ในโลกใบนี้คนที่เป็นคนรวยนั้น เค้ามีวิธีการหาเงินที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเล่นอสังหา, เปิดเต้นรถ, ปล่อยกู้, ทำสวน, เป็นนักร้อง, พิธีกร, เล่นการเมือง, ทำร้านอาหาร, ขายของออนไลน์ และอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน จะเห็นได้ว่า แต่ละคน มีวิธีการหาเงินที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็จะทำในสิ่งที่เค้าถนัด โดยที่ทำให้เค้าเหล่านั้นรวยได้ ส่วนใหญ่มาจากความทุ่มเทในงานที่เค้าทำ ทำอย่างฉลาด ทำอย่างมีหลักการ จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จในที่สุด

การเทรดก็เช่นเดียวกัน มันจะมีกลยุทธ์การเทรดที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ทุกกลยุทธ์นั้นสามารถทำกำไรได้ ขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่าที่ว่า ชอบกลยุทธ์ที่ใช้หรือเปล่า ? กลยุทธ์ที่ใช้เหมาะกับนิสัยเราไหม ? เราต้องเลือกกลยุทธ์ที่มันตรงความสไตล์ของเรา เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปตลอดชีวิตการเทรด

สิ่งที่สำคัญถนัดมาหลังจากการเลือกกลยุทธ์การเทรดแล้ว เราต้องตั้งใจฝึกฝนใช้มันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จในการเทรด ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ทุ่มเท และทำอย่างมีหลักการที่ถูกต้อง

6 รูปแบบ กลยุทธ์การเทรด

โดยกลยุทธ์การเทรดจะแบ่งออกเป็น 6 รูปแบบ 

  1. Day Trading : จบภายในวัน
  2. Trend Following : เทรดตามแนวโน้ม กินคำใหญ่
  3. Momentum Trading : เล่นรอบตามโมเมนตัม
  4. Swing Trading : ย่อซื้อ
  5. Scalping : เก็บกำไรในระยะเวลาสั้นๆ
  6. Reversal Trading : หาจุดกลับตัวของราคา
Day Trading

1. Day Trading

เป็นกลยุทธ์การเทรดที่ซื้อและขายจบภายในวันเดียว ไม่มีการถืออเดอร์ข้ามคืน เหมาะกับเทรดเดอร์สายเก็งกำไรที่มีเวลาดูตลาดทั้งวัน เพราะต้องติดตามการเคลื่อนไหวของราคาตลอดชั่วโมงการเทรด 

ข้อดี

  • ไม่มีเจอความเสี่ยงในการกระโดดของราคาในวันถัดไป (เพราะ หลังจบชั่วโมงการเทรด อาจเจอข่าวแรงๆ ทำให้ราคากระโดดขึ้น ลง ในวันถัดไปได้)
  • มองภาพระยะสั้น ไม่ต้องมองภาพใหญ่
  • ความถี่ในการเทรดเยอะกว่ากลยุทธ์อื่น เกิดการตัดสินใจทุกวัน
  • สามารถรับรู้กำไร ขาดทุนวันต่อวัน
  • หากเทรดเก่ง ได้กำไรบ่อย จะสามารถสร้างผลตอบทบต้นได้ไวมาก

ข้อเสีย

  • ต้องเฝ้าตลาด ตลอดช่วงที่ตลาดเปิด
  • ใช้พลังงานค่อนข้างสูง
  • ต้องเผชิญความกดดันสูง ต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
  • เสียค่าธรรมเนียมในการเทรดจำนวนมาก (เพราะต้องเทรดบ่อย)
Trend following

2. Trend following

กลยุทธ์ที่นักลงทุนตลาดหุ้นในเมืองไทยหลายคนนิยมเทรดกัน โดยเป็นการเทรดตามแนวโน้ม เน้นกินคำใหญ่ คือจะถือรันเทรนไปเรื่อยๆ ถือไปจนกว่าจะราคาจะหมดแนวโน้ม กลยุทธ์นี้มีโอกาสสร้างกำไรได้เป็น 100% ขึ้นไปเลยทีเดียว 

กลยุทธ์การเทรดของ Donchian (เจ้าพ่อ Trend following)

ข้อดี

  • มีโอกาสได้กินคำใหญ่ กำไรหลายเด้ง (Reward สูง)
  • ไม่ถือไม้ที่ขาดทุนไว้นาน
  • เทรดไม่บ่อย (ประหยัดค่าธรรมเนียนในการเทรด)

ข้อเสีย

  • Win rate ต่ำ (ประมาณ 20-40%)
  • ถือนาน (บางตัวที่กำไร อาจต้องปล่อย Profit run หลายเดือน หรือเป็นปีเลยก็มี หากใครใจไม่แข็งพอ ก็มักขายก่อน)
  • ไม่ดีกับตลาด Sideway
Momentum trading

3. Momentum trading

กลยุทธ์ที่เล่นตามโมเมนตัมของราคา เหมือนกับการเล่นตามกระแสน้ำ ไม่สวนทาง รอให้ราคาเลือกทิศทางก่อน จากนั้นค่อยซัดตาม (หลักการของ Momentum ในการเทรด)

ข้อดี 

  • เล่นตามเทรน
  • ถือไม่นาน
  • ปริมาณเทรดอยู่ในระดับกลางๆ

ข้อเสีย

  • Win rate อยู่แถวๆ 50 : 50
  • ใช้ไม่ดีกลับตลาด Sideway
  • บางทีเจอ Fake signals บ่อย
Swing Trading

4. Swing Trading 

เป็นลักษณะการย่อซื้อ คือรอให้ราคาย่อตัวก่อน ค่อยหาจังหวะในการเข้าซื้อ แล้วรอราคาเด้งค่อยขาย กลยุทธ์นี้จะเป็นลักษณะการกินกำไรเป็นรอบๆ (5-10% ต่อตัว)  เก็บรอบการแกว่งตัวของราคา โดยโอกาสการชนะของกลยุทธ์นี้ค่อนข้างสูง ถือ position ประมาณ 3 – 14 วัน

ข้อดี

  • Win rate สูง (60-80%)
  • ถือออเดอร์ไม่นาน อยู่ในระดับกลางๆ
  • ปริมาณเทรดก็อยู่ในระดับกลางๆ
  • ไม่ต้องเฝ้าจอ
  • เหมาะกับตลาด Sideway

ข้อเสีย

  • Risk/Reward ไม่ได้สูง เน้นกินกำไรน้อยๆ แต่เรื่อยๆ
  • อาจจะต้องเจอ Overnight risk เพราะต้องถือ position ข้ามวัน
  • ไม่เหมาะกับตลาดที่เป็นเทรน เพราะไม่มีจังหวะย่อซื้อ
Scalping

5. Scalping 

กลยุทธ์เก็บกำไรแบบสั้นมาก (สั้นที่สุด) ถ้าหุ้นก็นับกันเป็นช่อง, TFEX ก็นับกันเป็นจุด หรืออย่าง Forex ก็นับกันเป็น pip เลย จะไม่ได้ดูผลตอบแทนเป็น % เพราะกลยุทธ์จะใช้การเข้าออกที่ไวมาก เน้นทำกำไรจากการแกว่งตัวสั้นๆของราคา จะใช้ดู Bid Offer มากกว่าการดูกราฟทางเทคนิค (ถ้าดูกราฟก็เป็นราย tick ไปเลย)

ข้อดี

  • Win rate สูงมาก
  • สามารถทำกำไรภายในไม่กี่วินาที
  • ไม่ถือข้ามวัน
  • เทรดถี่ เน้นทำรอบ
  • เหมาะกับตลาดวิ่งในกรอบ

ข้อเสีย

  • เทรดถี่ ค่าธรรมเนียมในการเทรดสูง ไม่ค่อยเหมาะกับรายย่อย จะเหมาะกับพวก Prop. trade มากกว่า (Proprietary trader) เพราะค่าธรรมการเทรดเค้าต่ำมาก
  • Risk/Reward 1:1
  • ไม่เหมาะกับตลาดที่มีเทรน เพราะถ้าผิดทาง คัทไม่ทัน อาจเจ็บหนัก
reverse

6. Reversal Trading

เป็นวิธีการเทรดแบบหาจุดกลับเลย โดยกลยุทธ์นี้โอกาสการชนะต่ำมาก แต่ถ้าได้กำไรทีจะได้เยอะมากๆ เพราะจะเป็นการหาจุดต่ำสุด หรือ จุดสูงสุดของราคา

ข้อดี

  • Risk ต่อ Reward สูงมาก (1 : 10 ขึ้นไป)
  • ดูหล่อในสายตาเพื่อนๆ

ข้อเสีย

  • Win rate ต่ำมาก 
  • Cut loss ค่อนข้างบ่อย

สรุป

6 รูปแบบ กลยุทธ์การเทรดที่กล่าวมากทั้งหมด เป็นแนวทางให้เพื่อนๆ เทรดเดอร์เลือกกลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ในการเทรด โดยที่กล่าวมานั้นเป็นกลยุทธ์หลักๆ จริงๆมันยังมีกลยุทธ์ย่อยๆ อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันมาก สิ่งสำคัญคือ เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเราให้มากที่สุด ไม่มีกลยุทธ์ไหนดีกว่ากัน ทุกกลยุทธ์สามารถทำกำไรได้ทั้งสิ้น แต่ละกลยุทธ์ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป เลือกเอาที่เราถนัดจะดีที่สุดครับ