สู่จุดสูงสุดของชีวิตด้วยพีระมิดสามสุข

สรุปหนังสือ

สู่จุดสูงสุดของชีวิตด้วยพีระมิดสามสุข

By ชิออน คาบาซาวะ

บทนำ

ความสุขคืออะไร

ถ้ามองไม่ออกว่าความสุขหน้าตาเป็นอย่างไรแล้ว จะมีความสุขได้หรือ ถ้าไม่ได้กำหนดจุดหมายปลายทาง คงไม่มีทางเดินไปถึงจุดนั้น หรือถ้าไม่เข้าใจว่าสภาวะแบบไหนถึงเรียกว่ามีความสุข เมื่อมีความสุขแล้วจะรู้ได้อย่างไร ตอนนี้อาจจะมีความสุขอยู่แล้วก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่านิยามความสุขคืออะไร เพียงแค่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไร้สุข ถึงแม้จะตั้งอกตั้งใจทำงานเต็มกำลัง และพยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ก็ไม่สามารถมีความสุขได้ เพราะมีวิธีสร้างสุขแบบผิด ๆ ที่เชื่อมั่นกันอยู่นั่นเอง การที่คาดหวังอย่างมากกับความสุขแบบคลุมเครือ เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะพบกับความสุขผลลัพธ์จึงกลายเป็นความพยายามที่ไร้ความหมาย จนพาให้ออกนอกเส้นทางแห่งความสุขไป

ยิ่งตั้งเป้าอยากมีความสุขเท่าไหร่ยิ่งไม่มีความสุขมากเท่านั้น มีจำนวนไม่น้อยที่อาการป่วยเข้าขั้นรุนแรง จนตกอยู่ในสภาวะไร้สุขโดยสิ้นเชิง คนส่วนใหญ่มักคิดว่าเพียงแค่พยายามทำงานอย่างเต็มที่ก็จะมีความสุขได้ แต่เชื่อมั่นว่าถ้าขยันทำงานจนเกินไปจะกลายเป็นโรคจิตแทน ถ้าเอาแต่ทุ่มเททำงานโดยไม่แยแสกับสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการงานแล้ว ชีวิตก็คงไม่มีความสุขอย่างแน่นอน

ความสุขในมุมมองของจิตแพทย์ นักปรัชญาสมัยกรีกหรือนักปราชญ์ของจีน ต่างถกเถียงกันมาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน แล้วว่าความสุขคืออะไร แม้แต่สาขาจิตวิทยายุคใหม่ก็ให้ความสนใจเรื่อง จิตวิทยาแห่งความสุขเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่มีบทสรุปออกมา ถ้าเรารู้ว่าหนทางแห่งความสุขคืออะไร โลกนี้คงจะมีคนที่มีความสุขมากขึ้นแน่นอน ผู้เขียนในฐานะจิตแพทย์และนักวิชาการด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ได้ลองผิดลองถูกผ่านการสังเกตความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ที่อยู่ท่ามกลางสภาวะตรงกันข้ามกับความสุขมานาน ได้รวบรวมคำตอบสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข จากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 30 ปี เอาไว้ในหนังสื่อเล่มนี้ ดังนั้นทุกเคล็ดลับที่บอกไว้ในหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นคู่มือสร้างสุขที่ใช้ได้จริง และเข้าใจง่ายที่สุด ถ้าลองทำตามที่แนะนำไว้ไปทีละเรื่อง เชื่อว่าจะพบกับความสุขอย่างแน่นอน

บทที่ 1

ความสุขคือสารเคมีในสมอง ตัวตนที่แท้จริงของความสุข เวลาที่รู้สึกมีความสุขจะมีสารความสุขหลั่งออกมามากกว่า 100 ชนิดโดพามีน เป็นความสุขจากเงินทอง ความสำเร็จ และการบรรลุเป้าหมาย เซโรโทนิน เป็นความสุขจากความสงบสุขและอารมณ์ที่มั่นคง ออกซิโตซิน เป็นความสุขที่เกิดจากความรักความผูกพัน ส่วนเอนดอร์ฟิน เป็นสารแห่งความสุขที่หลั่งออกมาเมื่อตกอยู่ในสภาวะเต็มขีดจำกัด เช่น ความรู้สึกฟินสุดขีด สำหรับอะดรีนาลินและนอร์อะดรีนาลิน จะหลั่งออกมาเมื่อตื่นเต้น วิตกกังวล หรือหวาดกลัว

สารแห่งความสุขที่เป็นส่วนประกอบของความสุขในชีวิตประจำวัน ที่ควรให้ความสนใจมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่ เซโรโทนิน ออกซิโตซิน และโดพามีน มักถูกกล่าวถึงในวงกว้างว่าเป็นสารแห่งความสุขหรือฮอร์โมนแห่งความสุข จนอาจเรียกได้ว่าเป็นสารแห่งความสุขหลัก 3 ชนิดที่รู้จักกันทั่วโลกเลยก็ได้ ถ้ารู้เงื่อนไข สภาวะ พฤติกรรม หรือการกระทำที่ทำให้เซโรโทนิน ออกซิโตซิน และโดพามีน หลั่งออกมาอย่างเพียงพอแล้วก็จะมีความสุขได้

ความสุขที่เรารู้สึกในยามปกติน่าจะแบ่งได้เป็นดังนี้

ความสุขแบบเซโรโทนิน คือ ความสุขจากการมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ

ความสุขแบบออกซิโตซิน คือ ความสุขจากความรักความผูกพันมิตรภาพความสัมพันธ์กับผู้อื่นและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือชุมชน

ความสุขแบบโดพามีน คือ ความสุขจากทรัพย์สินเงินทองความสำเร็จการบรรลุเป้าหมายชื่อเสียงและเกียรติยศ

ความสุขมีลำดับความสำคัญก่อนหลัง ถ้าจัดลำดับความสำคัญผิด จะปราศจากความสุขการจะได้ความสุขทั้ง 3 อย่างมาครอบครอง ต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้องเสียก่อน แต่คนส่วนใหญ่มักจะลำดับความสำคัญผิด เลยไม่สามารถมีความสุขได้ ลำดับที่ว่าก็คือ ความสุขแบบเซโรโทนิน ” ความสุขแบบออกซิโตซิน ” ความสุขแบบโดพามีน

คนที่ไม่ให้ความสำคัญกับความสุขแบบเซโรโทนิน แล้วเอาแต่มุ่งหวังกับความสุขแบบโดพามีน จะประสบปัญหาความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ แม้กำลังจะมีความสุขก็กลับกลายเป็นไร้สุขไป มีคนอยู่อีกจำนวนมากที่ยึดคติที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น จึงเชื่อมั่นว่าถ้ามุมานะทำงานแบบไม่ยอมหลับยอมนอน จะได้รับการยอมรับจากที่ทำงานและประสบความสำเร็จ จึงยอมสละเวลานอนเพื่อทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย คนแบบนั้นพอเข้าสู่วัยกลางคนจะกลายเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งหักโหมทำงานมากเกินไปบางคนอาจเสียชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน ทั้งที่อายุแค่ 40 ปลาย ๆ หรือ 50 เลยก็มี

ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับความสุขแบบเซโรโทนิน ก่อนความสุขแบบโดพามีน คนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากกว่า ท้ายที่สุดจะประสบความสำเร็จ และไขว่คว้าความมั่งคั่งมาไว้ในมือได้อย่างแท้จริง ถ้าให้ความสำคัญกับความสำเร็จ มากกว่าความผูกพันแม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแค่ไหน ชีวิตคู่มีปัญหา ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่อยากเจอหน้า คงเรียกว่ามีความสุขไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ความสุขแบบออกซิโตซินจึงสำคัญกว่าความสุขแบบโดพามีน

สุขภาพคือพื้นฐานของทุกสิ่ง ไม่เพียงแค่สุขภาพของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสุขภาพของคนในครอบครัวด้วย ถ้าขาดความสุขแบบเซโรโทนิน จะไม่มีความสุขแบบออกซิโตซิน ที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ด้วย ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีสุขภาพดีก่อน

ทฤษฎีความสุข 3 ขั้น ทฤษฎีนี้จะทำให้เห็นเครื่องมือ ซึ่งช่วยให้เข้าใกล้ชีวิตที่มีความสุขได้ชัดเจนขึ้น ถ้าคิดว่ามีสุขภาพเป็นรากฐานก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ถ้ารากฐานแห่งความสุขที่เรียกว่าความสุขแบบออกซิโตซิน และเซโรโทนินมั่นคงแล้ว จะสั่งสมความสุขแบบโดพามีนให้มากเท่าไหร่ก็ย่อมได้ ผลลัพธ์คือจะไขว่คว้าความสุขทั้ง 3 รูปแบบมาครอบครองได้

บทที่ 2

จับภาพความสุข 3 แบบให้ชัดเจน ความสุขแบบเซโรโทนิน เป็นสภาวะที่อารมณ์ ความรู้สึกทางจิตใจ และความรู้สึกทางกายนั้น สบายใจ สดชื่น สดใส เหมือนการออกไปเดินเล่นท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใสในตอนเช้าแล้วรู้สึกสดชื่น อารมณ์เบิกบาน สบายใจจัง ออกมาอย่างเต็มที่ ในสภาวะที่จิตใจสงบนิ่ง ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีสติ หรือสภาวะที่เข้าสู่โหมดสมาธินั่นเอง นอกจากนี้ความรู้สึกสดชื่นหลังออกกำลัง ก็จัดว่าเป็นความสุขแบบเซโรโทนินเช่นกัน ถ้ารู้สึกสดชื่นที่ได้ออกไปเดินเล่นตอนเช้า นั่นแสดงว่ากำลังมีความสุขแบบเซโรโทนินอย่างเต็มเปี่ยม

ข้อสังเกตหากรู้สึกทุกข์ทรมาน หรือไม่สบายกายและใจ เมื่อเกิดอาการซึมเศร้า เซโรโทนินจะลดลง อาจกล่าวได้ว่าโรคซึมเศร้าคือ ภาวะที่เซโลโทนินลดลงจนถึงจุดต่ำสุด รู้สึกหม่นหมอง หดหู่ มืดมน ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากเจอหน้าใคร และไม่มีแรงกำลังใจ จนเกิดความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เซโนโทนินยังเชื่อมโยงกับการตื่นนอน เมื่อลดลงจะนำไปสู่อาการต่าง ๆ เช่น ตื่นยาก งุนงงตลอดช่วงเช้า หรือประสิทธิภาพการทำงานในช่วงเช้าลดลง เมื่อเป็นขั้นรุนแรง จะนำไปสู่สภาวะไปทำงานไม่ไหวหรือไปโรงเรียนไม่ได้

เซโรโทนินเป็นผู้บัญชาการสมองที่จำเป็นและขาดไม่ได้ เมื่อเป็นโรคซึมเศร้าไม่เพียงแค่เซโลนินลดลงเท่านั้น แต่นอร์อะดรีนารีนที่สำคัญกับสมาธิและความปรารถนาก็จะลดลงด้วย เพราะการจะปรับหรือควบคุมระดับของสารเคมีในสมอง ต้องอาศัยเซโรโทนินถึงขนาดเรียกกันอีกชื่อว่าผู้บัญชาการสมอง

ความสุขที่ถูกมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป คนเราจะเริ่มตระหนักว่าสุขภาพดีคือความสุขที่ทดแทนไม่ได้ก็ต่อเมื่อป่วยไปแล้ว ไม่เพียงแค่อาการป่วยทางจิตเวชเท่านั้น แต่ความเจ็บป่วยทางร่างกายก็เช่นกัน แทนที่จะคิดเอาสุขภาพดีกลับคืนมาหลังจากเจ็บป่วย การทำตัวเองให้มีสุขภาพดี จะช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยน่าจะง่ายกว่า

คุณสมบัติของคนที่พึ่งพาได้ที่ควรมีติดตัวไว้ คนที่มีความสุขแบบเซโรโทนินจะได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น ความสัมพันธ์กับผู้คนทั้งในที่ทำงานและส่วนตัวก็จะราบรื่น ความสุขแบบเซโรโทนินจึงสำคัญที่สุด เพราะเป็นรากฐานของความสุขแบบอื่น ๆ ถ้าสามารถคว้าความสุขแบบเซโรโทนินมาอยู่ในมือ จนทั้งร่างกายและจิตใจมั่นคงได้แล้ว ก็จะเกิดความสุขแบบออกซิโตซินและโดพามีนตามมาต่อ ๆ กันเป็นลูกโซ่

ความสุขแบบออกซิโตซิน เป็นความรู้สึกสบายใจ ที่มาจากความผูกพัน ต้องมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกผ่อนคลายในชีวิตประจำวัน มีความสุขแบบออกซิโตซินอยู่ล้นเหลือ แต่กลับมีคนจำนวนมากที่ไม่ตระหนักถึง ไม่ว่าจะเป็นการคุยกับเพื่อนแล้วสนุกสนาน อยู่กับคนรักแล้วสนุก ได้ออกเดทแล้วดีใจ แค่คิดถึงคนคนนั้นก็รู้สึกมีความสุข หรือความสุขจากการสัมผัสทางกาย เช่น กอด จูบ จับมือ เป็นต้น

เมื่อความสุขแบบออกซิโตซินขาดหายไป ความสุขแบบเซโรโทนินก็จะหายตามไปด้วย สภาวะที่เห็นกันบ่อยที่สุดคือ ความว้าเหว่และความโดดเดี่ยว ไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนให้คำปรึกษา ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ความอ้างว้าง ไม่เติมเต็ม ไม่สนุก และรู้สึกแปลกแยก เมื่อเจอแบบนี้จะยิ่งรู้สึกทุกข์ทรมานจนถึงขีดสุด ทำให้สมองเหนื่อยล้าจนอาจเป็นโรคซึมเศร้าได้

ความสุขแบบออกซิโตซินช่วยให้งานคืบหน้าว่ากันว่า 90% ของความเครียดในที่ทำงาน เกิดจากการคบหาสมาคมกับผู้อื่น หมายความว่า มีคนที่เครียดเรื่องการคบหาสมาคมกับผู้อื่นมากกว่า เรื่องงานเข้ากับตัวเองไหม หรืองานคืบหน้าไปดีไหมอยู่มากมาย เวลาไปที่ทำงานก็เข้ากับหัวหน้าไม่ค่อยได้ คนรอบข้างแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร เพียงแค่นี้ก็ทำให้รู้สึกหดหู่ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าได้รับการสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน เจ้านายเอาใจใส่หรือให้คำแนะนำ จะช่วยให้มีบรรยากาศในการทำงานที่สบายใจขึ้น

ถ้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในระดับพื้นฐานได้ ก็คงยากที่จะทำงานด้วยความสนุก ด้วยเหตุนี้ต้องมีความสุขแบบออกซิโตซินจากการได้รับความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนจากคนรอบข้างเสียก่อน จึงจะส่งเสริมความสำเร็จในการทำงานได้ หรือทำให้เกิดความสุขแบบโดพามีนขึ้นมาได้

ความสุขแบบโดพามีน ความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมาย เป็นความสุขขั้นสูงสุดของทฤษฎีความสุข 3 ขั้น คือความสุขจากความสำเร็จและการบรรลุเป้าหมาย การจะได้ความสุขแบบโดพามีนมานั้นมีราคาที่ต้องจ่าย มักเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะฉะนั้นเมื่อได้มันมา จึงมีความปีติยินดีที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสารเคมีแบบ ขออีก ขออีก ดังนั้นเวลาที่ได้สิ่งใดมาแล้ว แต่ยังอยากได้อีก นั่นแปลว่าโดพามีนกำลังหลั่งออกมา มันยังเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจ และพลังใจของคนเรา เพราะทำให้เพียรพยายามเพื่อไปสู่ผลลัพธ์คือความสำเร็จ

ถ้าโดพามีนหลั่งออกมามากจะมีอาการเสพติด โดพามีนนั้นได้มายากลำบาก เพราะฉะนั้นความยินดีจึงยิ่งใหญ่และมีคุณค่า แต่อันที่จริงยังมีวิธีที่ทำให้ได้รับความสุขแบบโดพามีนมาโดยง่ายอยู่ ตัวอย่างเช่น เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ร่างกายจะหลั่งโดพามีนออกมา เพียงแค่นี้ก็จะมีความสุขแบบโดพามีนแล้ว ด้วยเหตุนี้ โดพามีนจึงเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการเสพติด ไม่ว่าจะเป็นการติดแอลกอฮอล์ ติดยาเสพติด ติดการช้อปปิ้ง ติดการพนัน ติดเกม ติดสมาร์ทโฟน เป็นต้น นี่คือราคาที่ต้องจ่ายจากการแสวงหาความสุขแบบโดพามีนที่ได้มาโดยง่าย

บทที่ 3

คุณสมบัติ 4 ประการของความสุข มีคุณสมบัติที่คาดไม่ถึงคือ

ประการที่ 1 ความสุขมีอยู่แล้วตอนนี้ขณะนี้ ความสุขแบบเซโรโทนินกับออกซิโตซิน คือ ความรู้สึกเป็นสุขในตอนนั้น ๆ เรียกได้ว่าเป็นความสุขแบบ BE ซึ่งหมายถึงมีอยู่หรือเป็นอยู่ เช่น การออกไปเดินเล่นตอนเช้าแล้วรู้สึกว่าสดชื่นจัง นี่คือความสุขแบบเซโรโทนิน ซึ่งอาจดูเป็นเรืองปกติจนเรามองข้ามไป เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจอะไร เรียกอีกอย่างว่ามีความสุขแบบ BE อยู่ในมือแล้วแต่กลับไม่สนใจ

ดังนั้น การรับรู้ถึงความสุขแบบ BE เป็นสิ่งสำคัญ ต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาให้มั่นคงไม่หายไปไหน ในทางกลับกัน ความสุขแบบโดพามีนเป็นความสุขที่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำหรือความพยายาม จึงพูดได้ว่าเป็นความสุขแบบ DO คือต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้มันมา

ประการที่ 2 ความสุขไม่ใช่ผลลัพธ์แต่เป็นกระบวนการ หากพูดตามหลักทฤษฎีทางประสาทวิทยาศาสตร์แล้ว น่าเสียดายที่ต้องบอกว่า ความคิดที่ว่าความสุขคือผลลัพธ์นั้นไม่ถูกต้อง ความสุขคือสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้วินาทีนี้ เป็นกระบวนการไม่ใช่จุดหมายหรือผลลัพธ์ เพียงแค่การบรรลุเป้าหมายเล็ก ๆ หรือการไต่บันไดไปทีละขั้น ถ้าเราขึ้นบันได 100 ขั้น ก็จะได้รับความสุขเล็ก ๆ ถึง 100 ครั้ง ความสุขไม่ได้มีอยู่ในอนาคต แต่ความสุขมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ตระหนักหรือซาบซึ้งใจกับความสุขเล็ก ๆ ที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ แต่กลับเชื่อมั่นว่ายังมีความสุขที่ยิ่งใหญ่ หรือความสุขขั้นสุดยอดรออยู่ข้างหน้า และไล่ไขว่คว้าสิ่งนั้น จึงไม่มีวันพึงพอใจไปชั่วชีวิต

ประการที่ 3 ความสุขที่ยั่งยืนกับความสุขที่ไม่ยั่งยืน เงินเดือนขึ้น ความสามารถและการเสียสละได้รับการยอมรับแล้ว แน่นอนว่าการได้ขึ้นเงินเดือนเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่พอผ่านไป 3 เดือนความยินดีซาบซึ้งใจที่เงินเดือนขึ้นแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย นี่คือการเสื่อมถอยของความสุขแบบโดพามีน คนจำนวนมากไม่รู้ว่าความสุขแบบนี้นั้นไม่ยั่งยืน จึงพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อจะให้ได้ความสุขนี้มาครอบครอง ซึ่งทำให้ต้องไขว่คว้าความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนความสุขที่ไม่มีวันจางหายตลอดไปมีอยู่จริง ความสุขแบบเซโรโทนินและออกซิโตซินคือ ความสุขที่จางหายไปได้ยาก จะไม่ลดลงไปง่าย ๆ ขณะที่ความสุขแบบโดพามีนจะหายไปได้ง่ายในพริบตา ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของความสุขคือ การสร้างความสุขแบบเซโรโทนินและออกซิโอซิสให้มั่นคง

ประการที่ 4 ครอบครองความสุขทั้งหมดด้วยการเพิ่มทวีคูณความสุข ความสุขแบบโดพามีนจะลดลงได้ง่าย เพราะฉะนั้นจึงควรปล่อยวางจากเงินทอง หรือความต้องการทางวัตถุแล้วหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและความผูกพัน เคล็ดลับคือนอกจากโดพามีนแล้วเราต้องทำให้ออกซิโตซีนหลั่งออกมาในปริมาณมาก ด้วยวิธีการนั้นไม่ยากเลย ออกซิโตซินจะหลั่งออกมาเมื่อรู้สึกซาบซึ้งใจ ถ้ารู้สึกซาบซึ้งใจกับคุณค่าของเงินที่ได้มาเพียงเท่านี้ ความสุขที่ได้จากโดพามีนกับออกซิโตซินก็จะคูณสอง

ทฤษฎีความสุข 3 ขั้นกับเหตุผลรองรับเชิงวิทยาศาสตร์ เซโรโทนินได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บัญชาการของบรรดาสารเคมีในสมอง ถ้าระบบประสาทเซโรโทนินทำงานอย่างแข็งขัน จะควบคุมสารเคมีในสมองชนิดอื่นให้มีความเหมาะสม ถ้าสารเคมีเหล่านี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นมากเกินไป เซโรโทนินจะคอยยับยั้ง แต่ถ้ามันลดต่ำลงก็จะช่วยปรับให้เพิ่มขึ้น รากฐานสำคัญของความสุข 3 ขั้นคงเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้ นอกจากความสุขแบบเซโรโทนินเท่านนั้น

ยิ่งออกซิโตซินหลั่งออกมายิ่งมีสุขภาพดี เป็นที่รู้กันว่าออกซิโตซินคือฮอร์โมนแห่งความรัก ที่เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าได้รับความรัก รู้สึกผ่อนคลาย และจิตใจสงบ จากการที่ได้ผูกพันหรือใกล้ชิดกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังว่ากันว่า มีผลดีต่อสุขภาพอีกมากมาย หน่วยรับสัญญาณของออกซิโตซินจะกระจายอยู่ในหัวใจ ความดันโลหิตและการเต้นของชีพจรจะลดลงเมื่อออกซิโกซินหลั่งออกมา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจนานาชนิด โดยสรุปการหลั่งของออกซิโตซิน จะช่วยให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ สมองกระปรี้กระเปร่า และช่วยสร้างความสุขแบบเซโรโทนินนั่นเอง

สรุปคือออกซิโตซินเป็นสารเคมีที่ช่วยปกป้องดูแลจิตใจ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกมีความสุข ความสามารถในการตัดสินใจ สำคัญกับความสุขมากกว่าการศึกษา และทรัพย์สินเงินทอง ความรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอะไรได้เองนั้น คือปัจจัยที่เพิ่มความเครียดได้มากที่สุด ถ้าสามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ความเครียดจะลดลงและมีความสุขเพิ่มขึ้น

บทที่ 4

วิธีเข้าถึงความสุขแบบเซโรนิน วิธีที่ช่วยดึงเซโรโทนินออกมาอย่างง่ายที่สุด คือ การทำให้ตื่นตัว ด้วยการเดินตอนเช้า ซึ่งแนะนำให้ทำประมาณ 15-30 นาทีภายในหนึ่งชั่วโมงหลังตื่นนอน การสัมผัสแสงแดดตอนเช้า และการออกกำลังกายตามจังหวะ ระบบประสาทเซโรโทนินจะได้รับการกระตุ้นทำให้รู้สึกสดชื่น เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ยอดเยี่ยม หลังจากเดินเสร็จแล้ว ถ้าได้ผลของการบดเคี้ยว จากการกินมื้อเช้ามาช่วยเสริมด้วยจะดีมาก

การตระหนักรู้ วิธีแสนง่ายที่ทำให้อิ่มเอมความสุขแบบเซโรนิน คือ ความสุขแบบ BE ซึ่งเป็นความสุขที่มีอยู่แล้ว เวลาแหงนมองท้องฟ้าตอนออกไปนอกบ้าน แล้วรู้สึกว่าท้องฟ้าแจ่มใสสดชื่นจริง ๆ เพียงแค่นี้ก็อยู่ท่ามกลางความสุขแบบเซโรนินแล้ว โฟกัสกับปัจจุบัน จงสะสมความสนุกสนานในขณะนี้ ตอนนี้สนุกจัง ตอนนี้สนุกจัง ถ้าเราคิดแบบนี้ 50 ปีติดต่อกัน จะรู้สึกว่าชีวิตช่างมีความสนุก และเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างแน่นอน การตระหนักถึงความสุข การเรียนรู้ชาติความสุขการรู้สึกซาบซึ้งใจกับความสุข คือ ก้าวแรกของหนทางแห่งความสุข

มีกิจวัตร 3 อย่างที่จะช่วยยกระดับทักษะการเข้าใจตัวเองได้ง่าย

กิจวัตรที่ 1 การทำสมาธิหลังตื่นนอน การให้เวลากับการหันมามองดูสุขภาพของตัวเองเพียงวันละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ ให้ใช้เวลาหลังลืมตาทุกเช้าทำสมาธิทันที ทำการประเมินสภาพร่างกายด้วยการให้คะแนน ในช่วงแรกอาจจะยากอยู่สักหน่อย แต่ถ้าทำอยู่ทุกวันเราจะให้คะแนนสภาพร่างกายตัวเองออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างแม่นยำ ในที่สุดเพราะได้ฝึกฝนทักษะการตระหนักรู้ว่าตัวเราสบายดีหรือไม่สบายอยู่กันแน่ พร้อมกับการฝึกจินตนาการภาพในตอนเช้า หลังจากสแกนร่างกายเสร็จแล้ว จะลองจินตนาการภาพวันนี้ทั้งวันดู เป็นการตรวจเช็คสุขภาพร่างกายและกำหนดวิธีคิด mindset ของวันไปได้พร้อมกัน

กิจวัตรที่ 2 การเดินตอนเช้าอย่างมีสติ เทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้ได้โฟกัสกับปัจจุบันไปพร้อม ๆ กับการฝึกฝนทักษะการตระหนักรู้ได้ ประเด็นสำคัญคือต้องรับรู้ และสัมผัสความรู้สึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสดชื่น ความสดใส ความสวยงาม ความผ่อนคลายให้ได้แล้ว  การสะสมความสุขเล็ก ๆ ทุกเช้า จะได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่

กิจวัตรที่ 3 การสร้าง output ของความสุขเล็ก ๆ เมื่อตระหนักรู้ความสุขเล็ก ๆ อันแสนวิเศษแล้ว ขอให้บันทึกลงในสมองด้วยการสร้างเป็น output ในช่วงแรกการเดินตอนเช้าอย่างมีสติอาจทำได้ไม่ง่าย แต่เมื่อทำร่วมกับการสร้าง output แล้ว ทักษะการตระหนักรู้จะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เพียงแค่เอาความรู้สึกนั้นมา เขียนเป็นการเขียนบันทึกเชิงบวก 3 บรรทัด คือ การย้ำความทรงจำ

ประโยชน์ของการเขียนบันทึกเชิงบวก 1. ทักษะเชิงบวกสูงขึ้น ตระหนักได้ว่าทุกวันมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นเกิดทั้งความคิดและพฤติกรรมเชิงบวกเรื่องลบลดลง 2. การนอนดีขึ้น คุณภาพการนอนดีขึ้นนอนหลับสนิท อารมณ์ดีเวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้า 3. อารมณ์มั่นคงควบคุมความโกรธได้ ความวิตกกังวลและความหงุดหงิดลดลง 4. ระดับความสุขเพิ่มขึ้น รู้สึกมีความสุขมากขึ้นทุกวัน แจ่มใสและสนุกสนาน

ทำไมคนที่มุมานะแทบตายถึงไม่มีความสุข คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่ามุมานะทำงานเต็มกำลังแล้วจะประสบความสำเร็จ นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด ถ้าทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย ด้วยอดนอนหรือไม่หยุดพักผ่อน สิ่งที่รออยู่ในภายภาคหน้าคือความเจ็บป่วย โรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่โรคทางจิตเวช มะเร็ง หลอดเลือดออกในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นต้น ทั้งการทำงานและการเล่นกีฬา เพื่อที่จะให้ได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ สิ่งสำคัญคือการทำแบบต่อเนื่อง ชีวิตคนเราคือการรู้แพ้รู้ชนะในเส้นทางยาวไกล เหมือนการวิ่งมาราธอน การรู้จักทำให้การเปิดและการปิดสมดุลกัน กลางวันทำงานแข็งขัน ตกเย็นพักผ่อน กลางคืนนอนหลับให้สนิทนี่คือวิธีการใช้ชีวิต 1 วัน

การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ใน 1 เดือนให้หาเวลาไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสักครั้ง เพียงแค่มีเวลาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติมากกว่า 5 ชั่วโมงใน 1 เดือน นอกจากความเครียดจะลดลงอย่างมาก สมองยังกระปรี้กระเปร่ารวมทั้งความจำความคิดสร้างสรรค์สมาธิและความสามารถในการวางแผนดีขึ้นเพียงใช้เวลากับธรรมชาติเดือนละครั้ง จะมีระดับความสุขเพิ่มขึ้นได้

บทที่ 5

วิธีเข้าถึงความสุขแบบออกซิโตซิน สถานการณ์ที่ช่วยให้เกิดความผูกพันกัน วิธีที่จะรู้สึกถึงความผูกพัน และทำให้ออกซิโตซินหลั่งออกมามีอยู่ 4 เทคนิคคือ

เทคนิคที่ 1 การสัมผัส คือ เทคนิคที่ช่วยให้ออกซิโตซินหลั่งออกมาได้ง่ายที่สุด

เทคนิคที่ 2 การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง การมีเพื่อนฝูงและพรรคพวก หรือการคบค้าสมาคมกับผู้คนจำนวนมากจึงสำคัญ ทำให้รู้สึกสบายใจ ยิ่งมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกด้วย ก็จะช่วยส่งผลต่อการหลั่งของออกซิโตซิน

เทคนิคที่ 3 ความมีน้ำใจและความซาบซึ้งใจ ออกซิโตซินมีอีกชื่อว่าฮอร์โมนแห่งความมีน้ำใจ เวลาที่คนเราทำอะไรที่มีน้ำใจให้กับใครสักคน ทั้งคนที่ให้น้ำใจและคนที่รับน้ำใจจะมีสารออกซิโตซินหลั่งออกมา

เทคนิคที่ 4 ความสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง การสัมผัสหรือการมีปฏิสัมพันธ์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กับมนุษย์เท่านั้น เกิดขึ้นได้เมื่อปฏิสัมพันธ์กับสัตว์หรือสัตว์เลี้ยงด้วย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหัวใจฟูฟ้อง สัตว์เลี้ยงเองเมื่อถูกลูบหรือกอด ก็จะแสดงท่าทีผ่อนคลายออกมาให้เห็น ในเวลานั้นทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงก็จะมีออกซิโตซินหลั่งออกมา

ความว้าเหว่คือพิษร้ายจากความโดดเดี่ยว ความว้าเหว่จะทำให้อายุขัยสั้นลง ความว้าเหว่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ เป็นยาพิษต่อร่างกายซึ่งบ่อนทำลายสุขภาพ จะกำจัดความว้าเหว่ได้ต้องสร้างความผูกพัน สามารถทำได้โดย พยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างจริงจัง หรือการทำให้ความผูกพันและความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้น สำหรับคนที่ชอบเก็บตัว ให้สร้างพรรคพวกแทนการสร้างเพื่อนฝูง เป็นความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการมีเป้าหมายร่วมกัน เกิดจากการเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน การเข้าไปร่วมกิจกรรมในชุมชน จะเป็นทางลัดที่ทำให้มีเพื่อน และเป็นวิธีที่ช่วยให้ไม่เกิดความว้าเหว่

อีกทางให้วาดวงกลมที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง และรวบรวมคนที่สนใจในตัวเรา หรือคนที่อยากทำในสิ่งที่เราทำ หรือเห็นดีด้วยเข้ามา หากยังเข้าร่วมในชุมชนของคนอื่น ย่อมมีคนที่ไม่เข้ากับเราอยู่แล้วอย่างแน่นอน อาจจะมีการขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง หรือบาดหมางกันได้ แต่ในชุมชนที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง จะมีเฉพาะคนที่รู้สึกดีกับเรา หรือคนที่มีปณิธานเดียวกับเรามารวมตัวกัน จึงเป็นการสร้างชุมชนที่อยู่แล้วสบายใจขึ้นมาก ส่วนคนที่ไม่เข้ากันก็จะจากไปโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องสร้างชุมชนที่ใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้น อาจเริ่มจากกลุ่มคนสัก 3-5 คนก็พอ

อย่าเลิกทำงานถ้าไม่อยากเกิดความว้าเหว่ และต้องการมีชีวิตยืนยาวอย่างสุขภาพดี เมื่อหยุดทำงาน โอกาสที่จะออกไปข้างนอกบ้านก็ลดลง ทำให้ออกกำลังกายไม่เพียงพอ ควรหางานไม่ประจำทำ เพราะการทำงานเท่ากับอยู่ร่วมในสังคม มีภาระหน้าที่ในสังคมมีความเชื่อมโยงกับสังคม ซึ่งช่วยป้องกันความว้าเหว่ในสังคมได้พอสมควร คนที่ยังทำงานจะรู้สึกได้ถึงคุณค่าของตัวเอง แต่ถ้าเลิกทำงานไปจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์

สัมพันธ์กับผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น 3 ระดับ คนเรามีเวลาจำกัดแต่คนที่เราต้องคอยเอาใจใส่กลับมีมากมายเหลือเกิน มีลำดับก่อนหลังและลำดับความสำคัญต่างกันในลักษณะของพีระมิด 3 ชั้น ชั้นล่างสุดและสำคัญที่สุดคือครอบครัว คู่ชีวิตและคนรัก ชั้นกลางคือความสัมพันธ์กับเพื่อน ชั้นบนสุดคือความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ในแต่ละชั้นคนที่ควรสนิทสนมด้วยมีแค่ 2-3 คนก็พอ ประมาณว่าทั้งหมดมีสัก 5-6 คน ความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานใช้ทรัพยากร 2 ส่วนก็พอ สำหรับครอบครัวและเพื่อนใช้ 8 ส่วน ทั้งนี้ถ้ามี 8 ส่วนของความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนเป็นรากฐานแล้ว แม้ว่าความสัมพันธ์ในที่ทำงานจะกระท่อนกระแท่น เพียงแค่มีความสุขกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ก็จะรู้สึกถึงความสุขจากความผูกพันได้อย่างเต็มเปี่ยม

มีความสุขด้วยภารกิจแห่งความมีน้ำใจคือ การมีน้ำใจกับผู้อื่น 3 ครั้งต่อวัน ทำแค่นั้นง่ายมาก แน่นอนว่าคนที่ทำได้มากกว่านี้จะทำกี่ครั้งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำเพียงแค่ 3 เมื่อทำได้ดังนี้ความสุขแบบออกซิโตซินจะไม่เสื่อมถอยลง ในตอนท้ายของวัน ให้เขียนความมีน้ำใจที่ทำมาตลอดทั้งวันออกมา สิ่งนี้เรียกว่าบันทึกความมีน้ำใจ

ประโยชน์ของบันทึกความมีน้ำใจ 1. ความภาคภูมิใจและการยอมรับนับถือตัวเองจะเพิ่มขึ้น พบว่าตัวเองเป็นคนมีน้ำใจมากกว่าที่คิด 2. ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้น รู้สึกว่ายอมรับคนอื่นได้มากขึ้น รู้สึกได้โดยแท้จริงว่าความมีน้ำใจติดต่อกันได้ 3. ตระหนักได้ว่าต้องช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น จึงพัฒนาไปสู่การกระทำ รับรู้ถึงความทุกข์ของคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้น 4. ระดับความสุขเพิ่มขึ้น รู้สึกได้ว่ามีความสุขแจ่มใสร่าเริงและสนุกสนานทุกวัน

ความซาบซึ้งใจ ภารกิจแห่งความซาบซึ้งใจนั้นทำได้ง่ายมาก เพียงรู้สึกซาบซึ้งใจพร้อมกับกล่าวขอบคุณใครก็ได้วันละ 3 ครั้ง การพูดออกมาเป็นถ้อยคำ หรือการสื่อสารไปถึงอีกฝ่าย คือ output ซึ่งช่วยเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนการเขียนบันทึกความซาบซึ้งใจ เป็นเทคนิคการสร้าง output โดยก่อนนอน 15 นาที ให้นึกถึงสถานการณ์เกิดความซาบซึ้งใจในวันนั้น แล้วเขียนความรู้สึกซาบซึ้งใจออกมา 3 เรื่องเรื่องละ 1 บรรทัด เมื่อเคยชินแล้วค่อยเขียนให้ยาวขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น

การเขียนบันทึกเรื่องราวดี ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความสุขมี 3 แบบด้วยกันได้แก่ การเขียนบันทึกเชิงบวก การเขียนบันทึกความมีน้ำใจ และการเขียนบันทึกความซาบซึ้งใจ อันดับแรกให้เริ่มจากการเขียนบันทึกเชิงบวกก่อน จนเขียนได้ 3 หัวข้อทุกวันแบบสบาย ๆ ค่อยขยับไปเขียนบันทึกความซาบซึ้งใจ เมื่อเขียนได้คล่องแล้วค่อยขยับไปเขียนบันทึกความมีน้ำใจ ถ้าจะจัดเป็นโปรแกรมขอให้เขียนบันทึกเชิงบวก 10 วัน บันทึกความทราบซึ้งใจ 10 วัน และบันทึกความมีน้ำใจ 10 วันรวมกันเป็น 1 เดือน เพื่อจะได้ผลดีอย่างมหาศาล ชีวิตจะเปลี่ยนไป

บทที่ 6

วิธีเข้าถึงความสุขแบบโดพามีน ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความสำเร็จทางสังคม มีเงินทอง การได้ซื้อของที่อยากได้ มีชื่อเสียงและเกียรติยศทางสังคม เป็นความสุขแบบโดพามีน นั้นมีคุณสมบัติ 2 ด้าน ด้านสว่างคือสารแห่งความสุข แต่ด้านมืดของโดพามีน คือสารที่เป็นต้นเหตุของอาการเสพติด

ด้านสว่างเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาตนเอง เวลาที่พยายามทำอะไรแล้วได้ผลสำเร็จกลับคืนมา ทำได้แล้ว ความรู้สึกว่าบรรลุผลสำเร็จนั้น มาจากโดพามีน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกว่าจากนี้จะพยายามต่อไป จะลองทำโจทย์ที่ยากขึ้น เพื่อสร้างผลสำเร็จออกมาอีก นอกจากนี้ยังมีการเรียกว่าเป็นสารแห่งการเรียนรู้อีกด้วย

พูดให้เข้าใจง่ายคือสารที่ช่วยให้สมองดีขึ้นเมื่อดูพามีนหลั่งออกมาขนาดที่เรารู้สึกถึงความสนุกสนานความน่าสนใจทำสำเร็จแล้วและความสุขอยู่นั้นสมาธิผลผลิตของงานและความสามารถในการจำจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพื่อที่จะพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่และพาตัวเองก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้นั้นศาลแห่งความสุขแห่งความฝันคือดูปราณีนั่นเอง

ด้านมืดต้นตอของอาการเสพติด ถ้าเป็นเรื่องงานหรือการเรียนการพยายามขออีกเป็นเรื่องยอดเยี่ยม ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ชัยชนะในการแข่งขันกีฬา หรือการสอบได้ที่ 1 ในชั้นเรียน ไม่ว่าเรื่องไหนต้องใช้ความพยายามและเวลาพอสมควร แต่การจะให้มีการพัฒนาตนเอง และมีความสุขไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์จะสร้างความสุขง่ายได้จริง ๆ แถมยังราคาไม่แพง คนเรามีแนวโน้มจะไหลไปในทิศทางที่สบายง่าย และเข้าหาความรื่นรมที่คว้ามาได้แบบทันที มากกว่าความสุขที่เป็นผลลัพธ์จากการเพียรพยายาม เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเกิดอาการติดแอลกอฮอล์ จากความปรารถนาอยากจะดื่มเพิ่มอีก

คนจำนวนมากคิดว่า ถ้าร่ำรวยจะมีความสุขมากขึ้น แต่หน้าเสียดายที่งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยา สรุปผลออกมาในทางตรงกันข้าม ซึ่งวิธีการมีเงินแม้เป็นเงินก้อนเล็ก แต่ทำให้เรามีความสุขที่ยิ่งใหญ่ได้นั่นคือ การสร้างความสุขแบบทวีคูณนั่นเอง วิธีมีความสุขด้วยเงินทองที่สอนโดยนักการเงินมีหนังสือชื่อ happy money เงินดีชีวิตมีความสุข เป็นหนังสือติดอันดับขายดีเขียนโดย คุณฮอนดะ เคน ที่พิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา คุณเคนซึ่งเป็นนักการเงินที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ได้บอกวิธีมีความสุขด้วยเงินทองไว้แบบสั้นกระชับคือ ถ้าเรารู้สึกซาบซึ้งใจกับคุณค่าเวลาใช้เงิน เงินนั้นจะคืนกลับมา เงินนั้นจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกับเงิน

สำหรับคนที่ใช้เงินไปตามปกติ จะมีแต่ความสุขแบบโดพามีน เพราะลืมที่จะรู้สึกขอบคุณหรือระลึกถึงความสำคัญของเงิน ถ้ามองเงินแบบนี้จะนำเงินไปใช้แบบผิด ๆ จนลงทุนล้มเหลวหรือโดนหลอก แต่ถ้าใช้เงินด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ นอกจากดีจังที่ได้เงินมาแล้ว จะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจสารพัดขึ้นมา ผลลัพธ์คือ คนที่มีความซาบซึ้งใจกับเงิน 10,000 เยนได้ จะเรียกเงินอีก 10,000 เยนเข้ามาเพิ่มอีก ถ้าเราใช้เงินด้วยความซาบซึ้งใจ และความมีน้ำใจอย่างเต็มที่ ไม่เพียงเฉพาะตัวเราที่จะมีความสุขแบบออกซิโตซิน แต่จะช่วยให้อีกฝ่ายมีความสุขแบบออกซิโตซินด้วย เมื่อเขาได้รับความสุขเต็มที่แล้ว จะเกิดความไว้วางใจและซื้อสินค้าจากเรา หรือบริษัทของเรา ความสุขแบบออกซิโตซินจะไม่จืดจางไปง่าย ๆ

ดังนั้น ความไว้วางใจที่เกิดจากความซาบซึ้งใจ และความมีน้ำใจจะไม่อ่อนกำลังแถมจะเพิ่มพูนขึ้นอีกด้วย นอกจากมันจะช่วยเรียกความไว้วางใจและเงินทองเข้ามาแล้ว ยังจะทวีเพิ่มพูนไปเรื่อย ๆ เป็นวัฏจักร ทั้งนี้ไม่จำกัดอยู่แค่ความซาบซึ้งใจกับเงินทองเท่านั้น ยังเกิดกับสิ่งของหรืออาหารได้ด้วย การลิ้มรสชาติการพัฒนาตนเองทุกวัน ในความเป็นจริงแล้วการพัฒนาตนเองเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน การพัฒนาตนเองคือ การทำสิ่งที่เมื่อวานยังทำไม่ได้ หรือการรู้สิ่งที่เมื่อวานไม่รู้ขึ้นมาได้ จะทำให้เกิดความพึงพอใจในตัวเอง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

คนที่มีความพอใจในตัวเองต่ำ จะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จะถูกครอบงำจากอิทธิพลความคิดเห็นของคนอื่น มากกว่าความรู้สึกหรือความในใจที่แท้จริงของตน จะสนใจแต่กับคนรอบข้าง และตกอยู่ในสภาวะเครียดอย่างรุนแรง จนจิตใจไม่มั่นคง จากนั้นจึงมีแนวโน้มหันไปหาความรื่นรมย์ หรือสิ่งกระตุ้นที่ได้มาง่าย ๆ จนเกิดอาการเสพติด ส่วนคนที่มีความภูมิใจในตัวเองสูง แม้จะเผชิญกับความเครียดบ้าง ก็จะไม่หวั่นไหวจึงเกิดอาการเสพติดได้ยาก มีความสุขได้ง่าย

คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือผู้ให้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือผู้ให้อีกนั่นแหละ ที่เป็นคนซึ่งประสบความล้มเหลวมากที่สุดด้วย เพราะจริง ๆ แล้วผู้ให้มี 2 ประเภท คือผู้ให้ที่ประสบความสำเร็จ กับผู้ให้ที่ไฟมอด

ผู้ให้แบบเสียสละตนเองคือ คนที่มีจิตอาสาโดยไม่หวังผลตอบแทน มีมานะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะอุทิศตนเองทำอะไรเพื่อผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง การมุ่งมั่นตั้งใจทำให้ผู้อื่นต่อเนื่องกันหลายปีนั้น คนปกติคงทำไม่ได้เพราะจิตใจจะเหนื่อยล้าหมดแรงไปเสียก่อน และคงต้องล้มเลิกลงไปกลางคัน นี่คือผู้ให้ที่ประสบความล้มเหลวนั่นเอง

ผู้ให้ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการคำนึงถึงผู้อื่น การให้นั้นไม่จำกัดแค่เงินทอง แต่อาจทำได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้อมูลข่าวสารหรือแรงงานด้วย นอกจากนี้ ไม่ละทิ้งผลประโยชน์สำหรับตนเอง ที่เป็นผลลัพธ์จากการให้ นอกจากเงินทองแล้ว ยังรวมไปถึงสิ่งชดเชยทางจิตใจ เช่น ความรู้สึกพึงพอใจที่มาจากความดีใจ ที่มีคนกล่าวคำว่าขอบคุณ ความรู้สึกประสบความสำเร็จหรือความปรารถนาได้รับการยอมรับก็เช่นกัน การรับสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์จากการช่วยเหลือผู้อื่น หรือกิจกรรมอาสาสมัครนั้นกระทำได้ แต่การเสียสละตนเองอย่างเดียวโดยไม่รับอะไรกลับคืนมาเลย แม้จะประสบความสำเร็จแต่จะหมดไฟไปในที่สุด

ค้นหางานแห่งชีวิต ความสุขที่สุดในชีวิตสิ่งนั้นคือ การรู้จักงานที่เหมาะกับตัวเอง การค้นพบงานแห่งชีวิตจึงทำให้มีความสุข เป็นเพราะว่าการค้นพบตัวตนกับการช่วยเหลือสังคมมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว แบ่งสิ่งที่เรียกว่างานออกเป็น 3 ประเภท

Rice Work คือการงานที่ทำเพื่อการดำรงชีวิต หมายถึง งานที่ทำเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงชีวิต แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบงานนั้น แต่ต้องทนทำไปเพื่อการดำรงชีพ

Like Work คืองานที่ชอบ หมายถึงงานที่ชอบทำ งานนั้นเข้ากับตัวเอง ทำได้อย่างสนุกสนานไม่เครียด แต่อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นงานที่ดีที่สุด

Life Work คืองานแห่งชีวิต หมายถึงงานที่เราคิดว่าเกิดมาเพื่อทำงานนี้ การทำงานนั้นจะรู้สึกว่าทำได้ทุกวัน เป็นงานที่มีความหมาย รู้สึกพึงพอใจและมีความรู้สึกว่าบรรลุผลสำเร็จ

การรับรู้และภูมิใจว่าตัวเรากำลังช่วยเหลือสังคม หรือทำประโยชน์กับมวลมนุษย์ และโลกจะช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน สิ่งที่ตามมาคือผลผลิตของงานสูงขึ้น และนำไปสู่ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ต่อไป

คนเราทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง หรือบางทีก็มากกว่านั้น ถ้าไม่รวมเวลานอนพักผ่อน ใช้เวลามากกว่าครึ่งหนึ่งของวันไปกับการทำงาน ในชีวิตคนเราเวลาที่ใช้ไปมากที่สุดคือเวลาทำงาน คนที่ระหว่างการทำงานคิดว่าสนุก สำเร็จสมดังใจ คุ้มค่าจะมีความสุข แต่คนที่ทำงานโดยรู้สึกอยู่ทุกวันว่า ทรมานไม่อยากทำงานนี้ หรืออยากจะลาออกคงมีความสุขไปไม่ได้ ดังนั้น จะตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรก็ไม่ราบรื่น ขนาดที่ความทรมานและความทุกข์ใจจะยิ่งรุนแรงขึ้นโดยไม่จำเป็น และความเครียดก็จะเพิ่มตามมาอีกด้วย แม้จะทำงานอย่างเดียวกันในระยะเวลาเท่ากัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันหลายเท่าตัว ขึ้นอยู่กับฝ้าคิดว่ามันสงบหรือทรมานนั่นเอง

ด้วยเหตุนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การสังเกตว่าตัวเองเหมาะกับงานแบบไหน ทำงานอะไรแล้วรู้สึกสนุก ขอให้อย่าลืมจับเรดาร์ เพื่อมุ่งมั่นค้นหางานอดิเรก หรือความสนุกสนานและออกจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อทำสิ่งท้าทายด้วย

บทที่ 7

วิธีใช้เงินทองแล้วมีความสุข ความปรารถนาแบบโดพามีนที่วูบวาบได้ง่ายนั้น ถ้าอยู่ควบคู่กับเซโรโทนินและออกซิโตซินแล้ว จะควบคุมมันได้ดีขึ้น แล้วจะได้มาสิ่งที่อยากได้ และความสุขจะอยู่นาน

คนที่มีวิธีใช้เงินอย่างฉลาด จะมีความสุขกว่าคนที่หาเงินเก่ง แม้จะมีรายได้น้อยหรือเงินเก็บน้อย แต่ถ้าใช้เงินเป็นก็จะมีความสุขได้ แม้ว่ารายได้ต่อปีสูงหรือมีเงินฝากจำนวนมากแต่ถ้าใช้เงินไม่เป็นก็ไม่มีความสุข ปริมาณที่ครอบครองเงินทองเป็นแค่ตัวเลข ถ้าใช้เงินอย่างฉลาด จะได้ความยินดีหรือความพึงพอใจ ซึ่งได้แก่ความสุขแบบ BE ในชั่วขณะนั้นมา

วิธีใช้เงินที่ไร้ประโยชน์มากที่สุดคือเงินฝาก เงินฝากคือการเพิ่มขึ้นของตัวเลข ยิ่งตัวเลขเพิ่มขึ้นจะยิ่งรู้สึกยินดี นั่นคือภาพลวงตา แม้จะมีความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นถ้าไม่ได้มากขึ้น จะไม่รู้สึกพอใจอีกต่อไป อนาคตนอกจากจะไม่เชื่อมั่นตัวเองในอนาคตแล้วยังไม่เชื่อมั่นกับตัวเองในปัจจุบันด้วยเมื่อไม่เชื่อมั่นในตัวเองจริงไม่ลงทุนกับตัวเองหรือทำสินค้าไทยเพราะเหตุนี้คงไม่มีทางมีความสุขกว่าเดิมได้

วิธีวิธีใช้เงินที่มีประโยชน์ที่สุดคือการลงทุนกับตัวเอง ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าตัวเรา ตราบใดที่ยังมีการพัฒนาตัวเอง จะไม่มีทางที่มูลค่าตกลงได้ การจะมีมูลค่าสูงขึ้นหรือต่ำลงขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเราทั้งหมด ตัวเรามีศักดิ์และสิทธิ์ในทุกสิ่งโดยแท้

จงซื้อประสบการณ์แทนการซื้อสิ่งของ การซื้อประสบการณ์นำไปสู่การลงทุนกับตัวเอง การไปเที่ยวต่างประเทศ การมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่ไม่เคยสัมผัส ถือเป็นเรื่องสนุกสนานและทำให้มีความสุขล้นเหลือ ส่วนสิ่งของนั้นสะสมไปมีแต่จะเกะกะ แต่ถ้าเป็นการสะสมประสบการณ์จะกลายเป็นอาวุธอันทรงพลัง ถ้าในแต่ละวันมีประสบการณ์สนุกสนานเกิดขึ้นเป็นระยะ ไม่ว่าใครก็คงมีความสุขอย่างแท้จริง การซื้อประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นการกินของอร่อย การดูภาพยนต์ หรือการ์ตูนที่ชอบ การเดินเล่นในย่านเมืองเก่า การอ่านหนังสือ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย

หันหน้าเข้าหาคนไม่ใช่เงินทอง การสร้างรายได้ไม่ใช่เป้าหมาย เพราะเป้าหมายคือการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นเงินก็ไหลเข้ามาอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าเอาเงินทองเป็นเป้าหมายแล้วจะกลายเป็นคนเห็นแก่เงิน ที่แค่ตัวเองมีรายได้ก็พอแล้ว ยิ่งแสวงหาเงินทองเท่าไหร่เงินทองจะยิ่งหายไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงควรหันหน้าเข้าหาคนแทนที่จะหันไปหาเงินทอง ถ้าปรับเปลี่ยนความคิดเป็นคิดถึงคนก่อน จะมีเงินทองไหลเข้ามาจริง ๆ

สิ่งที่เงินซื้อได้ไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความสบายใจ ถ้ามีเงินฝากจำนวนมากจะไม่ต้องกังวลยามแก่เฒ่า แม้ตัวเองจะล้มป่วยก็ยังเลี้ยงดูครอบครัวได้ จงตั้งเป้าเงินได้ต่อปีไว้ระดับหนึ่ง การตั้งเป้าให้มีเงินหรือรายได้ในระดับหนึ่งเป็นเรื่องที่ดี ถ้าตั้งเป้าหมายเรื่องเงินไว้ที่ 8 ล้านเยนต่อปี และพยายามทำให้ได้ตามนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว ถ้ามีรายได้ต่อปีสูงกว่า 8 ล้านเยนจะรับรู้ถึงความสำคัญของความสุขที่ไม่เคยสัมผัส เช่น ความสุขจากการช่วยเหลือผู้อื่น การยอมรับจากผู้อื่น ครอบครัวที่มีความสุข การพัฒนาของตนเอง การค้นพบตัวเองหรือสุขภาพดีเพิ่มขึ้น

จงใช้เงินซื้อเวลา ใน 1 วันมีเพียง 24 ชั่วโมงเท่ากันไม่ว่าจะคนยากจนหรือมหาเศรษฐี สิ่งที่มีเท่ากันอย่างแน่นอนคือเวลา แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น ถ้ามีเงินแล้วย่อมซื้อเวลาได้ งานที่ยุ่งยากหรืองานที่ยากลำบากสำหรับตนเอง หรือสิ่งที่ไม่อยากทำการจ้างคนนอกจะช่วย เป็นการซื้อเวลาที่มีคุณค่าที่แท้จริง เวลาที่ได้มาสามารถเอาไปทุ่มเทกับด้านที่ถนัด เพื่อเร่งสปีดให้ได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้น รวมทั้งเงินทองด้วย เวลาคือตั๋วรถไฟด่วนไปสู่ความสำเร็จ การใช้เงินซื้อเวลาจึงเป็นวิธีใช้เงินที่คุ้มค่าที่สุด

จงเรียนรู้เกี่ยวกับเงิน ระหว่างคนยากจนกับคนร่ำรวย มีอะไรที่เป็นความแตกต่างเด่นชัดที่สุด สิ่งนั้นคือคนร่ำรวยมีความรู้เรื่องเงินทองลึกซึ้งกว่า พูดอีกอย่างคือคนที่ไม่มีเงินมีความรู้เกี่ยวกับเงินทองน้อยเกินไป ยิ่งมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินมากขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งมีเงินเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เรื่องเงินทองนั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้ และสามารถนำความสุขมาให้ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าใช้ผิดวิธีจะกลายเป็นต้นเหตุของความทุกข์ จึงต้องใช้เงินอย่างฉลาดเพื่อจะได้มีความสุข

สุดยอดกฎที่ทำให้ยิ่งเที่ยวเล่นยิ่งมีความสุข การเที่ยวเล่นมีความสำคัญยิ่งยวดกับการพัฒนาตนเอง ความก้าวหน้าของตัวเองที่เป็นผลจากการเรียนรู้ หรือความสำเร็จจากการทำงาน จะมีโดพามีนหลั่งออกมา ถ้าตั้งเป้าไปที่การพัฒนาจากการเรียนรู้หรือความสำเร็จจากการทำงาน จะได้รับความก้าวหน้าน้อย ๆ หรือความสำเร็จเล็ก ๆ ภายในเวลาไม่กี่เดือน แต่ถ้าเป็นความสำเร็จหรือความก้าวหน้าขนาดใหญ่อาจใช้เวลาหลายปีถึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง

แต่เวลาที่ดื่มด่ำกับการเที่ยวเล่นและรู้สึกว่าสนุกสนาน โดพามีนก็จะหลั่งออกมาเช่นกัน ทว่าความสุขจากการเที่ยวเล่นนั้น เราจะได้รับเลยจากวันนี้หรือในตอนนี้ การไปสวนสนุกกับครอบครัวนั้นสนุก การไปขับรถเที่ยวกับแฟนก็สนุก การไปร้านอาหารที่คนกำลังพูดถึงกันก็ทั้งอร่อยและสนุก ซึ่งสามารถไขว่คว้าความสุขแบบโดพามีนมาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เงินหรือเวลามากนัก ถ้าปกติเป็นคนขยันทำงานเต็มที่ หลัง 5 โมงเย็นหรือเสาร์อาทิตย์ สามารถเที่ยวเล่นได้

สาเหตุที่ทำให้คนที่โหยหาการเที่ยวเล่นประสบความสำเร็จอย่างสูง คนที่โหยหาการเที่ยวเล่นทุกคนสร้างผลสำเร็จในการงานออกมาได้อย่างมากขึ้น เป็นเพราะว่า

  1. ได้ชาร์จพลัง คนที่โหยหาการเที่ยวเล่น จะทุ่มแรงกายทำทั้งการทำงานและการเที่ยวเล่น และแน่นอนว่ากับเรื่องงานก็คงไม่จะมีประนอมเช่นกัน การเที่ยวเล่นเป็นการชาร์จพลัง และเปลี่ยนบรรยากาศ ดังนั้น ยิ่งเที่ยวเล่นเท่าไหร่ทั้งร่างกายและจิตใจยิ่งได้ชาร์จอย่างเต็มอิ่ม
  2. ความคิดสร้างสรรค์และความใฝ่รู้เพิ่มขึ้น การมัวแต่คิดวนเวียนกับสิ่งเดิม ๆ ในขอบเขตแคบ ๆ ไม่มีทางจะเกิดไอเดียดี ๆ หรือสิ่งสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ถ้าเที่ยวเล่นแบบที่แตกต่างจากการทำงานตามปกติอย่างสิ้นเชิง จะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ได้ฝึกสมองและฝึกฝนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ด้วย คนที่มีความใฝ่รู้แรงกล้า จะเที่ยวเล่นอย่างกระหายใคร่รู้ ซึ่งทำให้ความใฝ่รู้เฉียบคมมากยิ่งขึ้น

การสร้างความสนุกสนานให้เพิ่มขึ้นแบบมหาศาล หากถามว่ารู้สึกสนุกตอนทำอะไร? จะมีคนอยู่ถึง 2 ใน 3 เลยทีเดียวที่ตอบว่าไม่ทราบ ทั้งที่คำว่าสนุกสนานมีอยู่มากมายทุกวัน แต่ทำไมถึงบอกออกมาไม่ได้ นั่นเป็นเพราะไม่ได้ติดตั้งเรดาร์ตรวจจับความสนุกเอาไว้ เพราะไม่ได้พยายามค้นหาวินาทีที่สนุกสนานในแต่ละวัน จึงมองข้ามมันไป เพียงแค่เพิ่มจำนวนครั้งของความสุขเล็ก ๆ ก็พอแล้ว

วิธีที่ช่วยฝึกฝนการรู้จักวินาทีแห่งความสนุกสนานของตัวเองก็คือ การเขียนบันทึกเชิงบวก 3 บรรทัด เมื่อเขียนบันทึกเชิงบวก 3 บรรทัดจะช่วยให้รู้ว่า อะไรที่ทำแล้วรู้สึกสนุก ควรจะทำสิ่งนั้นซ้ำอีกเรื่อย ๆ หรือความสุขชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ ขอให้ค้นหาให้เจอแล้วคิดหาทางทำมันซ้ำไปซ้ำมา เพียงเท่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่า ความสุขจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

เลิกรอความเพลิดเพลินมาหา แต่ให้สร้างความเพลิดเพลินขึ้นเอง มีทั้งการเที่ยวเล่นแบบดี และการเที่ยวเล่นแบบร้าย ความเพลิดเพลินนั้นมีอยู่ 2 ประเภทคือ ความเพลิดเพลินแบบรอมันมาหา กับความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเอง

การดูโทรทัศน์ การเล่นเกม หรือเล่นสมาร์ตโฟนเป็นความเพลิดเพลินแบบรอมันมาหา ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอาศัยสมาธิหรือทักษะใด

ขณะที่การอ่านหนังสือ การเล่นกีฬา การเล่นบอร์ดเกม เป็นความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเอง ซึ่งต้องใช้สมาธิ รวมทั้งมีการตั้งเป้าหมายหรือเพิ่มทักษะให้สูงขึ้นด้วย คนที่ใช้เวลาไปนาน ๆ กับความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเอง จะเข้าสู่ภาวะลื่นไหลได้ง่าย ส่วนคนที่อยู่กับความเพลิดเพลินแบบรอมันมาหา จะเข้าสู่ภาวะลื่นไหลได้ยาก

เปลี่ยนการเที่ยวเล่นไปสู่การพัฒนาตัวเอง สามารถเปลี่ยนจากความเพลิดเพลินแบบรอมันมาหา เป็นความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเองได้ ขึ้นอยู่กับตัวเอง แม้แต่วิสกี้ถ้าเพียงแค่ดื่มเข้าไปแล้วเมาและจบด้วยความรู้สึกว่าอร่อยจัง จะเป็นความเพลิดเพลินแบบรอมันมาหา แต่ถ้าชิมแบบใส่ใจกับกลิ่นและรสชาติแล้วเอาผลจากการชิมนั้นมาจดบันทึก และนำไปศึกษาเรียนรู้เรื่องมาตรฐานของวิสกี้ นั่นคือความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเอง

ถ้ามี 3 เงื่อนไขได้แก่ การเพิ่มสมาธิ การตั้งเป้าหมาย การยกระดับทักษะเกิดขึ้นพร้อมกัน นั่นคือความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเอง แม้กระทั่งความเพลิดเพลินที่เคยทำแบบไร้จุดหมายไปวัน ๆ ถ้าตั้งเป้าหมายและนำมาจดบันทึกออกมาแล้ว จะเปลี่ยนเป็นความเพลิดเพลินแบบสร้างขึ้นเองได้

แม้จะใช้เวลาเที่ยวเล่นเหมือนกัน บางคนมีพัฒนาการ บางคนจบด้วยความสิ้นเปลือง ถ้าสะสมไป 1,000 หรือ 10,000 ชั่วโมงผลจะออกมาแตกต่างกัน วิธีการเที่ยวเล่นเป็นตัวตัดสินว่า จะมีความสุขหรือไม่มีความสุขได้

สุดยอดวิธีกินที่ช่วยให้มีความสุขได้จากวันนี้เป็นต้นไป การกินคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุข สร้างความชุ่มชื่นและความปิติยินดีให้กับชีวิตในแต่ละวัน นับเป็นการสร้างความสุขทางปาก ซึ่งทุกคนคงจะมีประสบการณ์ตรงกันแล้ว ด้วยเหตุนั้นการกินและความสุขจึงสัมพันธ์กัน

เทคนิคเรื่องวิธีการกินที่ช่วยให้มีความสุขด้วยเงินเพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงเรื่องการมีความสุขได้ด้วยการกินอาจมีคนบอกว่าไม่มีเงิน ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปภัตตาคารหรูเพื่อกินอาหารราคาแพงก็ได้ เพียงแค่กินอาหารในร้านอร่อย ๆ ก็พอ ยิ่งถ้าทำการบ้านเรื่องร้านเด็ดเมนูลับมาล่วงหน้า อาหารมื้อนั้นก็จะอร่อยเป็นพิเศษ การมีความสุขได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย ช่างเป็นวิธีที่ได้ความสุขมาครอบครองแบบง่าย ๆ เวลาที่เขียนบันทึกเชิงบวก 3 บรรทัด ต้องเขียน 1 บรรทัดเกี่ยวกับเรื่องความสุขจากการกิน

ถ้าไปไม่ได้ขัดฟันสัปดาห์ละ 1 หรือ 2 ครั้งก็ได้ เพียงแค่ขอให้ได้กินอาหารที่รู้สึกว่าอร่อยก็พอ นั่นเป็นการรีเฟรชตัวเองชันเยี่ยม และเป็นการใช้เวลาขั้นสุดยอด ที่ให้ทั้งความชุ่มชื่นและความปีติยินดีกับการกับชีวิต ขณะนั้นน่าเสียดายที่คนไม่สนใจการกินมีอยู่จำนวนมาก คนเหล่านั้นคงมีทักษะการค้นพบความสุขอยู่น้อย แน่นอนว่าความสุขมีอยู่รอบตัวเรา แต่ถ้าเราไม่ค้นหาคงไม่เจอมัน

การฝึกฝนพลังการทดลองสิ่งท้าทาย หรือความใฝ่รู้ด้วยการกิน อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่สนใจเรื่องการกินกับคนที่ไม่สนใจ นั่นคือมีหรือไม่มีความใฝ่รู้ การกระทำที่เรียกว่าไปลองร้านใหม่ดู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการออกจากคอมฟอร์ตโซน ซึ่งเป็นพฤติกรรมการทำสิ่งท้าทาย น่าจะอร่อยหรืออาจจะไม่อร่อย แต่อยากรู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร เพราะมีความใฝ่รู้เลยคิดอยากไปลองกินดู

คนที่มีความใฝ่รู้อย่างแรงกล้า พร้อมจะย่างก้าวเข้าไปหลากหลายสาขา โดยไม่จำกัดอยู่เพียงด้านใดด้านเดียว ผลลัพธ์คือความใฝ่รู้จะยิ่งขยายขอบเขตมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีความสนใจใครรู้ในเรื่องการกิน จะมีความใฝ่รู้ในเรื่องการเรียนรู้เช่นกัน ถ้ามีหนังสือที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ จะคิดว่าอยากลองอ่านดู ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกิน แต่จะส่งผลไปถึงการเรียนรู้หรือการทำงานด้วย

เงื่อนไขร่วมของคนที่มีความอยากอาหารพล่านมีคนแบบนี้อยู่จำนวนมากเช่นยั้งความอยากอาหารไม่อยู่อย่างไดเอทแต่ก็เผลอกินจุทุกทีหยุดกินของจุกจิกระหว่างมื้อไม่ได้อยากกินของหวานขึ้นมากลางดึกหรือกังวลว่าจะควบคุมความอยากอาหารไม่ได้ความอยากอาหารมีความเกี่ยวข้องกับโดราเเมน

ดังนั้นต้นเหตุของความอยากอาหารก็คือโดพามีน  ความอยากอาหารเป็นความปรารถนาประเภทหนึ่ง ที่ฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ง่าย คนที่ควบคุมความอยากอาหารไม่ได้ การป้องกันความอยากอาหารไม่ให้ปะทุขึ้นมา การนอนหลับไม่เพียงพอ การขาดการออกกำลังกาย การมีความเครียดสูง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนทำให้อยู่ในสภาวะขาดความสุขแบบเซโรโทนินทั้งสิ้น เซโรโทนินคือตัวที่จะควบคุมโดพามีน  และหยุดยั้งความพุ่งพล่านของโดพามีน ด้วย

ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกาย และการเดินตอนเช้าจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจได้ปรับสมดุล จนเปลี่ยนไปด้วยความสุขแบบเซโรโทนิน และยังช่วยบรรเทาความอยากอาหารได้ด้วย

การกินคือต้นกำเนิดของโดพามีน เพียงแค่กินอาหารอร่อย สารเคมีแห่งแรงบันดาลใจก็จะหลั่งออกมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารมื้อเดียว แต่มันคือมื้ออาหารสำคัญ วันหนึ่งเรากินอาหาร 3 มื้อ แต่ถ้าเราสามารถเพิ่มระดับความพึงพอใจ หรือระดับความสุขของแต่ละมื้อได้ แน่นอนว่าระดับความพึงพอใจหรือระดับความสุขในท้ายสุดของวันจะสูงขึ้น ดังนั้นมื้อเดียวก็ต้องใส่ใจ คือวิธีสร้างสุขที่เกิดผลทันทีแบบคุ้มเวลาคุ้มราคา ขั้นสุดยอดที่ใครก็ทำได้

บทส่งท้าย

เส้นทางหลักที่จะสร้างความสุขในชีวิต อันดับแรกต้องตระหนักเรื่องสุขภาพ ความผูกพันไว้ และสร้างรากฐานแห่งความสุขให้มั่นคงด้วย ความสุขแบบเซโลโทนินและออกซิโตซิน ปรับสมดุลทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งปรับสมดุลความสัมพันธ์กับผู้อื่น ด้วยถ้ารากฐานมั่นคงแล้ว ค่อยตั้งเป้าไปที่ความสุขแบบโดพามีน มานะพยายามกับการทำงาน เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตนเอง หรือออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง ณ จุดนี้จะเกิดพีระมิดเล็ก ๆ 3 ขั้นของความสุขแบบเซโลโทนิน ออกซิโตซิน และโดพามีน ขึ้น

สภาวะมีความสุขเพิ่มระดับความสามารถกับสมอง การนอนหลับ การออกกำลังกาย และการเดินตอนเช้า จะเป็นปัจจัยช่วยเปิดพลังสมอง พลังความสามารถทั้งหมด และจะได้ผลจากแรงสนับสนุนจากสารแห่งความสุขทั้ง 3 ชนิด ถ้าสมาธิสูงขึ้น ประสิทธิผลของการทำงานจะเพิ่มขึ้นด้วย อารมณ์จะคงที่ และความสัมพันธ์กับผู้อื่นจะปรับดีขึ้น

ถ้าตั้งใจมีน้ำใจและความซาบซึ้งใจ จะได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น ความสามารถจะเพิ่มขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่า ความสุขไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นการเป็นกระบวนการ คนที่มีความสุขจะได้รับสารแห่งความสุขทั้ง 3 ชนิด ซึ่งทำให้พลังสมองเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่นไปหมด แต่คนส่วนมากจะเป็นในทางตรงกันข้าม ทำงานด้วยความรู้สึกทุกข์ใจ หรือทรมานจนฮอร์โมนความเครียดหลั่งออกมา แรงกำลังใจถดถอยและเกิดความผิดพลาดจำนวนมาก นอนพักผ่อนและออกกำลังกายไม่เพียงพอ มีความรู้สึกโดดเดี่ยว ผลที่ตามมาคือ จะไม่สามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวออกมาได้เลย

การทำงานในสภาพที่หมดแรงกายแรงใจ นอกจากไม่มีทางที่งานจะก้าวหน้าแล้ว การทำงานยังผิดพลาดจนโดนตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ แถมยังถูกเพื่อนร่วมงานปฏิบัติแย่ ๆ ใส่ จนความสัมพันธ์กับผู้คนในที่ทำงานย่ำแย่ตามไปด้วย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณสมบัติหรือทักษะความสามารถ ปัญหาอยู่ที่การตั้งเป้าอยู่กับความสุขแบบโดพามีนตั้งแต่แรก หรือเพราะตั้งเป้าไว้ที่ความสุขขนาดใหญ่ตั้งแต่แรก จนสมดุลของความสุขทั้ง 3 แบบพังครืนลงมา

ทำให้ร่างกาย จิตใจ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น การใช้ชีวิต และการทำงานมีสภาพแตกไปคนละทิศละทาง ดังนั้นในตอนแรก ขอให้ตั้งเป้าหมายการสร้างพีระมิดความสุขขนาดเล็กให้ดีเสียก่อน ถ้าย้อนดูไปแล้วรู้สึกว่า วันนี้มีเรื่องสนุกด้วย แสดงว่ามีความสุขเล็ก ๆ เกิดขึ้นแล้ว ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ได้มายาก ความสุขเล็ก ๆ แบบนี้ ไม่ว่าใครก็มีได้ในระยะเวลาอันสั้น

การเขียนบันทึกเชิงบวก หรือบันทึกความซาบซึ้งใจทุกวัน จะได้สิ่งนั้นมาภายในเวลา 1 สัปดาห์ ที่สำคัญในชีวิตมนุษย์คือสุขภาพ ความผูกพัน และความสำเร็จ มาเชื่อมโยงกันเป็นคีย์เวิร์ดของความสุข