ในการเทรดทั้งในตลาดหุ้น, ฟิวเจอร์ส, หรือสกุลเงินดิจิทัล เครื่องมือทางเทคนิคที่นักลงทุนและเทรดเดอร์มักใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคา คือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average, MA) โดยหนึ่งในประเภทของเส้น MA ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ เส้น Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยกรองข้อมูลราคา เพื่อให้สามารถทำนายทิศทางของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ เส้น EMA, วิธีการใช้งาน, และ เส้น EMA ที่นิยมใช้ เพื่อช่วยให้คุณสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เส้น EMA คืออะไร?
เส้น Exponential Moving Average (EMA) หรือที่เรียกว่า “เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเลขชี้กำลัง” เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต ซึ่งแตกต่างจาก Simple Moving Average (SMA) หรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดาที่ให้ค่าน้ำหนักเท่ากันกับข้อมูลทุกๆ จุด
เนื่องจาก EMA ให้ความสำคัญกับข้อมูลล่าสุดมากกว่า จึงสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เร็วขึ้น ทำให้เหมาะสมกับการใช้ในการเทรดระยะสั้นหรือการจับสัญญาณการกลับตัวของราคา
การคำนวณ EMA จะมีการใช้ ค่าน้ำหนัก (weighting factor) ที่สูงกว่าสำหรับราคาล่าสุด โดยค่า EMA ที่คำนวณออกมาจะทำให้เส้นเคลื่อนที่ตามราคาอย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า SMA ในบางกรณี
วิธีการคำนวณเส้น EMA
การคำนวณเส้น EMA จะเริ่มจากการเลือก ระยะเวลา (Time Period) ซึ่งเป็นจำนวนวัน (หรือช่วงเวลา) ที่ต้องการนำมาคำนวณค่าเฉลี่ย จากนั้นจะคำนวณ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบทวีคูณ (Multiplier) โดยใช้สูตร
Multiplier = Smoothing Factor / (n+1)
ในกรณีทั่วไปจะใช้ Smoothing Factor = 2 เนื่องจากเป็นค่าที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ SMA ดังนั้นจึงสามารถแทนค่าสูตรตัวคูณได้เป็น
= 2n+1
โดยที่ n คือระยะเวลาที่เลือก เช่น ถ้าเลือก 10 วัน ค่า n จะเป็น 10
จากนั้นจะคำนวณ ค่า EMA ตามสูตรนี้
- EMAn คือ ค่า Exponential Moving Average ของช่วงเวลาที่ต้องการ
- Pn คือ ราคาปิด ณ ช่วงเวลาที่ต้องการ
- EMAn-1 คือ ค่า Exponential Moving Average ของเวลาก่อนหน้า 1 period
- ตัวคูณ คือ ค่าที่คำนวณจาก 2/(n+1)
- n คือ ช่วงเวลาที่ใช้มาคำนวณ
ยกตัวอย่างวิธีการคำนวณ
สมมุติว่าเรามีข้อมูลราคาปิดย้อนหลัง 10 วัน เช่น:
- วันที่ 1: 15
- วันที่ 2: 16
- วันที่ 3: 17
- วันที่ 4: 18
- วันที่ 5: 19
- วันที่ 6: 20
- วันที่ 7: 21
- วันที่ 8: 22
- วันที่ 9: 23
- วันที่ 10: 24
และสมมุติว่าราคาปิดวันที่ 11 คือ 25
เราอยากคำนวณ EMA(10) สำหรับ วันที่ 11 (หลังจากวันที่ 10)
ขั้นตอนที่ 1: การคำนวณ ตัวคูณ (Multiplier)
หากเราต้องการคำนวณ EMA(10)
- n = 10
- คำนวณตัวคูณได้จากสูตร
Multiplier = 2 / (10+1)
ดังนั้น ตัวคูณ สำหรับ EMA(10) จะมีค่าเป็น 0.1818 หรือ 18.18% ซึ่งหมายความว่า ราคาปิดล่าสุดจะมีน้ำหนัก 18.18% ส่วนข้อมูลในอดีตจะมีน้ำหนัก 81.82%
ขั้นตอนที่ 2: คำนวณ SMA(10)
ก่อนจะคำนวณ EMA(10) เราต้องเริ่มต้นจากการคำนวณ SMA(10) สำหรับวันแรก ซึ่งจะใช้การคำนวณค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลัง 10 วันแรก
SMA = (15 + 16 + 17 + 18 + 19 + 20 + 21 + 22 + 23 + 24) 10 = 17.5
ดังนั้น SMA (10) = 17.5 ซึ่ง EMA n-1 = SMA n-1 ดังนั้น ค่าของ EMA n-1 จะมีค่าเท่ากับ 17.5
ขั้นตอนที่ 3: คำนวณ EMA(10) สำหรับวันถัดไป (วันที่ 11)
เมื่อเรามี SMA(10) และ ตัวคูณ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการคำนวณ EMA(10) สำหรับ วันที่ 11 โดยใช้สูตร
จะได้ว่า 17.5 = [25 x 0.1818] + [17.5 ( 1 – 0.1818 )
ดังนั้น EMA(10) ในวันที่ 11 จะเป็น 18.91 (ปัดเศษ 2 ตำแหน่ง)
เส้น EMA ที่นิยมใช้
สำหรับ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ที่นิยมใช้ในกลยุทธ์การเทรดของ Super Trader Republic นั้น จะมีการเลือกใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในระยะเวลาต่างๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้นในระยะสั้นและระยะยาว โดยการเลือกช่วงระยะเวลาแตกต่างกันมีความหมายและการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้
- 𝗘𝗠𝗔 𝟱: ใช้สำหรับ ดูแนวโน้มระยะสั้น โดยสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีความไวสูงต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะเวลา 5 วัน
- 𝗘𝗠𝗔 𝟭𝟱: ใช้สำหรับ ดูแนวโน้มระยะสั้น เช่นเดียวกับ EMA 5 แต่มีความยืดหยุ่นกว่าในการติดตามแนวโน้มที่อาจจะยาวขึ้นเล็กน้อย หรือใช้เพื่อคัดกรองสัญญาณการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในช่วงเวลาที่ไม่เกิน 15 วัน
- 𝗘𝗠𝗔 𝟯𝟱: ใช้สำหรับ ดูแนวโน้มระยะกลาง โดยเหมาะสำหรับการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงระยะเวลาปานกลาง ซึ่งช่วยให้เห็นทิศทางของตลาดที่ชัดเจนขึ้น และสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงกลางๆ ได้ดี
- 𝗘𝗠𝗔 𝟴𝟵: ใช้สำหรับ ดูแนวโน้มระยะยาว โดยให้ภาพรวมของทิศทางราคาหุ้นในระยะยาว และใช้ในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจถึงแนวโน้มในระยะยาวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- 𝗘𝗠𝗔 𝟮𝟬𝟬: ใช้สำหรับ ดูแนวโน้มระยะยาว โดยให้ภาพการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะยาวที่สุด และใช้เป็นเครื่องมือหลักในการตัดสินใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว ที่ต้องการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้นในมุมมองที่กว้างขึ้น
นักเทคนิคที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ EMA ในการตัดสินใจจะคำนึงถึงการเปรียบเทียบระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยที่ต่างกัน เพื่อสร้าง สัญญาณซื้อหรือขาย ดังนี้
- เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (เช่น EMA 5 หรือ EMA 15) ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เช่น EMA 89 หรือ EMA 200) จะถือเป็นสัญญาณขาขึ้น (Bullish Signal) ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
- เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว จะถือเป็นสัญญาณขาลง (Bearish Signal) ที่บ่งบอกว่าราคาหุ้นอาจจะลดลง
การเลือกใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA แบบต่างๆ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และระยะเวลาการลงทุนของแต่ละคน ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการใช้งานตามสภาวะตลาดและเป้าหมายในการลงทุน
การใช้เส้น EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่น
การใช้เส้น EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Relative Strength Index (RSI) และ MACD จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ตลาด
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): การใช้เส้น EMA 12 และ EMA 26 ร่วมกับ MACD จะช่วยให้คุณสามารถจับสัญญาณการกลับตัวของราคาได้ดียิ่งขึ้น
- RSI (Relative Strength Index): การใช้ EMA ร่วมกับ RSI จะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือจุดขายมากเกินไป (Oversold) ได้ชัดเจน
ข้อดีและข้อเสียของการใช้ EMA
ข้อดี
- ตอบสนองเร็ว: เนื่องจากให้ความสำคัญกับราคาล่าสุด ทำให้สามารถตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นเร็วขึ้น
- ช่วยในการยืนยันแนวโน้ม: ใช้ในการตรวจสอบแนวโน้มของตลาดได้ดี โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ
- เหมาะกับการเทรดระยะสั้น: การตอบสนองที่รวดเร็วทำให้เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น
ข้อเสีย
- สัญญาณเท็จ (False Signals): ในบางครั้ง การใช้เส้น EMA อาจทำให้เกิดสัญญาณการซื้อขายที่ผิดพลาด โดยเฉพาะในตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
- ไม่เหมาะกับตลาด Sideways: หากตลาดมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หรือไม่มีทิศทางที่ชัดเจน การใช้ EMA อาจไม่ให้ผลที่ดี
สรุป
เส้น Exponential Moving Average (EMA) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาที่นิยมใช้ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในกรณีที่นักเทรดต้องการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นถึงระยะยาว เส้น EMA ที่นิยมใช้ได้แก่ EMA 5, EMA 15, EMA 35, EMA 89 และ EMA 200 ซึ่งแต่ละเส้นมีการใช้งานที่เหมาะสมกับระยะเวลาและกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกัน การใช้เส้น EMA ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
การเข้าใจวิธีการใช้งานเส้น EMA อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถจับทิศทางของตลาดได้แม่นยำและตัดสินใจในการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ