบ้าน คุณควรใช้เงินจ้างแม่บ้านก็ได้แล้วใช้เวลาที่เหลือโฟกัสไปกับสิ่งที่ต้องทำเพื่อลูกและคนที่คุณรัก
รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ โดยพื้นฐานแล้วความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จคือการทำทุกอย่างให้ดี แต่พวกเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการทำทั้งสองอย่างไปด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย การจับปลาสองมือด้วยตัวคนเดียวอาจหมายความว่าคุณจะพลาดปลาทั้งสองตัวไปเลยก็ได้
เลื่อนตำแหน่งให้ตัวเอง ผู้หญิงต้องทำให้ตัวเองได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นให้ได้หากเรายอมรับตัวเอง ให้รางวัลตัวเอง และปฏิบัติต่อตัวเองเป็นอย่างดี คนอื่นก็จะปฏิบัติกับตัวเราดีไปด้วย คนที่รักตัวเองจะแพ้ความสง่างามหรือความรู้สึกนั้นๆออกมา ดังนั้นคุณต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มาให้ดี ต้องไม่ท้อแท้หรือทำให้ตัวเองดูเล็กลง
อย่าเสียดายการลงทุน มีบางอย่างที่คนขยันทำงานแต่ยังย่ำอยู่ที่เดิมเข้าใจผิดนั่นคือความคิดที่ว่าขยันหมายถึงเติบโต แท้จริงแล้วความตั้งใจหรือความขยันเป็นคนละเรื่องกับการเติบโต เพราะการเติบโตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้เติมพลังใหม่ๆต่างหาก
ยอมรับด้วยเจตนาดี แม้ว่าชีวิตของผู้หญิงในสังคมจะเกิดกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่หนทางยังอีกยาวไกลนักเมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์นั้น จงอย่าไปต่อสู้กับคนเหล่านั้น แต่จงรับมืออย่างชาญฉลาด คุณต้องหาประโยชน์จากการอยู่ร่วมกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือเลือกปฏิบัติกับคุณ หากเปิดรับคำพูดของการกระทำฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นเจตนาดี ก็จะรู้สึกอยากเข้าใจพวกเขามากขึ้นแล้วทัศนคตินี้จะเปลี่ยนการทำงานของฝ่ายตรงข้าม
ค่าใช้จ่ายคือการลงทุน ผู้หญิงจะมีค่าใช้จ่ายทันทีที่เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต ฉันไม่อยากให้คุณหนักใจกับเรื่องนี้มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อคุณมีลูกที่ยังอยู่ในวัยเด็ก แล้วต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตัวเองผ่านประสบการณ์ที่หลากหลายมากกว่าการหาเงิน