52 เฮิรตซ์...คลื่นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

สรุปหนังสือ 52 เฮิรตซ์…คลื่นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

วาฬ 52 เฮิรตซ์คือวาฬเพียงตัวเดียวในโลก ที่ส่งเสียงด้วยคลื่นความถี่สูง จนวาฬตัวอื่น ๆ ไม่ได้ยิน มันไม่อาจติดต่อกับวาฬตัวไหนบนโลกนี้ได้ จึงไม่มีทั้งฝูง ไม่มีเพื่อน และไม่มีคู่ครอง ในทางกลับกันวาฬตัวอื่น ๆ ก็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันด้วยเช่นกัน

หลาย ๆ คนต่างเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าตัวเองเหงา เปล่าเปลี่ยว ไร้เพื่อนฝูง ไร้คนเข้าใจเหมือนวาฬตัวนี้ บางคนอาจยอมแพ้และเลือกที่จะเลิกเปล่งเสียงไปแล้ว ในขณะที่บางคนยังคงกอดความหวังเสี้ยวเล็ก ๆ ว่าจะได้พบกับเจอใครสักคน ที่มีคลื่นความถี่ตรงกันเอาไว้ จึงคอยเปล่งเสียงต่อไป

คิโกะเองก็เป็นวาฬที่เกือบจะเลิกเปล่งเสียงไปแล้วเหมือนกัน แต่ขณะที่กำลังจะยอมแพ้ทุกสิ่ง กลับได้ยินเสียงอันทุกข์ทรมานของเด็กชายคนหนึ่ง เรื่องราวสุดอบอุ่นที่จะช่วยเยียวยาหัวใจอันเปลี่ยวเหงาจึงเริ่มต้นขึ้น

ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งย่อมมีใครสักคนได้ยินเสียง และออกตามหาจนพบอย่างแน่นอน

บทที่ 1

ฝนตก ณ เมืองชายขอบ

คิโกะเธอโดนเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง ที่เคยขายบริการทางเพศมาก่อน เนื่องจากชาวบ้านในหมู่บ้านที่เธอย้ายไปอยู่นี้เป็นบ้านนอก ในเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลของจังหวัดโออิตะ เมืองนี้เล็กมากพวกคนแก่อยู่ว่าง ๆ พอคนใหม่มาก็ตาโตกันใหญ่ คิโกะยิ่งดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษด้วย จึงมักจะโดนนินทาลับหลังเสมอ เธอย้ายมาเพราะอยากใช้ชีวิตเงียบสงบที่บ้านนั้น อยากอยู่แบบปลีกวิเวกถึงได้เลือกมาอยู่บ้านหลังนี้ อาจไม่สะดวกสบายอยู่บ้าง แต่รู้สึกว่าน่าจะปรับตัวได้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนเข้ามายุ่มย่ามแบบนี้

บ้านคิโกะนี้มาพร้อมชานบ้านซึ่งมองออกไปจะเห็นทะเล สวนก็มีแต่ว่ามีแค่นิดหน่อย ซึ่งตั้งอยู่เกือบถึงยอดเนินเตี้ย ระหว่างบ้านกับทะเล ซึ่งแผ่กว้างตรงปลายเนินที่บ้านเก่าหลายสิบหลังตั้งอยู่ ราวครึ่งหนึ่งเป็นบ้านร้าง เดิมผู้คนแถบนี้ทำประมงกันคึกคัก แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนเป็นชาวประมงกันแล้ว อีกทั้งผู้คนก็พากันย้ายไปอยู่ในเมืองใหญ่ บริเวณนี้จึงเงียบเหงา

คิโกะออกไปเดินเล่นสักพักหนึ่งฝนก็ตกลงมา เธอจึงวิ่งไปหลบฝนใต้ชายคาบ้านร้างหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด ผ่านไปสักครู่ฝนยังไม่หยุด เธอจึงนั่งลงกอดเข่า รู้สึกได้ว่ามีเสียงเดินย่ำน้ำตรงมาที่เธอช้า ๆ ปรากฏว่าเป็นเด็กสวมเสื้อยืดสีชมพูและกางเกงยีนส์ ที่เดินมาโดยไม่กางร่ม คงจะเล่น ๆ อยู่แล้วเจอฝน คินาโกะทักออกไปบอกให้เข้ามาหลบฝน แต่เด็กกลับเดินออกหายลับไปในสายฝน

มุระนากะเป็นช่างที่เธอจ้างมาซ่อมบ้านออกมาตามหา เพราะเห็นว่าเธอไม่ได้พกร่มออกมาด้วย เขาจึงเอาร่มมาให้เธอ ฝนตกมาห้าวันแล้ว ฝนตกยาวเธอรู้สึกใช้ชีวิตสบายจนน่าตกใจ ใช้เวลาแต่ละวันนอนกลางวันหรืออ่านหนังสือตรงชานบ้าน เหม่อมองทะเลซึ่งดูขมุกขมัวจากสายฝน เมื่อฝนตกและอยู่คนเดียว คิโกะเลยเกิดความเหงา หดหู่ และอ่อนแอ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์จึงตัดสินใจไปซื้อของที่คนโดมาร์ต เมื่อจ่ายเงินจึงรู้ว่าคิดผิด เพราะมีคุณยายฮิคิตะเข้ามาบอกเธอว่าใช้ชีวิตเสียเปล่ายังสาวยังแส้ใช้ชีวิตไม่จริงจัง คุณลุงผู้จัดการร้านเข้ามาห้าม เธอจึงขอตัวกลับ

มือหนึ่งถือถุงอีกมือกางร่ม ฝนมีแต่จะตกหนักขึ้น ทำให้ยิ่งรู้สึกหดหู่ เธอบอกตัวเองว่าไม่น่าออกมาเลย กินบะหมี่ถ้วยที่บ้านเสียก็ดีแล้ว ลมพัดแรงจนร่มหลุดจากมือปลิวไปตกอยู่หน้าประตูรั้ว เธออยากจะปล่อยทิ้งทุกอย่างในมือ แต่ก็พยายามข่มใจเอาไว้ รู้สึกเจ็บเหมือนโดนแทงท้องจนต้องกลั้นหายใจ แล้วจึงทรุดตัวนั่งลงตรงนั้น ฝนพลันหยุดสนิท เธอตกใจเห็นคนสวมกางเกงยีนส์ยืนอยู่ พอเงยมองสูงขึ้นอีกก็เจอกับเด็กหญิง กางร่มที่ปลิวไปของเธออยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเด็กที่เคยเห็นก่อนหน้านี้

เด็กหญิงเอียงคอแล้วลูบท้อง ปากขยับเหมือนจะถามอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียงออกมา จึงถามไปว่าเธอพูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ เด็กหญิงไม่ได้สนใจตอบ เด็กหญิงกางร่มให้คิโกะคนเดียว ดูเหมือนไม่มีร่มของตัวเองเลยเปียกซ่ก พอมองร่างเปียกปอนถึงเห็นว่าดูมอมแมมมาก คอเสื้อเลอะจนกลายเป็นสีน้ำตาล แขนและชายเสื้อเปื่อยลุ่ย กางเกงยีนส์ก็มีสภาพไม่ต่างกัน รองเท้าผ้าใบเก่าโทรมแถมยังไซร้ไม่พอดี ส่วนผมไม่ใช่ไว้ยาวแค่ไม่ได้ตัด เด็กหญิงคงเห็นว่าคิโกะไม่มีสีหน้าเจ็บปวดแล้ว เลยวางร่มตรงหน้าแล้วเตรียมจะจากไป เธอจึงรีบคว้าชายเสื้อเอาไว้ แล้วพูดโดยไม่ปล่อยมือว่าขอให้เด็กหญิงไปส่งเธอที่บ้าน

เมื่อถึงบ้านคิโกะเตรียมอ่างอาบน้ำทันที พร้อมกับชวนเด็กหญิงให้อาบน้ำพร้อมกันเด็กหญิงยืนตัวแข็งหน้าประตูตรงบริเวณที่เปลี่ยนเสื้อผ้า คิโกะถอดเสื้อผ้าออกเหลือเพียงชุดชั้นใน แล้วพยายามถอดเสื้อผ้าให้เด็กหญิง คิโกะจับเธอถอดเสื้อยืดแล้วก็อึ้งจนพูดไม่ออก เพราะเห็นรอยฟกช้ำกระจายอยู่ทั่ว ร่างกายผอมจนกระดูกซี่โครงปูดโปน เด็กหญิงเอี้ยวตัวเหมือนจะปกปิดร่างกาย แต่แผ่นหลังก็มีรอยฟกช้ำเช่นกัน เด็กหญิงเปลี่ยนสีหน้าทันที ตามด้วยเปิดประตูออกไปเหมือนหลบหนี จนได้ยินเสียงกระแทกปิดประตูเลื่อน คิโกะรีบร้อนจะไล่ตามไป ก่อนจะรู้สึกตัวว่าสวมแค่ชุดชั้นในจึงหยุด พร้อมกับพูดพึมพำว่าเป็นเด็กผู้ชายด้วยหรือนี่ ร่างบางจนเห็นกระดูกเป็นร่างของเด็กผู้ชายหน้าตาสะสวย และผมยาวทำให้มองพลาดไป

เสื้อผ้าที่ไม่ได้รับการดูแล และรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย เด็กคนนั้นโดนทารุณไม่ผิดแน่ ควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ควรแจ้งตำรวจจะดีไหม คงมีเด็กจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือเมื่อตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็รู้ว่าบางกรณีเด็กกลับเจอชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าเดิม เมื่อคนนอกยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

บทที่ 2

เสียงที่ละลายหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

เมื่อถึงเวลา 6 โมงครึ่ง กลุ่มคนจะมาออกกำลังกายตามรายการวิทยุกัน ยามเช้าของเมืองริมทะเลเย็นสบาย ลมทะเลอันอ่อนโยนพัดโชยมา คิโกะตื่นเพราะเสียงนั้นหลายวัน จนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ไปดูดีกว่าว่าใครมารวมตัวกันแถวไหนบ้าง เธอตั้งใจว่าจะเดินเล่นแถวละแวกบ้าน ที่ลานกว้างมีเด็กและผู้ใหญ่เป็นคนแก่ออกกำลังกายกันอยู่ เธอออกไปดูเพราะหวังว่าเด็กชายคนนั้นจะมาออกกำลังกายด้วยแต่ก็ไม่เห็น

คิโกะย้อนคิดถึงอดีต แม่ของเธอไม่ชอบตัวเองที่เกิดมาเป็นลูกเมียน้อย เลยชิงชังแม่ผู้ให้กำเนิด แม่แต่งงานใหม่มีลูกชายอีก 1 คน คิโกะไม่ได้รับความรักจากพวกเขา ซ้ำร้ายยังโดนทุบตี ซึ่งนี่เป็นความทรงจำตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน พอย้อนคิดถึงอดีต จึงทำให้เธอร้องไห้อยู่นาน จนรู้สึกปวดศีรษะเหมือนจะระเบิด ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยน้ำตาและน้ำมูก พลันได้ยินเสียงเคาะประตูเลื่อนหน้าบ้าน เธอจึงเช็ดน้ำตา เสียงเคาะแบบที่ฟังดูเกรงใจ ทำให้เธอรู้ว่าใครมา จึงลุกขึ้นวิ่งไปยังประตูเลื่อนเปิดประตูอย่างแรง ปรากฏว่ามีเด็กผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตามคาด

เด็กชายหน้าซีดชี้ท้องเธออย่างเป็นห่วง เธอชวนเด็กชายเข้าไปในบ้าน พร้อมกับกินข้าวแกงกะหรี่ด้วยกัน แล้วก็กินของหวานเป็นวะระบิโมจิที่โรยผงคินาโกะและราดน้ำเชื่อมคุโระมิทสึเต็มพิกัดปิดท้าย เด็กชายก็ทำตาเป็นประกายมองเหมือนถาม คิโกะบอกว่ากินสิ เด็กชายมีท่าทีเกรงใจเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มกินแบบไม่ยั้งด้วยความอร่อย และแล้วพลันชะงักมือแล้วเริ่มมองสอดส่ายตาไปรอบ ๆ ดูเหมือนเขาจะตอบสนองต่อเสียงร้องของนก ซึ่งมาหยุดอยู่ในสวนใกล้ชานบ้าน คิโกะเลยไปหยิบแท็บเล็ตมาเปิดเว็บไซต์สำหรับดูวีดีโอ พอเล่นวีดีโอนกกะจ้อยส่งเสียงร้อง เด็กชายก็ชะเง้อมาดูอย่างตกใจ เขาจ้องมองนกกระจ้อยเกาะกิ่งไม้ร้องเสียงสูงเป็นการใหญ่

นับจากวันนั้นเด็กชายมาเยือนบ้านคิโกะทุกวัน กินของว่างด้วยกันตรงชานบ้าน บางครั้งก็กินอาหารและจดจ่ออยู่กับแท็บเล็ต ดูเหมือนไม่ใช่แค่เสียงนก เขาชอบฟังเสียงสัตว์ป่าเช่นกัน ดูตั้งอกตั้งใจเสียจนถึงว่ามีสมาธิจดจ่ออะไรขนาดนั้น หลายวันผ่านไปขณะจะเอ่ยเรียกเขา เธอก็ตระหนักว่ายังไม่ได้ถามชื่อเลย จึงหยิบเศษกิ่งไม้บนพื้นสวนมาเขียนตัวอักษรคันจิว่า คินาโกะและเติมคำอ่านว่าคิโกะข้างกัน พร้อมกับยื่นเศษกิ่งไม้แล้วมองเด็กชาย เขาถือมันนิ่งคิดเล็กน้อยแล้วค่อยเขียนว่ามูชิ เด็กชายโยนเศษกิ่งไม้ทิ้งอย่างเซ็ง ๆ แล้วหยิบแท็บเล็ตอีกครั้งใบหน้าเหม่อมองภาพวีดีโอต่อไป

เด็กชายชี้แท็บเล็ตแล้วเอียงคอ เขาคงไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตชนิดไหน วีดีโอเล่นภาพฟองอากาศในน้ำมืดสลัวค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้น และจากนั้นก็มีเสียงสะท้อนก้องลึกล้ำฟังเหมือนทั้งเสียงหายใจเต็มปอด และเสียงฮัมเพลง หรือจะว่าเหมือนเสียงเรียกอันอ่อนโยนก็ได้ นี่คือเสียงร้องเพลงของวาฬ

เด็กชายถอนหายใจอย่างทึ่ง ๆ แล้วมองทะเลตรงหน้า คิโกะจะไม่ยอมเรียกเด็กชายว่ามูชิ แต่จะขอเรียกว่าห้าสิบสอง เพราะเธอต้องการจะเป็นคนฟังเสียงในคลื่นความถี่ 52 เฮิร์ตซ์ที่ส่งไปไม่ถึงใครเอง และจะคอยฟังอยู่เสมอ พร้อมกับบอกว่าเมื่อก่อนเธอก็ส่งเสียงในคลื่นความถี่ 52 เฮิร์ตเหมือนกัน เสียงนั้นส่งไปไม่ถึงใครเป็นเวลานาน แต่มีคนคนหนึ่งตอบรับ คิโกะไม่ได้ยินเสียงของคนที่ได้ยินเสียงและช่วยเธอไว้ ถ้ารับฟังเสียงเขา ถ้ารับเอาไว้ด้วยร่างทั้งร่าง ถ้าทำแบบนั้นคงไม่เป็นอย่างตอนนี้

เธอพยายามทำเพื่อเด็กคนนี้ นี่ต้องเป็นการชดเชยต่อเสียงที่ฟังข้ามไป ซึ่งกำลังพยายามลบล้างความรู้สึกผิดที่ไม่เคยจางหาย ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ช่าง ถึงจะเป็นตัวแทนของคนคนนั้นก็เถอะ เธอไม่ได้บริสุทธิ์ใจ 100% แต่ก็ยังอยากช่วยเด็กคนนี้ ถ้าคนอย่างเธอทำได้ ห้าสิบสองเงยหน้ามองฟ้า และค่อย ๆ ขยับปากเสียงร้องไห้อ่อนแรงแผ่วเบายิ่งกว่าทารกแรกคลอด ละลายหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

บทที่ 3

โลกอีกฟากของบานประตู

5 ปีก่อนตอนคิโกะอายุ 21 ปี เธอใช้ชีวิตทุ่มเทดูแลพ่อเลี้ยง ซึ่งเขาเริ่มป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเอแอลเอสซึ่งรักษายาก โรคนี้เกิดจากเซลล์ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวเสื่อมสภาพ ทำให้กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวได้น้อยลงเรื่อย ๆ เธอใช้ชีวิตแบบนั้น 3 ปี ต้องคอยช่วยเหลือทำความสะอาดภาระเพิ่มขึ้นไม่หยุด จึงทำให้คิโกะนอนไม่พอ คนเอาใจยากอย่างพ่อเลี้ยงไม่ยอมให้คนอื่นดูแล พยายามอย่างไรก็ไม่ยอมรับบริการให้เจ้าหน้าที่มาดูแลถึงบ้าน และแล้วพ่อเลี้ยงก็ต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉินด้วยโรคปอดอักเสบ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องผ่าตัดใส่ท่อหลอดลมคอเป็นการด่วน และคนไข้เริ่มมีภาวะสมองเสื่อม

แม่สติหลุดทุบตีคิโกะพลางร้องไห้ คุณหมอและพยาบาลช่วยรั้งแม่ไว้ แม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กชี้คิโกะพรางตะเบ็งเสียงด่าทอ ต้องเป็นเพราะมันอยู่แล้ว ควรจะเป็นมันที่เจ็บป่วยไม่ใช่เขา ควรเป็นมันที่ตาย เธอมองดูแม่ที่ตาแดงกล่ำด้วยความเกลียดชัง ทำให้คิโกะรู้จักคำว่าสิ้นหวัง ใช้ชีวิตมาตลอดโดยเชื่อในอะไรกันแน่ ไม่ไหวแล้วเมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เดินออกจากโรงพยาบาลอย่างเคว้งคว้าง เดินไปในเมืองอย่างเหม่อลอย สวมชุดที่ได้รับตกทอดจากแม่ มัดรวบผม นอนไม่พอจนผิวแห้งหยาบ หน้าไม่แต่ง เดินล่องลอยในสภาพนี้ ทุกคนเอาแต่หลบตาไม่ถามไถ่ จนเธอคิดว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเรียก คิโกะเลยหันมองไปรอบ ๆ มิฮารุเพื่อนสนิทที่เรียนห้องเดียวกันสมัยมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั่นเอง หลังเรียนจบก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย มิฮารุชวนไปดื่มกันพลางลากคิโกะเข้าร้านเหล้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงแถวนั้น คิโกะไม่มีแรงขัดขืนถูกจับนั่งข้างมิฮารุ ไม่ทันไรแก้วเบียร์ก็มาวางตรงหน้า มิฮารุยัดแก้วในมือเธอแล้วเอาแก้วมาชนดังแกร๊ง ดื่มเบียร์อั๊ก ๆ และถอนหายใจ มีคนตามมาด้วยหนึ่งคน มิฮารุแนะนำให้รู้จักคนนี้ชื่อโอคาดะ อันโกะเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานของเธอ เขาเป็นครูสอนเลขคณิตให้เด็กชั้นประถม ท่าทางสบาย ๆ และคำพูดคำจานุ่มนวล ที่สำคัญคือใจดี

มิฮารุเค้นถามคิโกะว่า 3 ปีนี้ไปทำอะไรมา เธอก็ตอบพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง คุณอันพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่าเธอคงพยายามน่าดู หลังจากนั่งคุยกันเงียบ ๆ คินาโกะไปสู่ชีวิตใหม่กันเถอะคุณอันพูดต่อ

คืนนั้นคิโกะค้างที่ห้องของมิฮารุซึ่งอยู่ตัวคนเดียว เธอเตรียมฟูกนอนให้ พอล้มตัวนอนก็หลับเหมือนสลบไป ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นคิโกะลุกพรวด มิฮารุที่กำลังเตรียมมื้อเช้าอยู่เห็นจึงหัวเราะ วันนี้เธอไม่ไปทำงานเพราะเป็นวันอาทิตย์ เมื่ออาหารพร้อมแล้วจึงนั่งกินอาหารเช้าตรงข้ามกัน มิฮารุบอกคุณอันติดต่อมาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย กินข้าวเสร็จไม่นาน คุณอันกลับมาถึงพร้อมกับวางแผ่นพับ เอกสาร และหนังสือจำนวนมากข้างหน้าคิโกะ บอกว่าทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอแอลเอส ซึ่งจะลดภาระของคินาโกะลงได้ ถ้าพาไปรับบริการที่ศูนย์บริการ พ่อแม่เอาแต่ผลาญชีวิตเธอโดยไม่คิดทำอะไรให้ดีขึ้น มิหนำซ้ำยังทำเหมือนจะให้เธออุทิศมากกว่านี้อีก ถ้าอย่างนั้นควรผละจากพ่อเลี้ยง ออกจากครอบครัวนั้นมาเสีย คุณอันพูด

ผละจากครอบครัวคงมีแต่หนทางนั้น ตอนแม่ด่ากราดว่าควรเป็นมันสิที่ตาย เธอรู้สึกที่ยึดเหนี่ยวได้พังทลาย และกลับคืนดังเดิมไม่ได้อีกแล้ว หลายวันหลังจากนั้นคิโกะกลับบ้านพร้อมคุณอัน แม่อยู่บ้านพอแม่เห็นก็พูดแบบสะกดเสียงต่ำว่าหายหัวไปอยู่ไหนมา แม่ไม่ห่วงเลยว่าหลายวันนี้เธอไปอยู่ที่ไหนมา คุณอันจับคิโกะหลบไปด้านหลัง และก้มศีรษะทักทายบอกเป็นเพื่อนจะมาช่วยเธอ คุณอันหันมาหาคิโกะบอกให้ไปเก็บข้าวของเถอะเอาเท่าที่ขนขึ้นรถได้

คุณอันกับแม่เผชิญหน้ากัน ท่าทางพร้อมจะปาดเข้ามาทุบตี ตอนที่สีหน้าแม่ย้อมด้วยความโกรธ มีคนพูดเสียงสูงขึ้นว่า ดีแล้วนี่แม่ปล่อยพี่ไปเถอะ มาซากินั่นเองที่โผล่จากด้านในอย่างไม่ทุกข์ร้อน สุดท้ายแม่บอกเธอว่าจะทำอะไรก็เชิญ แล้วออกไปไหนไม่รู้ คิโกะจึงไปเก็บของ เธอยัดเสื้อผ้าลงถุงกระดาษลวก ๆ หยิบสมุดบัญชีที่เก็บเงินไว้ไม่มากนัก แต่ก็พอเป็นค่าใช้จ่ายได้ระยะหนึ่ง เพื่อเช่าอพาร์ทเม้นท์ร่วมกับเพื่อนสมัยเรียนคือมิฮารุ เป็นการปิดฉากลงครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ เธอรักแม่มากก็เลยโหยหาความรักตอบเสมอ คิดว่าแม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเธอ แต่แม่เห็นว่าเธอเป็นส่วนเกิน แล้วไม่เคยเหลียวแลอีกเลย

นี่คือความรู้สึกที่คิโกะส่งผ่านหน้าต่างบานเล็กในห้องน้ำออกไป ในที่สุดก็เพิ่งส่งถึงคนอื่นเป็นครั้งแรก นี่เป็นความทรงจำแรกเริ่มของชีวิตใหม่

บทที่ 4

การกลับมาพบกันอีกครั้งและการสำนึกบาป

หลังจากคุยกันห้าสิบสองกับคิโกะนอนหลับกันตรงชานบ้าน หลังมื้อเช้าคิโกะวางสมุดและปากกาตรงหน้าห้าสิบสอง พร้อมกับบอกว่าอยากให้เขียนสิ่งที่เล่าได้ลงไป เริ่มจากพูดไม่ได้เพราะป่วยหรือ เขาเขียนว่าไม่รู้เหมือนกัน คิโกะตกใจที่เขาเขียนได้เป็นเรื่องราวกว่าที่คิด เขาเขียนต่อว่ามันทรมานอย่าปล่อยผมไว้คนเดียว ห้าสิบสองมองแววตาผสมผสานความรู้สึกหลากหลาย และซ้อนทับกับแววตาของคิโกะในอดีต คิโกะยิ้มให้สงบนิ่งถ่ายทอดออกไปอย่างอ่อนโยนเท่าที่ทำได้กล่าวว่าไม่ปล่อยไว้คนเดียวหรอก

คิโกะออกไปพบโคโตมิบอกว่าลูกเธออยู่ที่บ้าน แต่โคโตมิเบ้ปากแล้วยิ้มบอกไร้ประโยชน์เป็นได้แค่ตัวถ่วงมีไปทำไมลูกพันธุ์นั้น แต่คิโกะทนฟังจนจบไม่ไหวกล่าวขึ้นว่า จะดูแลเด็กคนนั้นเอง ไม่ติดอะไรจริง ๆ ใช่ไหม โคโตมิก็ตวาดใส่ เซ้าซี้ชะมัด เชิญตามสบาย ไม่ต้องการมันจริง ๆ จะทำอะไรก็เชิญ แล้วอย่ามาส่งคืนล่ะ คิโกะโกรธจึงปั่นจักรยานกลับบ้านไป

คิโกะต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กชายให้มากกว่านี้ จึงพยายามถามเขาก็บอกแม่ของพ่อและน้องของพ่อชื่อชิโฮะจัง บ้านอยู่ที่บะซะคุเมืองคิตะคิวชูอยากเจอชิโฮะจัง เขาเขียนเสร็จก็วางปากกา เธอเห็นท่าทางแบบนั้นก็รู้เลยว่าชิโฮะจังสำคัญกับเขา จึงออกปากชวนไปตามหากัน เด็กชายเช็ดน้ำตาแล้วจับมือเธอ

ในวันต่อมาคิโกะหาข้อมูลด้วยแท็บเล็ต ขณะใช้ความคิดเสียงออดก็ดังขึ้นตรงโถงหน้าบ้าน เธอตะโกนออกไปถามว่าใคร ก็มีเสียงตอบมาว่าคิโกะใช่ไหม เธอจึงรีบเลื่อนเปิดประตูคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือมิฮารุ มิฮารุบอกว่าลาออกจากงานแล้ว จะมาขออยู่ด้วยสักพัก เธอเข้ามาในบ้านได้พบกับห้าสิบสองจึงแปลกใจ คิโกะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มิฮารุฟังพร้อมกับบอกว่า จะออกไปตามหาที่อยู่ของย่าห้าสิบสองกัน มิฮารุได้ฟังเช่นนั้นจึงบอกว่าจะไปช่วยด้วยอีกคน

ทั้ง 3 ออกเดินทางไปไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ก็ถึงชานชาลาของสถานีรถไฟโคะคุระ เดินมาสักพักมาโผล่ยังบริเวณที่ห้าสิบสองรู้จัก เขาจึงเปลี่ยนมาเดินนำหน้า ในที่สุดก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งวัชพืชขึ้นรกสูงอยู่อีกฟากของประตูรั้ว มิฮารุกับคิโกะตะโกนเรียกแต่ไม่มีคนตอบ ระหว่างที่คิดว่าจะเอาอย่างไรต่อก็ได้ยินเสียงพูดว่า อิจจังเหรอตัวโตขึ้นเยอะเลยนะทำไมมาอยู่ที่นี่ มิฮารุถามคุณยายที่บอกว่าชื่อฟูจิเอะรู้จักเด็กคนนี้เหรอ คุณยายฟูจิเอะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกับบอกว่าทั้งยายสุเอะนากะและชิโฮะจังตายไปหมดแล้ว แต่ก็คิดว่าพ่อของเขาคงยังมีชีวิตอยู่

แล้วทั้งหมดก็ตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะกลับโออิตะกันก่อน เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิด จึงหาโรงแรมที่พักแถวนั้น เมื่อได้ห้องพักมิฮารุยื่นเบียร์กระป๋องที่เหลือให้คิโกะ แล้วดึงห่วงเปิดของตัวเองดื่มพร้อมกับพูดว่า ฉันรู้แล้วว่าคุณอันตาย คิโกะรู้เรื่องไหม คิโกะก็ตอบว่ารู้แล้ว จึงตระหนักว่ามิฮารุมาหาเพื่อถามเรื่องนี้ เธอตอบรู้สิเพราะฉันไปเจอเอง

บทที่ 5

ความผิดพลาดที่ไม่อาจชดเชย

หลังออกจากบ้านมาได้พักหนึ่ง คิโกะได้ทำงานในโรงงาน ได้คุ้นเคยในความสัมพันธ์กับมิเนโกะ และได้พบเพื่อนวัยเดียวกันในโรงงานหลายคน แต่การร้องไห้ยามค่ำคืนลดลงและหัวเราะมากขึ้น มิฮารุมีแฟนแล้วชื่อทาคุมิ ด้วยความบังเอิญคิโกะก็ได้พบเจอกับชิคาระซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ทั้งสองออกไปทานข้าวกัน และพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงขั้นได้เสียในที่สุด

ชิคาระมักพาคิโกะไปรับประทานอาหาร แล้วมาจบที่มีอะไรกันในห้องนอนของเธอ เขาพูดว่าให้พาไปเจอกลุ่มเพื่อนสนิทที่พูดถึงหน่อย เพราะอยากเห็นว่าคิโกะทำหน้าอย่างไร เวลาอยู่นอกที่ทำงาน ซึ่งนั่นเป็นเวลาหลังคบกันมาครึ่งปี ชิคาระก็บอกแบบนั้นออกมา คิโกะจึงนัดแนะและพาชิคาระไปพบเพื่อนนอกที่ทำงานทั้ง 3 คนของเธอคือมิฮารุ ทาคุมิ และคุณอัน แต่เมื่อชิคาระพบกับคุณอันแล้วกลับไม่ลงรอยกัน ชิคาระไม่ชอบหน้าคุณอันและคุณอันก็แสดงอาการไม่ชอบหน้าด้วย

ชิคาระชวนให้คิโกะย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ แมนชั่นของเขาจะได้ไปมาหาสู่กันสะดวก ส่วนคุณอันก็รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ตอบกลับข้อความ ทางโทรศัพท์มือถือไม่รับสาย มิฮารุบอกว่าเขาได้ย้ายออกไปจากแมนชั่นแล้ว

ชิมิชุชายหนุ่มที่ทำงานเป็นคนมาบอกข่าวลือว่า ชิคาระหมั้นแล้วเห็นว่าคู่หมั้นเป็นลูกสาวคนรู้จักของท่านประธานอยู่กินกันมา 5 ปีแล้ว ชิคาระมาหาชิโกะที่ห้องแล้วบอกว่า เธอคงรู้แล้วเขาบอกว่าไม่ตั้งใจให้รู้แบบนี้ และอยากให้คบกันต่อ แต่เขาต้องแต่งงานกับอีกคน ยังไงก็เลี่ยงการแต่งงานกับมามิโกะไม่ได้ และบอกว่าจะทำให้คู่หมั้นและคิโกะมีความสุขไปพร้อมกัน

พอคิโกะเป็นชู้รักชิคาระก็ผูกมัดเธอยิ่งกว่าที่ผ่านมาทันที เขาอยากให้เธอลาออกจากงานในสักวันหนึ่ง จะทำงานเป็นพนักงานดูแลลูกค้าในร้านอาหารญี่ปุ่นก็ได้ เขาไม่อยากให้ทำงานกับผู้ชายที่ไม่ชอบมาพากล เขาจะคัดกรองสถานที่ทำงานให้ก่อน หลายวันต่อมาหลังจากที่เขาห่างหายไปเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาได้มาหาที่ห้องพักคิโกะพร้อมกับเล่าว่า มีจดหมายไปถึงพ่อของเขา บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแถมลงชื่อว่ามาจากโอคาดะ อันโกะ เธอตกใจคุณอันโกะโกรธ แค่คิดก็ทำให้ใจสลายแล้ว เขาคงรับไม่ได้และโกรธแน่เลย

บทที่ 6

หนทางของเสียงซึ่งไม่อาจส่งถึง

คิโกะไร้ซึ่งอิสระและชิคาระก็ไม่บอกเลยว่าทำอะไร เธอถูกบีบให้ใช้เวลาไปกับการรอคอยเขามาหาอยู่ที่ห้อง ต้องลาออกจากงานแล้ว และชิคาระก็ไม่ยอมให้ออกไปข้างนอกหากเขาไม่อนุญาต แล้ววันหนึ่งพอเธอบอกว่าพวกมิฮารุชวนดื่ม เลยอยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ชิคาระก็ตบหน้าเธอจนล้ม แล้วก็คว้าคอเสื้อขึ้นมาจากพื้น พูดกระชากเสียงใส่ว่าทำตัวดี ๆ รู้ไหมเพื่อเธอแล้วต้องเสียอะไรไปแค่ไหน เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ที่นี่แหละ

คิโกะคิดว่าต้องเลิกกับชิคาระ คนที่เคยใจดีอย่างเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว คงเป็นเพราะริอ่านมีความรักแบบที่ไม่ได้รับคำอวยพรจากใครแน่เลย เธอจึงได้แอบถ่ายรูปข้อมูลที่สืบเรื่องส่วนตัวคุณอันด้วยมือถือเอาไว้ แล้วออกไปตามหา คุณอันอาศัยในอพาร์ทเม้นท์เก่า ๆ คิโกะกดกริ่งแต่ไม่มีใครออกมาเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงน้ำไหลแว่ว ๆ คิดว่าคงอาบน้ำอยู่เลยรอหน้าห้อง เริ่มรู้สึกสะกิดใจ ผู้หญิงมีผมหงอกแซมก็ปรากฏตัว แม่คุณอันนั่นเอง ถามว่าเป็นอะไรกับลูกเธอ พอบอกว่าเป็นเพื่อนเธอก็โล่งใจ

แม่คุณอันพักโรงแรมใกล้ ๆ และบอกว่าจะกลับนะงะซะกิพร้อมลูกวันนี้ คุณแม่มีกุญแจสำรองเลยเปิดประตูให้ แม่เรียกอันชุแต่ไม่มีเสียงขานตอบ แม่ถอนหายใจพลางเดินไปยังห้องอาบน้ำ บนโต๊ะทำงานมีซองจดหมายวางอยู่ 2 ซอง แม่คุณอันไปห้องน้ำแล้วร้องเสียงดัง คิโกะจึงรีบไปดูก็เห็นว่าคุณอันเสียชีวิตอยู่ในอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นตำรวจและหน่วยกู้ชีพมาถึงตรงนั้นชุลมุนวุ่นวาย ศพคุณอันถูกส่งไปชันสูตร 2 วัน ระหว่างนั้นคิโกะจัดการหาบริษัทรับจัดพิธีศพ จัดงานเล็ก ๆ เฉพาะครอบครัว

หลังส่งคุณอัน คิโกะกลับห้องพร้อมจดหมายลาตายถึงชิคาระ เขาอยู่ที่ห้องพอเห็นเธอเข้ามาก็เล่นงานทันที เขากระแทกหมัดเข้าใส่ขมับ เธอล้มหน้าคว่ำกับพื้นจนเลือดกำเดาสาด เขากระชากคอเสื้อแล้วถามไปไหนมา ไปหาไอ้นั่นมาเหรอเขากระแทกเสียงใส่ แล้วปล่อยมือเธอทรุดฮวบลงพื้นเลือดเปื้อนกระจาย ร่างสั่นเคลิ้มด้วยความเจ็บและความกลัว พลางบอกเขาว่าคุณอันตายแล้ว เขาฆ่าตัวตาย ฉันไปเจอเขาเอง แล้วยื่นจดหมายลาตายที่เขียนถึงเขาให้ ชิคาระรับแล้วไปเปิดเตาแก๊สในครัวทันที เขาไม่แม้จะอ่านด้วยซ้ำ เธอวิ่งไปห้ามแต่โดนผลักออก จดหมายกลายเป็นเถ้าอยู่ในอ่างล้างจาน

ชิคาระหัวเราะแล้วพูดว่าจบทุกอย่างเสียที ใบหน้านั้นสะพรึง คิโกะคิดว่าปล่อยไว้ไม่ดีแน่ เลยดึงมีดออกมาถือพร้อมบอกจะฆ่าให้ตาย ถือมีดไว้มั่นตรงท้อง ช่วงชุลมุนสุดท้ายมีดปักใส่ท้องเธอ ชิคาระหวีดร้อง

เมื่อฟื้นพ่อของชิคาระและทนายพากันมาขอให้คิโกะยอมความ พร้อมเสนอเงินค่าทำขวัญเยอะจนน่าตะลึง พร้อมกับบอกให้ช่วยไปอยู่ไกล ๆ ความรู้สึกรักอันตรธานไปจนหมดสิ้น พร้อมกับความรู้สึกอยากตาย เธอจึงใช้เงินนั้นย้ายมาอยู่บ้านยายที่โออิตะนี่เอง มิฮารุกอดคิโกะแน่นพลางพูดว่าเธอคงทุกข์ใจสินะ คงทุกข์ใจมาตลอด ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง แบ่งความทุกข์ให้ครึ่งหนึ่งนะ ถ้าเธอเรียกว่าความผิดบาป ฉันก็ขอแบกรับความผิดบาปนั้นด้วยครึ่งหนึ่งเถอะ แล้วทั้งคู่ก็กอดกันร้องไห้

บทที่ 7

การพบกัน ณ ชายขอบ

วันรุ่งขึ้นทั้ง 3 จากโคะคุระขึ้นรถไฟกลับโออิตะ พอถึงบ้านก็ไล่เปิดหน้าต่าง คิโกะลองไปส่องในตู้รับจดหมายมุระนากะทิ้งข้อความไว้ให้ติดต่อกลับด่วน เธอจึงขอยืมมือถือมิฮารุโทรไปหา มุระนากะบอกอาจารย์ชินะกิตาของห้าสิบสองบอกว่าคิโกะลักพาตัวหลานของเขาไป คิโกะจึงขอความร่วมมือจากเขาและย่าของมุระนากะให้ช่วย จนได้รู้ว่ายายของห้าสิบสองชื่อมาซาโกะตอนนี้อาศัยอยู่ที่เมืองเบบปุ

ทันใดนั้นก็มีเสียงออดดังขึ้น มุระนากะออกไปดูแล้วก็มีการถกเถียงกัน ปรากฏว่าเป็นอาจารย์ชินะกิมาส่งเสียงโวยวายไม่เลิก ห้าสิบสองกลัวเลยไปหลบข้างหลังคิโกะ อาจารย์มาถึงก็บอกให้คืนหลานมาเสีย คิโกะเลยบอกว่ากลับไปทารุณกรรมนะหรือ ชายชรามือสั่นพูดอ้อมแอ้มว่า โคโตมิไม่ทำอะไรแบบนั้น เธอแค่อบรมสั่งสอน คิโกะจึงตอบไปว่าอบรมอะไรจี้บุหรี่ใส่ลิ้นเด็ก ชายชราคอตกพร้อมกับบอกว่า โคโตมิอ้างว่าจะออกไปตามหาลูก จึงกวาดเงินในบ้านขึ้นรถผู้ชายไป เมื่อเขาเข้าไปห้ามก็โดนผู้ชายคนนั้นต่อยเอา

มุระนากะทนดูไม่ไหวเลยบอกให้อาจารย์กลับไปก่อน พร้อมกับบอกว่าจะไปหาแม่ของโคโตมิกันอยู่ แล้วขออาจารย์ให้ความร่วมมือในฐานะผู้ปกครองในตอนที่จำเป็นก็พอ เขาจึงกลับบ้านแต่โดยดี คืนนั้นพักกันที่บ้าน หลังกินข้าวเสร็จคิโกะหลับตาแต่หลับไม่ลง พรุ่งนี้จะไปพบยายของห้าสิบสอง ปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไม่ว่าทางไหนก็ติดขัด แล้วคิดถึงใจของห้าสิบสองที่ถูกจับโยนให้ผู้ใหญ่คนโน้นทีคนนี้ที เขาจะคิดอย่างไรกับชีวิตของเขากัน พอคิดขึ้นมาทำให้จิตใจไม่สงบ จึงเอาเครื่องเล่น MP3 ตรงหัวเตียงเสียบหู กดปุ่มเล่นแล้วหลับตา ฝันถึงวาฬตัวใหญ่ในทะเลน้ำลึก

วาฬตัวหนึ่งร้องเพลงจนเกิดวงแหวนสีทองสวยงาม ลอยผ่านมาที่ศรีษะของคิโกะ แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงคนดังว่า คินาโกะ เธอจึงตกใจ เสียงคุณอันหรือ คุณอันเกิดเป็นวาฬหรือ แล้วมีวงแหวนอีกวงลอยมาเป็นเสียง ช่วยด้วย คิโกะสะดุ้งตื่นตกใจมองด้านล่างเตียงแล้วก็เห็นที่นอนห้าสิบสองว่างเปล่า จึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยออกไปตาม มองรอบบริเวณแล้วเอะใจว่าต้องเป็นทะเลแน่ เลยวิ่งไปตามซอยแคบ ๆ หน้าถอดสีของเด็กชายตอนกลางวัน นั่นคือเตรียมใจตายหรือเปล่า คิดอย่างนั้นจึงวิ่งไปพลางตะโกนไป เห็นเงาคนบนทำนบอาบแสงจันทร์ จึงตะโกนไปทำอะไรน่ะ อย่านะได้โปรดอย่าตาย

เด็กชายวิ่งหนีไปบนทำนบ คิโกะตะโกนไปอีกว่า มาอยู่ด้วยกันกับฉันเถอะนะ ใช้ชีวิตกับฉันอยู่กันสองคนที่บ้านหลังนั้น เธอรู้จักคำว่าวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งไหม ฉันอยากให้เธอเจอตัวเธออีกครึ่งหนึ่งที่ต้องเจอ คิโกะคิดถึงคุณอันที่เธอให้ความสุขไม่ได้ แต่เธอตั้งใจจะทำให้เด็กน้อยคนนี้มีความสุขให้ได้ ขอให้คุณอันเอาใจช่วยด้วย

เด็กชายตัวสั่นเทา คิโกะร้องเรียกว่ากลับไปกับฉันนะอิโตชิ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นอิโตชิเช็ดน้ำตามองแล้วร้องตะโกนว่า คินาโกะ เขาเรียกอย่างชัดเจนแล้ววิ่งเข้ามากอด คิโกะจึงรับเขาไว้ด้วยร่างทั้งร่าง โชคชะตานำพาการพบเจอกันอีกแล้ว ครั้งแรกเสียงได้รับการรับฟัง ครั้งที่ 2 เป็นฝ่ายรับฟัง คราวนี้ต้องไม่ลืมการพบเจอกันทั้งสองครั้งนี้ และความปิติยินดีซึ่งได้รับการพบเจอ ได้ยินเสียงสนั่นเหมือนทุบดินไกล ๆ ทั้งคู่ที่กอดกันอยู่ตกใจ พากันเช็ดน้ำตามองเลยแนวชายฝั่งออกไป เห็นหางขนาดมหึมาดำผุดลงทะเลพร้อมเสียงน้ำสาดกระจาย

บทที่ 8 เหล่าวาฬเสียง 52 เฮิร์ต

สถานการณ์ไม่เอื้อให้อยู่ด้วยกัน คนที่บอกเรื่องนี้คือคุณมาซาโกะแม่ของโคโตมิ คุณมาซาโกะดูเป็นคนมีระเบียบ หลังอย่ากับคุณชินะกิจึงย้ายกลับมาบ้านเกิดที่เมืองเบปปุ ตอนนี้แต่งงานใหม่อยู่กับสามีชื่อคุณชูจิบอกว่าอยากรับเลี้ยงอิโตชิ ทั้งสองคนบอกว่ารู้ระเบียบการยื่นขอเป็นพ่อแม่บุญธรรม ที่ผ่านมาก็เคยรับอุปการะเด็กแบบระยะสั้นมาแล้ว และพวกเขาดีขนาดนี้น่าจะฝากฝังอิโตชิได้

อิโตชิส่ายหน้าไม่อยากไปจากคิโกะ คุณมาซาโกะบอกว่าพวกเธอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จากนี้ต้องเดินเรื่องขอให้ถอนอำนาจปกครองบุตรจากโคโตมิ เมื่อศาลเห็นชอบให้หมดอำนาจปกครองแล้ว ขั้นต่อไปคือต้องหาใครเป็นผู้ปกครองแทน มีระเบียบว่าด้วยการยื่นขอเป็นผู้ปกครอง คุณคิโกะเองก็ยื่นคำร้องได้แต่คงยาก เพราะต้องตรวจสอบประวัติส่วนตัวและสภาพครอบครัวอีก คุณมาซาโกะพูดแบบกำกวม แต่คงหมายความว่าคิโกะไม่เพียงโสด ยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อย แถมตอนนี้ยังไม่ทำงานทำการ จึงไม่น่ามีหวัง

คุณมาซาโกะพูดต่อว่า อิโตชิก็เหมือนกัน คุณคิโกะช่วยไว้และพามาถึงที่นี่รู้ไหมว่าแค่นี้ก็รบกวนเธอมากแล้ว คนเราต้องใช้ชีวิตเกื้อกูลกัน อิโตชิตอนนี้เป็นฝ่ายรับการเกื้อกูลอยู่ฝ่ายเดียวช่วยเหลือเธอไม่ได้ พูดให้ชัดคือเป็นภาระนั่นเอง พอโดนชี้ให้เห็นความจริงทั้งสองก็พูดไม่ออก เพิ่งรู้ซึ้งเอาป่านนี้ว่า การช่วยเหลือและเลี้ยงดูคนคนหนึ่งต้องใช้พลังมากมายเหลือเกิน มิฮารุพูดแบบเกร็ง ๆ ว่าถ้าคิโกะในตอนนี้จะประคับประคองอิโตชิคนเดียวคงพากันล้มทั้งคู่แน่

อิโตชิหยิบสมุดโน๊ตออกมาเขียนว่า จะไม่ได้เจอกันเลยหรือ แล้วยื่นให้ทุกคนดู คุณมาซาโกะพูดว่าไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไรขนาดนั้น  อิโตชิจะไปหาคิโกะก็ได้ หรือคิโกะจะมาหาอิโตชิบ้างก็ได้ทุกเมื่อ ได้ยินเช่นนี้อิโตชิก็ถอนใจอย่างโล่งอก คิโกะมองหน้าสามีภรรยาคู่นี้พร้อมกล่าวว่ารบกวนด้วยนะคะ

หลังจากนั้นคิโกะใช้เวลาช่วงฤดูร้อนกับ อิโตชิและมิฮารุ มุรานากะมาร่วมด้วยเป็นครั้งคราว พอใกล้สิ้นสุดช่วงปิดเทอมฤดูร้อน คุณมาซาโกะกับสามีติดต่อมาว่าเตรียมพร้อมรอรับอิโตชิเรียบร้อย คืนก่อนวันจากลาทั้งหมดได้รับคำเชิญจากมุระนากะ ให้ไปกินปิ้งย่างบาร์บีคิวกันในสวนที่บ้านมุระนากะ อาทิตย์ตกดินดวงดาวส่องประกายบนท้องฟ้า ได้ยินเสียงคลื่นมาแต่ไกล เพื่อนของคุณซาจิเอะก๊วนขาประจำคนโดมาร์ต นั่งคุยกันถึงเรื่องวาฬบอกว่าวาฬกลับออกไปอย่างปลอดภัยแล้ว ดูเหมือนเจ้าวาฬบังเอิญหลงมา มันผลุบโผล่ให้เห็นอยู่หลายวัน สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นบังเอิญถ่ายวีดีโอตอนมันพ่นน้ำไว้ได้ และเอามาออกข่าว

มิฮารุบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับโตเกียวแล้ว คิโกะรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน พรุ่งนี้อิโตชิก็จะไม่อยู่แล้วเหมือนกัน คิโกะพูดกับอิโตชิว่าขอบคุณที่หาฉันเจอนะ อิโตชิวางมือทาบบนมือคิโกะพูดว่า คินาโกะโชคดีที่เจอกัน คินาโกะบีบมือเขาพูดว่า จากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเราจะสู้ต่อไป เพราะถึงอยู่ห่างกันแต่ก็รู้ว่ามีอีกคนรับฟังอยู่ และเปล่งเสียงให้เราฟัง แล้วจะไม่ได้กระโดดเข้าฝูงไปเพียงลำพัง จะรู้สึกถึงไออุ่นจากมือนี้ รู้สึกว่ามีกันและกันนี่เป็นสุขมากเลยนะ ค่ำคืนที่ร้องเพลงอย่างเดียวดายจะไม่มาเยือนพวกเราอีกแล้วล่ะ

คิโกะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องของวาฬ ซึ่งอยู่ไกลออกไปไม่รู้ว่าเป็นเสียงร้องยินดีให้หรือว่ากระซิบบอกอะไร เป็นเสียง 52 เฮิร์ตอิโตชิพึมพำหลับตาเหมือนเงี่ยหูฟัง ขอให้เสียงนั้นส่งถึงใครสักคนด้วยเถิด ขอให้มีคนรับฟังอย่างอ่อนโยน ขอจงอย่าหยุดร้องเพลง เพราะฉะนั้นได้โปรดเปล่งเสียง 52 เฮิร์ตให้ได้รับฟังต่อไป