Jesse Livermore

Jesse Livermore

เทรดเดอร์จากประเทศสหรัฐฯ ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ผู้บุกเบิก การเดย์เทรด และชื่อของเขาได้ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อดังอย่าง Reminiscences of a Stock Operator ที่เขียนโดย Edwin Lefèvre 

ครั้งหนึ่ง Livermore เคยได้ขึ้นแท่นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่สุดท้ายเขาได้จบชีวิตตัวเองเลย ด้วยการยิงปืนฆ่าตัวตาย 

Livermore สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างน่าทึ่งในเหตุการณ์สำคัญในช่วง 1906 San Francisco earthquake และ Wall Street Crash of 1929 โดยเขาทำกำไรด้วยการเทรดฝั่ง Short 

บ้างก็ว่า Livermore เป็นตำนานเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุด แต่บ้างก็ว่าเขาเป็นพวกที่เทรดเสี่ยงมากเกินไป

ประวัติ

Livermore เกิดที่เมือง Shrewsbury, Massachusetts โดยถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวที่ยากจน และได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Acton, Massachusetts ในช่วงวัยเด็ก 

เมื่ออายุ 14 ปี พ่อของเขาได้ให้เขาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยทำฟาร์ม แต่ได้รับการช่วยเหลือจากแม่ของเขา ทำให้เขาได้ย้ายออกจากบ้าน และเริ่มต้นไปทำงานที่โบรกเกอร์หุ้นแห่งหนึ่งในเมือง Boston (เป็น board boy หรือพวกเด็กเดินโพย/เด็กเคาะกระดาน ได้ค่าแรง $5 ต่อสัปดาห์)

เมื่ออายุ 15 เขาได้ลองเก็งกำไรใน Bucket shop (ตลาดหุ้นเถื่อน) ด้วยเงิน $5 ในหุ้น Chicago, Burlington and Quincy Railroad 

ช่วงอายุ 16-17 เขาได้รับฉายาว่า The Boy Plunger โดยเขาสามารถทำเงินได้ถึง $200 ต่อสัปดาห์ จากการเก็งกำไรใน Bucket shop ซึ่งมากกว่าเงินเดือนที่เขาได้รับซะอีก และจากนั้นเขาออกจากงานเพื่อไปเป็นเทรดเดอร์ Full-time โดยเขานำเงิน $1,000 ให้กับแม่ของเขา ก็คิดว่าเขาไปเล่นพนันมาได้ แต่เขาบอกกับแม่เขาว่า มันไม่ได้การพนัน มันคือการเก็งกำไร

ช่วงอายุ 18-20 เขาได้สะสมกำไรจากการเทรดได้ถึง $10,000 (คิดเป็น 1,000% ต่อปี ในช่วง 3 ปีในการเทรดที่ผ่านมา) และสุดท้ายเขาถูกแบนจาก Bucket shop เพราะจากการทำกำไรอย่างน่ากลัวของเขา แต่เขาก็ยังเทรดอยู่ใน Bucket shop เรื่อยมาในแห่งอื่นที่ยังไม่แบนเค้า

ช่วงอายุ 21-22 เขาได้เทรดกับ Haight & Freese เป็น Bucket shop แห่งสุดท้ายใน Boston ที่ยังไม่แบนเค้า แต่ด้วย Haight & Freese มีค่า Spread ที่กว้าง ทำให้เขายากที่จะสร้างกำไร

ช่วงอายุ 23 เขาได้ย้ายมา New York เพื่อที่จะมาเล่นในตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยช่วงนั้นปี 1900 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ทำให้เขาได้กำไรอย่างมหาศาล สามารถเปลี่ยนเงินจาก $10,000 กลายเป็น $50,000 ภายในเวลา 5 วัน และในปีถัดมา เขาได้คาดการณ์ว่าตลาดจะลง และเขาได้ทำการเปิด Short โดยใช้ Margin ถึง 400% ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาหมดตัวจากการเทรด และเขาได้ยืมเงินจาก Ed Hutton จำนวน $2,000 และย้ายไปที่ St. Louis และกลับไปเทรด Bucket shops ต่อ

ในช่วงอายุ 24 เขาได้กลับมาเทรดหุ้นอีกครั้ง และสร้าง Big win จากการซื้อหุ้น Northern Pacific Railway ที่ทำเงินจาก $10,000 กลายเป็น $500,000 

ในปี 1906 (อายุ 29) ในช่วงที่เขาพักร้อนอยู่ที่ Palm Beach, Florida เขาได้เปิด Short จำนวนมากในหุ้น Union Pacific Railroad ในกี่วันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 1906 San Francisco earthquake โดยเขาสามารถสร้างกำไรได้ถึง $250,000 

และในปี 1907 (อายุ 30) ช่วงที่ตลาดหุ้นลงอย่างหนัก Livermore สามารถสร้างกำไรจากการเทรดฝั่ง Short ถึง $1,000,000 ภายในวันเดียว โดยเหตุการณ์นี้ J. P. Morgan ได้ติดต่อเขาเพื่อขอร้องให้เขาหยุด Short เลยทีเดียว โดยช่วงนั้นมูลค่าพอร์ตของเขาพุ่งสูงเป็น $3,000,000 เขาได้ทำการซื้อเรือยอร์ช (สัญลักษณ์ของอภิมหาเศรษฐี) มูลค่า $200,000 และอพาร์ทเม้นท์สุดหรูในเมือง Upper West Side ช่วงนี้ทำให้เขาเป็นที่โด่งดังในวงการตลาดหุ้น

ในปี 1908 (อายุ 31) เขาได้ทำการซื้อฝ้าย แต่ราคาลงไม่หยุด และเขาไม่ยอม Stop loss คอยแต่ถั่วเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ สุดท้ายทำให้เขาหมดตัวกับมัน โดยสูญเสียเงินไปกว่า 90% และสร้างหนี้สินจนสูงถึง $1,000,000

ในปี 1915 (อายุ 38) เขาถูกประกาศเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ด้วยเครดิตที่สะสมไว้ก่อนหน้า ทำให้เขาได้กลับมาเข้ามาเทรดใน Wall street อีกครั้งในปี 1917 

ในปี 1918 (อายุ 41) ช่วงแรกในหลังจากกลับเข้ามาเทรด ก็มีขาดทุนบ้าง เพราะตลาดเป็น Sideway อยู่นาน จนหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 ตลาดหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้น และเขาสามารถทำกำไรจากหุ้นกลุ่มเหล็กที่เป็นที่ต้องการมากในขณะนั้น โดยเขาได้ปลอดหนี้ และมีเงินกว่า $3,000,000 อีกครั้ง และช่วงนั้นเอง เขาก็กลับมาเทรดฝ้ายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาซื้อมันอย่างหนัก จนพยายามควบคุมราคาในกระดานได้เลย แต่เขาได้รับการขอร้องจากประธานาธิบดี Woodrow Wilson ที่เชิญเขาไปคุยใน White house เขาก็ตอบตกลงว่าจะขายคืน ณ ราคาเท่าทุน

ในปี 1924-1925 เขาได้สร้างกำไรจากการเทรดหุ้น และ พวกสินค้าเกษตร อย่างข้าวสาลี และข้าวโพด โดยสามารถทำเงินได้กว่า $10,000,000 

ในปี 1929 (อายุ 52) เขาได้เปิด Short อย่างมหาศาล ในช่วงที่ตลาดหุ้นพังในเหตุการณ์ Wall Street Crash of 1929 : Great Depression เขามองว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีพอที่จะทำให้หุ้นต่อได้ ตลาดน่าจะลง โดยใช้บริการโบรกเกอร์กว่า 100 เจ้า เพื่อซ่อนออเดอร์ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ โดยจากเหตุการณ์นี้เขาได้ปั้นพอร์ตให้มีมูลค่าสูงถึงกว่า $100,000,000 ทำให้ชื่อเขาโด่งดังมากใน Wall Street อีกครั้ง ชีวิตของเขากลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

ในปี 1930 (อายุ 53) เขาได้มีปัญหาโรคความจำเสื่อม รวมถึงปัญหาส่วนตัวอีกมากมาย เขามีภรรยาหลายคน มีการหย่าร้างหลายครั้ง ลูกบางคิดก็ติดยาเสพติด ทำให้ Livermore เครียดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม รวมถึงกลายเป็นโรคซึ้มเศร้าด้วย

ในปี 1934 (อายุ 57) การเทรดของเขาไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน ด้วยสภาพจิตใจและอาการป่วยของเขา ทำให้เกิดการขาดทุน จนสุดท้ายของต้องสูญเสียเงินทั้งหมด และถูกประกาศให้ล้มละลาย โดยเขามีหนี้สินสูงถึง $2.5 ล้าน และเขาได้ถูกแบนจาก Chicago Board of Trade

ในปี 1937 (อายุ 60) เขาได้เปิดบริษัทให้คำแนะนำทางการเงิน และขายพวกเครื่องมือทาง Technical Analysis

สุดท้ายในปี 1940 (อายุ 63) เขาได้ยิงตัวตายที่โรงแรม The Sherry-Netherland ใน Manhattan และทิ้งข้อความในกระดาษไว้ถึงภรรยาของเขา โดยเขียนว่า “My dear Nina: Can’t help it. Things have been bad with me. I am tired of fighting. Can’t carry on any longer. This is the only way out. I am unworthy of your love. I am a failure. I am truly sorry, but this is the only way out for me. Love Laurie”

ข้อมูลอ้างอิง