สรุปหนังสือ เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข
เขียน โกะโด โทคิโอะ
แปล อาคิรา รัตนาภิรัต
บทนำ
คำว่า คนดี ในหนังสือเล่มนี้หมายถึง คนที่ทำตัวให้เป็นที่นิยมชมชอบ เพื่อไม่ให้ถูกเกลียด ซึ่งทุกคนย่อมต้องการเป็นที่ชื่นชอบ และการไม่ถูกใครเกลียด ย่อมทำให้ใช้ชีวิตได้สงบสุข แต่หากยึดติดมากเกินไป ก็จะกลายเป็นการกดดันตัวเอง ทำให้ไม่มีความสุข เพราะต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร จะถูกเกลียดหรือเปล่า และความนิยมจะลดลงไหม ส่งผลให้มองข้ามความรู้สึก หรือความคิดที่แท้จริงของตัวเอง
ถ้าเลิกเป็นคนดีแล้วจะเกิดข้อดีแก่ตัวเองได้ ดังนี้
- ไม่ต้องเสแสร้งและไม่ต้องเหนื่อยที่ต้องแคร์สายตาคนรอบข้างอีกต่อไป
- ไม่ต้องกลัวว่าใครจะไม่สนใจ ไม่ต้องโกหกเพื่อให้คนชื่นชม ไม่ต้องหาข้ออ้างเพื่อปกป้องตัวเอง ก็จะทำให้ชีวิตจะง่ายขึ้น
- กล้ายืนหยัดความคิดของตัวเอง กล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ทำไม่ได้ และสิ่งที่ทำไม่ไหว ก็จะไม่ถูกคนอื่นเอาเปรียบอีกต่อไป
ทำการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
อิสระทางกายหมายถึง การเลือกสิ่งหนึ่งจากตัวเลือกจำนวนมาก เช่น การเลือกที่อยู่ต้องมีธรรมชาติล้อมรอบ เดินทางสะดวก หรือแม้แต่การใช้ชีวิตในสถานที่สะดวก และตรงกับความชอบ
อิสระทางใจหมายถึง การไม่ปล่อยให้ผู้อื่นมีอิทธิพล หรือควบคุมความรู้สึกของตัวเอง ต้องใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ มองทุกเรื่องทุกสถานการณ์ในแง่บวกได้
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพเช่นนั้น และนำไปสู่ชีวิตที่แสนวิเศษ หรือการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในทุก ๆ วัน
บทที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
เลิกเป็นคนดี มนุษย์ทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี คนดีมักต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน แต่การเก็บกดความเป็นตัวเองไว้ เพื่อให้เข้ากับทุกคน และคบหากันโดยซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ กลับยิ่งทำให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับใครไม่ได้เลย สุดท้ายก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้น และจบลงแบบผิวเผิน ไม่อาจคบหาอย่างลึกซึ้งหรือจริงใจต่อกันได้
การไม่สื่อความคิดที่แท้จริงออกไปทำให้ไม่อาจรับรู้ความรู้สึก คนอื่นจะคิดว่าไม่รู้เขาคิดอะไรอยู่ เลยไม่ยอมรับเข้ากลุ่มหรือเป็นพวกด้วย ถึงจะเข้ากลุ่มได้แต่ก็เหมือนมีกำแพงกั้น ไม่อาจเข้าไปอยู่ในใจใครได้ หรือเรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไรให้จดจำ นอกจากนั้นคนดีมักไม่ค่อยมองเห็นคุณค่าตัวเอง เวลาได้รับคำชมจึงไม่กล้าตอบรับตรง ๆ เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีข้อดีให้คนชื่นชม เปรียบไปแล้วทุกคนคือดินสอสี ในหนึ่งกล่องล้วนมีสีต่างกันไป และมีคุณค่าในสีของตัวเอง การคบหาแต่กับคนที่คุยถูกคอ ไม่ได้เป็นการตัดสินว่าเราเป็นคนโลกแคบหรือโลกกว้าง แต่เป็นการบ่งบอกว่าเรามีความสุขหรือไม่ต่างหาก
เลิกกลัวการถูกเกลียด ถ้าใครที่กลัวคนอื่นเกลียดให้ลองคิดดี ๆ ว่า หากถูกเกลียดแล้วชีวิตเราจะลำบากหรือจะเกิดผลเสียอะไรบ้าง จากนั้นให้คิดต่อว่า ถ้าเราพยายามทำให้คนอื่นชอบจะมีข้อดีและข้อเสียต่อตัวเองอย่างไรบ้าง แล้วลองนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งข้อเสียของการถูกเกลียดน่าจะมีแค่ การมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ทำให้พูดคุยกันลำบากก็แค่นั้น
เลิกใช้ชีวิตในสังคมที่ถูกสร้างขึ้น การที่กลุ่มคนซึ่งเข้ากันได้ดีมารวมตัวกันโดยบังเอิญ และทำให้รู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ท่ามกลางคนที่เห็นคุณค่าของเรา ถือเป็นการจับกลุ่มเพื่อนในแบบที่ทุกคนปรารถนา หากต้องทนเหนื่อยกับการเข้าสังคม สู้ก้าวออกมาจากกลุ่มไปเลยจะเป็นประโยชน์มากกว่า แม้ถูกเกลียดก็ไม่ได้เดือดร้อนมากมาย
การใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองเป็นอยู่ จะช่วยให้เครียดน้อยลง คนที่พูดจาว่าร้ายกับคนอื่น นอกจากเป็นพวกไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ยังเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญเลย จึงไม่ควรเข้าใกล้หรือเพิกเฉยไปเลยจะดีกว่า และการทำตัวเป็นคนดีเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเหงา ไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีเลย มีแต่จะส่งผลเสียต่อตัวเองมากกว่า
สิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งในการเลือกคบคนคือ คนคนนั้นต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกับเรา เพราะถ้าเลือกคบคนผิดชีวิตเราก็อาจลำบากได้ คนเรามีหลายประเภทแต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นคนดี และนำความสุขความเจริญมาให้ไปเสียหมด หากมีคนเพียงเล็กน้อยที่เอื้อประโยชน์ต่อความสำเร็จ แต่คนส่วนใหญ่จะอิจฉา และอยากขัดแข้งขัดขามากกว่า
เราสามารถเลือกที่อยู่หรือเปลี่ยนงานให้เหมาะกับตัวเองได้ หากไม่พอใจผู้คนที่คบหาอยู่ หรือสถานที่ที่อยู่ก็หาใหม่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจำเป็นต้องทิ้งสภาพแวดล้อมปัจจุบัน แล้วก้าวไปสู่สถานที่แห่งใหม่ คนเราเกิดมาแค่ครั้งเดียว การยอมอุทิศชีวิตให้คนอื่นถือเป็นการใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า
เลิกกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว การอยู่คนเดียวอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อหรือชวนเหงาอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างแท้จริงคือ การคิดไปเองหรือกังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไรบ้าง ซึ่งสิ่งที่กังวลหรือกลัวนั้นไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงสิ่งที่คิดขึ้นเองทั้งนั้น ยิ่งเราเป็นตัวของตัวเองมากเท่าไร จะยิ่งรู้จักเลี่ยงการอยู่กับคนมาก ๆ และไม่ต้องคบหาสมาคมกับคนที่ไม่จำเป็น คำพูดว่าคนไม่มีเพื่อนคือคนไร้ค่าเป็นแค่การคิดไปเอง คนที่อยู่คนเดียวแต่ประสบความสำเร็จได้ก็มีมากมาย สิ่งที่จะสร้างความมั่นใจให้เรายืนได้ด้วยขาของตัวเอง เดินได้ด้วยแรงของตัวเอง และใช้ชีวิตด้วยการตัดสินใจของตัวเองได้นั้น ไม่ได้มาจากคนอื่นแต่มาจากตัวเราเองทั้งสิ้น
เลิกติดสอยห้อยตามเพื่อนๆ คนดีที่กลัวความโดดเดี่ยวมักใช้เวลาอยู่กับเพื่อน ๆ และมักถูกมองว่าเป็นพวกที่ชอบทำอะไรง่าย ๆ ไม่จริงจัง โดยพื้นฐานแล้วความสามารถคิดค้นหรือจินตนาการนั้น เกิดจากความเป็นตัวของตัวเอง คนเหล่านี้มักใช้เวลาทำงานเงียบ ๆ คนเดียว เพราะมีเวลาอยู่กับตัวเอง จึงทำให้สร้างสรรค์ผลงานที่ผู้คนประทับใจได้ เวลาถอยห่างจากผู้อื่นแล้วเผชิญหน้าจิตใจของตัวเอง เราจะมองเห็นคุณค่าหรือวิถีทางเป็นของตัวเอง และอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อจัดการชีวิตตัวเอง สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การเรียบเรียงความรู้สึก หรือหนทางเข้าใจตัวตน แล้วค่อยพัฒนาให้ดีขึ้น
เลิกคิดว่าฉันใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่ได้ คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่ได้ จึงเกิดการยกยอต่อปั้นในสังคม และหันมากดดันคนที่ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ว่าเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ จริง ๆ แล้วก็เป็นแค่คนที่ไม่มั่นใจตัวเอง หากเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็น แต่อยากให้คิดว่า หากจำเป็นต้องอยู่คนเดียวจริง ๆ ก็อยู่ได้ และอย่ากลัวที่ต้องสูญเสียความสัมพันธ์กับใครมากเกินไป หากคิดได้เช่นนี้ก็คบหาผู้อื่นโดยเป็นตัวของตัวเองได้
แน่นอนว่าแต่ละคนมีมุมมองแตกต่างกันออกไป การเลือกใช้ชีวิตแบบไหนถึงเป็นสิทธิ์ของคนคนนั้น และไม่มีใครตัดสินได้หรอกว่า ทางเลือกไหนผิดหรือถูก เพียงแต่หากคนที่กังวลเรื่องการมีมนุษย์สัมพันธ์กับผู้อื่น คนที่อยากใช้ชีวิตลำพัง หรือคนที่มีแนวโน้มจะใช้ชีวิตในสังคมเพียงลำพังได้แต่งงานมีครอบครัว ก็จะช่วยให้พวกเขาสบายใจขึ้น
บทที่ 2 ปฏิสัมพันธ์
เลิกยอมเสียสละตัวเอง คนที่ต้องมารองรับหรือตอบสนองอารมณ์ของคนอื่น ถึงขนาดยอมเก็บกดตัวตนไว้ ที่จริงแล้วเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ หากเป็นตัวของตัวเองก็ย่อมตัดสินใจได้เองว่า สิ่งนี้จำเป็นหรือไม่สำหรับเรา และบางครั้งการตัดสินใจของเราก็อาจขัดแย้งกับผู้อื่น การขัดแย้งกับผู้อื่นใช้พลังงานมาก แต่คนดีเลยกลัวการขัดแย้งกับผู้อื่น จึงหลีกเลี่ยงการปะทะ จึงทำให้ไม่เคยแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้นได้เลย การต้องมีประสบการณ์ขัดแย้งกับผู้อื่นบ้าง อาจถูกอีกฝ่ายเกลียดบ้าง แล้วทำความเข้าใจสิ่งที่เผชิญ เมื่อมีประสบการณ์ก็จะทำให้ยืนหยัด และพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อพึ่งพาตัวเองได้ก็ได้ใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง มีความคิดที่เป็นเอกลักษณ์ และมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น
เลิกเอาใจทุกคน คนดีมักคิดไปเองว่าการถูกเกลียดเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนที่เอื้อผลประโยชน์ก็อาจต้องทำให้เขาชอบก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้คนที่อยู่รอบตัวหันมาชอบทุกคน ต่อให้เป็นคนเลิศเลอแค่ไหนก็ตาม ย่อมไม่มีทางที่จะมีแต่คนชอบอย่างเดียวได้หรอก แถมยังมีคนประเภทที่คิดว่า ไม่ชอบเพราะเขาเก่งไปเสียทุกอย่างอีกด้วย การจะทำให้ไม่ถูกใครเกลียดเลย จึงเป็นเรื่องยากหรือต้องเรียกว่าเป็นไปไม่ได้มากกว่า การที่มีคนเกลียดเรา จึงเป็นหลักฐานว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง
เลิกปั้นยิ้มเสแสร้ง คนเราย่อมมีขีดจำกัด โดยเฉพาะคนดีที่ต้องคอยเกรงอกเกรงใจผู้อื่นและปั้นยิ้มเสแสร้ง เมื่อถึงบ้านย่อมแสดงความเหนื่อยหน่อยออกมาให้เห็น อาการเหนื่อยกับการพบปะผู้คน น่าจะเป็นเพราะรู้สึกตื่นเต้น และเหนื่อยล้าทางใจ จึงไม่ควรฝืนตัวเองมากเกินไป ควรจัดตารางเวลาการใช้ชีวิตใหม่ เป็นวันที่พบปะผู้คนกับวันที่ไม่เจอหน้าใครเลย จะทำให้ช่วยลดความเหนื่อยสะสมได้
วิธีสร้างรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ อย่างแรกการรู้สึกขอบคุณอีกฝ่าย การสนทนากับใครด้วยความรู้สึกขอบคุณ จะทำให้เรายิ้มออกมาโดยธรรมชาติ วิธีที่สองคือการแสดงท่าที เพื่อแบ่งปันความสุขจากการได้อยู่ด้วยกัน หากเรายิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายก็จะยิ้มตอบกลับมา และเราก็จะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่หากรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้นั่นแปลว่า อีกฝ่ายอาจไม่ใช่คนที่ควรคบด้วย หรือเราอาจไม่เหมาะกับงานนี้
เลิกนิสัยปฏิเสธไม่เป็น การต้องใช้เวลาไปกับเรื่องน่าเบื่อหน่าย เพราะไม่กล้าปฏิเสธเท่ากับเป็นการเสียสละเวลาส่วนหนึ่งของเราให้คนอื่น แถมทำไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์ บางครั้งต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ คนที่ไม่กล้าปฏิเสธจึงมีแนวโน้มที่ต้องเสียเงินและเวลาเพื่อคนอื่น ถือเป็นคนที่ไม่เห็นความสำคัญของตัวเอง ในทางตรงกันข้ามการปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองคิดว่าน่าเบื่อ คือการให้ความสำคัญแก่ตัวเอง และเป็นการใช้ชีวิตอย่างมีค่า
เลิกอดกลั้นไม่โต้ตอบ คนดีก็เป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ ในพจนานุกรมของพวกเขาไม่มีคำศัพท์เชิงต่อต้านผู้อื่นอยู่เลย จึงตอบโต้ทันทีไม่ได้ เมื่อต้องเก็บกดทุกครั้งก็ย่อมทรมาน และนอนไม่หลับเรื่อย ๆ คนไม่มีเหตุผลมักไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ และนึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ทั้งยังพยายามบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนกัน ใครคิดต่างก็ถือว่าผิดหมด เมื่อเจอคนประเภทนี้เราต้องรู้จักตอบโต้ให้รุนแรง กว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายว่าร้ายอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ทำอะไร แม้เจ้าตัวตั้งใจใช้ความสงบนิ่งเข้าสู้ แต่คนอื่นอาจมองว่าพึ่งพาไม่ได้
เลิกกลัวการปะทะกับผู้อื่น คนดีมักกลัวเวลาปะทะกับผู้อื่น ดังนั้นแม้ไม่พอใจคำพูดหรือพฤติกรรมของอีกฝ่าย ก็จะไม่แสดงออกเพราะกังวลว่าถ้าทะเลาะขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรดี แต่สิ่งนี้กลับยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีได้ง่าย บางครั้งก็ควรทะเลาะกันบ้าง เพื่อช่วยซ่อมแซมและรักษาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น เราทุกคนไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะอ่านใจใครได้ หากไม่พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเราได้ เมื่อเราไม่แสดงออกอีกฝ่ายก็จะไม่มีวันเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง ทำให้เราต้องทนไม่พอใจอยู่อย่างนั้นตลอดไป จึงเป็นการบอกความไม่พอใจหรือความต้องการของเราออกไป ทำความเข้าใจเรื่องความแตกต่างของทั้งสองฝ่าย และแก้ไขเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น
เลิกเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริง คนดีมักหาพรรคพวกที่เชื่อใจกันได้ยาก แม้กระทั่งในการทำงาน คนเราจะรู้สึกชอบหรือเกลียดใคร เมื่อรับรู้ถึงนิสัยของคน ๆ นั้น แต่คนดีมักซ่อนตัวตนและความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไว้ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงเสน่ห์ของเขาได้ยาก และไม่อาจเชื่อใจไปด้วย คนที่มีเสน่ห์หรือได้รับความเคารพนั้น เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นความคิดของตัวเอง การแสดงตัวตนออกมาตรง ๆ เช่นนี้ จะทำให้คนอื่นเชื่อใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจมีคนไม่ชอบด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมาก
เลิกทำตามคนอื่น คนดีมักปรับตัวเองให้เข้ากับคนรอบข้าง เพื่อเลี่ยงการปะทะกับผู้อื่น พวกเขาคิดว่าการเออออตามคนอื่นนั้นง่ายกว่า และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย จึงมักเอาแต่ทำตามคนอื่นจนตัวตนค่อย ๆ หายไป การจะทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้ ต้องเชื่อมั่นเกณฑ์และการตัดสินใจของตัวเอง วิธีสร้างความเชื่อมั่นอย่างหนึ่งคือ หาเหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจ หรือการกระทำทุกอย่างของตัวเอง เมื่อเชื่อมั่นตัวเองแล้ว จิตใจก็จะแข็งแกร่ง และไม่สั่นคลอนไปกับความคิดเห็นของคนอื่น
เลิกเกรงใจจนเกินเหตุ คนดีมักที่กังวลและคิดมากแม้กับเรื่องเล็กน้อย พวกเขาสนใจสายตาผู้อื่น และคอยระวังคำพูด หรือการกระทำของตัวเองเสมอ คนดีจึงเกิดความเครียดสะสมง่าย ทำให้เขานั้นอายุสั้นได้ คนขี้เกรงใจมักมีสภาพร่างกายย่ำแย่ทั้งภายในและภายนอก หากไม่อยากเป็นเช่นนั้น ต้องรู้จักมองโลกแง่ดี เช่น ทำงานที่ตัวเองชอบหรือถนัด หาโอกาสปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริง หรือสร้างสภาพแวดล้อม สถานการณ์ให้ตัวเองตัดสินใจได้อย่างอิสระ หากสร้างสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ และมีวิธีลดความเครียดที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็จะลดความเครียดสะสมลงได้ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง และรักษาเซลล์ต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับที่ดีต่อสุขภาพ
บทที่ 3 ความเชื่อ
เลิกเป็นแค่คนธรรมดา เราควรใช้ชีวิตให้สนุกสนาน และมีความหมายมากกว่านี้ หากอยากใช้ชีวิตสงบ อยู่คนเดียว ไม่ต้องการโดดเด่น อาจเหมาะที่จะเป็นคนดีต่อไปก็ได้ แต่หากอยากทำสิ่งใดให้เต็มที่ อยากประสบความสำเร็จสักอย่าง ต้องเลิกเป็นคนดี และหัดทำตัวเป็นคนประหลาด คือ คนที่แม้อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่จะมอง คิด และทำไม่เหมือนกับคนอื่น โดยการทำตัวให้คาดเดาได้ยาก หากเราคาดเดาการกระทำของอีกฝ่ายได้ ก็ย่อมเกิดความสบายใจ แต่ขณะเดียวกันก็อาจถูกมองว่าน่าเบื่อ จึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตความคาดหวังของอีกฝ่ายให้กว้างขึ้น ต้องคิดคำพูดหรือคอมเม้นที่ทำให้คนรอบข้าง มองภาพลักษณ์ของตัวเราต่างไปจากเดิม ก็จะทำให้อีกฝ่ายมองว่า เป็นคนที่คาดเดาได้ยาก หรือเหนือความคาดหมายนั่นเอง
เลิกกังวลกับการมีเพื่อนน้อย คนดีมักยึดติดกับความคิดของคนอื่น และรู้สึกว่าคนมีเพื่อนน้อยช่างไม่มีค่า พวกเขากลัวความโดดเดี่ยว หรือการใช้ชีวิตเพียงลำพังอย่างมาก และเข้าหาเพื่อนฝูงอยู่เสมอ จึงต้องเก็บกดความเป็นตัวเองเอาไว้ และคอยเอาอกเอาใจคนอื่นจนรู้สึกเหนื่อย การมีเพื่อนน้อยไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิด ขอเพียงมีคนที่หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกัน เปิดอกคุยได้ทุกเรื่องแค่คนเดียวก็พอแล้ว
เลิกแคร์สังคม การแคร์สังคมก็เป็นแค่ความกลัว ว่าคนอื่นจะมองเรายังไง ที่เกิดขึ้นในใจของเราเอง ทั้ง ๆ ที่คนอื่นที่ว่านั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง การไม่แคร์สังคมก็น่าจะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น คนที่ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าน่าอาย จะหลุดพ้นจากสายตาของคนในสังคม และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้คือ การคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ว่ามันก็เป็นแบบนี้แหละ โลกเรามีคนหลายประเภท หรือถ้าจะมองก็ช่วยไม่ได้ และหันกลับมาคิดถึงตัวเองว่า นี่แหละตัวตนของฉัน ถ้าใครจะเกลียดก็เชิญ เมื่อคนอื่นรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป ทั้งยังปฏิบัติตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติตรงไปตรงมา และไม่ต้องปิดบังอะไร
เลิกทำตามกฎ คนดีจะเชื่อหรือทำตามสิ่งที่คนอื่นเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง คนเหล่านี้มักทำหรือแสดงออกอย่างพอประมาณ และไม่ขัดแย้งกับผู้อื่น ทั้งยังหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่แตกต่าง และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่บางครั้งก็มีกฎที่ไม่สมเหตุสมผล ทำให้เสียผลประโยชน์ หรือไม่ควรปฏิบัติตาม คนที่ทำตามสิ่งที่สังคมเชื่อ จะโดนผู้อื่นบงการ และไม่ถนัดการคิดวิเคราะห์ พวกเขาแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างไม่ได้ จึงชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น เราต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ ปัญหาของตัวเองก็ต้องแก้ไขเอง และเชื่อมั่นว่าเราทำได้ การรับผิดชอบตัวเองนี้ไม่ใช่การยอมรับผิด แต่หมายถึงให้เราทำสิ่งที่ทำได้ให้เต็มที่เสียก่อน
เลิกเป็นคนมีศีลธรรม คนดีมักมีศีลธรรมและยึดติดกับแบบแผนต่าง ๆ หากคิดให้ดีจะพบว่าไม่ได้เสียหายเป็นการส่วนตัว จึงไม่จำเป็นต้องกังวล และไปยึดติดกับสิ่งที่ไม่มีมูลเหตุ จึงจะใช้ชีวิตได้อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ การรู้จักคิดอย่างเป็นรูปธรรมว่า ถ้าไม่ทำตามสิ่งที่คิดไปเองคนเดียว โดยไม่มีมูลเหตุความเชื่อ การไม่ยึดติดศีลธรรมที่คิดมากไปเอง หรือแบบแผนของสังคมแล้ว จะเกิดความเสียหายขึ้นอย่างไรนั้น การคิดแบบนี้ถือเป็นวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากสายตาที่น่าอึดอัดของสังคมได้
เลิกยัดเยียดคุณงามความดีที่ตัวเองเชื่อให้คนอื่น เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนดีอยู่ในสังคมได้ยาก คือ การที่พยายามรักษาศีลธรรม คำสอน คุณงามความดี ความเชื่อ และกฎในสังคมแบบตรง ๆ ทำให้ชวนอึดอัดใจ ทั้งยังพยายามกดดันคนรอบข้างให้ทำตามอีกด้วย เมื่อคนเราอยู่ในตำแหน่งต่างกัน หรือมีประสบการณ์ และมุมมองต่างกัน ย่อมมีความคิดและความเชื่อต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสามีและภรรยา หรือพ่อแม่และลูก ต่างก็ย่อมมีสิ่งที่มองว่าถูกต้องแตกต่างกัน หากมีคนอยู่ 10 คน ย่อมมีความเชื่อที่เจ้าตัวคิดว่าถูกต้องอยู่ 10 แบบ เราจึงไม่อาจบอกได้ว่า ความคิดไหนถูกต้อง ความคิดไหนผิด เมื่อยอมรับได้ว่าคนบนโลกใบนี้ล้วนมีร้อยพ่อพันแม่ คิดเสียว่าคนประเภทนี้ก็มีด้วย ความรู้สึกหงุดหงิดก็จะลดน้อยลงไปได้
บทที่ 4 ทรัพย์สินเงินทอง
เลิกเลี่ยงบทสนทนาเกี่ยวกับเงินๆทองๆ ความจริงที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งในสังคมของเราก็คือ ยิ่งเป็นคนดีก็จะยิ่งจน เพราะคนดีมักมีความคิดว่าเงินเป็นสิ่งสกปรก หรือการคุยเรื่องเงินเป็นเรื่องเสียมารยาท ทั้งยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง จึงไม่อยากพูดเรื่องเงิน ซึ่งเป็นสิ่งของที่เห็นเป็นรูปธรรม เงินไม่ได้สะอาดหรือสกปรก ประเด็นอยู่ที่ผู้ใช้ต่างหาก ถ้าไม่อยากขัดสนเรื่องเงิน ยิ่งต้องคุยเรื่องเงิน เพราะจะได้เข้าใกล้คนที่สนใจเรื่องการเงิน โอกาสที่จะได้รับข้อมูลในการสร้างรายได้ หรือได้พบคนที่มีความรู้เกี่ยวกับการเงินมากขึ้น แท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ต่างก็สนใจการสร้างรายได้ คนที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้ หรือมีรายได้มหาศาลอาจไม่ค่อยคิดมาก แต่กับคนธรรมดาทั่วไปก็น่าจะคิดว่าเงินมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ
เลิกประเมินตัวเองต่ำเกินไป คนเรานั้นยิ่งเป็นคนดีมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกผิดกับการรับเงินค่าจ้าง จึงไม่กล้าตั้งราคาตามที่ใจต้องการ เพราะคนเหล่านี้มักคิดว่า การรับค่าจ้างคือการรับเงินจากผู้อื่น และเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองเท่านั้น นอกจากนี้คนดีมากไม่อยากถูกเกลียด จึงไม่กล้าปฏิเสธแม้ถูกขอร้อง หรือจ้างงานแบบไม่คุ้มค่าก็ยังยอมทำ แถมยังประเมินตัวเองต่ำ จึงไม่กล้าเรียกร้องผลตอบแทน ที่เหมาะสมกับความเหนื่อยยากที่เสียไป โดยปกติคนเราจะรู้สึกผิดหรืออึดอัดใจ หากมีใครทำอะไรให้โดยไม่รับผลตอบแทนอยู่เรื่อย ๆ ดังนั้นการขายสินค้าหรือให้บริการ จึงจำเป็นต้องมีเงินเป็นตัวกลาง เพื่อสร้างความเสมอภาคต่อกัน การกำหนดราคาและรับค่าตอบแทน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไปเสียไม่ได้เลย
เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คนดีมักไม่มั่นใจ การประเมินตัวเองและลังเลเวลาจะลงมือทำ พวกเขาจึงอยากเป็นอย่างคนอื่น ที่ยึดมั่นความคิดของตัวเองและใช้ชีวิตได้อิสระ การจะรู้สึกมั่นใจ ความคิดหรือวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองได้นั้น ต้องตั้งเป้าหมายและสั่งสมประสบการณ์แห่งความสำเร็จได้ด้วยตัวเองเสียก่อน เพื่อให้เชื่อมั่นว่าหากตั้งใจเราก็ทำได้ ก่อนอื่นเราต้องค้นหาสิ่งที่ตัวเองทำได้อย่างเต็มที่ จะเป็นงานอดิเรกก็ได้ แต่ต้องทำด้วยความตั้งใจ จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงพัฒนาการของตัวเอง ควรค้นหาความฝัน ความต้องการ หรือสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่นให้เจอ
เลิกทำตัวเป็นเจ้านายฉันเพื่อน คนดีมักไม่ค่อยเอ่ยปากตักเตือนใคร เพราะไม่อยากถูกเกลียด แม้การตักเตือนนั้นจะเป็นประโยชน์แก่อีกฝ่าย แต่ก็ยังกลัวอยู่ดีจึงไม่กล้าตำหนิใคร เวลาอยู่ที่ทำงานก็มักทำตัวกลมกลืนในระดับเดียวกับลูกน้อง กรณีนี้เป็นหัวหน้าฉันเพื่อน หัวหน้าเช่นนี้ลูกน้องจะไม่เกลียดก็จริงแต่ก็ไม่เชื่อใจด้วย แถมได้รับการประเมินว่า เป็นหัวหน้าที่ดีแต่ลูกน้องก็ไม่รู้สึกว่าอยากติดตาม และให้การสนับสนุนหัวหน้าคนนี้ ผู้นำเก่ง ๆ ย่อมมีทั้งคนรักและเทิดทูน ขณะเดียวกันก็มีคนที่ต่อต้านอย่างสุดกำลังเช่นกัน
เลิกยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงมือทำ ใคร ๆ ก็อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ต้องเจอปัญหาหรือเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันทั้งนั้น แต่คนดีนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ หรือเป็นผู้เสียหาย ก็ยังเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำโดยไม่คิดจะต่อสู้ คนพวกนี้มักมีจิตใจอ่อนแอ รวมทั้งไม่คุ้นและไม่กล้าทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย หรือทะเลาะเบาะแว้งอย่างหนัก เรื่องแบบนั้นไม่เกิดย่อมจะดีที่สุด การไม่ร้องเรียนสิ่งที่เราไม่พอใจ และยอมอดทนเองคนเดียวเช่นนี้ จะทำให้ชีวิตของเราต้องเจอแต่เรื่องเสียเปรียบ หากทำตัวเป็นผู้ร้องเรียนที่ดี และกล้าพูดเพื่อแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ
เลิกหวาดกลัวสายตาเย็นชาของผู้อื่น คนที่มักคิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ และไม่กล้าลงมือทำ เพราะมองว่าเป็นเรื่องขี้โกง แถมยังกลัวว่าคนอื่นจะมองตัวเองด้วยสายตาเย็นชา จึงได้แต่อิจฉาและทนไม่ได้ ที่เห็นคนอื่นหาเงินด้วยวิธีที่ตัวเองทำไม่ได้ หากเลิกเป็นคนดีแบบนี้ก็จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ และทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอิสระมากขึ้น ทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองมากขึ้นด้วย สังคมของเราเต็มไปด้วยการต่อรอง คนดีมักพ่ายแพ้ในการต่อรอง ทำให้ต้องยอมรับเงื่อนไขที่เสียเปรียบ ส่วนคนที่ต่อรองเก่ง หรือทำให้ตัวเองได้เปรียบ มักเป็นคนที่ขี้โกงนิด ๆ ซึ่งจะมองฝีเท้าอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยก้าวย่างเข้าไป การจับตาดูฝีเท้าของฝ่ายตรงข้าม อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายพอใจได้ เราจึงเลือกว่าเป็นวิธีที่ขี้โกงนิด ๆ แต่ก็ทำให้การใช้ชีวิตราบรื่นขึ้นได้
เลิกเป็นคนเถรตรงเกินไป ทุกท่านอาจคิดว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่การโกหกที่ไม่ได้เลวร้ายเข้าขั้นอาชญากรรม ก็เป็นเครื่องมือที่สร้างผลประโยชน์ให้เราได้ หรือเรียกได้ว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้คือการทำความเข้าใจจิตวิทยามนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก คนที่โกงนิด ๆ เข้าใจจุดนี้ดี มักนำมาใช้ในการทำงานหรือธุรกิจของตน การที่คิดไปเองว่าจะไม่ให้คนอื่นคิดว่าเราเป็นแบบนี้เด็ดขาด หรือกังวลว่าเขาจะคิดว่าเราเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ ทำให้ไม่กล้าทำสิ่งที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น หรือทำสิ่งที่น่าประหลาดใจ จึงไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตสักที แน่นอนว่าหากกระทำเรื่องเลวร้ายจริง ๆ ย่อมต้องถูกตำรวจจับแน่ แต่วิธีหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ก็คือ การเลิกเป็นคนดี
บทที่ 5 ความรัก
เลิกเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับอีกฝ่าย คนดีกลัวการถูกเกลียด และกลัวการถูกคนรักทิ้ง จึงมักทำตามหรือปรับตัวเองให้เข้ากับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเกินความจำเป็น และกลายเป็นผู้ตามอยู่ตลอด การจะหลีกเลี่ยงสภาพจำยอมเช่นนี้ ต้องยอมรับว่าเรากับอีกฝ่ายมีความคิดไม่ตรงกัน เลิกพึ่งพาอีกฝ่ายและหันมาพึ่งพาตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะด้านการเงิน เพราะการเงินทำให้เลี้ยงตัวเองได้ จะทำให้จิตใจเข้มแข็งอีกด้วย สิ่งสำคัญคือการมีทางเลือกหลายทาง หรือมีอิสระในการเลือก จะทำให้เกิดความมั่นใจ และพึ่งพาตัวเองได้ทางด้านการเงิน และจิตใจความมั่นใจเช่นนี้แหละ ที่จะเป็นรากฐานให้หลุดพ้น จากการพึ่งพาผู้อื่นได้
เลิกเก็บซ่อนอารมณ์ ในความสัมพันธ์ของคู่รักคนดี จะกลัวถูกปฏิเสธ กลัวถูกเกลียด และกลัวว่าตัวเองต้องเจ็บปวด จึงไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริง เวลาพูดคุยกันหรือเวลาออกเดท ก็ไม่เป็นฝ่ายนำหรือเสนอแนะ ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเจ้าตัวอยากทำสิ่งใดกันแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้อีกฝ่ายจะเกิดความกังวลว่า เขาไม่สนใจเราหรือเปล่า ไม่สนุกที่มาเดทกับเราหรือเปล่า ฝืนคบด้วยหรือเปล่า การใช้คำพูดหรือพฤติกรรม ที่แสดงออกถึงความรัก หรืออารมณ์ตื่นเต้น จะทำให้ความรู้สึกของทั้งคู่เข้าใกล้กันมากขึ้น
เลิกผูกมัดอีกฝ่าย การแสดงความหึงหวงเป็นครั้งคราวอาจดูน่ารักอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่เมื่อเจอความรักที่ตึงเครียด ย่อมอยากหลุดพ้นจากความอึดอัดนี้ เมื่อลองนึกถึงอนาคตของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายผูกมัด แทนที่จะเห็นภาพอนาคตที่สดใส หรือการใช้ชีวิตในครอบครัวที่สนุกสนาน ก็กลับรู้สึกเศร้าซึมเสียมากกว่า
การผูกมัดคนรัก หรือการกังวลว่าอีกฝ่ายจะนอกใจหรือเปล่า ไม่ใช่พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรัก แต่คือการคิดโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และแสดงออกให้เห็นว่าเราให้ความสำคัญ แก่ความสบายใจของตัวเองมากกว่าตัวตนของอีกฝ่ายคนเราล้วนมีรูปแบบความคิด การใช้ชีวิต หรือพื้นที่ของตัวเองแตกต่างกันไป เราจะยอมรับความแตกต่างนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความใจกว้างของตัวเอง
เลิกเก็บกดอารมณ์ของตัวเอง คนดีมักเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากเหตุผลมากมาย การเก็บซ่อนความรู้สึกเช่นนี้ มักก่อให้เกิดปัญหาในความรัก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณีอย่างแรกคือ คนดีไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ จึงเป็นฝ่ายบอกเลิก กับอีกกรณีหนึ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกกังวลจนต้องขอเลิก
การจะหลุดพ้นจากอาการด้านชาต่อความรักได้ ให้หัดทำกิจกรรมที่ทำให้แสดงอารมณ์สนุกสนานออกมาได้เต็มที่ แสดงความรู้สึกเวลาที่อยู่กับเขาออกมา การทำกิจกรรมด้วยกันเช่นนี้ จะทำให้อีกฝ่ายใจเต้นไปด้วย เมื่อเรายิ้มอีกฝ่ายก็จะยิ้มด้วย เราจึงรู้สึกสบายใจว่าอีกฝ่ายจะยอมรับอารมณ์ใด ๆ ก็ตามที่แสดงออกไป
เลิกทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง คนประเภทที่ถูกคนรักทิ้งได้ง่ายคือ คนที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คนดีชอบทำ เพราะอยากได้ความรักจากอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายเป็นคนจริงจัง เขาก็ย่อมรู้สึกอึดอัด แต่หากเป็นคนขี้โกงก็จะหลอกใช้ประโยชน์จากเรา ซึ่งเป็นกรณีส่วนใหญ่เสียด้วย
คนที่ชอบทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้คนรัก ยังมักตกเป็นผู้ตามอยู่เสมอ อีกฝ่ายว่าอย่างไรก็เชื่อฟังทำตามทุกอย่าง ไม่กล้าเอ่ยปากห้ามหรือต่อต้าน จนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคกัน คนประเภทนี้มักถูกคนรักนอกใจ แม้จะได้ว่าอีกฝ่ายนอกใจจริง ๆ แต่เพราะไม่อยากถูกทิ้ง จึงเชื่อคำแก้ตัวของอีกฝ่ายและยอมผ่อนปรนให้เสมอ ทว่านั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายนอกใจ และยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
การจะรักษาความสัมพันธ์ให้เท่าเทียมกันได้ก็คือ การควบคุมระดับอารมณ์ของตัวเองให้พอดีกับอีกฝ่าย เมื่อระดับของอารมณ์ความรู้สึกต่างกันมาก จึงทำให้เกิดความไม่กลมกลืนกัน ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไปกันได้ไม่ดี และระวังการพึ่งพาที่ทำให้ชีวิตล่มจมกันทั้งคู่ นอกจากนี้ยังมีพ่อแม่ลูกที่พึ่งพากัน จะนำไปสู่ฐานะยากจนได้ง่าย เพราะใช้ชีวิตล่องลอยไปวัน ๆ นานเป็นเดือนเป็นปีนั่นเอง
เลิกพยายามทำให้ผู้อื่นยอมรับคุณค่าของตัวเอง คนดีจะเห็นคุณค่าของตัวเอง ก็ต่อเมื่อได้รับการยอมรับจากผู้อื่น หมายความว่า เขามองเห็นคุณค่าของตัวเองที่สะท้อนมาจากภายนอกเท่านั้น คนดีไม่เป็นตัวของตัวเอง เวลาอีกฝ่ายพูดหรือทำดีด้วย จึงเกิดความรู้สึกชอบได้ง่าย และหลงคิดไปว่าอีกฝ่ายทำดี เพราะยอมรับคุณค่าของตัวเอง คนเลวจะใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอนี้ ด้วยการค่อย ๆ เข้ามาตีสนิทให้ติดกับ กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปหลายปีโดยไม่ได้ทันสังเกต
หากไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้ชัดเจน อะไรที่ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ อะไรที่ไม่อยากให้ทำก็ต้องบอกว่าอย่าทำ หรือพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ชัดเจนว่า จะไม่ยอมให้อีกแล้ว อยากให้ทำแบบนี้ หรืออยากให้เลิกทำแบบนี้ เป็นต้น
เลิกยื้อความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ การตัดเพื่อนแย่ ๆ ออกจากชีวิต ถือเป็นเรื่องง่ายแต่คนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างคู่สามีภรรยา หรือคู่หูในการทำงานนั้นต่างกันอยู่นิดหน่อย เพราะบางกรณีก็ใช่ว่าจะตัดเขาไปได้ง่าย ๆ ด้วยการตีตัวออกห่าง ในการตัดความสัมพันธ์เช่นนี้ต้องทิ้งความคิดว่าจะจากกันด้วยดีไปเลย แล้วทำใจว่าต้องทะเลาะเบาะแว้งแน่นอน ความทุกข์ยากคือสิ่งที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้
การทะเลาะเบาะแว้งและการแตกหักคือ เรื่องที่ต้องเจอเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่าด่าสาปแช่งใครแล้วจะจบ ต้องอย่ากลัวหรือเอาแต่หลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง และแม้ต้องแตกหักกับอีกฝ่ายก็ไม่ต้องเสียใจ อย่าเอาแต่ปิดหูปิดตา หันมาฟังเสียงของหัวใจแล้วตั้งสติให้ดี ประสบการณ์เช่นนี้ จะทำให้เป็นคนเข้มแข็งและไม่อ่อนไหว ไปกับผู้คนหรือสิ่งรอบข้างง่าย ๆ
บทที่ 6 การสร้างผลผลิตใหม่
เลิกสอนให้ใครเป็นคนดี นิสัยของคนดีใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ไปเสียหมดใคร ๆ ก็ต้องรู้สึกอยากเป็นคนดีไม่มากก็น้อย การจะอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข ย่อมต้องอาศัยการเป็นคนดีอยู่บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากอยากจะคิดเป็นคนดี แต่หากคิดไปในแนวทางนั้นมากเกินไป จะกลายเป็นคนดีเกินไป ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ชวนอึดอัด และต้องใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์หลายท่านกล่าวไว้ว่า สภาพแวดล้อมช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ช่วยสร้างนิสัยของคนเราได้มากที่สุด สิ่งที่ตอบสนองความต้องการนั้นได้ง่าย ๆ ก็คือ โซเซียล มีเดีย เนื่องจากกลยุทธ์ของโซเซียล มีเดีย เหมาะกับคนที่โหยหาความรักอย่างมาก คนพวกนี้จึงไม่ลังเลที่จะโอ้อวดชีวิตแสนสุขของตัวเองตามสื่อต่าง ๆ เวลาเล่นไลน์แบบกรุ๊ปแชทก็พยายามไม่แปลกแยกจากกลุ่ม และรู้สึกไม่ดีเวลาใครอ่านแล้วไม่ตอบ เวลาใครส่งข้อความมาก็จะรีบตอบทันที
สุดท้ายจะเกิดความกระวนกระวายใจ หากไม่ได้คอยเช็คโซเชียลมีเดียตลอดเวลา และไม่อาจวางโทรศัพท์มือถือลงได้เลย โทรศัพท์มือถือสร้างสิ่งที่ไม่ดีให้กับเด็ก สุดท้ายเด็กก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เก็บอารมณ์ไม่เป็น และชอบใช้ประโยชน์จากคนอื่น เมื่อโตขึ้นพฤติกรรมการติดมือถือ จึงกลายเป็นการเพิ่มจำนวนเด็กที่ขาดความรักในที่สุด
เลิกหลบเลี่ยงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง คนที่หลุดพ้นความอึดอัดใจไม่ได้คือ คนที่ตรึกตรองไม่เก่ง ทำให้ถูกชักจูงไปในทางนั้นทีทางนี้ที และหาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีหลักการไม่ได้ การกลัวที่จะเผชิญหน้าความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ทำให้ไม่เข้าใจตัวเองสักที เพราะไม่ยอมแสดงความรู้สึกที่แท้จริงให้ใครเห็น เวลาพูดหรือทำสิ่งใดก็ไม่รู้อีกว่า จะแสดงท่าทีอย่างไร
วิธีแก้ไขก็คือ ต้องทำสิ่งตรงกันข้าม สิ่งที่ผูกมัดหรือทำให้รู้สึกอึดอัดคือ วิธีการคิด การรู้สึก หรือการรับรู้ ต้องเข้าใจรูปแบบความคิดของตัวเอง แล้วคิดตรึกตรองดูว่าต้องแก้ไขอย่างไร ถึงจะเปลี่ยนวิธีการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตัวเราเอง นี่แหละที่ผูกมัดหรือทำให้ตัวเองอึดอัด การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้นั้น ต้องใช้เวลาเผชิญหน้าจิตใจของตัวเอง และการเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
การพูดคุยกับตัวเอง คือ การต่อสู้กับตัวเองซึ่งไม่อยากคิด กลัวที่จะยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง หรือคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก และหากเราไม่อาจเอาชนะการต่อสู้นั้นได้ วิธีการคิดและการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ก็จะไม่เปลี่ยนไป จนต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอึดอัดต่อไปเรื่อย ๆ
การเขียนออกมาช่วยแสดงอารมณ์ หรือความคิดเป็นลายลักษณ์อักษร ความรู้สึกอัดอั้นในใจ ทำให้ตรึกตรองในมุมมองของคนนอกได้ยาก แต่ถ้าเขียนความรู้สึกนั้นลงบนกระดาษ ก็เหมือนเรายกเอาความรู้สึกนั้นออกจากตัวเอง และกลายเป็นผู้มองดูเท่านั้น จึงเผชิญหน้ากับอารมณ์ของตัวเอง ในมุมมองคนนอกได้อย่างมีสติ
เลิกผูกมัดกับกฎเกณฑ์ว่าต้องทำ พวกเราล้วนอาศัยอยู่ในสังคมที่สมบูรณ์และแสนสะดวก แต่ทำไมยังรู้สึกอึดอัดกับการใช้ชีวิตอยู่ การที่ผูกมัดอยู่กับการคิดไปเองว่า ต้องทำแบบนี้หรือห้ามทำแบบนี้ ซึ่งเป็นการผูกมัดและจำกัดขอบเขตพฤติกรรมของตัวเอง ทำให้ทำตามที่ต้องการไม่ได้ อีกทั้งกฎเกณฑ์เหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่สังคมบังคับให้ทำ แต่เป็นเพียงสิ่งที่เชื่อมาตั้งแต่เด็ก หรือเป็นความต้องการของสังคมที่มองไม่เห็นเท่านั้น โดยสรุปก็คือการคิดไปเอง
การคิดว่าต้องทำแบบนี้ ในเรื่องที่ไม่มีใครสนใจ เรื่องไร้สาระหรือเรื่องที่ในสมัยก่อนอาจคิดเช่นนี้ แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว จึงเป็นสาเหตุของความกดดัน หรือความกังวลที่ผูกมัดตัวเอง แค่ทิ้งกฎเกณฑ์คำว่าต้องไปเสีย ชีวิตของเราก็จะสนุกสนานขึ้น แน่นอนว่าหากเป็นกฎเกณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความภาคภูมิใจ หรือความมุมานะในการก้าวไปข้างหน้าก็ย่อมเป็นเรื่องดี
แต่ในทางกลับกันเวลาที่รู้สึกอึดอัดกับการใช้ชีวิต รู้สึกถึงความล้มเหลวของชีวิต หรือรู้สึกท้อแท้หมดหวังในอนาคต เราควรย้อนกลับไปคิดถึงคำว่า ต้องทำแบบนี้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ควบคุมพฤติกรรมของเรา ทั้งยังเป็นตัวกำหนดชะตาว่าเราจะใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานหรือไม่ วิธีที่จะทำให้หลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้ก็คือ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า ถ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้แล้ว เราจะเดือดร้อนหรือไม่
อีกวิธีหนึ่งก็คือการเปลี่ยนวิธีการรับรู้สิ่งต่าง ๆ เราไม่ได้กังวลถึงปัญหา แต่เป็นวิธีการรับรู้ปัญหาต่างหาก ที่ทำให้เรากังวล ในอุณหภูมิเดียวกัน ยังมีทั้งคนที่รู้สึกหนาวและคนที่ไม่รู้สึกหนาวได้เลย เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความเป็นจริงให้มากเกินไป สิ่งสำคัญคือวิธีการรับรู้ถึงปัญหานั้นว่า เราเลือกที่จะกลุ้ม เลือกทำสิ่งที่ทำได้ หรือเลือกที่จะแก้ปัญหา เมื่อเปลี่ยนวิธีการรับรู้ปัญหาได้แล้ว ความรู้สึกก็จะเปลี่ยนไป
ดังนั้นอย่ามัวแต่กังวลถึงคุณค่าของตัวเอง ต้องเปลี่ยนวิธีการรับรู้ และสร้างแรงผลักดันให้ก้าวต่อไปข้างหน้า การจะทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคน แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองและตั้งสติได้ดี ส่งผลให้เป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์
บทส่งท้าย
เรื่องน่าคิดจากการเปลี่ยนคนดีเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง การเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้แปลว่าต้องอดทน จะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับคนอื่นง่าย ๆ ผู้ใหญ่คือคนที่ไม่ปักใจเชื่อกฎเกณฑ์ซึ่งไม่มีมูลเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของตัวเองหรือกฎในสังคม มองหาคุณสมบัติที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ และใช้ชีวิตด้วยความตั้งใจของตัวเอง หากมีความเชื่อมั่นในความคิด และวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว ก็จะทำให้ไม่ใส่ใจสายตาของผู้อื่นจนเกินไป แต่ไม่ดึงดันความคิดของตัวเอง แล้วไปบังคับให้คนอื่นเห็นชอบด้วย เพียงทำให้เขารู้ว่ามีวิธีคิดแบบนี้ก็มีด้วยนะ และต้องมีจิตใจที่เปิดกว้าง ยอมรับความแตกต่างว่า คนอื่นก็เป็นคนอื่น เราก็เป็นเรา รวมถึงให้ความเคารพความแตกต่างนั้นด้วย
นอกจากนี้ก็ต้องรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองอย่างมีสติว่า เราชอบสิ่งนี้ไม่ชอบสิ่งนี้ ซึ่งจะทำให้เรามีเหตุผลมากขึ้น เวลากังวลหรือเจอกับปัญหาอุปสรรค ให้คิดในแง่ดีว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้เราได้พัฒนาขึ้น ความกังวลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราจริงจังกับสิ่งนั้น หากไม่สนใจวิธีการใช้ชีวิต หรือความรู้ และความสามารถใด ๆ ของตัวเองเลย เราก็คงไม่เกิดความกังวลใด ๆ เช่นเดียวกับคนที่แก้ปัญหาไม่ได้ก็คือ คนที่มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นเป็นปัญหา
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องมีสติแยกแยะระหว่างสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องมีความกล้าหาญ พยายามเปลี่ยนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และต้องเปิดกว้างเพื่อยอมรับ และรับมือกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรู้ว่า อะไรที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงได้และเปลี่ยนแปลงไม่ได้บ้าง หากเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ก็ต้องยอมรับ และหาวิธีรับมือเพื่อให้ตัวเองมีความสุข ให้ความสำคัญแก่สิ่งต่าง ๆ ตามลำดับที่กำหนดเอง
ค่อย ๆ แก้ปมในความคิด หรือสภาพแวดล้อมที่น่าอึดอัดทรมานไปทีละปม และรับรู้ด้วยตัวเองว่าคนที่ถือพวงมาลัยขับเคลื่อนชีวิตนี้คือตัวเราเอง อย่าสนใจว่าใครจะคิดอย่างไรกับเป้าหมายที่แท้จริง ของความคิดหรือพฤติกรรมของเรา สิ่งสำคัญคือเราได้ใช้ชีวิต ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีความสุขจังเลยต่างหาก