นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy) เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

Fiscal Policy คือการที่รัฐบาลใช้เครื่องมือด้านการใช้จ่ายและการจัดเก็บภาษีเพื่อมีอิทธิพลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ งบประมาณจะอยู่ในภาวะสมดุลเมื่อรายได้จากภาษีเท่ากับรายจ่ายของรัฐบาล หากรายได้จากภาษีมากกว่ารายจ่ายจะเกิดภาวะเกินดุลงบประมาณ ในทางกลับกันหากรายจ่ายมากกว่ารายได้จะเกิดภาวะขาดดุลงบประมาณ นอกจากนี้ Fiscal Policy ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้และความมั่งคั่งในสังคม

ส่วน Monetary Policy เป็นการดำเนินการของธนาคารกลางที่มีผลต่อปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น Expansionary Monetary Policy (หรือผ่อนคลาย) เมื่อธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินและสินเชื่อ และ Contractionary Monetary Policy (หรือเข้มงวด) เมื่อธนาคารกลางลดปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบ

ระบบการเงิน

เงินทำหน้าที่สำคัญ 3 ประการในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ 1) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน 2) เป็นตัววัดมูลค่า และ 3) เป็นตัวเก็บรักษามูลค่า โดยปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจสามารถแบ่งเป็น Narrow Money ซึ่งประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเงินฝากกระแสรายวัน และ Broad Money ซึ่งรวมถึงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอื่นๆ ด้วย

กระบวนการสร้างเงินในระบบธนาคารพาณิชย์เริ่มต้นจากระบบ Fractional Reserve Banking ซึ่งธนาคารต้องฝากเงินสำรองตามอัตราที่กำหนด เมื่อมีการฝากเงินเข้าธนาคาร ส่วนที่เกินจากเงินสำรองตามกฎหมายสามารถปล่อยกู้ได้ เมื่อผู้กู้นำเงินไปใช้จ่ายและผู้รับเงินนำมาฝากธนาคารอื่น กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งปริมาณเงินฝากรวมเป็นหลายเท่าของเงินฝากเริ่มต้น โดยจำนวนเท่าจะขึ้นอยู่กับอัตราส่วนเงินสำรองที่กำหนด

ความสัมพันธ์ระหว่างเงินและราคา

Quantity Theory of Money อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและระดับราคาผ่าน Equation of Exchange: MV = PY โดย M คือปริมาณเงิน V คือความเร็วในการหมุนเวียนของเงิน P คือระดับราคา และ Y คือผลผลิตที่แท้จริง นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าความเร็วในการหมุนเวียนของเงินและผลผลิตที่แท้จริงเปลี่ยนแปลงได้ช้า ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินจะส่งผลให้ระดับราคาเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน เช่น หากปริมาณเงินเพิ่มขึ้น 5% จะทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้น 5% ด้วย แนวคิดที่ว่าตัวแปรที่แท้จริง (Real GDP และ Velocity) ไม่ได้รับผลกระทบจากตัวแปรทางการเงิน (Money Supply และ Price Level) เรียกว่า Money Neutrality

สรุป 

Fiscal Policy และ Monetary Policy เป็นเครื่องมือที่ภาครัฐและธนาคารกลางใช้ในการบริหารเศรษฐกิจมหภาค โดยทั้งสองนโยบายต่างมีบทบาทที่แตกต่างกัน Fiscal Policy มุ่งเน้นการใช้จ่ายภาครัฐและการจัดเก็บภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้ ในขณะที่ Monetary Policy ใช้การควบคุมปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายทั้งสองอย่างสอดประสานกันจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน