สั่งซื้อหนังสือ “ถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่” (คลิ๊ก)
สรุปหนังสือ ถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่
หนังสือเล่มนี้ จัดว่าเป็นหนังสือแห่งปีจากญี่ปุ่น ที่มียอดขายทะลุ 8 แสนเล่ม เป็นหนังสือที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ตำราพิชัยสงคราม สำหรับยุคปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้ชนะได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงต่อสู้ไม่ว่าจะอยู่ในสมารภูมิใดในชีวิตก็ตาม คุณทามุระ โคทาโร่ ผู้เขียนได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็น คู่มือหลีกเลี่ยงการต่อสู้ เปรียบเหมือนฉบับปรับปรุงของ ตำราพิชัยสงครามซุนวู ถือว่าเป็นคู่มือหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ดีที่สุดในโลก สิ่งที่ได้ถ่ายทอดไว้ในหนังสือเล่มนี้คือ กลยุทธ์การบริหารที่ว่า จงอย่าใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอย่างสิ้นเปลือง.
เวลาและพลังงานเป็นทรัพย์สินอันจำกัด ที่ช่วยให้โลดแล่นไปกับชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียวได้อย่างราบรื่น จึงไม่อยากให้ผลาญมันไปกับเรื่องไร้ประโยชน์ อย่างการสู้กับคนโง่ให้เลิกสิ้นเปลืองเวลาและพลังงาน ใช้ไปกับการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แล้วเปลี่ยนไปใช้เวลาและพลังงาน ในการทำให้ชีวิตที่แสนสำคัญของตัวเองรุ่งโรจน์แทน การรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมิใช่วิธีที่ประเสริฐสุด แต่การสยบข้าศึกได้โดยไม่ต้องรบต่างหากจึงจะประเสริฐสุด สิ่งนี้ก็คือกลยุทธ์การบริหารที่ว่า จงอย่าใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสิ้นเปลืองนั่นเอง
คนโง่คือคนที่ชอบถ่วงขาอย่างไร้เหตุผล เวลาประชุมพวกเขามักจะโต้แย้งเฉพาะความเห็นของคุณ ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมทีมกันแต่กลับแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ หรือไม่ยอมให้ความร่วมมือ คงเคยเจ็บใจจนไม่เป็นอันทำงาน หรือเคยกัดกลุ้มว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเอาแต่เล่นงาน และเคยแค้นเคืองถึงขนาดกลับมาบ้านแล้วก็ยังไม่อาจระงับโทสะได้ ถึงจะเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้ แต่หวังว่าจะไม่หลงผิดโดยการคิดว่าจะเล่นงานอีกฝ่ายกลับ เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือ ความคิดเช่นนั้น การโมโหแค้นเคืองและการแก้แค้น ล้วนเป็นการกระทำเชิงลบที่เปล่าประโยชน์
การมัวแต่ใส่ใจกับสิ่งที่จบไปแล้ว รังแต่จะทำให้ติดอยู่ในวงจรอุบาท จะมัวแต่สนใจอดีตอันน่าแค้นเคืองจนทำให้ต้องสังเวยอนาคตของตัวเอง หรือจะยึดถือหลักความจริงที่ทำให้ประสบความสำเร็จดี ทั้งที่แค่ไม่ยึดติดกับอดีต และคิดว่ามันเป็นเรื่องที่จบไปแล้ว ก็จะทำให้แผลในใจตื้นขึ้น น่าเศร้าที่คนโง่ก้าวหน้าได้ง่ายดายในสังคมขี้อิจฉา ในหมู่ผู้มีอำนาจนั้นมีคนโง่อยู่เยอะทีเดียว ดังนั้นคนโง่จึงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจ การล้างแค้นเพื่อความสะใจโดยแลกกับการมีศัตรูโง่ ๆ เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่ต่อสู้อย่างเปล่าประโยชน์ อีกทั้งจะเลือกคู่ต่อสู้และเวลาต่อสู้ที่เหมาะสมด้วย กล่าวได้ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ ก็เพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความไร้ประโยชน์ของการสู้กับคนโง่นั่นเอง การคอยจับตาดูคนอื่น จะทำให้ไม่เหลือเวลามาพิจารณาตัวเอง มาคิดทบทวนดูว่า สิ่งที่อยากทำจริง ๆ คืออะไร และอะไรที่จำเป็นต่อการทำสิ่งนั้น เลิกต่อสู้อย่างเปล่าประโยชน์ แล้วมุ่งสู่หนทางที่ทำให้ชีวิตมีความสุขกันดีกว่า
บทที่ 1 สู้กับคนโง่ไปก็เสียเวลาชีวิตเปล่า ๆ
คนเรามักสิ้นเปลืองเวลาชีวิตไปกับการต่อสู้กับคนอื่น คนโง่ในที่นี้คือมนุษย์ที่ไม่มีค่าพอให้ไปต่อสู้ด้วยหรือกังวลใจ ลักษณะเด่นอย่างแรกของคนโง่คือ มีเวลาว่าง คนโง่จะสนใจในตัวคุณอย่างมาก กล่าวได้ว่าการที่เขาพูดหรือทำเรื่องแย่ ๆ ก็เพราะต้องการให้สนใจเขาบ้างนั่นเอง ในทางจิตวิทยาแล้วความรู้สึกรักและความรู้สึกเกลียด ต่างก็เป็นความรู้สึกสนใจที่รุนแรงเหมือนกัน แต่บางครั้งคนแบบนั้นก็มีอิทธิพลต่ออนาคต ส่งผลให้จำเป็นต้องใส่ใจเขา นี่คือรูปแบบของคนโง่ที่พูดถึงในหนังสือ
คนที่มีลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ ที่มักต่อสู้อย่างเปล่าประโยชน์ และมักจะเปิดฉากต่อสู้กับคนโง่อย่างไร้ประโยชน์มีดังนี้
รักความถูกต้อง เวลาที่ตัดสินเรื่องอะไรก็ตาม คนประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องดีชั่วเป็นอันดับแรก ต้นตอของนิสัยรักความถูกต้องมาจากความคิดที่ว่า สุดท้ายแล้วธรรมะย่อมชนะอธรรมนั่นเอง ที่จริงควรคิดว่า ชีวิตคนเรามีแต่เรื่องไม่สมเหตุสมผลจะดีกว่า หากยอมรับความไม่สมเหตุสมผลของโลกใบนี้ และยอมรับว่าความถูกต้องไม่อาจเอาชนะได้ทุกสิ่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรเริ่มจากการเลิกยุติกับเรื่องดีชั่ว และพยายามไม่เรียกร้องความถูกต้องจากสังคม การทุ่มเถียงกับคนอื่นเพื่อพิทักษ์ความถูกต้องยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นฝ่ายแพ้
มีความมั่นใจในตัวเองสูง ความมั่นใจในที่นี้มีหลายความหมาย ทั้งมั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก มั่นใจว่าสามารถโต้เถียงเอาชนะอีกฝ่ายได้ มั่นใจว่าจะใช้อำนาจของตัวเองในการเอาชนะอีกฝ่ายได้ คนที่มั่นใจในตัวเองสูงอย่างมากจะประมาท เมื่อมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลร้ายตามมาไม่หยุดหย่อน เวลาที่รู้สึกมั่นใจในตัวเองให้เผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และละแวดระวัง นี่เป็นหลักสากลที่ใช้ได้ทุกเมื่อ
มีความรับผิดชอบสูง คนที่มีความรับผิดชอบสูงมักจะต่อสู้ฟาดฟันกับคนโง่ เพราะมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อพนักงาน ผลประกอบการ และกลยุทธ์ต่าง ๆ หากมีสำนึกในเรื่องความรับผิดชอบต่อองค์กรก็อย่าสู้กับคนโง่ แต่ควรจงใจให้เขารู้สึกพอใจ จนยอมทำเพื่อองค์กรแทน การจูงใจให้คนอื่นทำเพื่อองค์กรถือเป็นกลยุทธ์ขั้นสูง
หยิ่งในศักดิ์ศรี การทำงานอย่างมีศักดิ์ศรีหมายถึง การทำงานที่ยึดติดกับคุณภาพของงาน อยากให้คนอื่นมองว่าดี จริงอยู่ว่าการโดนคนสำคัญดูถูกงานที่ตัวเองทำย่อมไม่ใช่เรื่องดี แต่ถ้ายึดติดว่าต้องสร้างผลงานออกมาให้ดี ก็ต้องทำงานโดยต่อสู้กับตัวเอง ที่อยากทำงานแบบผ่อนคลายไปด้วย
ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน มันคือความรู้สึกที่อยากแก้ไขการกระทำของคนอื่น ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่คนโง่มักจะเป็นไม้แก่ดัดยาก การจะแก้ไขการกระทำของคนโง่จึงไม่มีทางเป็นไปได้ ในโลกนี้เรื่องที่สามารถควบคุมได้มีน้อยกว่าที่คิด ควรทุ่มเทเวลาและพลังงานไปกับสิ่งที่ควบคุมได้เท่านั้น
วิธีการละทิ้งศักดิ์ศรีที่เป็นภาระและไร้ประโยชน์ สิ่งที่ทำให้ลืมตัวก็คือศักดิ์ศรีอันไร้ประโยชน์นั่นเอง เวลาที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรี เวลามองสิ่งต่าง ๆ พวกเขามักจะลืมตัว ส่วนใหญ่แล้วคนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีมักจะเคยมีประสบการณ์ความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก่อน เมื่อประสบความสำเร็จ เขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีศักดิ์ศรี
การจะละทิ้งศักดิ์ศรีที่ไร้ประโยชน์ จงพิจารณาตามความเป็นจริงอย่างสุขุม การจะใช้ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียวให้คุ้มค่ามากที่สุดนั้น ความรู้ว่าสิ่งที่เปล่าประโยชน์ที่สุด และมีแต่ผลเสียก็คือการยึดมั่นในศักดิ์ศรีแบบไม่เข้าเรื่องนั่นเอง ในการละทิ้งมันไปจำเป็นต้องพิจารณาตัวเองตามความเป็นจริงอย่างสุขุม และพุ่งความสนใจไปยังเป้าหมายสำคัญของตัวเอง
แล้วอย่าสร้างความเสียหายเพิ่ม ด้วยการยึดติดกับเรื่องในอดีต จงตัดขาดจากสิ่งที่ทำให้ต้นทุนจม ต้นทุนจม (Sunk cost) ในที่นี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมได้ ในแง่ธุรกิจควรหยุดความเสียหายไว้ที่ 10,000 ล้านเยน การมัวแต่ยึดติดกับอดีต และลงทุนเพิ่มไปกับสิ่งที่ไม่มีคุณค่าแล้ว จนทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มนั้น เป็นการกระทำที่โง่เขลาอย่างยิ่ง ทางที่ดีไม่ควรยึดติดกับเรื่องที่จบไปแล้วจนทำให้อนาคตสูญเปล่า เวลามีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน วิธีการที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไปสนใจอีกฝ่าย เพราะต่อให้แก้แค้นไปก็รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายโกรธแค้นมากขึ้นเท่านั้น การแก้แค้นกันไปมาเช่นนี้ อาจทำให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ในชีวิตไปก็ได้
จงคำนึงถึงต้นทุนด้านเวลา เวลาลงมือทำอะไรสักอย่าง ควรคำนึงถึงคุณค่าของเวลาที่มีอยู่เสมอ ถ้ามีเวลา 1 ชั่วโมง ให้คำนึงว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง หากมีเวลาเหลือไปกังวลเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน หรือรู้สึกหงุดหงิด สู้เอาเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มทักษะทางธุรกิจ ใช้เวลาอย่างสนุกสนานกับเพื่อนและครอบครัว หรือทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์จะดีกว่า เพราะการทำสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ใช้เวลาได้คุ้มค่ากว่ากันเยอะ การต่อสู้เอาชนะและการเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ล้วนเป็นการกระทำที่แสดงถึงการไม่รู้คุณค่าของเวลา
บทที่ 2 กลยุทธ์การสื่อสารสำหรับคนขี้ขลาด
ความแข็งแกร่งของจิ้งหรีดที่ขี้ขลาด ในโลกของสัตว์ป่าว่ากันว่า ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด ที่ถูกต้องคือผู้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ต่างหากจึงจะมีชีวิตรอด ในหมู่สัตว์ชนิดเดียวกัน ตัวที่มีรูปร่างใหญ่โตเหมาะแก่การต่อสู้ อาจไม่ใช่ตัวที่มีชีวิตรอดเสมอไป มีการทดลองที่น่าสนใจเกี่ยวกับจิ้งหรีด ในการทดลองดังกล่าวพบว่า จิ้งหรีดตัวที่ขี้ขลาด และพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ จะมีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่าตัวที่ชอบการต่อสู้ เนื่องจากจิ้งหรีดตัวที่ขี้ขลาดไม่ต่อสู้พร่ำเพรื่อ แต่เก็บพลังงานและรักษาร่างกายของตัวเองให้มีสุขภาพดีมักจะมีชีวิตรอด ทั้งยังมีโอกาสเจอกับตัวเมียจนมีลูกหลานสืบต่อไปได้ จุดที่เหมือนกันในโลกของสัตว์ป่าและมนุษย์ก็คือ การไม่ต่อสู้พร่ำเพรื่อจะช่วยให้อยู่รอดได้ดีกว่า
แสร้งทำเป็นถูกคนที่ไม่ชอบหน้าเล่นงาน อาจแสร้งทำเป็นถูกเล่นงาน จากการโจมตีหรือการกลั่นแกล้งของอีกฝ่ายก็ได้ แต่อย่าแสดงท่าทีสู้หรือโต้กลับ ให้แสดงท่าทีว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว หรือเอาชนะไม่ได้ ถึงจะทำได้ยากแต่ก็ควรลองดู ในการเอาคืนใครสักคนนั้น ยิ่งใช้พละกำลังของอีกฝ่ายให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ควรทำให้ศัตรูกลายเป็นพวกเดียวกัน และใช้งานพวกเขาให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง หากอยากทำเป้าหมายให้สำเร็จจริง ๆ ก็จะสามารถก้มหัวให้คนอื่นสักกี่ครั้งก็ได้ ซึ่งคนโง่จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่มีมนุษย์อวดดีและแผ่ออร่าไม่ชอบขี้หน้าตัวเองมาก้มหัวให้ เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับชัยชนะและกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
ดังนั้นเวลาที่ก้มหัวให้เขา จะต้องทำด้วยความจริงใจและจริงจัง มิฉะนั้นจะไม่ได้ผล ในเมื่อคิดจะยอมก้มหัวให้อยู่แล้ว ก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย หลังจากนั้นค่อยไปด่าทอคนโง่ในที่ลับตาคน เพื่อระบายความเครียดของตัวเองก็ได้ แต่ไม่ควรไปพูดนินทาลับหลังกับคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะมันอาจถ่ายทอดไปถึงหูอีกฝ่ายได้ในที่สุด การเขียนลงบล็อกหรือโซเชียลมีเดียทั้งหลายก็ไม่ควรทำเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วอาจถูกเปิดโปงได้
ผลประโยชน์สำคัญกว่าหน้าตา เมื่อถูกหักหลัง แต่คนรอบข้างก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะเดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องหน้าตาของเราอยู่แล้ว ในกรณีที่ถูกอีกฝ่ายทำลายความน่าเชื่อถือ หรือถูกเหยียบย่ำผลงาน จนส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ก็อาจเป็นปัญหาได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมาก ความโมโหที่ถูกหักหน้าจนลุกขึ้นมาต่อสู้นั้นให้ประโยชน์อะไร ยิ่งต่อสู้และทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะสูญเสียสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าหน้าตาได้ สุดท้ายแล้วก็จะตระหนักว่า การโมโหเพราะถูกหักหน้านั้น เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
อย่าคิดว่าการอวดดีหมายถึงแข็งแรง คนส่วนใหญ่มักจำได้ว่าใครบ้างที่เคยท้าทายตัวเอง แถมยังเป็นภาพจำฝังใจในแง่ลบอีกด้วย พวกเขาไม่เคยลืมความแค้นเคืองเสีย พวกเขาก็เป็นมนุษย์ยิ่งเป็นนักการเมืองด้วยแล้วยิ่งไม่มีวันให้อภัยคนที่เคยท้าทายตัวเองเป็นอันขาด ดังนั้น ทางที่ดีจำไว้ว่าไม่มีมนุษย์คนไหนยอมรับคนที่ท้ารบตัวเอง และกล่าวชื่นชมว่าเป็นคนที่ใจกล้าใช้ได้นี่ มีเพียงในละครหรือการ์ตูนเท่านั้น ที่การทะเลาะกันทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น มีคำกล่าวว่าคนรวยจะไม่ทะเลาะกับใคร เพราะคนที่ประสบความสำเร็จมักใช้เวลา และมันสมองไปกับการเลือกหาหนทางที่จะเอาชนะได้โดยไม่ต้องต่อสู้ พวกเขาจะใช้ประโยชน์จากพลังของอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
คนที่สามารถอดทนไม่สู้กับคนโง่ได้คือผู้ชนะ การจะเป็นคนทำงานมืออาชีพนั้นจำเป็นต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจะแสดงท่าทีออกมา ซึ่งควรฝึกทำเช่นนี้ให้ติดเป็นนิสัยไม่ว่าการโจมตีของอีกฝ่ายจะได้ผลหรือไม่ก็ตาม จงแสดงท่าทีเหมือนว่าโดนเล่นงานทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจและสิ้นเปลืองพลังงานไปกับการเล่นงานมากขึ้น จากนั้นค่อยโต้กลับในตอนหลังจึงจะเป็นวิธีที่ชาญฉลาดกว่า
วิธีผ่อนคลายโทสะที่ไม่ยอมหายไปสักที เริ่มจากการค้นหาแรงจูงใจของอีกฝ่าย ในกรณีที่อีกฝ่ายทำตัวแย่ ๆ ใส่หนทางที่ดีที่สุดคือ การหาแรงจูงใจในการกระทำนั้น การฝึกตัวเองให้คิดเช่นนี้ เป็นประโยชน์ในหลากหลายสถานการณ์
อย่าตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ในทันที เมื่อหาแรงจูงใจของอีกฝ่ายแล้ว หากความรู้สึกโมโหยังไม่ทุเลาลง ให้ใช้วิธีไประเบิดอารมณ์ในสถานที่ปลอดภัยและห่างไกลจากผู้คน แทนที่จะพยายามยับยั้งอารมณ์โมโห การระเบิดอารมณ์ให้เต็มที่เพื่อระบายโทสะออกมาจะดีกว่า เวลาระเบิดอารมณ์ให้เลือกสถานที่ที่ผู้เกี่ยวข้องไม่มีทางรู้ได้ เพราะการพูดระบายความในใจกับรุ่นพี่ หรือเพื่อนร่วมงานในงานเลี้ยงสังสรรค์เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ต้องจัดการกับอารมณ์โกรธอันพลุ่งพล่าน โดยการทำให้มันเยือกเย็นลง จงยิ้มแย้มอย่างสดใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหลบไประเบิดอารมณ์ในที่ ๆ ห่างไกล จากนั้นจึงค่อยใช้ความคิดที่โปร่งโล่ง แล้วมาวางแผนเรื่องที่ควรทำอย่างใจเย็น
หากโมโหขึ้นมาก็ให้ถอดวิญญาณออกจากร่าง โลกใบนี้ไม่ได้ใสสะอาดเหมือนในหนังแนวผู้กล้าผดุงความยุติธรรม การใช้เทคนิคถอดวิญญาณออกจากร่าง เวลาเขาถูกทำให้โมโห จินตนาการว่าวิญญาณของตัวเองออกจากร่าง แล้วก้มมองดูตัวเองกับอีกฝ่าย ที่กำลังจะปะทะกันจากด้านบน การมองจากมุมสูงจะช่วยให้ใจเย็นลง และได้สติกลับมา อีกทั้งตระหนักรู้ได้ในทันทีว่าแบบนี้แย่แน่ แม้ว่าการพิจารณาตัวเองจากมุมสูง ในตอนที่ความรู้สึกโมโหกำลังเอ่อล้นออกมา จะต้องใช้เวลาในการฝึกฝน แต่ถ้าทำได้ก็จะผ่อนคลายโทสะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าฝึกฝนบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในการทำงานไม่จำเป็นต้องมองว่าใครคือศัตรู ศัตรูเกิดจากความคิดที่ว่าต้องกำจัดอีกฝ่าย ซึ่งถือเป็นเรื่องใจแคบ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างศัตรูขึ้นมาเลย นอกจากนี้การใช้ชีวิตให้มีความสุขนั้น แม้จะไม่จำเป็นต้องฝืนใจชอบคนอื่น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเกลียดชัง ตั้งแง่มองว่าเขาเป็นศัตรูเช่นกัน
ตอนที่บรรยากาศกระอักกะอ่วนยิ่งต้องพยายามชวนคุย ในยามที่ไม่สามารถใช้วิธีการปกติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ให้ใช้วิธีนี้ในการทำให้คนที่ไม่ชอบหน้าหยุดการกระทำแย่ ๆ ของเขา และกลายมาเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ ยิ่งตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ทำให้ไม่สบอารมณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องพยายามหาทางสื่อสารกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น เรื่องที่แย่ที่สุดคือนอกจากจะรู้สึกไม่ลงรอยกับอีกฝ่ายแล้ว ยังไม่คิดที่จะสื่อสารกับเขาแม้ในเวลาที่สมควรทำมากที่สุด ยิ่งรู้สึกเกลียดชังใครบางคนก็ยิ่งต้องพยายามสื่อสารเข้าไว้ แต่ไม่ต้องถึงขั้นฝืนพูดคุยอย่างสนิทสนมก็ได้ การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปกว่าเดิม อย่างน้อยให้เจอหน้ากันไว้บ้าง ไม่จำเป็นต้องฝืนพูดคุยอะไร แต่ทางที่ดีควรแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าไม่ได้มีเจตนาเป็นปฏิปักษ์ด้วย
ต่อสู้กับคนที่มีค่าพอเท่านั้น สำหรับคนบางประเภท ที่ไม่ว่าจะเข้าไปข้องแวะในรูปแบบใดก็มีแต่จะให้ผลเสียนั้น กรณีที่เขาไม่ได้มีความหมายอะไรก็ไม่ต้องไปใส่ใจ คนที่มายุ่งวุ่นวายนั้น ถ้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามอารมณ์ ก็ต้องเป็นคนที่ทำไปเพราะมีวัตถุประสงค์บางอย่างแอบแฝง เขาจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย เพื่อให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง แทบจะไม่ได้อะไรจากการข้องแวะกับคนเหล่านี้ การตอบโต้กลับแม้ว่าจะโต้แย้งอย่างมีเหตุผล แต่ภาพลักษณ์ก็จะกลายเป็นคนว่างงานที่ไม่มีวุฒิภาวะ และหากตอบโต้โดยใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องแม้เพียงนิดเดียว ก็จะถูกมองว่าเป็นคนใจแคบ การเข้าไปข้องแวะด้วยไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานแล้ว ยังอาจทำให้มานึกเสียใจภายหลังด้วย ควรหลีกหนีจากคนพวกนี้ให้ไกล ไม่ข้องแวะและไม่สนใจเลยจะดีที่สุด
ถึงอย่างนั้นก็ต้องลองสู้กับคนโง่ดูสักครั้ง แม้จะบอกให้จงหลีกเลี่ยงการต่อสู้อันเปล่าประโยชน์อย่างงดงาม อย่าบันดาลโทสะพุ่งเข้าฟาดฟันกับคนโง่ซึ่งหน้า แต่จงใช้ประโยชน์จากพลังของคนโง่ให้คุ้มค่า แล้วค่อยเล่นงานกลับคืนเป็นเท่าตัวดีกว่า การหลีกเลี่ยงคนโง่เป็นสิ่งสำคัญ และควรต่อสู้เฉพาะกับคนที่มีค่าพอเท่านั้น แต่การหลีกเลี่ยงไปเรื่อย ๆ อาจทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับคนโง่เมื่อถึงคราวจำเป็นได้ ดังนั้น จึงต้องจดจำวิธีการต่อสู้ไว้ด้วย ลองสู้กับคนโง่อย่างสุดกำลังตั้งแต่ตอนยังหนุ่มสาว เพื่อให้ได้รับบาดแผลมาเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วจะได้รู้ว่า แม้การเอาชนะคนโง่จะทำให้รู้สึกสะใจ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเวลาและพลังงานไปมากมาย ทั้งยังทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก มันจึงน่าจะกลายเป็นประสบการณ์ความเจ็บใจที่ไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องลุกขึ้นสู้กับคนโง่ที่มีค่าพอให้สู้ด้วยอยู่แล้ว นี่จึงถือเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับคนโง่ไว้ล่วงหน้า
บทที่ 3 กลยุทธ์ล่อลวงที่ช่วยดึงคนอื่นมาเป็นพวก
ทักษะที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนฉลาดนั้นมีอยู่เยอะ แน่นอนว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่มันก็ไม่ใช่คุณค่าสูงสุด ทักษะแท้จริงที่มีคุณค่าสูงสุด แถมยังช่วยให้โดดเด่นกว่าคนอื่นได้ ไม่ใช่ความหัวไว ไม่ใช่การมีความจำดี และไม่ใช่การมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ นักการเมือง หรือข้าราชการ ทักษะที่จำเป็นต้องมีก็คือทักษะการอ่านใจคน คนที่มีทักษะนี้คือ คนที่ปราดเปรื่องที่สุด และขอแค่มีทักษะนี้ติดตัว ชีวิตจะติดลมบนเลยทีเดียว
สาเหตุที่พวกหัวกะทิตกม้าตาย ไอเดียและความมุ่งมั่นเป็นของที่หาได้ทั่วไป สิ่งสำคัญอยู่ที่การนำไอเดียเหล่านั้น ไปลงมือทำจริงจนเกิดผลเป็นที่ประจักษ์ต่างหาก แต่ไม่ว่าจะฉลาดสักแค่ไหน หากมีแค่คนเดียวก็ย่อมทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ถ้าไม่สามารถรวบรวมผู้คน แล้วคิดระบบที่ทำให้พวกเขาลงมือทำอย่างเอาจริงเอาจังได้ ไอเดียและความมุ่งมั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สิ่งที่จะช่วยให้ทำแบบที่ว่ามาได้คือ ทักษะการอ่านใจคน หรือก็คือทักษะในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น นี่แหละคือสิ่งที่คนฉลาดมักขาดไป ในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ต้องเริ่มจากการคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อทำแบบนั้นจะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องสู้กับคนโง่อีกต่อไป
เทคนิคเล็ก ๆ ที่ช่วยในการอ่านใจคน เวลาที่ต้องติดต่อพูดคุยกับคนที่ตัดสินความเป็นความตายได้นั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนโง่หรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเตรียมตัว ดังนั้นเอาเวลามาเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่ามัวมานั่งกลุ้ม ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่ถูกโฉลกด้วยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำการบ้านก่อนเจอมากเท่านั้น คิดเสียว่านี่เป็นการทำเพื่อตัวเอง พยายามตัดอคติที่มีออก แล้วหาข้อมูลโดยมองว่า อีกฝ่ายเป็นหัวข้อวิจัยแทน ข้อมูลที่ควรหาเตรียมไว้คือ ข้อมูลอย่างชื่อเสียงและผลงานในบริษัท ภูมิลำเนา โครงสร้างครอบครัว ประวัติการทำงาน สถานภาพครอบครัว และบุตรธิดา
เมื่อวิเคราะห์คนเป็น ต่อไปเวลาเจอกับคนใหม่ ๆ จะสามารถคาดเดาเกี่ยวกับเขาได้ราวกับเป็นหมอดู แถมยังสามารถพิสูจน์ได้ด้วยว่า ที่เดาไว้นั้นถูกหรือไม่ กล่าวโดยสรุปก็คือ หากต้องเจอคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน อันดับแรกให้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับคนคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนรู้วิธีคิดของเขา ลองตั้งสมมติฐาน แล้วทดสอบดูทุกครั้งที่ได้พบกับอีกฝ่าย เมื่อจับทางได้ว่าเขามีวิธีคิดแบบไหน ก็จะพอเดาทางถูกว่าในสถานการณ์หนึ่ง ๆ เขาน่าจะแสดงออกอย่างไร เมื่อฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จะเริ่มมองเห็นขึ้นมาว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะบรรลุเป้าหมายสูงสุด ซึ่งคือการจูงใจให้อีกฝ่ายทำอย่างที่ต้องการได้
เทคนิคจูงใจคนอื่นให้ทำอย่างที่ต้องการ สิ่งที่ขับเคลื่อนมนุษย์ไม่ใช่เหตุผลแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึก ต่อให้ใช้เหตุผลจนเถียงชนะ แต่อีกฝ่ายก็จะไม่มีวันคล้อยตามและให้ความเคารพ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบไหน มนุษย์แต่ละคนย่อมมีจุดยืนของตัวเอง การนึกอยากพูดอะไรก็พูด หรือว่าเป็นการทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง สร้างศัตรูให้ตัวเอง หากไม่มีใครให้ความร่วมมือก็ย่อมทำเป้าหมายให้เป็นจริงไม่ได้ ทุกสถานการณ์ย่อมเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความคิดเห็นหลากหลาย จึงไม่ควรดึงดันจะเอาความคิดของตัวเองท่าเดียว ลองคิดด้วยมุมมองของคนที่อยากจูงใจบ้าง ลองจินตนาการดูว่า สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคืออะไร แล้วเป็นฝ่ายหยิบยื่นสิ่งนั้นให้เขาก่อน โดยยังไม่ต้องคิดเรื่องจะจูงใจเขา ถ้าทำได้ก็มองหาจุดที่ผลประโยชน์ลงตัวของกันและกันให้พบ เพราะถ้าสิ่งที่อยากทำเป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่าย เขาจะมาเป็นกำลังสนับสนุนให้อย่างแน่นอน
ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จถึงมักเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน การทำตัวหยิ่งผยองไม่มีอะไรดี คนยิ่งผยองคือคนที่ทำตัวกร่างเพื่อปกปิดความขี้ขลาดของตัวเอง เปรียบแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขที่ชอบเอาหอน คนแบบนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามการทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นมิตร มีข้อดีตรงที่จะไม่มีศัตรู แถมยังมีโอกาสที่จะมีผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก เรื่องที่น่าสนใจก็คือ คนบางคนนั้นกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อประสบความสำเร็จ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเมื่อได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง พวกเขาจะรู้ซึ้งถึงข้อดีของการอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะรู้สึกว่าความปรารถนาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรี ได้รับการเติมเต็มเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ไม่พยายามทำตัวเด่นเขาก็ยังเด่นอยู่ดี แถมยังมีคนยกย่องเชิดชูให้อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องยกหางตัวเองแต่อย่างใด
ถึงจะไม่ได้กลุ้มอยู่ก็จงทำหน้ากลุ้ม การทำหน้ากลุ้มไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร และการอยากช่วยคนที่กำลังลำบากก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เคล็ดลับของเทคนิคนี้อยู่ที่ต้องเลือกสถานะการณ์ที่จะกลุ้มใจให้เหมาะสม เพราะถ้าเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ คนอื่นจะมองว่ายังไงก็ช่วยไม่ได้อยู่แล้ว จึงเดินจากไป แต่ถ้าเป็นเรื่องเล็กเกินไป ก็จะคิดว่าเรื่องแค่นั้นจัดการเองอย่ามาทำเป็นอ้อน หากถามว่าแล้วต้องแสดงความกลุ้มใจออกไปสักแค่ไหนถึงจะเรียกว่ากำลังดี คำตอบคือควรเป็นสถานการณ์ที่ยากเกินกำลังไปสัก 1.5 เท่า แต่เอาเข้าจริงเรื่องแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการแสดงด้วย
นอกจากนี้ ระดับของความกลุ้มใจที่แสดงออกเองก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ระดับที่ดีที่สุดคือระดับที่ทำให้คนอื่น รู้สึกว่าปล่อยให้ทำคนเดียวน่าจะไม่ไหว แต่ถ้าเข้าไปช่วยอาจสำเร็จได้ สิ่งที่คนรอบข้างอยากเห็นคือ หน้าตาแสดงความกลุ้มใจในระดับที่เหมาะสม และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการช่วย การสามารถไปพูดกับคนที่ไม่ถูกโฉลกว่า กำลังลำบากอยู่ได้ทุกเมื่อ เป็นเทคนิคสำคัญที่จำเป็นต้องมีติดตัวไว้
หัดมองโลกแบบซีนิก ความจริงใจ ความใสซื่อ และความเห็นตรง เป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้ และควรหัดมีความคิดแบบซีนิก ที่มองโลกในแง่ร้ายและไม่เชื่อในคุณงามความดีของมนุษย์เอาไว้บ้าง คือมีคนอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ท่านบอกว่าการมองโลกแบบซีนิก คือเคล็ดลับที่ช่วยให้อายุยืนโดยสมองไม่เลอะเลือน แม้จะอายุเกิน 90 ปีแล้ว ท่านลี กวน ยูก็ยังคงเป็นผู้ที่พอคาดการณ์อนาคต หรือให้คำแนะนำขึ้นมาเมื่อไหร่ บรรดาผู้นำโลกต่างก็ยังต้องพากันเงียบหรือฟังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการรายงานข่าว หรือความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ลืมที่จะเตรียมตัวเอง ให้สร้างข้อสงสัยว่าจริงหรือเข้าไว้
ความยิ่งใหญ่ของการไม่ทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตทั้งที่เป็นคนใหญ่คนโต บางคนเชื่อว่ายศศักดิ์เปลี่ยนคน ซึ่งแน่นอนว่าการเปลี่ยนที่ว่านี้ อาจเป็นไปในแง่บวกหรือแง่ลบก็ได้ การมียศศักดิ์แล้วจะไม่เปลี่ยนไปในแง่ลบได้นั้น ต้องใช้ประสบการณ์และความพยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพไหน หากลืมตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ความตกต่ำก็จะมาเยือนเมื่อนั้น ซึ่งมีตัวอย่างจริงของคนที่ตกต่ำลงในชั่วพริบตา ทั้งในโลกการเมืองและโลกธุรกิจ และพร้อมกันนั้นก็ได้เห็นคนที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาได้อย่างงดงาม เพราะเป็นคนไม่ลืมตัวด้วย
บทที่ 4 ความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิด
ระหว่างอำนาจและการประเมินคุณค่า
เพราะเหตุใดถึงไม่อยู่ในสายตาของหัวหน้า เวลาที่ลูกน้องจำนวนมากมองดูหัวหน้าจากเบื้องล่าง พวกเขาจะรู้สึกถึงข้อบกพร่องของหัวหน้าได้ง่ายมาก ลูกน้องจะจับกลุ่มนินทาหัวหน้าเพื่อระบายความเครียด ข้อมูลด้านลบของหัวหน้าจึงถูกแบ่งปันกันในหมู่ลูกน้อง และสั่งสมกลายเป็นความไม่พอใจต่อหัวหน้าได้ง่ายขึ้น หากมีลูกน้อง 10 คนก็เท่ากับว่ามีดวงตาจับจ้องหัวหน้าถึง 10 คู่เลยทีเดียว ทางที่ดีควรลองมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของหัวหน้า ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้า ก้าวแรกในการแก้ปัญหาความไม่พอใจที่มีต่อผู้คนก็คือ การลองมองจากมุมมองของอีกฝ่ายนั่นเอง
ถ้าอยากได้รับการประเมินที่ดีจากหัวหน้าให้ลองคิดดูว่า ถ้าตัวเองเป็นหัวหน้าที่ต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทั้งคนที่อยู่เบื้องบนและคนที่อยู่เบื้องล่าง อีกทั้งต้องรับผิดชอบตัวเลขผลงานด้วย สิ่งสำคัญคือการดึงดูดความสนใจของหัวหน้า จงทิ้งความคิดอ่อนหัดที่ว่า ขอแค่พยายามเดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเอง แล้วนำเสนอผลงานของตัวเอง ให้หัวหน้าได้เห็นอย่างสม่ำเสมอน่าสง่าผ่าเผยไปเลย หัวหน้าไม่สามารถพิจารณาลูกน้องทีละคนอย่างละเอียดได้ ทางที่ดีต้องดึงดูดความสนใจของหัวหน้า โดยการรายงานเกี่ยวกับผลงานของตัวเองบ่อย ๆ
คนที่ได้รับการประเมินผลงานที่ดี และคนที่ได้รับการประเมินผลงานที่ไม่ดี หากเคยมีประสบการณ์ในการเปรียบเทียบตัวเองกับใครสักคน แล้วเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ความจริงแล้วไม่ควรเกลียดชังคนที่ได้ดี เพราะรู้จักเข้าหาผู้มีอำนาจ แต่ควรเรียนรู้จากเขาต่างหาก การรู้จักเข้าหาผู้มีอำนาจ ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
ความจริงแล้วคนที่เข้าหาผู้มีอำนาจเพื่อเป้าหมายของตัวเองนั้น ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว เนื่องจากผู้มีอำนาจมักเคยชินกับการที่มีคนเข้าหาอยู่แล้ว การเข้าหาด้วยวิธีการทั่วไปจึงไม่สามารถทำให้ผู้มีอำนาจประทับใจได้ ต้องแสดงให้ผู้มีอำนาจเห็นถึงความจงรักภักดีในระดับที่คนอื่นเห็นแล้วเอือมระอา บางคนถึงกับปรับเปลี่ยนเรื่องเวลางานอดิเรก และความชอบของตัวเอง เพื่อให้เข้ากับผู้มีอำนาจเลยทีเดียว ก่อนที่จะคิดว่ามีแต่หมอนั่นที่ได้รับการยอมรับ ให้ลองทบทวนตัวเองดูก่อนว่า ได้พยายามอย่างสุดกำลังในการทำตัวให้เป็นที่ยอมรับมากกว่าแล้วหรือยัง กำลังถูกปั่นหัวด้วยศักดิ์ศรีอันไร้สาระอยู่หรือเปล่า อยากสร้างผลลัพธ์ได้ก็ควรศึกษาวิธีการของคนที่ไม่สนใจสายตาใคร และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สร้างผลลัพธ์ได้
วิธีอดทนที่ถูกต้องเมื่อเจอกับการโยกย้ายงานที่ไม่เป็นดังหวัง ไม่ว่าจะถูกมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งที่ตรงข้ามกับที่ตัวเองต้องการ หรือถูกโยกย้ายให้ไปทำงานต่างจังหวัด ทั้งที่อยากทำงานในเมืองใหญ่ก็ตาม เมื่ออยู่ในองค์กรก็ย่อมได้พบเจอกับเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการโยกย้ายงาน วิธีบรรเทาความเครียดให้เหลือน้อยที่สุดคือ การควบคุมความคาดหวังของตัวเอง
ดังนั้น เมื่อได้เจอกับการโยกย้ายงานที่ไม่เป็นดังหวัง จึงรู้สึกช็อคน้อยลงหรือเรียกได้ว่าการควบคุมความคาดหวัง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการรับมือกับการโยกย้ายงาน และเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตวิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องค้นหาความสนุก และโอกาสในการเติบโตจากการโยกย้ายงานที่ไม่เป็นดังหวังให้ได้ จากนั้นก็ใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์ ในกรณีของคนที่ค้นพบความถนัดได้เร็ว และอยากทำงานในแผนกที่ช่วยขัดเกลาความสามารถของตัวเองให้ดีขึ้นได้ แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม สิ่งสำคัญคือการไม่ทำตัวหมดอาลัยตายอยาก ถ้าตั้งใจทำงานในแผนกที่สังกัดอยู่และสร้างผลลัพธ์ได้ มันก็จะช่วยให้เติบโตขึ้นได้
วิธีเปลี่ยนการประชุมที่เปล่าประโยชน์ ให้เป็นการประชุมที่มีประสิทธิภาพ ในชีวิตการทำงานมักเสียเวลาไปกับการประชุมที่เปล่าประโยชน์มากที่สุดก็ว่าได้ การประชุมมีหลากหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบแจ้งข้อมูลให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบร่วมกัน กับแบบที่ให้ทุกคนได้ลงมติเห็นชอบ และแบบที่ให้แต่ละคนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถยับยั้งการประชุม 2 แบบแรกด้วยตัวคนเดียวได้
ดังนั้น จะลองมาคิดเกี่ยวกับการประชุมแบบสุดท้ายกัน เคล็ดลับในการกำจัดการประชุมที่เปล่าประโยชน์ก็คือ ต้องรายงานข้อมูลอย่างละเอียดให้ผู้เกี่ยวข้องรับรู้ เพราะเดิมทีจุดประสงค์ของการประชุมก็คือ การรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุม ดังนั้น ถ้ารายงานข้อมูลอย่างละเอียดให้ CEO และผู้เกี่ยวข้องรับรู้เป็นระยะ หากทุกคนทำแบบนี้จนเป็นนิสัย ก็จะมีข้อมูลที่จำเป็นอย่างครบถ้วน ทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาสอบถามในการประชุม และสามารถทุ่มเทให้กับการคิดแผนการที่สร้างสรรค์ นี่ถือเป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และทำให้เติบโตในการทำงานได้
การไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจนั้นเป็นเรื่องดีแต่ก็เสียเปรียบ มีคำกล่าวว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ การแสร้งทำเป็นว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจนั้นเป็นเรื่องดี แต่ไม่สนับสนุนให้ออกห่างจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจจริง ๆ เหมือนเซียนที่ละทางโลก สุดท้ายแล้วก็ได้รู้ว่าการจะทำเรื่องบางอย่างให้เป็นจริงขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยองค์กร ซึ่งจะขับเคลื่อนองค์กรได้ก็ต่อเมื่อมีอำนาจในมือ
ความสุดยอดของมนุษย์อยู่ที่พลังขององค์กร หรือก็คือพลังของการร่วมแรงร่วมใจกัน ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แม้จะไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์ร้ายหรือภัยธรรมชาติด้วยตัวคนเดียวได้ แต่เมื่อร่วมแรงร่วมใจกัน ก็สามารถใช้สติปัญญาและพลังในการเอาชนะสิ่งเหล่านั้นได้ กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของมนุษย์คือ การสร้างกลุ่มองค์กรขึ้นมา เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันใช้สติปัญญาและพลังตัวเอง เรื่องนี้แม้แต่ในสังคมปัจจุบันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น หากอยากยืมพลังขององค์กร โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ก็ต้องแสดงศักยภาพที่ทรงพลัง จนไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้ ก็จะสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล แม้ความยุติธรรมและหลักการจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ารับมือกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยความใสซื่อ ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ และแม้โลกความเป็นจริงจะดูสกปรก แต่แทนที่จะรังเกียจมัน สู้จดจ่อกับเป้าหมายของตัวเอง และทุ่มเทให้กับการสร้างผลลัพธ์จะดีกว่า หากจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจในการสร้างผลลัพธ์ ก็ควรเตรียมที่จะใช้อำนาจด้วย
เงื่อนไขของผู้ที่มีอำนาจในมือ ถ้าอยู่ในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ และพลอยติดอยู่ในวังวนของการต่อสู้ไปด้วย ก็ต้องพาตัวเองเข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับฝั่งผู้ชนะให้ได้ แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจแบบไหน ก็มักจะมีกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงอยู่ จงอย่าทำผิดพลาดโดยการไปเข้าพวกกับกลุ่มผู้แพ้โดยเด็ดขาด แม้ว่าจะเลื่อมใสในคนกลุ่มนั้น หรือเกิดความรู้สึกรักความถูกต้องแบบไม่เข้าเรื่องก็ตาม ถ้าขัดแย้งกับผู้ที่มีอำนาจและโดนเขาเกลียดเอา ก็ย่อมทำงานให้ดีไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้ในองค์กรจะมีคนที่มีความคิด หรืออุดมการณ์เดียวกัน แต่ถ้าคน ๆ นั้นไม่มีอำนาจในมือ ถึงจะเข้าพวกกับเขาก็มีโอกาสน้อย ที่จะทำเป้าหมายให้ประสบความสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้ จงเข้าพวกกับผู้มีอำนาจที่ช่วยเพิ่มคุณค่า และความหมายให้กับงานได้ จงให้ความสำคัญกับอำนาจมากกว่าความคิด อุดมการณ์ หรือความชอบในตัวบุคคล พูดง่าย ๆ ก็คือ ควรอยู่กับความเป็นจริงให้มากที่สุด ด้วยการจดจ่ออยู่กับการพัฒนาความสามารถของตัวเอง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนกลุ่มที่คาดว่า จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ
วิธีทำให้งานสังสรรค์มีความหมาย สำหรับคนญี่ปุ่นที่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเปิดใจให้กับคนอื่น ไม่มีโอกาสใดที่จะช่วยร่นระยะเวลาในการสร้างความสนิทสนมได้ดีเท่างานสังสรรค์อีกแล้ว อีกทั้งเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการผูกมิตรกับคนที่เข้ากันไม่ค่อยได้ หรือคนที่ไม่ชอบหน้าอีกด้วย หากไปร่วมงานสังสรรค์ และใช้โอกาสเป็นประโยชน์ ก็จะมีพรรคพวกในองค์กรมากขึ้น อีกอย่างทำให้ได้รู้ข้อมูลสำคัญอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในองค์กรและนอกองค์กร
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนปากหนัก แต่ถ้าใช้เวลาดื่มด้วยกันมากขึ้น เขาก็จะเปิดใจเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังเอง ด้วยเหตุนี้คนจำนวนมากจึงกลายสภาพเป็นมนุษย์กลางคืน การเข้าร่วมงานสังสรรค์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้องอย่าลืมว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การเข้าร่วมงานสังสรรค์ แค่ใช้งานสังสรรค์ในการทำเป้าหมายให้เป็นจริงต่างหาก ดังนั้น วิถีเข้าร่วมงานสังสรรค์อย่างชาญฉลาดก็คือ พูดคุยสร้างความสนิทสนมกับผู้คนตอนอยู่ร้านแรก และขอตัวกลับตอนที่ทุกคนจะไปต่อกันที่ร้านอื่น
คำแนะนำสำหรับคนที่รู้สึกอึดอัดใจกับที่ทำงานอันน่าหงุดหงิด หากคุณมองโลกตามความเป็นจริงว่าชีวิตไม่ยุติธรรม ไม่ว่าที่ทำงานจะมีสภาพอย่างไร ก็จะผ่อนคลายความเครียดลงได้มาก คนที่เครียดมากมักจะตั้งความหวังกับทุกเรื่องเอาไว้สูง แม้จะเข้าไปในองค์กรที่เอาเปรียบพนักงาน ก็สามารถลาออกได้หากรู้สึกไม่ชอบใจ สังคมไหนก็ล้วนต้องพบเจอกับความไม่ยุติธรรม หากคิดได้เช่นนี้ ก็จะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่าบางครั้ง การตัดสินใจลาออกถือเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถ้ารู้สึกแย่มากจริง ๆ ก็ลาออกจะดีกว่า จงยับยั้งความเครียดด้วยการมีทัศนคติที่ดี และทำให้สภาพแวดล้อมสนุกสนานขึ้นด้วยตัวเราเอง แทนที่จะสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญถึงสิ่งที่ไม่มี จนกลายเป็นการเพิ่มความเครียดให้ตัวเอง สู้พยายามทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่จะดีกว่า จากนั้นลองทุ่มเทเวลาและพลังงาน ไปกับการทำให้รอบตัวสนุกสนานขึ้นมาสักนิดก็ยังดี
บทที่ 5 อย่าไปสนใจสายตาของคนอื่น
ควรเป็นตัวเอกในชีวิตตัวเอง หากกำลังปล่อยให้คนอื่นมาเป็นตัวเอกในชีวิตอยู่ ในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ทุกคนล้วนต้องกลุ้มใจเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนโดยไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะว่าหากมัวแต่กังวลจนขาดความสุขุม และไม่สามารถพิจารณาตัวเองอย่างเป็นกลางได้ ก็จะมัวแต่ภวังค์กับสายตาของคนอื่นจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย จึงควรเป็นตัวเอกในชีวิตของตัวเอง เพราะเมื่อตายแล้วก็ไม่สามารถนำอะไรติดตัวไปยังโลกหน้าได้ นอกจากความทรงจำ ต่อให้ใช้ชีวิตโดยที่คำนึงถึงสายตาของคนอื่น สุดท้ายก็ตายเพียงลำพังอยู่ดี เมื่อถูกสายตาของคนอื่นปั่นหัว จะทำให้เวลาถูกผลาญไปอย่างรวดเร็ว พอรู้สึกตัวอีกทีก็อาจจบลงแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะพบว่าที่ผ่านมาไม่ได้ใช้ชีวิตตามความตั้งใจของตัวเองเลย
ความอยากเป็นที่รักของผู้คน คนเรามักอยากเป็นที่รักของผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และในความเป็นจริงแล้ว การเป็นที่รักก็ย่อมดีกว่าการถูกเกลียด นอกจากนี้ มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ความรู้สึกไวในยามที่ปล่อยออร่าอย่างให้คนมาชอบ ผู้คนจะพากันระแวดระวังแล้วมองหาจุดอ่อน รวมทั้งรู้สึกชอบได้ยากขึ้น ความรู้สึกของคนอื่นเป็นสิ่งที่ยิ่งพยายามจะควบคุมก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ แทนที่จะหวังให้เรื่องนี้เป็นไปตามใจนึก ควรทุ่มเทเวลาและพลังงานให้ไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งสามารถควบคุมได้จะดีกว่า
จงใช้การเปรียบเทียบให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ในโลกนี้มีคนที่ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วคิดกังวล การเปรียบเทียบเองก็มีประโยชน์เช่นกัน การเปรียบเทียบเป็นสิ่งจำเป็นซึ่งจะช่วยให้สามารถรับรู้ถึงระดับของตัวเองได้ หรือก็คือช่วยในการตรวจสอบจุดยืนของตัวเอง
ในตอนที่ไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไร การเฝ้ามองความพยายามของคนอื่นแล้วเปรียบเทียบกับตัวเอง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจถือเป็นวิธีการที่ดี มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน การรับแรงกระตุ้นจากคนอื่นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้นควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าจุดประสงค์กลับกลายเป็นการแข่งขันขึ้นมา มันก็จะเป็นคนละเรื่องไปในทันที ควรใช้แรงกระตุ้นจากการเปรียบเทียบกับคนอื่น เพื่อทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายเท่านั้น
กลยุทธ์ในการเกลี้ยกล่อมให้คนที่ไม่ลงรอยกันยอมประนีประนอม หากเคยยอมจำกัดการกระทำของตัวเอง หรือคอยใส่ใจสีหน้าคนอื่นเพียงเพราะกลัวจะถูกเกลียด ซึ่งบ่อเกิดของความเครียดในยุคปัจจุบันก็มาจากเรื่องพวกนี้นั่นเอง หากถูกเกลียดขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้คิดว่าในเมื่อมันเป็นความรู้สึกของอีกฝ่าย ต่อให้ถูกเกลียดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะเมื่อคิดได้เช่นนี้ความเครียดก็จะอันตรธานไป ซึ่งช่วยให้มีพลังในการดำเนินการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น
จริงอยู่ว่าการถูกเกลียดเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ วิธีการรับมือสำหรับกรณีที่ตกอยู่ในสถานะการสร้างศัตรูไปแล้วเรียบร้อย การดึงศัตรูเข้ามาเป็นพรรคพวกไม่ใช่สิ่งที่ลงมือทำแค่ครั้งเดียวแล้วจะสำเร็จ ในกรณีที่ทั้งเขาและเราเกิดมีศัตรูแข็งแกร่งร่วมกัน ก็อาจสร้างความสนิทสนมผ่านการต่อสู้ร่วมกับเขาได้ แต่การปรับปรุงความสัมพันธ์แบบนี้ถือว่าฉาบฉวย หากวันใดศัตรูที่มีร่วมกันหายไปขึ้นมา ความสัมพันธ์ก็จะกลับไปแย่เหมือนเดิมอยู่ดี
ดังนั้น จึงควรใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงจะดีกว่า การเริ่มต้นจากการสะสมความเห็นชอบในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากใช้เวลาในการเจือจางความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อกันไปทีละน้อย สุดท้ายก็จะสร้างความสัมพันธ์ที่หนักแน่นและยั่งยืนได้แน่นอน สิ่งสำคัญเวลาเป็นสิ่งล้ำค่า และเป็นยาวิเศษที่ดีที่สุดสำหรับการปรับปรุงความสัมพันธ์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม การค่อย ๆ ลงมือทำอย่างต่อเนื่องย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ
การนำเสนอให้ผ่านฉลุย ความมุ่งมั่นสำคัญกว่าเทคนิค การจะกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้นั้น ต้องฝึกแสดงความคิดเห็นให้คุ้นชินเสียก่อน โดยต้องฝึกให้ไม่ลืมเรื่องที่อยากถ่ายทอด รวมถึงสามารถพูดได้อย่างถูกต้องและกระชับแต่เข้าใจง่าย แม้ว่าจะตื่นเต้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนก็ตาม หนทางที่ดีที่สุดคือการฟังสุนทรพจน์สั้นอันยอดเยี่ยมจาก TED Talks หรือคลิป YouTube ให้มาก ๆ
เริ่มแรกควรเล่นมุกตลกเพื่อใครความตึงเครียด และทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ จากนั้นจึงเริ่มเล่าจากบทสรุป โดยเสริมด้วยเหตุผลและต้นตอของมันอย่างมีหลักการ เพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ อย่าลืมสอดแทรกมุขตลกเพื่อสร้างความเป็นกันเอง ขณะถ่ายทอดเรื่องราวไปด้วย สิ่งสำคัญที่สุดเวลานำเสนอก็คือความมุ่งมั่นนั่นเอง บางครั้งการยึดติดกับเทคนิคหรือสไตล์จนเกินไป ก็อาจทำให้ความมุ่งมั่นลดต่ำลงได้ จึงควรพุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่อยากถ่ายทอดออกไปจริง ๆ มากกว่า
วิธีเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองกลับคืนมาในเวลาที่ท้อแท้ใจ ถ้ารู้สึกท้อแท้ใจมากจริง ๆ ก็จงพักผ่อนเสีย การที่รู้สึกท้อแท้ใจก็หมายความว่าเหนื่อยล้านั่นเอง ดังนั้น จิตใจจึงส่งสัญญาณเตือนว่าพักได้แล้ว ในเวลาเช่นนี้การรับมือของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป สำหรับคนที่จิตใจแข็งแกร่งมากนั้นอาจจะรับมือไหว การหยุดพักก็ถือเป็นความกล้า การหยุดพักก็ถือเป็นการฝึกฝน เวลาที่จิตใจเหนื่อยล้าก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังฝืนพยายามในตอนที่จิตใจเหนื่อยล้า ก็อาจจะเป็นโรคทางใจได้ การพักนั้นควรเริ่มจากการลืมเรื่องงาน หรือเรื่องที่ต้องรับผิดชอบไปให้หมดสิ้น ในการทำเช่นนั้น จะต้องเปลี่ยนสถานที่ที่อยู่ เปลี่ยนคนที่คบหา และเปลี่ยนจังหวะการใช้ชีวิตใน 1 วันด้วย
อย่าแค้นเคืองคนอื่น คงมีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพราะคนอื่นล้วน ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว มีโอกาสน้อยมากซึ่งความผิดพลาดเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว อันที่จริงเกิน 90% ของความผิดพลาด ล้วนเป็นความรับผิดชอบของเราเอง หากยอมเผชิญหน้ากับตัวเอง และคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงคิดมุมกลับเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วจะสามารถป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดจากคนอื่นได้
ที่ซิลิคอนวัลเลย์มีคำกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดสุดยอดเกินกว่าการนำประสบการณ์ความผิดพลาดครั้งใหญ่เขียนลงไปในเรซูเม่อีกแล้ว เพราะผู้คนที่นั่นต่างคิดว่า มนุษย์ที่ไม่เคยผิดพลาดเลยนั้นเชื่อใจไม่ได้ การที่ประสบกับความผิดพลาดครั้งใหญ่หมายความว่า คน ๆ นั้นมีความสามารถมาก อีกทั้งเป็นคนที่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้นไม่อาจประเมินค่าได้ สิ่งที่สำคัญกว่าการโทษตัวเองก่อนคือ การทำให้เป้าหมายของตัวเองชัดเจนต่างหาก คิดถึงเป้าหมายอย่างแรงกล้าก็จะสงบนิ่งขึ้น ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในฐานะคนทำงาน ล้วนมีความคิดที่หลากหลาย หากคิดถึงเป้าหมายอย่างแน่วแน่ ก็จะทำให้สามารถก้าวผ่านความรู้สึกแย่ ๆ และความผิดพลาดทั้งหลายไปได้
บทส่งท้าย
จงสู้กับตัวเองแทนที่จะสู้กับคนโง่
หากมีเวลาเล่นอินเตอร์เน็ต ก็จงใช้เวลาเผชิญหน้ากับตัวเอง การสู้กับคนโง่หรือการมัวสนใจสายตาคนอื่น จนมีแต่ความคิดฟุ้งซ่านเต็มหัวนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเราเอง ฉะนั้นคนที่ควรสู้ด้วยไม่ใช่คนโง่หรือใครอื่น แต่คือตัวเราเองหรือความคิดที่อยู่ในหัวต่างหาก การมัวไปต่อกรหรือคิดแค้นเคืองใคร จนหลงลืมเป้าหมายของตัวเองนั้นเกิดจากวิธีคิด หากมีเวลาว่างพอจะไปทะเลาะกับคนโง่ได้ ทางที่ดีควรจะสู้กับตัวเองที่มีความคิดเช่นนั้นมากกว่า เนื่องจากการใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จึงแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ช่วยเพิ่มมูลค่าทางสังคมได้โดยตรง จริงอยู่ว่าที่บางคนที่สามารถนำไอเดียจากโซเชียลมีเดีย มาสร้างเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิดมูลค่าทางสังคมได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังสิ้นเปลืองเวลา และพลังงานอันมีจำกัดไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่ดี ในโลกโซเชียลมีเดียมีคนอยู่หลายประเภท แน่นอนว่า มีข้อมูลให้เรียนรู้มากมายไปหมด แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยผู้คนที่รู้สึกไม่พอใจ กับสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองด้วย ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังเรื่องการแบ่งปันข้อมูลไว้ให้ดี
จงกระโจนเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนเก่ง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอนเอียงไปตามสภาพแวดล้อมได้ง่าย หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เฉื่อยชา ก็จะมัวแต่ย่ำอยู่กับที่ด้วยเหตุนี้จึงควรพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ช่วยผลักดัน ตัวอย่างเช่น การเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่มีความกระตือรือร้น ซึ่งทำให้อยากพัฒนาตัวเองโดยอัตโนมัติ โดยแนะนำให้ไปอยู่ในกลุ่มที่เข้าเป็นสมาชิกได้ยาก ไม่แนะนำให้เข้ากลุ่มที่ใคร ๆ ก็เข้ากัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือกลุ่มติวหนังสือ แต่ควรไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เข้าไปได้ยาก เช่น สถานที่ซึ่งมีการคัดเลือกและสัมภาษณ์อย่างเข้มงวด ต้องมีคนแนะนำจึงจะเข้าไปได้ หรือไม่ก็ต้องสอบแข่งขันหรือใช้วุฒิเฉพาะทางในการเข้าไป โดยจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า ต้องเตรียมตัวทำอะไรบ้างเพื่อให้สามารถเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ว่านี้ได้ ดังนั้นทฤษฎีเรื่องยิ่งถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เก่งกว่า ก็จะยิ่งทำให้เติบโต และคนที่ควรจะต่อสู้ด้วยคือ คนที่เก่งกว่านั้นถูกต้องจริง ๆ
ความพึงพอใจในชีวิตของตัวเองสำคัญที่สุด ชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบสร้างมันขึ้นมาเอง แม้ว่าการถูกมองในแง่ดีย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า แต่ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ค่อยสลักสำคัญอะไร เพราะถึงอย่างไรตอนที่ตายก็เหลือตัวคนเดียว สิ่งที่นำติดตัวไปในโลกหน้าได้มีเพียงความสำเร็จจากมุมมองเท่านั้น ชีวิตจะมีความหมายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า พึงพอใจในชีวิตของตัวเองไหม การเขียนบันทึกประจำวันก็เป็นวิธีที่ดี ถึงแม้บันทึกในแต่ละวันอาจมีเรื่องที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง หรือเกินจริงอยู่บ้าง แต่ถ้าย้อนดูบันทึกเก่า ๆ ในอดีตตามลำดับเวลา จะมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเองชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องที่อยากทำจริง ๆ และไม่อยากทำ เรื่องที่สำคัญมากเป็นลำดับต้น ๆ รวมถึงอคติส่วนตัวด้วย หากทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำ ๆ ความพยายามอวดเก่ง หรือพยายามฝืนปิดกั้นความรู้สึกก็จะถูกลบออกไป จากนั้นก็จะเริ่มเข้าใจว่าตัวเราเองคือใคร อยากทำอะไร และติดใจสงสัยในเรื่องใดอยู่กันแน่
จะอยู่อย่างไรเมื่อชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยง ในยุคสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันแบบนี้ ต้องคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นรอบตัว และเตรียมการให้พร้อมอยู่เสมอ การยึดติดกับอคติจะทำให้ไม่สามารถก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้าได้ การไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงขึ้นในภายหลัง แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แต่ย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปทั้งที่รู้ว่ามีอันตราย วิกฤตกับโอกาสเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกันโดยมีเส้นบาง ๆ กั้นไว้ ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมองการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นอะไร ซึ่งมันสามารถเป็นได้ทั้งวิกฤตและโอกาสขึ้นอยู่กับวิธีคิด เพราะสองสิ่งนี้ล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันนั่นเอง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การรู้สึกถึงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าคนอื่น
เป้าหมายคืออะไรที่ผ่านมา ได้บอกให้เผชิญหน้ากับตัวเอง และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ตัวเองอยากทำ หรือควรทำอยู่ตลอด แต่คงมีผู้อ่านบางคนที่ยังตามหาสิ่งที่อยากทุ่มเทพลังกายและพลังใจลงไปไม่เจออยู่ด้วย สำหรับคนที่เป็นเช่นนี้ ขอแนะนำให้พยายามทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้เต็มที่ แทนการค้นหาสิ่งที่เป็นตัวเองอยากทำ มีคำกล่าวว่าไม่มีเรื่องใดโชคดีไปกว่าการได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากทำอีกแล้ว เพราะมีน้อยคนที่หาสิ่งที่ตัวเองอยากทำเจอ และต่อให้หามันจนเจอ แต่ก็อาจมีปัญหาตรงที่ไม่รู้ว่าจะสามารถทำมันได้หรือไม่
หากคิดว่าคนที่ค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และสามารถทำมันได้ต้องเป็นคนที่มีความสุขมากแน่นอน หากแอบนึกอิจฉาคนที่ค้นพบเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ยิ่งถ้าเป็นคนที่รู้ชัดเจนว่าชอบอะไร เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไปก็จะยิ่งรู้สึกว่างเปล่า เขาคงกลัดกลุ้มเช่นเดียวกับคนที่หาไม่เจอ ว่าตัวเองชอบอะไรหรือบางทีอาจจะกลัดกลุ้มยิ่งกว่า ว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อไปดี การพยายามตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำนั้น ทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาและพลังงาน ควรทุ่มเทให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า การเพ้อฝันถึงสิ่งที่ไม่มี จนทำให้ตัวเองไม่สามารถทุ่มเทให้กับสิ่งใดได้เลยนั้น ถือเป็นการสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานมากที่สุด
การมีโอกาสเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แบบนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมและหาได้ยากยิ่ง ไม่มีชีวิตมนุษย์คนไหนที่ดูน่าอิจฉาไปหมดสำหรับทุกคน ไม่มีใครสามารถครอบครองทุกสิ่งที่ต้องการไว้ได้ตลอดไป แม้ว่าจินตนาการของมนุษย์จะไร้ขีดจำกัด ทว่าชีวิตกลับตระเตรียมสิ่งที่เหนือกว่านั้นเอาไว้ให้ การได้พบเจอกับงานที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ก็ถือเป็นโชคชะตาแสนสำคัญเช่นกัน ดังนั้นอย่าทำตัวหมดอาลัยตายอยากหรือท้อแท้ใจ แต่จงทุ่มเททำมันให้สุดกำลังด้วยความซาบซึ้งใจจะดีกว่า.