สารบัญ
กลยุทธ์ Carry Trade
Carry Trade คือกลยุทธ์การเทรดที่เราจะกู้ยืมเงินในแหล่งเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อที่จะไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า โดยหวังกินกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนี้
เป็นกลยุทธ์ที่คล้ายลักษณะ “จับเสือมือเปล่า” เราสามารถทำกำไรได้ตลอดเวลาที่เรามีสถานะการเทรด
ตัวอย่างการทำ Carry Trade
สมมติเราสามารถกู้เงิน 100,000 บาท จากธนาคารแห่งหนึ่ง โดยมีดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 1% ต่อปี (คิดเป็นจำนวนเงินก็อยู่ที่ 1,000 บาทต่อปี)
จากนั้นเรานำเงินดังกล่าว ไปลงทุนในพันธบัตร ที่มีอัตราผลตอบแทนต่อปีอยู่ที่ 5% ต่อปี (คิดเป็นจำนวนเงินก็อยู่ที่ 5,000 บาทต่อปี)
ซึ่งเราจะสามารถกินส่วนต่างของดอกเบี้ยฟรีๆ ถึง 4% ต่อปี เลยทีเดียว (หรือ 4,000 บาทต่อปี)
บางคนอาจฟังดูน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกสินทรัพย์ที่มี Leverage อย่าง Forex เราสามารถใช้เงินลงทุนที่น้อยลงไปอีก ซึ่งจะทำให้ %กำไร ต่อปี เราเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
อย่างตัวอย่างเดิม ถ้าเราใช้ Leverage ที่ 20 เท่า ก็แปลว่าเราจะได้ผลกำไรถึง 80% ต่อปี
ตัวอย่าง Leveraged Carry Trade
สมมติเหตุการณ์คล้ายเดิม คือ เรากู้เงินจากธนาคาร 1,000,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี แต่ทั้งนี้ธนาคารบอกว่า เราต้องวางเงินประกันจำนวน 10,000 บาทก่อน เพื่อเป็นหลักประกันในการกู้
จากนั้นเราได้เงินมา 1,000,000 บาท นำไปฝากธนาคารอื่น ที่ให้อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 5% ต่อปี
เมื่อครบกำหนด 1 ปี
- เราจะได้ผลตอบแทน 50,000 บาท (1,000,000*0.05)
- เราต้องจ่ายดอกเบี้ย 10,000 บาท (1,000,000*0.01)
- ดังนั้นเราจะกำไรอยู่ที่ 40,000 บาท
เมื่อเทียบกับจำนวนเงินลงทุนที่ 10,000 บาท กับ กำไร 40,000 บาท นั่นแปลว่าเรากำไรถึง 400%
Carry Trade ในตลาด Forex
โดยแต่ละประเทศมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน (ดอกเบี้ยนโยบายของแต่ละประเทศ) บางประเทศให้ผลตอบแทนถึง 5-10% บางประเทศ 0% หรือ บางประเทศติดลบก็มี (อย่างเช่น ญี่ปุ่น และ สวิตเซอร์แลนด์)
ในตลาด Forex การเทรดคู่สกุลเงิน อย่าง EUR/USD ถ้าเรา ซื้อ (Long) คู่สกุลเงินนี้ นั่นแปลว่า เรากำลัง ซื้อ EUR และ ขาย USD ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งตามหลักคือเราต้อง จ่ายอัตราดอกเบี้ยในฝั่งที่เรา ขาย และ รับอัตราดอกเบี้ย ในฝั่งที่เรา ซื้อ
ดังนั้นถ้าเรา Buy คู่สกุลเงิน EUR/USD นั่นแปลว่า
- เราต้องจ่ายดอกเบี้ยของ USD
- และรับดอกเบี้ยของ EUR
ส่วน Sell หรือ Short ก็ตรงกันข้าม
โดยใน Forex จะมีการคิดอัตราดอกเบี้ยทุกสิ้นวัน (Overnight interest rate ของระหว่าง คู่สกุลเงินที่เราเทรด) ซึ่งจะรู้จักกันในชื่อว่า “ค่า Swap” นั่นเอง
ตัวอย่างฝั่ง Long
ตัวอย่างฝั่ง Short
ตัวอย่างการทำ Carry Trade ในตลาด Forex
สมมติเทรดเดอร์มีเงินลงทุน 10,000 บาท
นำเงินไปเทรดคู่สกุลเงินที่ได้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% ต่อปี โดยมูลค่าการเทรดของคู่สกุลเงินนั้นอยู่ที่ 100,000 บาท
ในส่วนของโบรกเกอร์ที่เทรดเดอร์คนนั้นเปิดบัญชี เขามีให้วางเงินเพียง 1% ของมูลค่าที่จะเทรด ดังนั้นเขาต้องวางเงิน (Margin) อยู่ที่ 1,000 บาท (Leverage 1:100)
โดยเทรดเดอร์ทำการเปิดออเดอร์ และไม่ทำอะไรเลยทั้งปี
มี 3 เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นคือ
- ผิดทาง – คู่สกุลเงินนั้นเคลื่อนไหวผิดทาง จนทำให้เงิน Margin ที่วางไว้ 1,000 บาท หมดไป (พอร์ตแตก)
- ไม่ไปไหน – เมื่อครบสิ้นปี ราคาของคู่สกุลเงินนั้นไม่เคลื่อนไหวไปไหน อยู่ที่เดิม ณ ตอนเปิดออเดอร์ ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์คนนั้นได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 5,000 บาท (0.05*100,000) ซึ่งคิดเป็นกำไรถึง 50%
- ถูกทาง – นอกจากจะได้ ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังได้ ส่วนต่างของกำไรในช่วงที่ถูกทางอีก (กำไร = 5,000 + ส่วนต่างกรณีถูกทาง)
ข้อควรระวัง
ในการทำ Carry Trade เรามักหาประเทศหรือคู่สกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนเป็นบวก ในกรณีที่ประเทศนั้นเศรษฐกิจมั่นคง โดยมีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพราะต้องการควบคุมอัตราของเงินเฟ้อ อันนี้ดี แต่ในกรณีที่ประเทศมีเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ใช้การให้อัตราดอกเบี้ยที่สูง เพียงเพราะต้องการเงินทุนเข้าประเทศ อันนี้อันตราย เพราะโดยปกติส่วนมากแล้ว ประเทศที่ฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง จะให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ อย่างเงินเยน ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่เวลาเกิดความไม่แน่นอน คนส่วนมากจะหันไปถือเงินเยนนี้ เพราะมองเป็น Safe Haven มากกว่านั่นเอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง