การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการตัดสินใจเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะการใช้ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งเป็นวิธีการที่นักเทรดมืออาชีพทั่วโลกใช้ในการทำนายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น, ฟิวเจอร์ส, สกุลเงินดิจิทัล และอื่น ๆ หากคุณเป็นผู้เริ่มต้นหรือแม้แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ การเข้าใจ ศาสตร์แห่งแท่งเทียน จะช่วยเพิ่มทักษะและความแม่นยำในการตัดสินใจของคุณได้มากขึ้น

ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ ศาสตร์แห่งแท่งเทียน, วิธีการอ่านกราฟแท่งเทียน, ประเภทของแท่งเทียนที่สำคัญ, และวิธีการใช้แท่งเทียนในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา

แท่งเทียน (Candlestick) คืออะไร?

กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นเครื่องมือในการแสดงผลข้อมูลราคาของสินทรัพย์ในช่วงเวลาต่างๆ โดยจะแสดงให้เห็นราคาเปิด (Open), ราคาปิด (Close), ราคาสูงสุด (High), และราคาต่ำสุด (Low) ในช่วงเวลาเดียวกัน หรือในกรอบเวลาใดๆ เช่น 1 นาที, 5 นาที, 1 ชั่วโมง, หรือ 1 วัน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมและแสดงออกในรูปแบบของ “แท่งเทียน” ที่ประกอบด้วยสองส่วนหลัก คือ Body และ Wicks (Shadows)

  • Body: คือส่วนที่มีสีที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างราคาเปิดและราคาปิด หากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (ราคาขึ้น) ส่วนของ Body จะมีสีขาวหรือเขียว และหากราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (ราคาลง) จะมีสีดำหรือแดง
  • Wicks (Shadows): คือส่วนที่อยู่ด้านบนและล่างของ Body ซึ่งแสดงถึงราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดในช่วงเวลานั้นๆ

กราฟแท่งเทียนสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแรงและทิศทางของแนวโน้มราคา และช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น

ประเภทของแท่งเทียนที่สำคัญ

ในการเทรดด้วยกราฟแท่งเทียน นักเทรดมักจะใช้การรวมกันของแท่งเทียนที่มีรูปแบบต่างๆ เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคา เราจะมาทำความรู้จักกับ ประเภทของแท่งเทียนที่สำคัญ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มได้

1. แท่งเทียน Marubozu

แท่งเทียน Marubozu คือแท่งเทียนที่ไม่มี Wick หรือ Shadow เลยหรือมี Wick เล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าแท่งเทียนนั้นมีการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่งและไม่หยุดพัก

  • Bullish Marubozu: หากเป็นแท่งเทียนสีขาวหรือเขียว แสดงถึงการที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิดอย่างมาก บ่งชี้ว่าผู้ซื้อมีการควบคุมตลาดอย่างเต็มที่
  • Bearish Marubozu: หากเป็นแท่งเทียนสีดำหรือแดง แสดงถึงการที่ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิดอย่างมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ขายมีการควบคุมตลาด

2. แท่งเทียน Doji

แท่งเทียน Doji คือแท่งเทียนที่มี Body เล็กมากหรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งบ่งบอกถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเด็ดขาด โดยราคาปิดและราคาเปิดมีค่าใกล้เคียงกัน

  • Doji แสดงถึงความไม่แน่นอนในตลาด อาจเป็นสัญญาณของการกลับตัวหรือลังเลในแนวโน้ม
  • Long-legged Doji: แท่งเทียนที่มี Wick ยาวทั้งสองข้าง แสดงถึงการกลับตัวที่มีความไม่แน่นอนสูง

3. แท่งเทียน Engulfing

แท่งเทียน Engulfing คือการเกิดแท่งเทียนที่ใหญ่กว่ามากๆ และครอบคลุมแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภท:

  • Bullish Engulfing: คือการที่แท่งเทียนสีขาวหรือเขียวมีขนาดใหญ่กว่าทั้งหมดครอบคลุมแท่งเทียนสีดำหรือแดงก่อนหน้า แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น
  • Bearish Engulfing: คือการที่แท่งเทียนสีดำหรือแดงมีขนาดใหญ่กว่าทั้งหมดครอบคลุมแท่งเทียนสีขาวหรือเขียวก่อนหน้า แสดงถึงการกลับตัวเป็นขาลง

4. แท่งเทียน Hammer และ Hanging Man

  • Hammer: เป็นแท่งเทียนที่มี Body เล็กอยู่ด้านบนและ Wick ยาวด้านล่าง ซึ่งมักเกิดในแนวโน้มขาลงและแสดงถึงการกลับตัวเป็นขาขึ้น
  • Hanging Man: เหมือนกับ Hammer แต่เกิดในแนวโน้มขาขึ้นและบ่งบอกถึงการกลับตัวเป็นขาลง

5. แท่งเทียน Shooting Star

แท่งเทียน Shooting Star มี Body เล็กอยู่ที่ด้านล่างและ Wick ยาวด้านบน ซึ่งมักเกิดในแนวโน้มขาขึ้นและแสดงถึงสัญญาณของการกลับตัวลง

การอ่านกราฟแท่งเทียน

การอ่านกราฟแท่งเทียนต้องพิจารณาหลายปัจจัย รวมถึง

1. ทิศทางของราคา

การมองทิศทางของราคาสามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้น เช่น หากราคาส่วนใหญ่เคลื่อนที่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) แสดงว่าแนวโน้มเป็นขาขึ้น ในขณะที่หากราคาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย แนวโน้มเป็นขาลง

2. รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns)

การที่แท่งเทียนมีการกลับตัวจากแนวโน้มเดิม เช่น Bullish Engulfing หรือ Hammer สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของราคา และเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มใหม่

3. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuation Patterns)

บางครั้งการรวมตัวของแท่งเทียนอาจบ่งบอกถึงการที่ราคาจะยังคงเคลื่อนที่ในทิศทางเดิม เช่น Bullish Marubozu หรือ Bearish Engulfing ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาอาจยังคงเคลื่อนไหวไปในทิศทางขาขึ้นหรือขาลง

4. การใช้แท่งเทียนร่วมกับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่น

การใช้แท่งเทียนร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หรือ ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรด ตัวอย่างเช่น หากแท่งเทียนแสดงสัญญาณการกลับตัวในขณะที่ RSI อยู่ในเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) ก็อาจเป็นสัญญาณการขาย

ข้อดีและข้อเสียของการใช้แท่งเทียน

ข้อดี

  • เข้าใจง่าย: แท่งเทียนเป็นเครื่องมือที่อ่านและตีความได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
  • ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน: แท่งเทียนสามารถแสดงข้อมูลที่ครบถ้วนในแต่ละช่วงเวลา ทั้งราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด
  • บ่งบอกถึงอารมณ์ของตลาด: แท่งเทียนช่วยให้คุณเข้าใจสภาวะตลาดได้อย่างรวดเร็ว ว่าตอนนี้ตลาดอยู่ในช่วงที่มีความมั่นคงหรือไม่

ข้อเสีย

  • สัญญาณเท็จ: บางครั้งสัญญาณจากแท่งเทียนอาจไม่แม่นยำ 100% โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
  • ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ: แท่งเทียนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจเทรด การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Indicator หรือ Support/Resistance จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียดได้ที่บทความ การวิเคราะห์แท่งเทียนขั้นสูง กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการเทรดที่แม่นยำ (แปะลิงก์)

สรุป

ศาสตร์แห่งแท่งเทียน (Candlestick Analysis) เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การอ่านกราฟแท่งเทียนช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าใจทิศทางของตลาดและคาดการณ์การกลับตัวของราคาได้ดีขึ้น รูปแบบของแท่งเทียนแต่ละชนิด เช่น Bullish Engulfing, Hammer, หรือ Doji ล้วนแต่มีความหมายที่สามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มราคา

การใช้แท่งเทียนร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจเทรดและช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขึ้น